Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
18 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 

Midnight Sun; Chapter 3: Phenomenon

ที่จริงผมไม่ได้กระหายอะไรหรอกครับ แต่คืนนั้นผมตัดสินใจออกล่า ป้องกันไว้หน่อยก็ดี แต่ไม่พอหรอกผมรู้
คาร์ไลส์ไปกับผม เราไม่ได้ออกล่าด้วยกันสองคนเลย ตั้งแต่ผมกลับจากเดนาไล ขณะเรากำลังวิ่งฝ่าป่ามืดมิด ผมได้ยินเขาคิดถึงวันที่ผมไปลาเขาอย่างเร่งรีบเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ผมเห็นในความคิดของเขา ว่าอาการผมแย่มาก เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ผมรู้สึกได้ว่าตอนนั้นเขาแปลกใจแล้วก็กังวล

"เอ็ดเวิร์ด?"
"ผมต้องไปคาร์ไลส์ ต้องไปเดี๋ยวนี้"
"เกิดอะไรขึ้น?"
"ไม่มี ยังไม่มีฮะ แต่มีแน่ ถ้าผมอยู่ต่อ"
เขายื่นมือออกมาแตะแขนของผม ผมจับได้ว่าเขาเจ็บปวดเมื่อผมดึงแขนออก
"พ่อไม่เข้าใจ"
"พ่อเคยไหมล่ะ เคยไหม ซักครั้งที่..."

ผมเห็นภาพตัวเองสูดลมหายใจ มองเห็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ในตาของผม
"พ่อเคยเจอมนุษย์ซักคนที่กลิ่นดีกว่าใครๆไหม กลิ่นดีกว่ามากมาก?"
"โอ้"

พอผมเห็นว่าเขาเข้าใจแล้ว สีหน้าของผมก็เปลี่ยนเป็นขายหน้า เขายื่นมือมาแตะโดยไม่สนใจว่าผมจะถอยหนีอีก คราวนี้เขาจับไหล่ผมไว้
"ทำอะไรก็ได้แต่ต้องทนให้ได้ลูก พ่อจะคิดถึงเสมอนะ เอ้านี่ใช้รถพ่อ มันไวกว่า"

แต่ตอนนี้เขากำลังสงสัยว่า ตอนนั้นเขาได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่าที่ส่งผมไปแบบนั้น เขาสงสัยว่า เขาทำให้ผมเสียใจไหม ที่เขาขาดความเชื่อใจในตัวผมแบบนั้น

"ไม่หรอกฮะ" ผมกระซิบขณะที่เรายังวิ่งอยู่ "ผมก็อยากให้เป็นยังงั้นแหละ ผมอาจทำลายความเชื่อใจพวกนั้นลงได้ง่ายๆเลย ถ้าพ่อให้ผมอยู่ต่อ"
"พ่อเสียใจนะที่เห็นลูกกำลังเจ็บปวด เอ็ดเวิร์ด แต่ลูกต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกสาวบ้านสวอนมีชีวิตอยู่ต่อไป ต่อให้ลูกต้องจากเราไปอีกครั้งก็เถอะ"
"ผมรู้ ผมรู้"
"แล้วลูกกลับมาทำไหม? รู้ใช่ไหมว่าพ่อดีใจที่ลูกอยู่ที่นี่ด้วย แต่ถ้ามันลำบากกับลูกนัก..."
"ผมไม่ชอบความรู้สึกขี้ขลาด" ผมรับ

เราเริ่มวิ่งช้าลง เริ่มเหมือนวิ่งจ๊อกกิ้ง
"นั่นก็ยังดีกว่าทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย อีกปีสองปีเธอก็ไปแล้ว"
"ก็ใช่ฮะ อันนั้นน่ะผมก็รู้" แต่ตรงข้าม คำพูดของเขายิ่งทำให้ผมอยากอยู่ เธอคนนั้นจะไปจากที่นี่ในปีสองปีนี้...
คาร์ไลส์หยุดวิ่ง ผมหยุดตามเขา เขาหันมาพิจารณาสีหน้าของผม
'ยังไงก็ไม่ไปไหนใช่ไหม?'
ผมก้มหน้า
'ทะนงตัวเหรอลูก? ไม่มีอะไรต้องอาย-'
"ไม่ใช่เรื่องเสียหน้าอะไรหรอกฮะที่ทำให้ผมอยู่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้"
'ไม่รู้จะไปไหนเหรอ?'
ผมหัวเราะ 'ไม่หรอกฮะ แค่นั้นหยุดผมไม่ได้หรอก ถ้าผมจะต้องไปจริงๆ'
"แน่นอน พวกเราจะไปด้วยกัน ถ้าลูกต้องการ แค่บอกมาเท่านั้นล่ะ ลูกเคยย้ายที่อยู่แบบไม่เคยบ่นเพื่อพวกเขามาแล้วทั้งนั้น พวกเขาจะไม่ว่าอะไร"
ผมเลิกคิ้ว
เขาหัวเราะ "ใช่ๆ โรสซาลี่อาจจะมีบ้าง แต่เขาเป็นหนี้ลูกนี่ ยังไงเราไปตอนนี้เลยจะดีที่สุด ก่อนจะมีอะไรร้ายๆเกิดขึ้น ดีกว่าไปตอนเกิดอะไรขึ้นแล้ว หลังจากมีใครตายแล้ว" อารมณ์ขันของเขาหายไปในตอนท้าย
ผมสะดุ้งกับคำพูดของเขา
"ก็จริงฮะ" ผมเห็นด้วย น้ำเสียงผมแตกพร่า
'แต่ลูกจะไม่ยอมไปเหรอ?'
ผมถอนหายใจ "ผมควรจะไป"
"อะไรดึงลูกไว้ เอ็ดเวิร์ด? พ่อไม่เห็นจะมีอะไร..."
"ผมไม่แน่ใจว่าจะอธิบายได้ไหม" แม้แต่กับตัวผมเอง มันดูไม่เมคเซ้นซ์เอาซะเลย
เขาพิจารณาสีหน้าผมครู่ใหญ่
'ไม่เห็นจริงๆ แต่พ่อก็จะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวนะ ถ้าลูกต้องการอย่างนั้น'
"ขอบคุณฮะ พ่อใจกว้างจริงๆทั้งที่ผมไม่เคยให้ความเป็นส่วนตัวกับใครเลย" ยกเว้นคนนึง แต่ผมก็พยายามอย่างหนักที่จะเอามันมาจากเธอไม่ใช่เหรอ
'พวกเราก็แปลกกันทั้งหมดนั่นแหล' เขาหัวเราะอีกครั้ง 'เริ่มเลยไหม?'

เขาเพิ่งได้กลิ่นกวางฝูงเล็กๆ ยากที่จะคิดถึงเรื่องอื่นๆในตอนนี้ นอกจากกลิ่นชวนน้ำลายสอ ตอนนี้กลิ่นของเธอในความจำทำให้ผมท้องร้องแล้วล่ะ ผมถอนหายใจ "ไปเลย" ผมตอบ แต่ก็รู้แหละว่า ต่อให้ดื่มมากแค่ไหนก็ช่วยได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น

เราย่อตัวในท่าเตรียมพร้อม แล้วให้กลิ่นที่ไม่ได้ดึงดูดอะไรมากมายนำทางพวกเรา

อากาศหนาวขึ้นเมื่อกลับถึงบ้าน หิมะที่ละลายแล้วกลับมาแข็งตัวใหม่ มองดูราวกับกระจกบางๆปกคลุมทุกสิ่ง ยอดสน ใบเฟิร์น ใบหญ้าล้วนแล้วแต่โดนน้ำแข็งเคลือบทั้งสิ้น ชาร์ลีไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเข้ากะเช้าที่โรงพยาบาล ผมยังนั่งที่ฝั่งแม่น้ำ คอยให้ดวงอาทิตย์ขึ้น ผมรู้สึกเหมือนตัวจะบวมขึ้นจากปริมาณเลือดที่ผมดื่มเข้าไป แต่ผมรู้ว่า ผมจะอยากขึ้นมาอีกถึงจะอิ่มแล้วก็ตาม เมื่อต้องนั่งข้างๆเธออีกครั้ง

ตัวผมเย็น นิ่ง เหมือนหินอยู่ตรงนั้น มองแม่น้ำมืดๆไหลผ่านสองฝั่งที่กลายเป็นน้ำแข็ง
คาร์ไลส์พูดถูก ผมควรจะไปจากฟอร์ค พวกเขาคงจะปล่อยข่าวเพื่ออธิบายว่าผมไปไหน ไปเรียนยุโรป ไปเยี่ยมญาติ วัยรุ่นหนีออกจากบ้าน เรื่องอะไรก็ได้ คงจะไม่มีคนสงสัยอะไรหรอก

อีกแค่สองปี แล้วเธอก็จะหายไป ไปดำเนินชีวิตของเธอ เธอมีชีวิตต้องดำเนินนี่นา เธอคงจะเข้ามหาวิทยาลัย อายุมากขึ้น ทำงาน อาจจะแต่งงานกับใครซักคน ผมนึกภาพออก ผมเห็นเธอใส่ชุดขาวเดินคล้องแขนพ่อ เดินเป็นจังหวะไปตามทางเดิน
แปลกครับ ภาพนั้นทำให้ผมรู้สึกเจ็บ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมอิจฉาเหรอ? เพราะเธอมีอนาคตที่ผมมีไม่ได้? ไร้สาระ มนุษย์ทุกคนที่ผมเคยรู้จักก็เป็นยังงี้ทั้งนั้นแหละ มีชีวิต แต่ผมไม่เห็นจะเคยอิจฉาใคร

ผมควรจะปล่อยให้เธอมีอนาคต เลิกทำให้เธอต้องเสี่ยงชีวิต นั่นน่ะคือสิ่งที่ถูกต้อง นั่นน่ะคือสิ่งที่ควรจะทำ คาร์ไลส์เลือกสิ่งที่ถูกเสมอ ผมควรจะฟังเขา

ดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่ด้านหลังก้อนเมฆ แสงจางๆสะท้อนบนพื้นน้ำแข็ง

วันเดียว ผมตัดสินใจ เจอเธออีกครั้งเดียว ผมจัดการได้ บางทีผมอาจจะเกริ่นๆเรื่องที่ผมจะไปแล้ว แต่งเรื่องขึ้นมาก็ได้

คงไม่ง่าย ผมรู้สึกได้ถึงความลังเลอย่างรุนแรง ผมกำลังพยายามหาข้ออ้างเพื่ออยู่ต่อ เพื่อขยายเวลาหนึ่งวัน ให้เป็นสองวัน สามวัน สี่วัน... แต่ผมจะต้องทำสิ่งที่ถูกต้อง ผมรู้ว่าผมเชื่อคำแนะนำของคาร์ไลส์ได้ ผมรู้ว่าตัวผมคนเดียวคิดขัดกันเกินกว่าจะตัดสินใจได้
ขัดกันมากจริงๆครับ อาการลังเลนี่ มาจากความอยากรู้ของผมเท่าไหร่ มาจากความอยากดื่มเลือดเธอเท่าไหร่นะ?

