Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
25 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Midnight Sun; Chapter 4: Visions

ผมกลับไปโรงเรียน ซึ่งเป็นสิ่งถูกต้องที่ควรจะทำ มันคือวิธีปฏิบัติที่ปกติที่สุด
ก่อนเลิกวันนั้น นักเรียนเกือบทั้งหมดกลับเข้าห้องเรียน มีแค่เบลล่า ไทเลอร์ และอีกสองสามคนที่ถือโอกาสโดดเรียนเพราะอุบัติเหตุ ที่ไม่อยู่
ปกติก็ไม่ยากหรอกครับที่ผมจะทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ทั้งบ่ายนั้นผมได้แต่กัดฟัน ต่อสู้กับอาการอยากโดดเรียนบ้าง -- เพื่อไปดูเธออีก
เหมือนพวกตามตื๊อนะครับ พวกชอบตามคนดังที่หมกมุ่น แวมไพร์ชอบตามที่หมกมุ่น

วันนี้โรงเรียนเหลือทนจริงๆ น่าเบื่อยิ่งกว่าอาทิตย์ที่ผ่านมา เหมือนผมกำลังอยู่ในโคม่า เหมือนสีสันถูกดูดออกไปจากกำแพง ต้นไม้ ท้องฟ้า และหน้าคนรอบๆตัวผม... ผมนั่งมองรอยแตกบนผนัง
มีเรื่องถูกต้องอีกอย่างที่ผมควรจะทำครับ... แต่ไม่ได้ทำ แน่ล่ะครับ ถือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่มันก็ขึ้นกับว่าคุณมองมันอย่างไร
ในมุมมองแบบคัลเลน (ไม่ใช่เรื่องที่เราเป็นแวมไพร์เท่านั้นนะ แต่คือคัลเลน สมาชิกครอบครัวแบบที่หาได้ยากในโลกของเรา) สิ่งที่ควรจะทำนั้น จะออกมาประมาณนี้ครับ
"ครูแปลกใจที่เห็นเธอในห้องเรียนนะ เอ็ดเวิร์ด ได้ยินว่าเธอเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุเมื่อเช้าด้วยนี่"
"ใช่ครับมิสเตอร์แบนเนอร์ แต่ผมโชคดี" ยิ้มอย่างเป็นมิตร "ผมไม่ได้รับบาดเจ็บเลย... ผมอยากจะพูดแบบเดียวกันนี้กับไทเลอร์แล้วก็เบลล่าจริงๆ"
"พวกเขาเป็นไงบ้างล่ะ?"
"ผมคิดว่าไทเลอร์ไม่เป็นอะไรมาก... มีแค่แผลโดนกระจกบาดแต่ก็ไม่ได้ลึกอะไร แต่เบลล่า ผมไม่ค่อยแน่ใจครับ" ทำคิ้วขมวดให้ดูกังวล "สมองเธออาจถูกกระทบกระเทือน ผมได้ยินว่าเธอไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่อยู่พักนึง --- เห็นภาพหลอนอะไรทำนองนั้น พวกหมอก็กังวลกันอยู่ครับ... "
ประมาณนี้ล่ะครับที่มันควรจะเป็น ที่ผมควรจะทำเพื่อครอบครัว

"ครูแปลกใจที่เห็นเธอในห้องเรียน เอ็ดเวิร์ด ได้ยินว่าเธอเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุเมื่อเช้าด้วยนี่"
“ผมไม่ได้เจ็บตัวนี่” ไม่ยิ้ม
มิสเตอร์แบนเนอร์ขยับตัว เพื่อถ่ายน้ำหนักจากขาข้างนีงไปอีกข้างนึงเพราะกำลังอึดอัด
“พอจะรู้ไหมว่า ไทเลอร์ โคร์วลี่กับเบลล่า สวอนเป็นไงบ้าง ได้ยินว่ามีคนเจ็บอยู่...”
ผมยักไหล่ “ผมไม่รู้”
มิสเตอร์แบนเนอร์กระแอม “งั้นก็...” เขาพูด สายตาเย็นชาที่ผมจ้อง ทำให้น้ำเสียงเขาเครียดเล็กน้อย ก่อนเดินเร็วๆกลับไปที่หน้าชั้นแล้วก็เริ่มสอน
ผิดครับที่ทำแบบนี้ นอกจากว่าคุณจะมองมาจากมุมที่มืดมนกว่านี้

มันช่างดู...ดูหยาบคาย ที่ไปใส่ร้ายเธอลับหลังอย่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอให้ความไว้ใจผม มากกว่าที่ผมใฝ่ฝันว่าจะได้ เธอไม่ได้พูดอะไรที่ทรยศผมเลยถึงจะมีเหตุผลดีๆก็เถอะ ผมจะทรยศเธอไหมเมื่อเธอไม่ได้ทำอะไรนอกจากเก็บความลับไว้?

กับมิสซิสกอฟ์ ผมก็เกือบจะพูดกับเขาแบบเดียวกันนี่แหละ แค่หนนี้เป็นภาษาเสปนไม่ใช่ภาษาอังกฤษ – เอ็มเม็ตต์ก็มองผมอย่างพินิจพิเคราะห์
‘หวังว่านายคงจะมีคำอธิบายดีๆกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้นะ โรสโกรธมาก เธอพร้อมทำสงครามแล้ว’
ผมกรอกตาโดยไม่มองหน้าเขา

ที่จริงผมก็มีคำอธิบายที่หนักแน่นพอแหละ สมมุติว่าผมไม่ทำอะไรเลยเพื่อหยุดรถคั้นนั้นไม่ให้ขยี้เธอ ... ผมถอนความคิดนั้น..
แต่ถ้าเธอถูกชน ถ้าเธอเละ เลือดไหล เลือดแดงๆกระจายเลอะไปทั่วพื้น กลิ่นเลือดสดๆลอยฟุ้งไปในอากาศ...
ผมสั่น ไม่ใช่เพราะกลัวนะ ส่วนหนึ่งของผมสะท้านด้วยความอยาก ไม่ครับ ผมคงยืนดูเธอเลือดออกโดยไม่เปิดเผยตัวตนในแบบที่โจ่งแจ้งและสยดสยองไม่ได้แน่
ฟังดูมันก็เป็นข้อแก้ตัวที่แข็งแรงนะ...แต่ผมจะไม่ใช้ข้อนี้หรอก มันน่าอายเกินไป และผมก็ไม่ได้นึกถึงมันเลยจนเหตุการณ์ผ่านมาตั้งนานแล้ว