ผมเข้าบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าไปโรงเรียน
อลิสกำลังคอยผมอยู่ เธอนั่งที่บันไดขั้นบนสุดที่ขึ้นชั้นสาม
'เธอจะไปอีกแล้ว' เธอบอก
ผมถอนหายใจแล้วก็พยักหน้า
'หนนี้ฉันยังไม่เห็นว่าเธอจะไปไหน?'
"ฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะไปไหน" ผมกระซิบ
'ฉันอยากให้เธอยู่ต่อ'
ผมส่ายหน้า
'ให้ฉันกับแจสไปด้วยนะ?'
"พวกเขาต้องการเธอมากกว่านะถ้าไม่มีฉันอยู่ช่วยแล้ว ไหนจะเอสเม่อีก จะให้เธอเสียครอบครัวกว่าครึ่งไปในคราวเดียวเลยเหรอ?"
'เธอคงเศร้าน่าดูที่เธอไป'
"ฉันรู้ เธอถึงต้องอยู่ไง"
'ไม่เหมือนกับที่เธออยู่หรอกน่า เธอก็รู้'
"รู้ แต่ฉันต้องทำให้มันถูกต้อง"
'แต่ที่ถูกก็มีตั้งหลายวิธี แล้วผิดก็อีกหลายวิธี ใช่ไหมล่ะ'

จังหวะนั้นเธอก็เปลี่ยนเป็นท่านั่งทางใน ผมเองก็เห็นพร้อมๆกับเธอ เมื่อภาพต่างๆวิ่งเข้ามาในหัวเธอ ผมเห็นตัวเองกับเงาแปลกๆที่ผมดูไม่ออก เหมือนมีหมอกคลุม ภาพไม่ชัด แล้วจู่ๆก็เป็นภาพผมอยู่ที่ทุ่งหญ้าเล็กๆ ผิวของผมกำลังส่องแสงเป็นประกายใต้แสงแดด ผมรู้จักที่นั่น มีร่างนึงอยู่ที่ทุ่งหญ้านั้นกับผม แต่อีกครั้งที่ภาพดูไม่ปะติดปะต่อ ไม่ชัดพอจะจำได้
ภาพสั่นๆแล้วก็หายไป ทางเลือกเป็นล้านๆของผมเปลี่ยนแปลงอนาคตของผมอีกครั้ง
"ฉันไม่ค่อยเข้าใจพวกมันเท่าไหร่" ผมบอกเธอหลังจากภาพในหัวเธอมืดลง
'ฉันก็เหมือนกัน อนาคตเธอเปลี่ยนไปเปลี่ยนเปลี่ยนมา บ่อยเสียจนฉันก็จับอะไรไม่ได้ แต่ฉันว่า....'
เธอหยุด แล้วเริ่มไล่ๆดูภาพอนาคตของผมที่เธอเห็นช่วงหลังๆนี้ พวกมันดูเหมือนกันทั้งหมด เบลอแล้วก็ไม่ชัดเจน
"ฉันว่ามีอะไรเปลี่ยนนะ" เธอพูดเสียงดัง "ดูเหมือนชีวิตเธอกำลังอยู่ที่ทางแยก"
ผมหัวเราะเศร้าๆ "รู้ใช่ไหมว่าเธอกำลังพูดเหมือนพวกยิปซีตลกๆตามงานวัดเลย?"
เธอแลบลิ้นใส่ผม
"แต่วันนี้โอเคใช่ไหม" ผมถาม น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นกังวลขึ้นมา
"ฉันไม่เห็นเธอฆ่าใครนะ" เธอบอก
"ขอบใจนะอลิส"
"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ฉันจะไม่บอกใครนะ ไว้เธอบอกพวกเขาเองตอนเธอพร้อม"

เธอยืนขึ้นแล้วเดินลงบันไดมา เธอห่อไหล่เล็กน้อย
'คิดถึงเธอขึ้นมาแล้วล่ะ'
ครับ ผมก็คงจะคิดถึงเธอเหมือนกัน

เช้านั้นเราขับรถไปโรงเรียนกันเงียบๆ แจสเปอร์รู้สึกได้ว่าบางอย่างกำลังทำให้อลิสเศร้า แต่เขารู้ว่าถ้าอลิสอยากเล่าเธอก็คงจะเล่าไปแล้ว เอ็มเม็ตต์กับโรสซารี่ไม่รู้เรื่อง พวกเขากำลังอยู่ในภวังค์ มองตากันด้วยความชื่นชม -- มองจากคนนอกแล้วอยากจะอาเจียน พวกเรารู้ล่ะครับ ว่าพวกเขารักกันปานจะกลืนแค่ไหน บางทีอาจจะเป็นเพราะผมรู้สึกขมขื่น เพราะว่ามีแต่ผมเท่านั้นที่ไม่มีใคร มีบางวันล่ะครับ ที่มันยากกว่าวันอื่นๆเวลาต้องอยูท่ามกลางคู่รักที่เหมาะสมกันสามคู่ นี่ก็อีกวันนึงล่ะครับ

บางทีพวกเขาคงจะสุขกว่านี้ถ้าไม่มีผมอยู่ด้วย ผมที่คงจะดูอารมณ์เสียเหมือนคนแก่ในตอนนี้
แน่นอนว่าพอถึงโรงเรียน สิ่งแรกที่ผมทำคือมองหาเธอคนนั้น เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมเท่านั้นล่ะครับ

น่าขายหน้าที่จู่ๆชีวิตผมก็ดูจะว่างเปล่า..ไม่มีอะไร มีแต่เธอ ชีวิตของผมกลายเป็นว่าไปจดจ่อที่เธอ ไม่ใช่ที่ผมอีกต่อไปแล้ว
ที่จริงมันก็เข้าใจได้ไม่ยากนะ หลังจากทำอะไรเดิมๆซ้ำๆมา 80 กว่าปี มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงเข้าหน่อยก็ต้องมีแบบนี้บ้าง

เธอยังมาไม่ถึง แต่ผมได้ยินเสียงรถเธอดังกระหึ่มอยู่ไกลๆ ผมยืนพิงรถรออยู่ อลิสรออยู่กับผม ขณะที่คนอื่นเดินเข้าห้องเรียนไปก่อน พวกเขาเบื่อกับความหมกมุ่นของผม พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์คนนึงถึงได้ดึงความสนใจผมได้นานขนาดนี้ถึงเธอจะมีกลิ่นน่ากินแค่ไหนก็เถอะ

เธอเริ่มขับเข้ามาช้าๆ ตาเธอจ้องถนนแล้วมือก็จับพวงมาลัยแน่น ดูเธอกังวลกับอะไรซักอย่างอยู่ ผมใช้เวลาหนึ่งวินาทีทำความเข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร ดูเหมือนวันนี้มนุษย์ทุกคนมีอาการเดียวกัน น้ำแข็งทำถนนลื่นครับ ทุกคนเลยขับรถกันอย่างระมัดระวัง แสดงว่าเธอจริงจังกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในวันนี้

และนั่นก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับบุคลิกเล็กๆน้อยๆของเธอที่ผมรู้ ผมเพิ่มสิ่งเล็กๆน้อยๆนี้เข้าไปในลิสต์ของผม:เธอเป็นคนจริงจังและเป็นคนมีความรับผิดชอบ
เธอจอดรถไม่ห่างจากผมเท่าไหร่ เธอยังไม่ทันเห็นผม ยังไม่เห็นว่าผมจ้องเธออยู่ ผมอยากรู้ว่าเธอจะทำยังไงถ้าเห็น? เธอจะหน้าแดงแล้วเดินหนีไปหรือเปล่า? ผมเดาว่ายังงั้นก่อน แต่บางทีเธออาจจะจ้องกลับ บางทีเธออาจเดินมาคุย

ผมสูดลมหายใจ เติมลมเข้าปอดไว้อย่างมีความหวัง เผื่อไว้ก่อน

เธอก้าวออกจากรถอย่างระมัดระวัง เช็คก่อนว่าพื้นลื่นไหมก่อนจะเหยียบเต็มเท้า เธอไม่หันมาเลย นั่นทำให้ผมหงุดหงิด ผมอาจจะเดินไปคุยกับเธอเอง...
ไม่ได้ ทำอย่างนั้นไม่ถูก
แทนที่จะเดินเข้าห้องเรียน เธอกลับเดินไปที่ท้ายรถ เกาะตัวรถเดินด้วยท่าทางตลกๆ เหมือนเธอไม่เชื่อใจเท้าตัวเอง ท่าเดินแบบนั้นทำให้ผมยิ้ม และผมรู้สึกได้ว่าอลิสกำลังมองหน้าผมอยู่ ผมไม่ได้ฟังว่าเธอคิดอะไรกับผมบ้างในตอนนี้ ผมกำลังสนุกกับการมองเธอคนนั้น เธอกำลังเช็คโซ่ที่ใช้ขับบนน้ำแข็งที่ล้อรถ เธอทำท่าเหมือนจะล้มโดยดูจากเท้าเธอที่ลื่นไปลื่นมา ไม่เห็นคนอื่นๆจะเป็นอะไร นี่เธอจอดตรงที่น้ำแข็งเยอะสุดหรือไงนะ?
เธอหยุดอยู่ตรงนั้น มองพื้นด้วยสีหน้าแปลกๆ แบบ..กำลังตื้นตัน? เหมือนว่ายางรถยนต์ทำให้เธออารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาอย่างนั้นล่ะ?