‘ระวังแจสเปอร์นะ’ เอ็มเม็ตต์ต่อ เขาไม่รู้ว่าผมกำลังใจลอย ‘เขาไม่โกรธแต่เขาจะมุ่งมั่นกว่า’
ผมเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร และจังหวะนั้นเอง ที่ทั้งห้องหมุนรอบๆผม ความโกรธรุมเร้าจนผมมองไม่เห็นอะไร ผมนึกว่าจะหายใจไม่ออก
‘เฮ้ย...เอ็ดเวิร์ด! ตั้งสติหน่อย!’ เอ็มเม็ตต์ตะโกนใส่ผมในหัวของเขา พร้อมกับยื่นมือมาจับไหล่ผม กดผมให้นั่งกับที่ ก่อนผมจะลุกขึ้นยืน เขาไม่ค่อยได้ออกแรงเต็มที่หรอก— ไม่จำเป็นเลย เพราะเขาแข็งแรงกว่าแวมไพร์ทุกคนที่พวกเราเคยเจอมา แต่ตอนนี้เขากำลังใช้แรง เขาจับแขนผม ดึงผมไว้ ถ้าเขากดหน่อย เก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ก็คงจะพังไปเลย
ใจเย็นๆ! เขาสั่ง
ผมพยายามสงบสติ แต่มันยากครับ ผมกำลังโมโหจริงๆ
‘แจสเปอร์จะไม่ทำอะไรทั้งนั้น จนกว่าเราจะได้คุยกันก่อน ฉันแค่อยากให้นายรู้ไว้คร่าวๆว่าเขาคิดจะทำอะไร’
ผมพยายามผ่อนคลาย แล้วก็เริ่มรู้สึกว่ามือของเอ็มเม็ตต์เริ่มคลาย
‘อย่าพยายามทำให้ตัวให้น่าสงสัยสิ วันนี้นายมีปัญหามากพอแล้ว’
ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ็มเม็ตต์ก็ปล่อยมือจากผม
ผมตรวจความเรียบร้อยรอบๆห้อง แต่ที่เราเหมือนจะทะเลาะกันนี่ มันแค่แป๊บๆแล้วก็เบาเกินไป จนมีแค่สองสามคนที่นั่งหลังเอ็มเม็ตต์เท่านั้น ที่พอจะสังเกตุเห็นอะไร แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่ามีอะไรกัน เขาก็เลยแค่ยักไหล่กัน แล้วก็ไม่สนใจ คัลเลนเป็นพวกประหลาด ทุกคนรู้อยู่แล้ว

‘ไอ้หนูเอ๊ย เอ็งดูแย่ว่ะ’ เอ็มเม็ตต์เสริม น้ำเสียงเห็นใจ
“กัดฉันสิ” ผมพึมพำ แล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ
เอ็มเม็ตต์ไม่ติดใจอะไร และผมก็ควรจะขอบคุณ กับความเป็นคนง่ายๆของเขา แต่ผมก็เข้าใจนะ ที่เอ็มเม็ตต์เห็นว่าความตั้งใจของแจสเปอร์น่ะเป็นไปได้ เพราะเขาคิดหาทางจัดการที่ดีที่สุดอยู่
ความโกรธยังคุอยู่ ผมเกือบจะเอาไม่อยู่ ใช่ครับเอ็มเม็ตต์แข็งแรงกว่าผม แต่เขาไม่เคยเล่นมวยปล้ำชนะผมซักครั้ง เขาหาว่าผมขี้โกง แต่การได้ยินความคิดก็คือส่วนหนึ่งของผม เหมือนกับที่ความแข็งแกร่งเป็นส่วนหนึ่งของเขานั่นแหละ เวลาสู้กัน มันก็แปลว่าเราไม่ได้ต่างกันสิ

สู้กันเหรอ? เรากำลังจะต้องทำยังงั้นเหรอ? นี่ผมจะต้องสู้กับครอบครัวตัวเองเพื่อมนุษย์ที่ผมรู้จักเพียงน้อยนิดงั้นเหรอ?
ผมคิดถึงความคิดนั้นครู่หนึ่ง คิดถึงสัมผัสจากร่างที่บอบบางของเธอในอ้อมแขนของผม กับคิดถึงแจสเปอร์ โรส และเอ็มเม็ตต์ – คนที่แข็งแรงเหนือธรรมชาติ เร็ว เครื่องจักรสังหารโดยธรรมชาติ...
ครับ ผมจะสู้เพื่อเธอ สู้กับครอบครัว ผมตัวสั่น
แต่มันไม่ยุติธรรมเลยที่จะปล่อยเธอไว้แบบไม่มีคนช่วยเหลือ ทั้งที่ผมเป็นคนทำให้เธอมีอันตราย
ผมคนเดียวคงจะไม่ชนะหรอก ไม่ใช่ 1 ต่อ 3 แบบนี้ ผมสงสัยว่าใครจะเข้าข้างผมบ้าง
คาร์ไลส์ แน่นอน เขาคงไม่สู้กับใคร แต่เขาจะไม่เห็นด้วยกับแผนของโรสและแจสเปอร์ ผมต้องการแค่นี้แหละ... เดี๋ยวก็รู้...
เอสเม่ ยังสงสัยอยู่ครับ เธอคงไม่เข้าข้างฝ่ายตรงข้ามผม และเธอก็ไม่อยากขัดคาร์ไลส์ แต่เธอคงจะเลือกทางที่ทำให้ครอบครัวของเรายังเป็นเหมือนเดิม ที่เธอจะให้ความสำคัญอันดับแรก คงไม่ใช่เรื่องถูกผิด แต่เป็นตัวผม ถ้าคาร์ไลส์คือจิตวิญญานของครอบครัว เอสเม่ก็คือหัวใจ เขาเป็นผู้นำที่น่าเป็นผู้ตาม ส่วนเธอทำให้การติดตามนั้นเป็นเรื่องของความรัก พวกเราต่างก็รักกัน แม้แต่ยามที่กำลังโกรธแจสเปอร์กับโรสแบบนี้ แม้แต่ยามที่ผมกำลังวางแผนจะปกป้องเธอคนนั้น ผมก็รู้ว่าผมรักพวกเขา
อลิส... ผมไม่มีไอเดียเลย อาจจะขึ้นกับว่า เธอเห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธออาจจะเข้าข้างคนที่จะชนะก็ได้
งั้นก็แปลว่าผมต้องลุยเดี่ยว ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ 3 คนนั้น แต่ผมจะไม่ปล่อยให้เธอต้องมาเจ็บตัวเพราะผม ซึ่งนั้นก็อาจจะต้องมีการหลบหนี