อีกครั้งที่ความอยากรู้ทำให้ผมเจ็บปวดเหมือนตอนกระหาย เหมือนกับผมต้องรู้ให้ได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่... เหมือนกับอย่างอื่นๆน่ะช่างมันก่อน ผมจะเข้าไปคุยกับเธอ ดูเหมือนเธออยากได้คนช่วยพอดี อย่างน้อยก็จนกว่าจะเดินพ้นพื้นลื่นๆไปก่อน แต่แน่ละ ผมเสนอตัวเองให้ช่วยเธอไม่ได้ ผมลังเล เจ็บปวด เท่าที่เห็นนะเธอไม่ชอบหิมะ สัมผัสจากมือเย็นเยียบของผม คงทำให้เธอไม่ต้อนรับเหมือนกัน ผมน่าจะใส่ถุงมือมา--
"ไม่นะ!!" อลิสร้อง
ผมรีบเช็คความคิดเธอทันที ผมเดาว่า ผมคงเลือกทางออกแย่ๆแล้วเธอก็เห็นผลเลวๆของมัน แต่ที่กำลังเห็นอยู่นี่มันไม่ได้เกี่ยวกับผมเลย
ไทเลอร์ โครว์ลี่ย์เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถด้วยความเร็ว เขาต้องห้ามล้อบนพื้นน้ำแข็ง...

ภาพนั้นเกิดขึ้นก่อนของจริงราวครึ่งวินาที รถของไทเลอร์เข้าโค้งมาขณะที่ผมยังดูอยู่ว่ามันจะจบลงยังไง อลิสถึงได้ตกใจขนาดนั้น ไม่เลยครับภาพนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวกับผม แต่มันจะต้องเกี่ยวกับผม เพราะรถของไทเลอร์... ที่ล้อกำลังไถลพื้นน้ำแข็ง กำลังทำมุมที่อันตรายมาก มันกำลังจะหมุนข้ามลานจอดรถแล้วเข้ามาชนเธอที่ดันกลายมาเป็นจุดสำคัญในโลกของผมทั้งที่ผมก็ไม่ได้เชิญ

แม้จะไม่มีภาพจากอลิส แต่ก็ดูไม่ยากจากวิถีวิ่งของรถ ว่าไทเลอร์เอาไม่อยู่แล้ว
เธอคนนั้นที่อยู่ไม่ถูกที่ เงยหน้าจากด้านหลังรถปิคอัพด้วยสีหน้าแปลกใจที่ได้ยินเสียงล้อรถบดพื้นยังงั้น เธอหันมาสบตาผมที่กำลังตกใจแป๊บนึง ก่อนจะหันไปทางสิ่งที่กำลังทำให้เธอถึงตายได้

ไม่ใช่เธอ! เสียงตะโกนในหัวของผมเหมือนดังมาจากคนอื่น
ในหัวของอลิสภาพเปลี่ยนไปแต่ผมไม่ทันได้ดูว่าเป็นยังไง

ผมวิ่งข้ามลาน เอาตัวเข้าขวางระหว่างรถที่กำลังเบรคกับเธอที่กำลังยืนตัวแข็ง ผมเคลื่อนที่เร็วจนภาพรอบข้างเบลอไปหมด มีชัดก็แต่สิ่งที่ผมกำลังโฟกัสอยู่เท่านั้น เธอไม่ทันเห็นผม -- ไม่มีมนุษย์คนไหนมองทันที่ผมลอยข้ามมา เธอมองรถที่กำลังจะอัดร่างเธอเข้ากับท้ายรถตัวเอง
ผมคว้าเธอที่เอว เคลื่อนที่เร็วและทำให้นุ่มนวลที่สุดเท่าที่เธอจะรับได้ ในเศษหนึ่งส่วนร้อยวินาทีนั้น จากที่ผมดึงเธอออกไปจากเส้นทางมรณะ จนถึงจังหวะที่ผมล้มกระแทกพื้นพร้อมกับเธอ ผมระลึกตลอดว่าเธอบอบบางและแตกหักได้ง่ายแค่ไหน

พอได้ยินเสียงหัวเธอกระแทกน้ำแข็งเท่านั้นผมก็รู้สึกตัวเย็นเป็นน้ำแข็ง แต่ผมไม่มีเวลาดูว่าเธอเป็นไงบ้าง เสียงรถตู้ข้างหลังเรายังดังอยู่ มันกำลังเบียดชนเข้ากับตัวถังแข็งๆของรถปิคอัพ แล้วมันก็เปลี่ยนทิศ ไถลโค้งมาทางเธออีกครั้ง -- เหมือนเธอเป็นแม่เหล็ก ดึงรถตู้ให้มาทางเรา

คำที่ผมไม่เคยพูดเวลาอยู่ต่อหน้าสุภาพสตรีหลุดออกจากปากผม

ผมทำเยอะเกินไปแล้ว ที่เมื่อกี้แทบจะบินข้ามมาดึงเธออกไปน่ะผมก็รู้ตัวนะว่าผมกำลังทำผิดพลาด ผมกำลังเสี่ยง ไม่ใช่ผมคนเดียวด้วย แต่ทั้งครอบครัวเลย

เสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตน

ถึงจะเรื่องเสี่ยงนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะไม่มีทางเลยที่ผมจะปล่อยให้รถตู้คันนี้ฆ่าเธอสำเร็จในความพยายามหนที่สองนี้

ผมปล่อยเธอแล้วยื่นแขนออกไป จับรถตู้ไว้ก่อนที่มันจะชนเธอ แรงของรถดันผมถอยหลังไปชนกับรถที่จอดข้างๆรถเธอ ผมรู้สึกว่ารถคันนั้นบุบเพราะไหล่ของผม รถตู้สั่นเพราะแรงต้านของผมก่อนมันจะส่ายไปส่ายมาเพื่อหาสมดุลบนล้อสองข้าง

ถ้าผมปล่อยมือ ล้อรถคงจะตกลงมาทับขาเธอเข้าพอดิบพอดี
ให้ตายเถอะ สิ่งศักด์สิทธ์ทั้งหลาย หายนะนี่จะไม่จบไม่สิ้นเลยหรือไง? ยังจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกเหรอ? ผมนั่งอยู่อย่างนี้ไม่ได้ นั่งยกรถตู้อยู่อย่างนี้รอให้คนมาช่วยไม่ได้ ขว้างรถนี่ออกไปก็ไม่ได้ ไหนจะคนขับอีก ตอนนี้เขากำลังตื่นตระหนกสุดขีด
ผมฮึดอยู่ข้างในแล้วผลักรถให้กระเด็นออกจากเราครู่หนึ่ง พอมันตกลงมา ผมก็ใช้มือขวารับตัวถังไว้ขณะแขนซ้ายโอบเอวเธอไว้แนบร่างผมแล้วพาเธอออกจากใต้รถ ร่างเธออ่อนปวกเปียกตอนที่ผมดึงเธอเข้ามา --เธอหมดสติหรือเปล่านะ? ที่ผมเข้ามาช่วยแบบไม่ได้ตั้งตัวอย่างนี้ ทำให้เธอเจ็บแค่ไหนนะ?

ตอนนี้ผมปล่อยมือจากรถได้ เพราะมันจะไม่โดนเธอแล้ว รถกระแทกฟุตบาทพร้อมๆกับที่กระจกทุกบานแตก
ผมรู้ ตอนนี้ผมกำลังวิกฤต เธอเห็นแค่ไหนนะ? คนอื่นๆจะเห็นไหมว่าจู่ๆผมก็มาอยู่ข้างเธอ แล้วก็เล่นกลกับรถเพื่อไม่ให้เธอโดนทับ? ผมควรจะห่วงคำถามเหล่านี้

แต่ผมกังวลเกินกว่าจะห่วงเรื่องการเปิดเผยตัวตน ตื่นกลัวเกินไปว่าผมอาจทำให้เธอเจ็บเพราะผมพยายามช่วยเธอ ตกใจเกินไปที่เธออยู่ใกล้ขนาดนี้ ผมอาจได้กลิ่นเธอถ้าผมเกิดหายใจเข้า รู้สึกถึงความร้อนมากเกินไป ร่างเธอติดกับผม แม้จะผ่านเสื้อกันหนาวของเราทั้งคู่ แต่ผมก็ยังรู้สึกถึงความร้อน...

แต่ความกลัวแรกชนะ เมื่อผมได้ยินเสียงผู้เห็นเหตุการณ์รอบๆเรา ผมโน้มตัวมาดูหน้าเธอ ดูว่าเธอยังมีสติอยู่ไหม ผมหวังเหลือเกินว่าเธอจะไม่เลือดออก
เธอลืมตาอยู่ จ้องผมด้วยอาการช้อค
"เบลล่า?" ผมเรียกเธอ "เป็นไงบ้าง?"
"ฉันไม่เป็นไร" เธอพูดด้วยน้ำเสียงงงๆ
โล่ง..สุดๆจนแทบจะกลายเป็นเจ็บปวด ความโล่งอกแผ่ไปทั่วร่างเพราะเสียงของเธอ ผมสูดหายใจเข้าทางปากแล้วก็ไม่สนใจความร้อนที่ก่อขึ้นในลำคอ เกือบยินดีที่รู้สึกยังงั้นด้วยซ้ำ
เธอพยายามลุกขึ้นแต่ผมยังไม่พร้อมจะปล่อยเธอ มันดูจะ..ปลอดภัยกับเธอกว่า อยู่ข้างๆผม ดีกว่า อย่างน้อยก็นะ
"ระวังหน่อย" ผมเตือนเธอ "ฉันว่าหัวเธอฟาดพื้นแรงเอาการ"

ไม่มีกลิ่นเลือดสดๆ --ขอบคุณสวรรค์ แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าข้างในเธอจะไม่เป็นไร ผมกังวลขึ้นมาทันทีและอยากให้เธอถึงมือคาร์ไลส์จะได้เอ๊กซเรย์ดู
"โอ้ว" เธอพูด น้ำเสียงเธอช้อคแบบตลกๆ เมื่อรู้ว่าผมพูดถูกเรื่องหัวเธอฟาดพื้น
"ก็ว่างั้นแหละ" เพราะความโล่ง ผมเลยขำออก เหมือนคนดีใจจนกลั้นไม่อยู่
"เป็นไป..." เสียงเธอหายไป เธอกระพริบตา "ทำไมถึงมาตรงนี้ได้ไวขนาดนี้?"
ความโล่งเปลี่ยนเป็นความขม อารมณ์ขันหายวับ เธอเห็นอะไรๆเยอะเลยครับ

พอเห็นว่าเธอไม่เป็นไรแล้ว ความกังวลเรื่องครอบครัวก็เริ่มรุนแรงขึ้น
"ฉันก็อยู่ข้างๆเธอนี่ เบลล่า" ผมรู้จากประสบการณ์ว่า ถ้าเราทำท่ามั่นใจเวลาโกหกก็จะทำให้น่าสงสัยน้อยลง
เธอพยายามขยับอีกครั้ง คราวนี้ผมปล่อย ผมต้องหายใจเพราะต้องเล่นให้สมบทบาท ผมต้องการห่างจากความร้อนในเลือดอุ่นๆของเธอ กันไม่ให้มันรวมหัวกับกลิ่นของเธอ แล้วมาทำให้ผมเขวได้ ผมเลื่อนตัวออกจากเธอให้ไกลที่สุดในที่แคบๆระหว่างซากรถ
เธอจ้องหน้าผมและผมก็จ้องกลับ หลบตาก่อนคือสิ่งที่พวกโกหกไม่เก่งชอบทำ และผมก็ไม่ใช่คนโกหกไม่เก่งซะด้วย สีหน้าผมเรียบเฉย อ่อนโยน... ดูเหมือนเธอจะกำลังสับสน นั่นก็ดีแล้ว
คนมารุมล้อมแล้วตอนนี้ นักเรียนส่วนใหญ่ เด็ก ต่างทั้งผลักทั้งดันชะเง้อมองหาว่ามีร่างเละๆอยู่ข้างใต้รถไหม ในหัวของพวกเขามีทั้งเสียงตะโกนและความรู้สึกตกใจ ผมตรวจสอบความคิดทั้งหลายทันที เพื่อหาว่ามีใครสงสัยอะไรไหม แล้วก็กันความคิดทั้งหลายออกไป หันมาสนใจที่เธอเท่านั้น
เธอกำลังเขวกับความโกลาหลที่เกิดขึ้น เธอมองไปรอบๆ สีหน้ายังตกใจและพยายามลุกขึ้นยืน
ผมกดเธอที่ไหล่ไม่ให้ลุก
"อยู่นิ่งๆก่อน" เธอดูโอเค แต่เธอควรขยับคอแล้วเหรอ? อีกครั้งที่ผมคิดถึงคาร์ไลส์ ช่วงเวลาที่ผมร่ำเรียนหมอมาเทียบไม่ได้กับประสบการณ์ในการรักษาคนมากว่า 100 ปีของเขา
"แต่มันหนาวนี่" เธอค้าน
เธอเกือบโดนรถทับตายสองหน กับเกือบขาพิการอีกหนึ่งหน แต่เธอกลับมากลัวเรื่องหนาวเนี่ยนะ ผมหัวเราะก่อนจำได้ว่าสถาการณ์ไม่ได้น่าขำซักหน่อย
เบลล่ากระพริบตา แล้วตาเธอก็มาโฟกัสที่หน้าผม "เธออยู่ตรงโน้น"
นั่นทำให้ผมเศร้าอีกครั้ง
เธอเหลือบตาไปทางใต้ แต่ตอนนี้มองไม่เห็นอะไรนอกจากด้านข้างของรถตู้ที่พังยับ "ยืนอยู่ข้างรถ"
"ไม่ใช่"
"ฉันเห็นเธออยู่นั่น" เธอยืนยัน ทำน้ำเสียงเหมือนเด็กๆเวลาเธอดื้อ เธอยื่นคางมาข้างหน้าด้วย
"เบลล่า ฉันยืนอยู่ข้างเธอ แล้วก็ดึงเธอออกมา"
ผมมองลึกๆเข้าไปในตาของเธอ พยายามทำให้เธอเชื่อว่าเวอร์ชั่นของผมเป็นเวอร์ชั่นเดียวที่เป็นไปได้
เธอกัดฟัน "ไม่ใช่"
ผมพยายามสงบไม่ตื่นตระหนก ถ้าทำให้เธอไม่โวยวายซักพักก่อน ให้ผมได้จัดการทำลายหลักฐานก่อน...แล้วทำให้เรื่องที่เธอเล่าดูน่าเชื่อน้อยลง เพราะเธอได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
ทำให้เธอ ผู้กุมความลับคนเงียบๆคนนี้ ไม่ปากโป้งน่าจะง่ายกว่าไหม? เพียงเธอเชื่อใจผม อย่างน้อยก็ซักพัก...
"เบลล่า ได้โปรด" ผมพูด น้ำเสียงผมจริงจัง จู่ๆผมก็รู้สึกอยากให้เธอเชื่อใจผม อยากมาก..แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวกับเฉพาะเหตุการณ์นี้เท่านั้น
ความต้องการโง่ๆ เรื่องอะไรเธอถึงจะมาเชื่อใจผม?
"ทำไม?" เธอถาม เธอยังไม่ยอม
"เชื่อใจฉันได้ไหม" ผมขอ
"สัญญานะว่าจะเล่าให้ฉันฟังทีหลัง?"
ผมโกรธที่ต้องโกหกเธอในขณะที่ผมหวังให้เธอเชื่อใจแบบนี้ ผมเลยแค่ตอบๆไป
"ก็ได้"
"ก็ดี" เธอตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกับผม

เมื่อทีมช่วยชีวิตเริ่มเข้ามา (พวกผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่ถูกเรียกตัวมา เสียงรถหวอดังมาแต่ไกล) ผมพยายามไม่สนใจเธอ แล้วหันมาจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆให้ถูกต้อง ผมตรวจสอบทุกความคิดในลานจอดรถ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ และคนที่มาถึงทีหลัง ผมไม่พบอันตรายใดๆ หลายคนแปลกใจที่เห็นผมอยู่ตรงนี้ข้างๆเบลล่า แต่ทุกคนก็สรุปว่าพวกเขาคงไม่ทันสังเกต ว่าผมยืนอยู่กับเธอก่อนเกิดอุบัติเหตุ เพราะไม่มีคำอธิบายอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว

มีเธอคนเดียวที่ไม่ยอมรับคำอธิบายง่ายๆนี้ แต่เธอจะถูกมองว่าเป็นพยานที่น่าเชื่อถือน้อยที่สุด เธอตกใจอย่างแรง กระทบจิตใจด้วย นี่ยังไม่รวมที่เธอได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอีกนะ เผลอๆอาจจะช้อคด้วย คนคงจะคิดว่าที่เธอเล่ามันก็แค่เพราะเธอสับสน แล้วก็ไม่ให้เครดิตเธอมากเท่ากับผู้เห็นเหตุการณ์คนอื่นๆที่มีอีกตั้งหลายคน

ผมสะดุ้งเมื่อจับความคิดของโรสซาลี่ แจสเปอร์และเอ็มเม็ตต์ได้ ดูท่าว่าเย็นนี้ผมคงจะโดนหนักแล้วล่ะ

ผมอยากแก้รอยบุบข้างรถสีแทนที่ไหล่ผมไปชนครับ แต่เธออยู่ใกล้ผมเกินไป ผมต้องรอจนกว่ามีอะไรอย่างอื่นมาทำให้เธอเขว

เซ็งครับที่ต้องรอ... ตาหลายคู่กำลังมองผมขณะที่พวกมนุษย์กำลังสาละวนดึงรถตู้ให้ออกห่างจากเรา ผมน่าจะช่วยได้ มันจะได้เสร็จไวๆ แต่วันนี้ผมมีปัญหากับสายตาคมๆของเธอมามากพอแล้วล่ะ สุดท้ายพวกเขาก็ยกรถออกไปได้ห่างพอให้ทีมช่วยชีวิตเอาเปลหามเข้ามาได้

คนผมหงอกหน้าที่ผมคุ้นเคยเช็คสภาพผม
"เป็นไง เอ็ดเวิร์ด" เบรท วอร์เนอร์พูด เขาเป็นบุรุษพยาบาล ผมรู้จักเขาดี โชคดีครับ โชคดีเดียวของวันนี้ ที่ได้เขาเข้ามาถึงเราเป็นคนแรก "ไอ้หนู โอเคไหม?"
"เพอร์เฟ็คฮะ ผมไม่โดนอะไรเลย แต่เบลล่านี่น่ามีอะไรกระทบกระเทือน หัวเธอกระแทกตอนผมดึงเธอออกจากทาง..."
เบรทหันไปทางเธอ ที่กำลังมองผมโกรธๆเหมือนโดนผมหักหลัง โอ้...ใช่แล้ว เธอเป็นพวกเจ็บคนเดียว -- เธอชอบทุกข์ทรมานอยู่เงียบๆของเธอคนเดียว

แต่เธอก็ไม่ได้แย้งเรื่องที่ผมเล่า ซึ่งก็ทำให้มันง่ายขึ้นกับผม

เจ้าหน้าที่อีกคนพยายามยืนยันว่าผมก็ต้องไปตรวจเหมือนกัน แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะปฏิเสธ ที่ผมสัญญาว่าจะให้พ่อตรวจทีหลัง เขาเลยหยุดสนใจผม กับมนุษย์ส่วนมาก พวกเขาก็แค่อยากได้ยินอะไรที่เชื่อถือ มนุษย์ส่วนมาก ยกเว้นเธอคนนี้ ใช่แล้ว นี่เธอไม่เข้ากับแบบแผนทั่วๆไปของมนุษย์เลยหรือไง?