ความโกรธจางลงนิดหน่อยเมื่อผมขำ ผมนึกถึงเธอว่าจะทำยังไงถ้าผมลักพาตัวเธอ แน่ล่ะ ผมเดาปฎิกริยาเธอไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่ แต่เธอจะรู้สึกยังไงอีกบ้างนะ นอกจากกลัวแล้ว?
ผมไม่แน่ใจว่าจะลักพาตัวเธอยังไง ผมอยู่ใกล้เธอนานๆก็ไม่ได้ บางทีผมอาจจะพาเธอไปส่งแม่ ถึงยังงั้นก็ยังดูจะมีอันตรายกับเธอเต็มไปหมด
แล้วผมก็นึกได้อีกว่า ถ้าเกิดผมทำเธอตายเพราะอุบัติเหตุล่ะ... ผมไม่แน่ใจว่านั่นจะทำให้ผมเจ็บปวดแค่ไหน แต่มันคงจะมีหลายมุมแล้วก็รุนแรงด้วย

เวลาผ่านไปไวขณะผมคิดถึงความยุ่งยากในอนาคตข้างหน้านี้ เราคงจะเถียงกันที่บ้าน ทะเลาะกัน อาจจะทำให้ผมต้องจากไปหลังจากนั้น...
ที่จริง ผมก็จะได้ไม้ต้องบ่นอีกไง ว่าชีวิตนอกโรงเรียนช่างซ้ำซาก เธอคนนั้นเปลี่ยนมันไปซะเยอะ
เอ็มเม็ตต์กับผมเดินไปที่รถเงียบๆหลังระฆังดัง เขากำลังกังวลเรื่องผมและกังวลเรื่องโรส เขารู้ว่าถ้าทะเลาะกัน เขาจะเลือกฝ่ายไหน และนั่นก็รบกวนเขา
คนอื่นๆรอเราอยู่ในรถ ทุกคนเงียบกันหมด พวกเราเป็นแก๊งเงียบครับ มีแต่ผมที่กำลังได้ยินเสียงตะโกน
‘ปัญญาอ่อน! บ้า! งี่เง่า! โง่! เห็นแก่ตัว! ไอ้คนไม่มีความรับผิดชอบ! ’ โรสซาลี่ใส่เป็นชุดๆ เต็มเสียง ทำให้ผมไม่ได้ยินคนอื่นๆ แต่ผมก็พยายามไม่สนใจเธอ

เอ็มเม็ตต็พูดถูกเรื่องแจสเปอร์ เขาตัดสินใจแล้ว
อลิสคือปัญหา เธอกังวลเรื่องแจสเปอร์ เธอมองภาพอนาคตของเขา แต่ไม่ว่าแจสเปอร์จะเข้าหาเธอคนนั้นทางไหน อลิสก็จะเห็นผมที่นั่น ขวางเขาอยู่ น่าสนใจ... ไม่มีทั้งโรสและเอ็มเม็ตต์อยู่กับเขาในภาพ ก็แปลว่า แจสเปอร์จะลงมือคนเดียว และนั่นก็จะทำให้มันสูสีขึ้น
แจสเปอร์คือที่หนึ่ง เขาเป็นคนที่รู้เรื่องการต่อสู้มากที่สุด แต่ข้อได้เปรียบของผมคือ ผมจะได้ยินว่าเขาจะทำอะไรก่อน
ผมเคยสู้กับเอ็มเม็ตต์และแจสเปอร์เล่นๆ แค่คิดว่าจะต้องพยายามทำร้ายแจสเปอร์ ผมก็รู้สึกแย่แล้ว...
ไม่ ผมไม่ทำหรอก แค่ขวางก็พอ

ผมพิจารณาอลิส จดจำท่าการต่อสู้ของแจสเปอร์
พอผมทำยังงั้น ภาพก็เปลี่ยนไป เคลื่อนห่างออกจากบ้านสวอนไปเรื่อยๆ ผมตัดเขาออกไปได้แต่เนิ่นๆแฮะ...
‘หยุดเลย เอ็ดเวิร์ด! มันต้องไม่เป็นแบบนั้น ฉันไม่ยอมหรอก’
ผมไม่ตอบเธอ แต่ยังมองต่อไป
เธอเริ่มมองไปข้างหน้าอีก แต่ไม่เห็นอะไร ทุกอย่างเป็นเงาดำและไม่ชัดเจน

จนถึงบ้าน ความเงียบก็ยังคงอยู่ ผมจอดรถที่โรงจอดใหญ่นอกตัวบ้าน เมอร์เซดีสของคาร์ไลส์อยู่ที่นั่นข้างรถจี๊ปคันใหญ่ของเอ็มเม็ตต์ เอ็ม3 ของโรส แล้วก็แวนควิชของผม ผมดีใจที่คาร์ไลส์ถึงบ้านแล้ว ความเงียบนี้คงจบเพราะระเบิดลง ผมอยากให้เขาอยู่ด้วยตอนมันเกิดขึ้น
พวกเราตรงดิ่งไปห้องกินข้าว แน่ละ ห้องไม่เคยถูกใช้ให้ถูกงาน ในห้องมีโต๊ะรูปไข่สีมะฮอกกานี มีเก้าอี้ล้อมอยู่ พวกเราระมัดระวังให้มีพรอพทุกอย่างครบถ้วน คาร์ไลส์ชอบใช้ห้องนี้เป็นห้องประชุม ท่ามกลางกลุ่มคนที่แข็งแรงและแตกต่าง บางทีก็ควรนั่งคุยกันอย่างสงบ

ผมรู้สึกว่า วันนี้สภาพการณ์ดูไม่ค่อยจะช่วยอะไรเท่าไหร่ คาร์ไลส์นั่งที่ประจำ หัวโต๊ะด้านตะวันออก เอสเม่อยู่ข้างๆเขา พวกเขาจับมือกันวางบนโต๊ะ
เอสเม่มองผม ตาสีทองคู่นั้นของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
‘อยู่ต่อนะลูก’ เธอคิดอยู่เท่านี้
ผมหวังว่าจะยิ้มให้เธอ เธอผู้เป็นแม่อย่างแท้จริงให้กับผม แต่ผมยืนยันอะไรกับเธอไม่ได้ในตอนนี้
ผมนั่งลงอีกข้างของคาร์ไลส์ เอสเม่ยื่นมืออ้อมหลังเขามาจับไหล่ผม เธอไม่รู้ว่ามันจะเริ่มขึ้นยังไง เธอแค่เป็นห่วงผมเท่านั้น
เป็นคาร์ไลส์ที่พอจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาเม้มปาก และหน้าผากก็ย่น สีหน้าเขามันดูแก่เกินใบหน้าเด็กๆของเขา
พอทุกคนเริ่มนั่งลง รอยย่นบนหน้าก็เริ่มมากขึ้น
โรสซาลี่นั่งฝั่งตรงข้ามกับคาร์ไลส์ เธอจ้องผมไม่หันไปไหน
เอ็มเม็ตต์นั่งข้างๆเธอ ทั้งสีหน้าและความคิดเขา กำลังหงิกทั้งคู่
แจสเปอร์ลังเล ก่อนไปยืนพิงกำแพงหลังโรสซาลี่ เขาตัดสินใจแล้ว ไม่สนใจว่าผลจะออกมาอย่างไร ผมกัดฟัน
อลิสเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ตาเธอกำลังโฟกัสไปที่อื่น ที่ๆห่างไปในอนาคต ที่ยังดูสลัวๆเกินกว่าจะเอามาใช้ประโยชน์ได้ในตอนนี้ เธอนั่งลงข้างๆเอสเม่ ไม่ได้คิดอะไร เธอกดหน้าผากเหมือนกำลังปวดหัว แจสเปอร์ขยับตัว ทำท่าเหมือนจะมานั่งกับเธอ แต่เขาตัดสินใจยืนอยู่ที่เดิม