พอพวกเขาเอาเฝือกใส่คอให้ เธอก็หน้าแดงก่ำด้วยความอาย จังหวะนั้นผมเลยได้โอกาสใช้เท้าจัดการกับรอยบุบของรถสีแทนข้างๆเราซะ มีแต่พี่น้องผมเท่านั้นที่ทันเห็นว่าผมทำอะไรลงไป ผมได้ยินเสียงในหัวเอ็มเม็ตต์ เขาบอกว่าเดี๋ยวเขาจัดการที่เหลือให้

ผมซึ้งใจที่เขาช่วย มากกว่านั้นคือซึ้งใจที่เขายกโทษให้แล้วที่ผมทำอะไรเสี่ยงๆ ผมสบายใจขึ้นขณะก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหน้าของรถพยาบาลข้างๆเบรท

หัวหน้าตำรวจมาถึงก่อนที่พวกเขาจะยกเบลล่าขึ้นท้ายรถพยาบาล

แม้ความคิดของหัวหน้าตำรวจจะไม่เป็นคำๆ แต่ความกลัวและความห่วงฟุ้งอยู่รอบๆตัวเขา แทบจะกลบความคิดของคนอื่นๆแถวนั้นไปหมด ความกังวลและความรู้สึกผิดขยายขึ้นเมื่อเห็นลูกสาวคนเดียวนอนอยู่ในเปล

ความรู้สึกที่กำลังไหลท่วมเขาเอ่อมาถึงผมด้วยครับ ผมนึกถึงที่อลิสเคยเตือนว่า ฆ่าลูกสาวของหัวหน้าสวอนก็เหมือนฆ่าเขาไปด้วย อลิสไม่ได้พูดอะไรที่มันเกินเลยจริงๆครับ
ผมคอตกด้วยความสำนึกผิดขณะฟังเสียงตกใจของเขา
"เบลล่า!" เขาตะโกน
"ชาร์- พ่อ หนูสบายดีมาก" เธอถอนหายใจ "หนูไม่เจ็บตรงไหนเลย"

เขาเริ่มรู้สึกดีขึ้น เขาหันไปทางเจ้าหน้าที่เพื่อขอข้อมูลเพิ่ม
กระทั่งเขาพูดออกมานั่นแหละ ผมถึงได้รู้ว่าความตกอกตกใจ ความเป็นห่วงของหัวหน้าตำรวจไม่ใช่ไม่เป็นคำพูด จริงๆแล้ว...ผมต่างหากที่ไม่ได้ยินเอง
ฮืม ชาร์ลี สวอนไม่ได้เงียบกริบเหมือนลูกสาว แต่ผมก็พอจะเข้าใจว่าเธอได้ความสามารถนี้มาจากไหน ... น่าสนใจ

ผมไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับหัวหน้าตำรวจของเมืองเท่าไหร่ ผมเคยคิดว่าเขาเป็นคนที่คิดอะไรช้าๆ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว ผมเองที่เป็นคนช้า... ความคิดของเขาเปิดเป็นบางส่วน แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย ผมจับได้แค่แนว ทิศทางของความคิดเท่านั้นเอง...

ผมอยากลองตั้งใจฟัง เผื่อจะเจออะไรๆที่เอาไปไขความลับของเธอผู้นี้ได้ แต่จังหวะนั้นเบลล่าถูกยกขึ้นรถเสียก่อนแล้วรถก็เริ่มขยับ

ยากครับที่ผมจะไม่ผมสนใจ ยากที่ผมจะเลิกคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะไขความลึกลับที่ผมหมกมุ่นอยู่นี้ทิ้งไปเสีย แต่ตอนนี้ ผมควรจะต้องทบทวนว่าวันนี้ผมทำอะไรลงไปบ้างจากทุกแง่มุม ผมต้องฟังเพื่อให้รู้ว่ามีอะไรบ้างไหม ที่ทำให้พวกเราต้องย้ายหนีไปอย่างรีบเร่ง ผมต้องมีสมาธิ

ความคิดของเจ้าหน้าที่ทุกคนไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เท่าที่เห็น พวกเขาเห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก ยิ่งไปกว่านั้น จนถึงตอนนี้เบลล่าก็ไม่ได้บอกใครๆ ว่าที่ผมเล่าน่ะไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ

สิ่งแรกที่ผมต้องทำพอถึงโรงพยาบาลคือต้องเจอคาร์ไลส์
ผมรีบเดินผ่านประตูอัตโนมัติ แต่ก็ยังไม่วายเป็นห่วงเบลล่า ผมเลยจูนฟังความคิดของเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาดูแลเธอ

หาความคิดพ่อไม่ยากครับ เขาอยู่ในห้องทำงานเล็กๆ อยู่คนเดียวซึ่งถือเป็นโชคดีที่สองของวันนี้
"คาร์ไลส์"
เขาได้ยินว่าผมกำลังมา และก็ตกใจที่เห็นผม เขาลุกขึ้นทันที หน้าขาวซีด เขาโน้มตัวมาด้านหน้าเหนือโต๊ะสีวอลนัทที่ถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย
'เอ็ดเวิร์ด ลูกไม่ได้...'
"ไม่ฮะ ไม่ใช่ยังงั้น"
เขาสูดลมหายใจ 'นั่นสินะ ขอโทษนะที่พ่อคิดแบบนั้นอยู่เรื่อย ตาของลูกก็บอกอยู่ พ่อควรจะรู้...' เขามองตาที่ยังเป็นสีทองของผมด้วยความโล่งใจ
"แต่เธอบาดเจ็บฮะ อาจจะไม่รุนแรง แต่ก็..."
"เกิดอะไรขึ้น?"
"อุบัติเหตุโง่ๆ เธออยู่ผิดที่ผิดเวลา ถ้าผมไม่อยู่แถวนั้น รถคงจะขยี้เธอไปแล้ว..."
'ขออีกที พ่อไม่เข้าใจ ลูกไปเกี่ยวอะไรด้วย?'
"น้ำแข็งทำให้รถตู้ลื่น" ผมกระซิบ มองที่ผนังด้านหลังขณะเล่าเรื่องให้เขาฟัง แทนที่ผนังด้านหลังจะมีใบประกาศอาชีพหมอเยอะแยะของเขาติดอยู่ เขากลับแขวนภาพวาดสีน้ำมันธรรมดาๆ ภาพโปรดของเขาโดยฮัสซัม
"เธออยู่ในเส้นทางรถพอดี อลิสมองเห็น ผมไม่มีเวลาทำอย่างอื่น ได้แต่วิ่งข้ามลานจอดมาแล้วก็ดึงเธอให้พ้นทาง ไม่มีใครเห็น...ยกเว้นเธอ จากนั้นผมก็ต้องหยุดรถนั่นอีก แต่ก็ไม่มีคนทันเห็นเหมือนกัน .. นอกจากเธอ ... ผม...ขอโทษคาร์ไลส์ ไม่ได้ตั้งใจทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตราย"
เขาเดินอ้อมโต๊ะมาแล้วแตะไหล่ผม
'ลูกทำถูกแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ลูกจะทำด้วย พ่อภูมิใจ เอ็ดเวิร์ด'

ผมกล้ามองตาเขาแล้วล่ะ "เธอรู้นะพ่อ ... ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล เกี่ยวกับผม"
"ไม่สำคัญหรอก ถ้าจำเป็นต้องไป เราก็ต้องไป ว่าแต่เธอเล่าอะไรไปแล้วบ้าง?"
ผมส่ายหน้า ด้วยความหงุดหงิด "ยังฮะ"
'ยังเหรอ??'
"เธอยอมให้ผมเป็นคนเล่าเหตุการณ์ แต่เธอขอให้ผมอธิบายทุกอย่างให้เธอฟังทีหลัง"
เขาขมวดคิ้ว ครุ่นคิด
"หัวเธอฟาดพื้น.. ผมทำเอง" ผมพูดต่อเร็วๆ "ผมทำเธอล้ม แรงเหมือนกัน เธอดูโอเค แต่... ผมว่า ทำให้คนไม่เชื่อเรื่องที่เธอเล่าก็ไม่น่าจะยากเท่าไหร่" ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ชายที่ชอบพูดไม่ดีถึงผู้หญิง
คาร์ไลส์รู้สึกได้ถึงความรู้สึกนั้นในน้ำเสียงผม 'บางทีเราอาจไม่ต้องทำอะไรเลย ไปดูกัน ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดูเหมือนพ่อมีคนไข้รออยู่'
"ช่วยเธอด้วยฮะ" ผมพูด "ผมกลัวว่าจะทำให้เธอเจ็บตัว"