ผมสูดลมหายใจ ผมเป็นคนก่อ ผมก็ต้องพูดคนแรก
“ขอโทษ” ผมพูด มองหน้าโรสก่อน จากนั้นก็ไปแจสเปอร์ แล้วก็เอ็มเม็ตต์ “ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ทุกคนเสี่ยงแบบนี้ ไม่ได้คิดให้ดีก่อน ฉันขอรับผิดชอบผลของการกระทำที่ไม่ทันคิดนี้”
โรสมองหน้าผมอย่างมุ่งร้าย “หมายความว่ายังไง ‘ขอรับผิดชอบ’? เธอจะเป็นคนแก้มันเองหรือไง?”
“ไม่ใช่วิธีที่เธอคิดหรอก” ผมตอบ พยายามคงน้ำเสียงเรียบๆเบาๆไว้ “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ ถ้านั่นจะทำให้อะไรๆดีขึ้น” ‘ถ้าฉันเชื่อว่าเธอจะปลอดภัย ถ้าฉันเชื่อว่าพวกนายจะไม่ทำอะไรเธอ’ ผมพูดต่อในหัวตัวเอง
“ไม่นะ” เอสเม่พึมพำ “ไม่ได้นะ เอ็ดเวิร์ด”
ผมลูบมือเธอ “แค่ปีสองปีฮะ”
“เอสเม่พูดถูก” เอ็มเม็ตต์พูด “ตอนนี้นายไปไหนไม่ได้ แทนที่จะช่วย มันจะเป็นตรงข้าม พวกเราต้องรู้ว่าคนคิดอะไรกันบ้าง ตอนนี้ยิ่งต้องมากกว่าแต่ก่อนอีก”
“ถ้ามีอะไรอลิสก็จะรู้” ผมไม่เห็นด้วย
คาร์ไลส์ส่ายหน้า “พ่อว่าเอ็มเม็ตต์พูดถูก เอ็ดเวิร์ด เธอคงจะอยากพูดถ้าลูกหายไป ถ้าจะไปก็ไปทุกคน”
“เธอจะไม่พูดอะไรเลย” ผมยืนยัน โรสทำท่าเหมือนจะระเบิด แต่ผมอยากพูดความจริงข้อนี้ก่อน
“ลูกอ่านเธอไม่ได้” คาร์ไลส์เตือนผม
“ผมพอรู้ อลิส ช่วยหน่อย”
อลิสมองผมเหนื่อยๆ “ฉันไม่เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราปล่อยเรื่องนี้ไป” เธอหันไปทางโรสกับแจสเปอร์
ไม่ เธอไม่เห็นอนาคตแบบนั้น ไม่ครับ แม้แต่ยามที่โรสกับแจสเปอร์ตัดสินใจแล้ว ว่าจะไม่ปล่อยอุบัติเหตุนั้นให้เลยตามเลย
โรสทุบโต๊ะ “เราจะไม่ปล่อยให้มนุษย์มีโอกาสได้พูดอะไรเลย คาร์ไลส์ต้องเข้าใจสิ ถึงเราจะหายตัวกันไปหมด มันก็ไม่ปลอดภัยที่เราทิ้งเรื่องราวไว้ข้างหลัง เราอยู่กันต่างจากคนอื่นๆ – มีพวกที่พร้อมจะหาเรื่องเราข้างนอกนั้น พวกเราต้องระมัดระวังกว่าคนอื่นๆ!”
“ก่อนนี้เราก็เคยทิ้งข่าวลือไว้” ผมเตือนเธอ
“แค่ข่าวลือและความสงสัยเท่านั้น เอ็ดเวิร์ด ไม่ใช่คนเห็นเหตุการณ์แล้วก็หลักฐานแบบนี้!”
“หลักฐาน!” ผมเยาะ
แต่แจสเปอร์พยักหน้า สายตาเอาจริงเอาจัง
“โรส” คาร์ไลส์เริ่ม
“ขอหนูพูดให้จบก่อนได้ไหม คาร์ไลส? ใช่ว่าจะต้องทำอะไรใหญ่โต วันนี้เธอหัวฟาด แล้วมันก็อาจซีเรียสกว่าที่คนคิดก็ได้” โรสซาลี่ยักไหล่ “คนตายคือเข้านอนแล้วไม่ได้ตื่นอีก พวกอื่นๆคงหวังให้เราจัดการซะให้เรียบร้อย จะว่าไปก็ควรจะเป็นงานของเอ็ดเวิร์ด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาจัดการไม่ได้ รู้ไหม หนูควบคุมตัวเองได้ หนูทำได้แบบไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเลย”
“ใช่ โรสซาลี่ เรารู้ทั้งนั้นแหละว่าเธอลอบฆ่าคนเก่งแค่ไหน” ผมแขวะ
เธอทำเสียงฟึดฟัดใส่ผม ด้วยความโกรธ
“ขอล่ะ เอ็ดเวิร์ด” คาร์ไลส์พูด ก่อนหันไปทางโรสซาลี่ “โรสซาลี่ พ่อมองอีกมุมนะ เรื่องที่โรเชสเตอร์ พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ได้รับความเป็นธรรม ผู้ชายที่ลูกฆ่าทำผิดกับลูกเยี่ยงปีศาจ แต่นี่ไม่เหมือนกัน เด็กสวอนนั่นเป็นผู้บริสุทธิ์นะ”
“ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเขาอยู่แล้ว คาร์ไลส?” โรสซาลี่กัดฟัน “ที่จะทำก็เพื่อปกป้องพวกเราทุกคน”
ความเงียบปกคลุมครู่หนึ่งเมื่อคาร์ไลส์คิดว่าเขาจะตอบอย่างไรดี พอเขาพยักหน้า ตาของโรสซาลี่ก็เป็นประกาย เธอควรจะรู้แล้วนะ ต่อให้ผมอ่านใจเขาไม่ได้ ผมก็เดาได้ ว่าเขาจะตอบยังไง คาร์ไลส์ไม่ยอมรอมชอมแน่
“พ่อรู้ลูกหวังดี โรสซาลี่ แต่...พ่ออยากให้ครอบครัวเรามีค่าพอแก่การปกป้อง เรื่องที่เกิดขึ้น ... อุบัติเหตุหรือการขาดการควบคุม เป็นสิ่งที่อาจจะทำให้พวกเราเสียใจ” มันดูเป็นเขามากเลยครับที่ใช้คำว่า พวกเรา ถึงเขาจะไม่เคยขาดการควบคุมตัวเองเลยซักครั้ง “การที่เราจะไปฆ่าเด็กที่ไม่มีความผิดอย่างเลือดเย็น ก็เป็นอีกเรื่องนึง พ่อว่าความเสี่ยงที่เกิดจากเธอ ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องเสี่ยงที่สำคัญอะไรมากมาย ถ้าเราเอามันมาเป็นข้ออ้างเพื่อปกป้องตัวเองก็เท่ากับเราเสี่ยงต่อสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือการสูญเสียความเป็นเราไป”
ผมพยายามควบคุมตัวเองเต็มที่ ผมต้องไม่ยิ้มเด็ดขาด ห้ามตบมือ อย่างที่ผมหวังว่าจะทำได้ตอนนี้
โรสซาลี่หน้าบึ้ง “ก็แค่รับผิดชอบ”
“ไม่มีหัวใจต่างหาก” คาร์ไลส์แก้อย่างนุ่มนวล “ทุกชีวิตมีค่า”
โรสซาลี่ถอนหายใจแรงๆแล้วทำปากยื่น เอ็มเม็ตต์ลูบหลังเธอ
“ทุกอย่างจะเรียบร้อย โรส” เขาปลอบเธอเบาๆ
“คำถามคือ” คาร์ไลส์ต่อ “เราควรจะย้ายไหม?”
“ไม่นะ” โรสซาลี่ครวญ “เราเพิ่งตั้งหลักได้ หนูไม่อยากเริ่มเรียนปีสามใหม่อีก!”
“แน่นอน ลูกเรียนต่อไปเลยก็ได้” คาร์ไลส์พูด
“แล้วก็ต้องย้ายไปที่ใหม่ไวขึ้นอีกเหรอ?” เธอเถียง
คาร์ไลส์ยักไหล่

แต่ตอนนี้ผมไม่กังวลเรื่องโรสแล้ว ผมว่าเธอคงจะทำตามที่คาร์ไลส์บอก ไม่ว่าเธอจะโกรธผมแค่ไหนก็ตาม บทสนทนาของพวกเขาเริ่มลงรายละเอียดที่ไม่สำคัญไปแล้วล่ะ
แจสเปอร์ยังไม่ยอมขยับ
ผมเข้าใจว่าทำไม ก่อนที่เขาจะพบกับอลิส เขาเคยอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ การต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น เขารู้ว่าผลของการทำผิดกฎคืออะไร – เขาเห็นมันจบลงอย่างน่าสยดสยอง
มันชัดเจน ตรงที่เขาไม่พยายามช่วยให้โรสสงบลงด้วยความสามารถพิเศษของเขา หรือเขาอาจกำลังส่งเสริมอารมณ์โกรธให้เธออยู่ เขาเอาตัวเองออกห่างจากบทสนทนาของพวกเรา – เขาไม่สน