สีหน้าของคาร์ไลส์ดีขึ้น เขาลูบผมที่สีอ่อนกว่าตาสีทองของเขาสองสามเฉด ก่อนจะหัวเราะออกมา
'ทำให้วันนี้น่าสนใจขึ้นมา ไม่ใช่เหรอ?' ในความคิดเขา ผมเห็นอาการประชดหน่อยๆ มันก็ตลกดี อย่างน้อยก็สำหรับเขา วันนี้ถือว่ามีการสลับบทบาท จังหวะนั้น ที่ผมวิ่งข้ามลานจอดรถ ผมสลับจากนักล่าเป็นผู้คุ้มครอง
ผมหัวเราะกับเขาเมื่อจำได้ว่า ผมมั่นใจ ว่าเบลล่าไม่ต้องการคนคุ้มครองจากอะไรทั้งสิ้นนอกจากอันตรายจากผมเอง แต่ในเสียงหัวเราะนั้นผมก็ยังไม่รู้สึกผ่อนคลายซะทีเดียว ถึงจะเป็นรถตู้ แต่ที่ผมว่าไว้มันก็ยังจริงอยู่ดี

ผมรอในห้องคาร์ไลส์คนเดียว ถือเป็นชั่วโมงที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ผมฟังความคิดของคนในโรงพยาบาล

ไทเลอร์ โครวลี่ย์ คนขับรถตู้ดูจะอาการหนักกว่าเบลล่า ทุกคนเลยหันไปสนใจเขา ขณะที่เธอรอคิดเอ๊กซเรย์อยู่ ความคิดคาร์ไลส์อยู่ฉากหลัง เขาเชื่อคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ช่วยชีวิต ว่าเบลล่าไม่เป็นไรมาก ผมกังวลกับตรงนี้นะแต่ผมก็เชื่อว่าคาร์ไลส์ถูก พอเธอเห็นหน้าเขา แว่บเดียวเท่านั้นแหละ เธอคงจะนึกถึงผม เพราะมีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเราทั้งครอบครัว แล้วนั่นคงจะทำให้เธอพูดอะไรออกมา

มีคนอยากคุยกับเธออย่างมากอยู่ ไทเลอร์กำลังรู้สึกผิดอย่างแรงว่าเขาเกือบฆ่าเธอ แล้วก็พูดถึงมันอยู่ได้ไม่หยุดหย่อน ผมมองสีหน้าเธอผ่านทางความคิดเขาแล้ว ผมยังดูออกเลย ว่าเธออยากให้เขาหยุดเสียที ทำไมเขาถึงดูไม่ออกนะ?

แล้วผมก็ตัวแข็ง เมื่อไทเลอร์ถามเธอว่า เธอหนีออกจากที่กำลังจะโดนชนได้ยังไง
ผมรอฟัง ไม่หายใจ เมื่อเธอดูลังเล
"เอ่อ..." เขาได้ยินเสียงเธอ จากนั้นเธอก็เงียบไปครู่ใหญ่ จนไทเลอร์สงสัยว่าที่เขาถามน่ะ ทำให้เธอสับสนขึ้นมาหรือเปล่า สุดท้ายเธอก็พูดต่อ "เอ็ดเวิร์ดดึงฉันออกมา"

ผมหายใจออก ก่อนอัตราการหายใจของผมจะเร็วขึ้น ผมไม่เคยได้ยินเธอเรียกชื่อผมมาก่อน ผมชอบเสียงที่ได้ยินครับ ถึงจะได้ยินผ่านทางความคิดไทเลอร์ก็เถอะ ผมอยากได้ยินด้วยหูของผมเองบ้าง...

"เอ็ดเวิร์ด คัลเลน" เธอพูด พอไทเลอร์นึกไม่ออกว่าเธอหมายถึงใคร รู้ตัวอีกที ผมก็ยืนอยู่หน้าประตู มือจับลูกบิด ความปรารถนาอยากเห็นหน้าเธอรุนแรงขึ้น ผมต้องบอกตัวเองว่าต้องระวังด้วย
"เขายืนอยู่ข้างๆฉัน"
"คัลเลนน่ะ?" 'หือ แปลก'
"ฉันมองไม่เห็นเขา" 'สาบานได้ ....'
"ว้าว มันเกิดไวมาก เขาเป็นอะไรหรือเปล่า?"
"ฉันก็ว่า ตอนนี้เขาก็อยู่ที่นี่แหละ แต่พวกนั้นไม่ให้เขานอนเปล"
ผมเห็นสีหน้าเธอครุ่นคิด ความสงสัยก่อตัวขึ้นในตาของเธอ แต่ความต่างที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ไทเลอร์ไม่ได้สังเกต
'เธอสวยนะเนี่ย' เขาคิด เกือบจะด้วยความแปลกใจ 'ขนาดโดนเยอะขนาดนี้ ไม่ใช่สเป๊คเท่าไหร่หรอก แต่ก็... น่าจะลองชวนเธอเดตดู อาจจะใช้เป็นข้อแก้ตัวสำหรับเหตุการณ์วันนี้ก็ได้...'

ตอนนั้นเองที่ผมออกจากห้อง ผมอยู่ที่ห้องโถง อีกครึ่งทางก็ถึงห้องผู้ป่วยฉุกเฉินแล้ว ผมไม่ได้คิดเลยว่ากำลังทำอะไรอยู่ โชคดีที่พยาบาลเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉินก่อนผม ถึงตาเบลล่าเอ๊กซเรย์พอดี ผมหลบพิงกำแพงในซอกมืดๆ หลังจากพ้นโค้งนิดเดียว ผมพยายามรวบรวมความคิดขณะเห็นเธอถูกเข็นไป

ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าไทเลอร์เห็นว่าเธอสวย ใครๆก็เห็นได้ ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องรู้สึก... ผมรู้สึกยังไงเหรอ? รำคาญหรือเปล่า? หรือโกรธจะใกล้เคียงกว่า? ไม่น่าจะเป็นไปได้แม้แต่น้อย

ผมอยู่ตรงนั้นนานเท่าที่ทนได้ แต่ผมก็หมดความอดทน แล้วเดินไปทางห้องฉายรังสี เธอถูกเข็นกลับไปที่ห้องฉุกเฉินแล้ว แต่ผมยังอยู่ตรงนี้ จังหวะที่พยาบาลหันหลังให้ ผมก็แอบมองฟิล์มเอ๊กซเรย์ของเธอ

ผมสงบลงมากเมื่อได้เห็น หัวเธอไม่เป็นอะไร ผมไม่ได้ทำให้เธอเจ็บตัว ก็ไม่เท่าไหร่
แล้วคาร์ไลส์ก็เจอผมที่นั่น

'ลูกดูดีขึ้นนะ' เขาพูด
ผมมองไปข้างหน้า เราไม่ได้อยู่กันสองคน ตรงนั้นมีคนอยู่เยอะ
'อ่า' เขาเสียบฟิล์มของเธอส่องไฟ แต่ผมไม่ต้องดูอีกหนหรอก 'เข้าใจล่ะ เธอสบายมาก ทำดีมากลูก'

น้ำเสียงรับรองของเขาก่อความรู้สึกปนๆกันในใจผม ผมคงจะดีใจแต่เขาจะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมจะทำต่อไปนี้ อย่างน้อยเขาก็จะไม่รับรองถ้าเขารู้ว่าลึกๆแล้วอะไรคือแรงกระตุ้นของผมกันแน่...
"ผมว่าจะไปคุยกับเธอหน่อย ก่อนเธอจะเจอพ่อ" ผมพึมพำ
"ทำตัวธรรมดาๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จัดการให้เรียบร้อย" ล้วนแต่เหตุผลที่ยอมรับได้ทั้งนั้น
คาร์ไลส์พยักหน้าให้ เขายังมองฟิล์มอยู่ "เข้าทีฮะ"
ผมมองดูว่าเขาสนใจอะไรอยู่
'ดูรอยช้ำๆพวกนี้สิ! ตอนเด็กๆแม่ทำเธอหล่นกี่หนกันนะ' คาร์ไลส์หัวเราะกับตัวเอง
"ผมเริ่มคิดแล้วล่ะว่าเธอเป็นคนโชคร้ายเอามากๆ อยู่ผิดที่ผิดเวลาอยู่เรื่อยเลย"
'ฟอร์คก็ผิดที่เหมือนกัน ที่มีลูกอยู่ที่นี่'
ผมสะดุ้ง
'ไปได้แล้ว จัดการให้เรียบร้อยซะ เดี๋ยวพ่อตามไป'

ผมเดินออกมาไวๆ รู้สึกผิด บางทีผมอาจจะโกหกเก่งมากที่หลอกคาร์ไลส์ได้

เมื่อมาถึงห้องฉุกเฉิน ไทเลอร์กำลังพึมพำ ยังไม่เลิกขอโทษ เธอแกล้งหลับ นอนหลับตา แต่ลมหายใจไม่สม่ำเสมอ แล้วนิ้วก็กระดิกเป็นระยะๆ

ผมมองหน้าเธอครู่ใหญ่ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นเธอ ความจริงข้อนี้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บในอก เพราะผมเกลียดการทิ้งปริศนาที่ยังแก้ไม่ได้ใช่ไหม? แต่ดูมันไม่พอจะเอามาอธิบายเท่าไหร่
จากนั้นผมก็สูดลมหายใจเข้า แล้วเดินเข้าไปข้างใน เมื่อไทเลอร์เห็นผมเขาก็อ้าปากจะพูดแต่ผมใช้นิ้วแตะปากห้ามเขาไว้
"เธอหลับอยู่เหรอ?" ผมถามเบาๆ

เบลล่าลืมตาทันทีแล้วก็มองหน้าผม เธอทำตาโตครู่หนึ่งก่อนจะหรี่ลงเพราะโกรธหรือสงสัยซักอย่าง ผมเริ่มจำได้ ว่าผมต้องเล่นตามบท ผมเลยยิ้มให้เธอเหมือนกับเช้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น -- นอกจากที่เธอได้รับบาดเจ็บที่หัวแล้วก็คิดอะไรต่อมิอะไรไปเอง