“แจสเปอร์” ผมเรียก
เขามองตาผม สีหน้าของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆ
“เธอจะต้องไม่มาชดใช้ความผิดพลาดของฉัน ฉันจะไม่ยอม”
“งั้นเธอก็ได้ประโยชน์งั้นสิ? วันนี้เธอควรจะตายแล้ว เอ็ดเวิร์ด ฉันแค่ทำให้มันถูกต้อง”
ผมพูดอีก เน้นทุกคำ “ฉัน จะ ไม่ ยอม”
เขาเลิกคิ้ว เขาไม่คิดว่าจะเจออย่างนี้— เขาไม่ได้คิดว่าผมจะหยุดเขา
เขาส่ายหน้า “ฉันจะไม่ยอมให้อลิสเป็นอันตราย แม้แต่นิดเดียว นายไม่รู้สึกกับใครเหมือนที่ฉันรู้สึกกับอลิส เอ็ดเวิร์ด นายไม่เคยเป็นอย่างที่ฉันเป็น ไม่ว่านายจะเห็นความทรงจำของฉันหรือไม่ก็ตาม นายไม่เข้าใจ”
“ฉันไม่เถียงเรื่องนั้น แจสเปอร์ แต่ฉันกำลังบอกว่า ฉันจะไม่ยอมให้นายทำร้ายอิซซาเบลล่า สวอน”
เรามองหน้ากัน – ไม่ใช่จ้อง แต่กำลังวัดกำลัง ผมรู้สึกว่าเขากำลังเช็คอารมณ์รอบๆผมอยู่ ทดสอบความตั้งใจของผม

“แจส” อลิสพูด ขัดจังหวะพวกเรา
เขามองหน้าผมต่ออีกหน่อย ก่อนหันไปทางเธอ “ไม่ต้องเสียเวลามาบอกว่า เธอป้องกันตัวเองได้ อลิส ฉันรู้แล้ว แต่ยังไงฉัน--”
“ฉันไม่ได้จะบอกยังงั้น” อลิสขัด “ฉันกำลังจะขอร้องเธอ”
ผมเห็นสิ่งที่อยู่ในความคิดเธอ นั่นทำให้ผมอ้าปากค้าง ผมจ้องหน้าเธอ ช้อค เกือบลืมว่าทุกคนกำลังมองผม
“ฉันรู้เธอรักฉัน ขอบใจนะ แต่ฉันจะดีใจมาก ถ้าเธอไม่พยายามฆ่าเบลล่า สวอน อย่างแรก เอ็ดเวิร์ดเอาจริงและฉันไม่อยากให้พวกเธอสู้กัน อย่างที่สอง เธอเป็นเพื่อนฉัน อย่างน้อยก็จะเป็น”
ในหัวเธอ ช่างชัดเจนเหมือนแก้ว: ภาพอลิสยิ้ม แขนขาวซีดของเธอโอบรอบไหล่อุ่นๆที่บอบบาง เบลล่าสวอนก็กำลังยิ้ม แขนของเธอโอบเอวของอลิสอยู่
ภาพนั้นมันชัดมาก แค่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
“แต่ว่า...อลิส...” แจสเปอร์พูด ผมไม่อาจหันไปมองสีหน้าเขาได้ ผมไม่อาจดึงตัวเองออกจากภาพในหัวของอลิสเพื่อฟังความคิดเขาได้
“วันนึง ฉันจะรักเขา แจส ฉันจะโกรธเธอมากถ้าเธอไม่ยอมให้เขาเป็นเพื่อนฉัน”
ผมยังจ้องภาพนั้นอยู่ ผมเห็นอนาคตชัดขึ้นเมื่อแจสเปอร์เริ่มยอม ตามข้อเรียกร้องของเธอ
“อา” เธอถอนหายใจ – การตัดสินใจของแจสเปอร์ทำให้เธอเห็นสิ่งใหม่ “เห็นไหม? เบลล่าจะไม่พูดอะเลย ไม่มีอะไรต้องกังวล”
ฟังจากที่เธอเรียกชื่อแล้ว... เหมือนกับพวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันแล้วอย่างนั้นล่ะ
“อลิส” ผมหายใจไม่ออก “นี่...แปล..”
“บอกแล้วไง ว่ามีอะไรกำลังเปลี่ยน ฉันก็ไม่รู้นะเอ็ดเวิร์ด” เธอกัดฟัน แล้วผมก็เห็นรูปอื่นอีก เธอพยายามไม่คิดถึงมัน เธอพยายามหันไปโฟกัสที่แจสเปอร์ แต่เขาก็กำลังตะลึงเกินกว่าจะคิดอะไรต่ออีก เธอชอบทำแบบนี้เวลาเธอพยายามซ่อนอะไรจากผม
“มีอะไร อลิส? กำลังซ่อนอะไรอยู่?”
ผมได้ยินเอ็มเม็ตต์ทำเสียงเซ็ง เขาเซ็งเวลาผมกับอลิสคุยกันแบบนี้
เธอสั่นหัว พยายามกันผมออกไป
“เกี่ยวกับเธอใช่ไหม??” ผมถาม “เกี่ยวกับเบลล่าใช่ไหม?”
เธอกัดฟันพยายามมีสมาธิ แต่พอผมพูดชื่อเบลล่า เธอก็หลุด เธอหลุดมาให้เห็นแว่บเดียว แต่มันก็มากเกินพอ

“ไม!!!!” ผมตะโกน ผมได้ยินเสียงเก้าอี้ของผมล้ม รู้ตัวอีกทีผมก็ยืนขึ้นแล้ว
“เอ็ดเวิร์ด!!” คาร์ไลส์ลุกขึ้นเหมือนกัน เขาจับไหล่ผม ผมไม่รู้สึกตัวเลยว่าเขากำลังจับอยู่
“มันกำลังชัดขึ้นเรื่อยๆ” อลิสกระซิบ “ทุกๆนาทีที่เธอตัดสินใจ มีอยู่แค่สองทางออกสำหรับเบลล่า ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเอ็ดเวิร์ด”
ตอนนี้ผมเห็นที่อลิสเห็น... แต่ผมรับไม่ได้
“ไม่” ผมพูด เสียงผมไม่ดังแล้ว ผมเข่าอ่อน และต้องยืนเกาะโต๊ะไว้
“ใครก็ได้ เล่าให้ฟังหน่อยจะได้ไหม?” เอ็มเม็ตต์บ่น
“ฉันต้องไป” ผมพูดกับอลิส โดยไม่สนใจเขา
“เรื่องนั้นเราคุยจบไปแล้วนี่เอ็ดเวิร์ด” เอ็มเม็ตต์พูดเสียงดัง “ยิ่งไปก็ยิ่งจะทำให้เธอพูด อีกอย่างถ้านายไป เราก็ไม่รู้ว่าเธอจะพูดหรือเปล่า นายต้องอยู่แล้วก็คอยดู”
“ฉันไม่เห็นว่าเธอจะไปไหนนะ เอ็ดเวิร์ด” อลิสบอกผม “ฉันไม่รู้ว่าเธอจะไปไหนได้อีก” ‘คิดดูสิ’ เธอเสริมเบาๆ ‘ลองคิดว่าจะไปสิ’
ผมเข้าใจเธอหมายถึงอะไร ใช่ครับ กับความคิดที่จะไม่ได้เจอเธออีก... มันเจ็บปวด แต่มันก็จำเป็น ผมรับไม่ได้กับอนาคตไหนๆที่ผมทำให้เธอต้องมาเผชิญ
‘ฉันไม่ค่อยมั่นใจแจสเปอร์เท่าไหร่นะ เอ็ดเวิร์ด’ อลิสพูดต่อ ‘ถ้าเธอไป ถ้าเขาคิดว่า เบลล่าอันตรายกับพวกเรา’
“ฉันไม่ได้ยินยังงั้น” ผมขัดเธอ ผมยังไม่สนใจคนอื่นๆ แจสเปอร์กำลังลังเล เขาจะไม่ทำอะไรที่ทำร้ายอลิส
‘ไม่ใช่ตอนนี้ เธอจะให้เบลล่าเสี่ยงเหรอ ปล่อยเธอไปแบบไม่มีคนคุ้มครองน่ะ?’
“ทำไมทำกับฉันยังงี้?” ผมครวญ พร้อมกับใช้มือปิดหน้า

ผมไม่ใช่คนคุ้มครองเบลล่า ผมเป็นไม่ได้ อนาคตที่อลิสมองเห็นไม่พอจะบอกได้หรือไง?
‘ฉันก็รักเธอเหมือนกัน ไม่ก็ จะรัก ถึงจะไม่เหมือนกัน แต่ฉันอยากมีเบลล่าอยู่ใกล้ๆ’
“รักเธอเหมือนกัน?” ผมกระซิบ ด้วยความสงสัย
เธอถอนหายใจ ‘เธอนี่ตาบอดจริงๆ เอ็ดเวิร์ด ไม่เห็นหรือไงมันกำลังพาตัวเองไปไหน? ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว? มันจริงซะยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออก เท่าที่ฉันเห็นน่ะ...’
ผมส่ายหน้า รู้สึกกลัว “ไม่” ผมพยายามกันภาพที่เธอเผยให้ผมเห็นออกไป “ฉันไม่จำเป็นจะต้องทำตามนั้น ฉันจะไป ฉันจะเปลี่ยนอนาคต”
“ลองดูก็ได้” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย

“ให้ตายเถอะ!” เอ็มเม็ตต์ร้อง
“ฟังดีดีสิ” โรสบอกเขา “อลิสเห็นเขารักมนุษย์! ช่างคลาสสิคจริงๆ เอ็ดเวิร์ด” เธอแขวะ
ผมแทบจะไม่ได้ยินเธอ
“อะไรนะ?” เอ็มเม็ตต์พูด เขารู้สึกตกใจ จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังก้อง “เรื่องนี้เหรอ ที่กำลังคุยๆกันอยู่?” เขาหัวเราะอีกครั้ง “ลำบากหน่อยนะ เอ็ดเวิร์ด”
ผมรู้สึกว่าเขาตบไหล่ผม แต่ผมสะบัดออกแบบไม่รู้ตัว ผมไม่อาจหันไปสนใจเขาได้
“ตกหลุมรักมนุษย์เหรอ?” เอสเม่ทวนด้วยเสียงแปลกใจ “เด็กที่เขาช่วยชีวิตวันนี้น่ะเหรอ? ตกหลุมรักเธอน่ะ?”
“เธอเห็นอะไรกันแน่ อลิส?” แจสเปอร์อยากรู้
เธอหันไปทางเขา ผมยังจ้องหน้าด้านข้างของเธอต่อไป
“ทั้งหมดขึ้นกับว่าเขาจะแข็งแกร่งพอไหม เขาอาจจะฆ่าเธอ” – เธอหันมาสบตาผมอีกครั้ง จ้องเขม็ง – “ซึ่งจะทำให้ฉันโกรธมาก เอ็ดเวิร์ด นี่ไม่รวมว่ามันจะทำให้เธอรู้สึกยังไงนะ” เธอหันไปทางแจสเปอร์ต่อ “หรือวันนึงเธอจะเป็นแบบเดียวกับพวกเรา”
มีคนทำเสียงตกใจ ผมไม่ได้มองว่าใคร