"เฮ่ เอ็ดเวิร์ด" ไทเลอร์ทัก "ฉันขอโทษที่..."
ผมยกมือขึ้นให้เขาหยุดขอโทษ "เลือดไม่ตกก็ไม่มีปัญหาหรอก" ผมตอบ โดยไม่ได้คิดไว้ก่อน ผมยิ้มกว้างเพราะขำโจ๊กของตัวเอง
มันง่ายซะจนน่าแปลกใจครับ ผมไม่สนว่าไทเลอร์นอนเลือดท่วมอยู่ใกล้ๆ ผมไม่เคยเข้าใจว่าคาร์ไลส์ทำได้ยังไง .. เขาไม่สนใจเลือดของคนไข้เพราะต้องรักษาพวกเขา ไม่ใช่ว่า ความอยากที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจะทำให้เขาเขวเหรอ? ไม่ใช่ว่า เป็นยังงั้นแล้วจะอันตรายเหรอ? แต่ตอนนี้... ผมเข้าใจแล้วว่ามันเป็นยังไง ถ้าเราเอาใจจดจ่ออยู่กับสิ่งหนึ่งให้มากพอ ความอยากเหล่านั้นก็จะไม่มีผลใดๆ
แม้จะเห็นอยู่โต้งๆ แต่เลือดของไทเลอร์ไม่มีอะไรเทียบกับเลือดของเบลล่าได้
ผมยังคงรักษาระยะห่างระหว่างผมกับเธอไว้ด้วยการนั่งลงที่ปลายเตียงของไทเลอร์
"ตกลงหมอว่ายังไง?" ผมถามเธอ
ริมฝีปากล่างของเธอยื่นออกมาเล็กน้อย "ฉันไม่เป็นอะไรเลย แต่เขายังไม่ยอมให้ฉันกลับ ทำไมเธอถึงไม่โดนมัดใส่เปลเหมือนพวกเราบ้างล่ะ?"
อารมณ์โมโหของเธอทำให้ผมยิ้ม
ตอนนี้ผมได้ยินเสียงคาร์ไลส์เดินอยู่ในห้องโถง
"มันเกี่ยวกับว่า เธอรู้จักใครบ้าง" ผมตอบ "แต่ไม่ต้องห่วง ฉันเข้ามานี่ก็เพื่อปล่อยเธอ"
ผมดูปฏิกริยาของเธอเมื่อพ่อของผมเดินเข้ามาในห้อง เธอทำตาโตและอ้าปากค้างด้วยความแปลกใจ ผมร้องอยู่ในใจ ใช่ครับ เธอสังเกตเห็นความเหมือนของเรา
"เอาล่ะ มิสสวอน รู้สึกยังไงบ้าง?" คาร์ไลส์ถาม น้ำเสียงเขาดูผ่อนคลายจริงๆ ไม่รวมถึงท่าทางที่ทำให้คนไข้รู้สึกสบายๆอีก ผมตอบไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีผลกับเบลล่ายังไงบ้าง
"สบายดีค่ะ" เธอตอบเบาๆ
คาร์ไลส์ยกฟิล์มของเธอขึ้นส่องไฟเหนือเตียง "ฟิล์มของหนูดูดีนะ รู้สึกเจ็บที่ศีรษะไหม? เอ็ดเวิร์ดบอกว่ามันโดนกระแทกแรงเอาการ"
เธอถอนหายใจ แล้วตอบ "สบายดีค่ะ" อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ความรู้สึกเหลืออดเริ่มปนในน้ำเสียง แล้วเธอก็หันมาทางผมแป๊บนึง
คาร์ไลส์ขยับเข้าใกล้เธอมากขึ้นแล้วใช้นิ้วไล่ตรวจบนหัวของเธอหาบริเวณที่โดนกระแทกจนโน
ผมไม่ทันตั้งตัวรับคลื่นความรู้สึกที่โถมใส่ผม
ผมเคยดูคาร์ไลส์ทำงานกับมนุษย์มาเป็นพันๆครั้ง หลายปีก่อนผมเคยช่วยเขาด้วย แต่ก็เฉพาะตอนที่ไม่มีเลือดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นวันนี้ก็ไม่ใช่อะไรใหม่สำหรับผม ที่เห็นเขาทำงานกับเด็กผู้หญิงราวกับเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ผมเคยอิจฉาความสามารถในการควบคุมของเขาอยู่ก็หลายครั้ง แต่ความรู้สึกเหล่านั้นมันไม่เหมือนกับตอนนี้ ที่ผมอิจฉามันมากกว่าเรื่องการควบคุมตนเอง ผมรู้สึกเจ็บกับความต่างระหว่างผมกับเขา ตรงที่เขาสามารถถูกตัวเธอได้อย่างนิ่มนวล ไม่กลัว เพราะเขารู้ว่า เขาจะไม่มีทางทำร้ายเธอ...

เธอสะดุ้งและผมก็ขยับตัวอยู่ในเก้าอี้ ผมต้องตั้งสติซักหน่อยเพื่อทำให้ท่าทางของผมดูผ่อนคลาย
"เจ็บเหรอ?" คาร์ไลส์ถาม
คางเธอยื่นออกมาข้างหน้าเล็กน้อย "ไม่เท่าไหร่ค่ะ" เธอพูด

ผมเห็นบุคลิกเธอเพิ่มอีกหนึ่งอย่างครับ เธอเป็นคนกล้า เธอไม่ชอบให้คนเห็นว่าเธออ่อนแอ
เธออาจจะเป็นคนที่เปราะบางมากที่สุดที่ผมเคยเห็น แต่เธอก็ไม่อยากดูเป็นคนบอบบาง ผมหัวเราะเบาๆ เธอหันขวับมาทางผมนิดนึง
"เอาล่ะ" คาร์ไลส์พูด "พ่อรออยู่นะ หนูกลับบ้านได้แล้วล่ะ แต่ถ้ารู้สึกเวียนหัวหรือรู้สึกสายตามันแปลกๆก็ให้กลับมาตรวจอีกที"

พ่อเธออยู่ที่นี่เหรอ? ผมกวาดหาเขาทั่วห้องญาติ แต่ผมไม่สามารถจับความรู้สึกเขาได้ ก่อนเธอจะพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
"หนูกลับไปเรียนต่อไม่ได้เหรอคะ?"
"วันนี้กลับไปพักดีกว่านะ" คาร์ไลส์แนะนำ
เธอเหลือบตามาทางผม "แล้วเขากลับไปเรียนได้หรือเปล่า?"

ทำตัวให้ปกติ จัดการให้เรียบร้อย ... อย่าสนใจว่ารู้สึกยังไงเมื่อเธอมองสบตา...
"ต้องมีใครซักคนไปกระจายข่าวดีว่าพวกเราปลอดภัย" ผมพูด
"จริงด้วย" คาร์ไลส์บอก "ทั้งโรงเรียนคงจะรอฟังอยู่"

คราวนี้ผมรอปฎิกริยาตอบจากเธอ -- เธอไม่ชอบเป็นที่สนใจของผู้คน
และเธอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง
"โอ ไม่นะ" เธอครวญ ก่อนยกมือปิดหน้า
ผมชอบจริงๆที่สุดท้ายผมก็เดาถูก ผมเริ่มจะเข้าใจเธอแล้วล่ะ...
"หรือจะอยู่ต่อ?" คาร์ไลส์ถาม
"ไม่ค่ะไม่" เธอรีบตอบพร้อมกับก้าวขาพาดข้างเตียงแล้วไสลด์ลงมายืนที่พื้น เธอเสียหลัก โผเข้าเกาะแขนคาร์ไลส์ เขาจับเธอไว้แล้วก็พยุงให้เธอยืนเต็มเท้า อีกครั้งที่ความอิจฉาไหลท่วมผม
"หนูไม่เป็นไรค่ะ" เธอพูดก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร แก้มเธอเปลี่ยนเป็นสีชมพู
แน่นอนว่านั่นไม่ได้ทำให้คาร์ไลส์รู้สึกอะไร เขาทำให้เธอยืนอย่างมั่นคง ก่อนแล้วค่อยปล่อยมือ
"ถ้าปวดก็กินไทลีนอลนะ" เขาแนะ
"ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นหรอกค่ะ"
คาร์ไลส์ยิ้มขณะที่เขาเซ็นชื่อลงในชาร์ตของเธอ "ดูเหมือนหนูโชคดีมากๆ"
เธอหันหน้ากลับมาช้าๆ แล้วจ้องตาผม "โชคดีที่เอ็ดเวิร์ดยืนอยู่ข้างๆหนูพอดี"
"โอ้ ใช่" คาร์ไลส์เห็นด้วย เขาได้ยินในน้ำเสียงของเธอเหมือนอย่างที่ผมได้ยิน เธอยังไม่หายสงสัย ยังก่อน
'เป็นของลูกแล้ว' คาร์ไลส์คิด 'จัดการอย่างที่ลูกเห็นควร'
"ขอบคุณมาก" ผมพูดเบาๆและเร็วๆ ไม่มีมนุษย์คนใดได้ยิน
คาร์ไลส์อมยิ้มเล็กน้อยเพราะน้ำเสียงประชดของผม ขณะเขาหันไปทางไทเลอร์ "พ่อหนุ่ม ฉันเกรงว่าเธอคงจะต้องอยู่กับเรานานกว่านะ" เขาพูดขณะตรวจสอบรอยแผลที่โดนที่กันลมบาด

ก็นะ ผมก่อเอง ก็สมควรที่ผมจะต้องจัดการเอง
เบลล่าเดินเข้ามาหาผม ไม่ยอมหยุดจนเธอเข้ามาใกล้ผม จนทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ผมจำได้ว่าเคยหวัง ก่อนจะเกิดเรื่องน่ะนะ ว่าเธอจะเดินเข้ามาหา... ตอนนี้เหมือนล้อความหวังนั้นเล่นเลย
"ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?" เธอพ่นใส่ผม
ลมหายใจอุ่นๆของเธอเป่าหน้า จนผมต้องถอยหนึ่งก้าว แรงดึงดูดจากเธอไม่น้อยลงเลยซักนิด ทุกครั้งที่เธอใกล้ผม มันจุดชนวนทุกๆความชั่วร้าย ทุกๆสัญชาตญาน พิษไหลเอ่อในปาก ร่างผมก็พร้อมกระโจนใส่ คว้าเธอเข้ามาใกล้ๆแล้วก็กัดคอเธอซะ
ใจผมเข้มแข็งกว่าร่างกาย... แต่ก็ไม่มากหรอก
"พ่อเธอรออยู่นะ" ผมเตือน ผมกัดฟันแน่น

เธอหันไปทางคาร์ไลส์กับไทเลอร์ ไทเลอร์ไม่สนใจพวกเราเลย แต่คาร์ไลส์กำลังเฝ้ามองผมทุกลมหายใจ
'ระวังด้วยนะ เอ็ดเวิร์ด'
"ฉันอยากคุยกับเธอตามลำพัง ถ้าเธอไม่ว่าอะไร" เธอยืนยันด้วยเสียงต่ำๆ
ผมอยากตอบจริงๆว่า ผมว่าแน่ๆ แต่ก็รู้แหละครับว่าสุดท้ายผมก็ต้องทำแบบนี้แหละ บางทีก็ทำให้มันจบๆไปซะก็ดี
ขณะเดินออกจากห้องไป ความคิดผมมีอะไรขัดกันอยู่มาก ฟังเสียงเท้าเธอที่เดินตามมาข้างหลังกำลังพยายามตามผมให้ทัน ผมต้องแสดงละคร ผมรู้บทดี ผมเปลี่ยนคาแรกเตอร์ ต้องเป็นตัวร้าย ผมจะโกหก กวน แล้วก็ใจร้าย
สิ่งเหล่านี้ตรงข้ามกับแรงกระตุ้นดีดี สิ่งดีดีของมนุษย์ที่ผมยึดถือมาตลอดหลายปีนี้ ผมไม่เคยอยากให้ใครไว้ใจผมเท่านี้มาก่อน แต่ผมกลับจะทำลายโอกาสทั้งหมดที่จะทำให้มันเกิดขึ้น
ที่แย่กว่านั้น คือนี่จะเป็นความทรงจำสุดท้ายที่เธอมีเกี่ยวกับผม นี่จะเป็นฉากอำลา
ผมหันไปทางเธอ
"ต้องการอะไร?" ผมถามด้วยเสียงเย็นชา
เธอถอย ตกใจกับความดุดันของผม ตาเธอกำลังงง สีหน้าแบบที่ตามหลอกหลอนผม...
"เธอติดคำอธิบายฉันอยู่" เธอตอบเบาๆ หน้าสีงาช้างของเธอกำลังซีด
ผมคงเสียงแข็งๆแบบนี้ไว้ได้ยากจริงๆ "ฉันช่วยชีวิตเธอ ฉันไม่ได้ติดค้างอะไรเธอเลย"
เธอผงะ -- ผมรู้สึกเหมือนโดนน้ำกรดกัด ที่เห็นคำพูดของผมทำร้ายเธอ
"เธอสัญญาแล้ว" เธอกระซิบ
"เบลล่า เธอหัวฟาดพื้น เธอไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรอยู่"
คางเธอยื่นออกมาทันที "หัวฉันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น"
เธอเริ่มโกรธแล้วล่ะ นี่ทำให้งานผมง่ายขึ้น ผมสบตาเธอ ทำสีหน้าไม่เป็นมิตรอย่างแรง
"ต้องการอะไรจากฉัน เบลล่า?"
"ความจริง ฉันอยากรู้ว่าฉันกำลังโกหกเพื่ออะไร"
ที่เธออยากได้ก็มีเหตุผลครับ -- ผมเสียใจที่ต้องปฎิเสธเธอ
"งั้นเธอว่า มันเกิดอะไรขึ้น?" เสียงผมแทบจะเหมือนขู่เธอแล้วล่ะ
คำพูดเธอพรั่งพรู "ที่ฉันรู้ คือเธอไม่ได้อยู่ใกล้ฉันเลย -- ไทเลอร์ก็ไม่เห็นเหมือนกัน ไม่ต้องมาบอกว่าหัวฉันฟาดพื้นแรงเกินไปอีก รถตู้จะอัดร่างเราทั้งคู่ แต่ก็ไม่ มือ เธอ มือซ้ายทำให้รถเป็นรอย แล้วเธอก็ยังทำให้รถคันข้างๆบุบด้วย แล้วเธอก็ไม่เป็นอะไรเลย ... แล้วรถนั่นก็ควรจะทับขาฉันเละ แต่เธอก็ยกมันไว้..." ทันใดนั้นเธอก็กัดฟัน แล้วน้ำตาก็เอ่อขึ้นมา
ผมจ้องหน้าเธอ ทำสีหน้าดูถูก แต่จริงๆแล้วผมกำลังกลัว เธอเห็นเหตุการณ์หมดทุกอย่าง
"เธอว่าฉันยกรถงั้นเหรอ?" ผมถามด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
เธอตอบด้วยการพยักหน้าแรงๆ
น้ำเสียงผมเยาะเย้ยหนัก "คนคงจะเชื่อหรอก"
เธอพยายามควบคุมตัวเอง พอเธอตอบเธอก็พูดช้าๆ "ฉันไม่คิดจะบอกใคร"
เธอหมายความอย่างนั้นจริงๆครับ -- ผมเห็นในตาเธอ ถึงจะโกรธและรู้สึกเหมือนโดนทรยศ แต่เธอจะไม่เผยความลับของผม
'เพราะอะไรนะ?'
ความช้อคทำให้ผมลืมบทบาทไปครึ่งวินาทีก่อนผมจะควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง
"งั้นจะมีปัญหาอะไรล่ะ?" ผมถาม พยายามทำให้เสียงดูดุเดือดเข้าไว้
"มีปัญหากับฉัน" เธอตอบ "ฉันไม่ชอบโกหก -- ถ้าจะโกหก ก็ต้องมีเหตุผลที่ดีพอ"
เธอกำลังขอให้ผมเชื่อใจเธอ เหมือนอย่างที่ผมอยากให้เธอไว้ใจผม แต่มันมีเส้นคั่นที่ผมข้ามไปไม่ได้
เสียงผมยังเข้มอยู่ "เธอแค่ขอบคุณฉัน แล้วก็ปล่อยมันไปไม่ได้หรือไง?"
"ขอบคุณ" เธอตอบแล้วเธอก็ทำท่าไม่พอใจ
"เธอจะไม่ปล่อยมันไป ใช่ไหม?"
"ไม่"
"ถ้ายังงั้นก็..." ต่อให้อยากผมก็บอกความจริงเธอไม่ได้ ... แล้วผมก็ไม่อยากด้วย ผมอยากให้เธอคิดได้เองมากกว่า ว่าผมเป็นอะไร เพราะว่าไม่มีอะไรเลวร้ายยิ่งกว่าความจริงอีกแล้ว -- ผมอยู่ในฝันร้าย ออกมาจากหน้าในหนังสือสยองขวัญเลย
"จงสนุกกับความผิดหวังไปเถอะ"
เราทำหน้าบึ้งใส่กัน น่าแปลกที่ความโกรธของเธอมันดูน่ารัก เหมือนลูกแมวกำลังโมโห นุ่มนวล ดูไม่มีพิษมีภัย แล้วเธอก็ไม่รู้ตัวเลย ว่าตัวเองบอบบางแค่ไหน
หน้าเธอเปลี่ยนเป็นสีชมพู เธอกัดฟันแน่น "งั้นมาเสียเวลากับฉันทำไม?"
คำถามนี้ไม่ใช่ที่ผมคิดว่าจะเจอ หรือเตรียมตัวมาก่อน ผมหลุดจากตัวละครที่ผมกำลังเล่น ผมรู้สึกว่าหน้ากากเลื่อนหลุดไปก่อนตอบเธอ คราวนี้ผมตอบตามจริง
"ฉันก็ไม่รู้"
ผมจดจำหน้าตาเธอไว้เป็นครั้งสุดท้าย -- หน้าที่ยังมีแต่ความโกรธ เลือดยังไม่หายไปจากแก้ม -- ผมหันหลังให้เธอแล้วก็เดินจากไป




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2552
6 comments
Last Update : 24 พฤษภาคม 2552 15:04:24 น.
Counter : 5302 Pageviews.

 

ขอบคุณค่ะ

รอัพตอนต่อไปนะคะ ^^!

 

โดย: เบลล่า (Vampires's_nice ) 21 พฤษภาคม 2552 18:07:01 น.  

 

เย้...ได้อ่านต่อแล้ว...หนุกจัง...ขอบคุณนะคะ

 

โดย: KruOng 21 พฤษภาคม 2552 21:12:57 น.  

 

ว้าว อ่านเพลินเลย รู้ตัวอีกทีจบตอนซะแว้ววว

ขอบคุณมากมายนะค่ะ หลับฝันดีนะค่ะ

 

โดย: amandayoyo 22 พฤษภาคม 2552 0:22:00 น.  

 

ขอบคุณนะคะ enjoy reading ทุกคนค่ะ

 

โดย: hs3puk 25 พฤษภาคม 2552 23:14:47 น.  

 

-0-




อ่านแล้วเหมือนย้อนกลับไปหาภาค1
แล้วนึกถึงภาค 2 3 4
5555*
แล้วก็จบ*

 

โดย: Miiezadiixx 28 พฤษภาคม 2552 11:22:22 น.  

 

ตามมาค่าา

 

โดย: aorp 14 มิถุนายน 2552 22:25:23 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


hs3puk
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add hs3puk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.