“ไม่มีทางเกิดขึ้นหรอก!” ผมตะโกน “ทั้งสองอย่างนั่นแหละ!”
ดูเหมือนอลิสจะไม่ฟังผม “มันขึ้นกับว่า” เธอย้ำ “เขาจะแกร่งพอไม่ฆ่าเธอ – แต่มันก็จะใกล้เคียงมาก เขาต้องมีการควบคุมตัวเองที่สุดยอด” เธอต่อ “มากกว่าคาร์ไลส์อีก เขาอาจจะแค่แกร่งพอ... สิ่งเดียวที่เขาแกร่งไม่พอจะทำได้ คือไปจากเธอ แพ้สถานเดียว”
ผมพูดไม่ออก ทุกคนดูเหมือนจะพูดไม่ออกเหมือนกันทั้งหมด ทั้งห้องไม่ไหวติง
ผมจ้องอลิส และทุกๆคนก็จ้องผม ผมเห็นสีหน้ากลัวๆของผมผ่านมุมมองที่ต่างๆกันห้ามุม
หลังจากเงียบกันครู่ใหญ่ คาร์ไลส์ก็ถอนหายใจ
“เรื่องนี้...มัน... ซับซ้อนจริงๆ”
“ผมก็ว่า” เอ็มเม็ตต์หนุน น้ำเสียงเขายังเหมือนคนจะหัวเราะ เชื่อเลย เอ็มเม็ตต์ยังหามุมตลกได้จากการล่มสลายของชีวิตผม
“ตกลงว่าเรายังคงแผนเดิม” คาร์ไลส์พูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “เราจะอยู่ต่อ และคอยดู เห็นได้ชัดว่า ไม่มีใครจะ...ทำร้ายเด็กคนนั้น”
ผมตัวแข็ง
“ไม่ครับ” แจสเปอร์ตอบเบาๆ “ผมตกลงตามนั้น ถ้าอลิสเห็นว่ามีแค่สองทาง...”
“ไม่!” เสียงผมไม่ใช่ตะโกน ไม่ใช่บ่น หรือสิ้นหวัง แต่ก็รวมๆกันทั้งสามอัน “ไม่!”

ผมต้องไป ต้องหนีให้ห่างจากความคิดของพวกเขา – โรสซาลี่ ขยะแขยง เอ็มเม็ตต์ ขำ คาร์ไลส์ ความอดทนที่ไม่มีวันหมด...
ร้ายกว่านั้น คืออลิส เชื่อมั่น กับแจสเปอร์ที่เชื่อมั่นในความเชื่อมั่นของอลิส
ร้ายสุดๆ คือเอสเม่ สนุก
ผมเดินออกจากห้อง เอสเม่แตะแขนผมตอนที่เดินผ่านเธอ แต่ผมไม่ได้ตอบสนองอะไร
ผมวิ่งก่อนจะพ้นตัวบ้าน วูบเดียวถึงแม่น้ำ ผมเข้าไปในป่า ฝนเริ่มตกอีกแล้ว ตกหนักจนแค่แป๊บเดียวผมก็ชุ่มไปทั้งตัว ผมชอบที่ม่านฝนบังผมไว้ กันผมออกจากโลก ห้อมล้อมผม ปล่อยผมให้อยู่คนเดียว ผมวิ่งไปทางตะวันออก ข้ามภูเขา วิ่งตรงอย่างเดียวจนผมเริ่มเห็นแสงสว่างจากซีแอตเติ้ล ผมเลยหยุดก่อนจะเข้าเขตเมือง
ปิดตัวเองท่ามกลางสายฝนคนเดียว สุดท้ายผมก็ดูว่าผมทำอะไร ในแบบที่ทำร้ายอนาคตอย่างนี้
อย่างแรก ภาพที่อลิสกับเธอคนนั้นโอบกอดกัน –ความเชื่อใจ มิตรภาพ มันช่างชัดเจน จนเหมือนตะโกนออกมาจากภาพ ตาสีช้อคโกแลตของเบลล่าไม่มีคำถามแต่ยังเต็มไปด้วยความลับ ซึ่งในตอนนี้ ดูจะเป็นความลับที่เป็นสุขด้วย เธอไม่ได้รังเกียจผิวเย็นๆของอลิส
แปลว่าอะไร? เธอรู้เยอะแค่ไหน? ในจังหวะที่มีภาพจากอนาคนภาพนั้น เธอคิดยังไงกับผม?

จากนั้นก็อีกรูป ที่แทบจะเหมือนกัน แต่เพิ่มสีแห่งความสยดสยองเข้าไป อลิสกับเบลล่ายังกอดกันอยู่ด้วยมิตรภาพที่ไว้เนื้อเชื่อใจ แต่ตอนนี้สีผิวพวกเธอไม่ต่างกันแล้ว ทั้งคู่ขาวซีด เรียบเหมือนหินอ่อน แข็งเหมือนเหล็ก ตาโตๆของเบลล่าไม่ได้เป็นสีช้อคโกแลตอีกแล้ว ม่านตาเป็นสีแดงอย่างน่าตกใจ ความลับในตาคู่นั้นไม่อาจเข้าใจได้ ยอมรับหรือเข้ากลุ่ม? บอกได้ยากครับ หน้าเธอเย็นชาและเป็นอมตะ
ผมตัวสั่น ผมไม่สามารถทิ้งความสงสัย ความเหมือน หรือความต่างไปได้ นี่จะแปลว่าอะไร – มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง? แล้วตอนนี้เธอคิดกับผมยังไง?
ผมตอบคำถามสุดท้ายได้ ถ้าผมบังคับให้เธอกลายเป็นแบบนี้ เพราะความอ่อนแอและความเห็นแก่ตัวของผม แน่นอนว่าเธอคงจะเกลียดผม

แต่มีอยู่ภาพนึงที่น่ากลัวกว่า – แย่ยิ่งกว่าภาพไหนๆที่ผมเคยมี
ตาผมเองที่แดงก่ำเพราะเลือดมนุษย์ ตาของปีศาจกับร่างของเบลล่าที่แตกหักในอ้อมแขน ขาวซีดเหมือนขี้เถ้า เลือดแห้งหมดตัว ไม่มีชีวิต ภาพนี้ก็ช่างชัดเจน แจ่มแจ้ง
ผมทนดูมันไม่ได้ ทนไม่ได้ ผมพยายามกำจัดมันออกไป พยายามนึกถึงอย่างอื่น อะไรก็ได้ พยายามมองสีหน้าเธอตอนมีชีวิตที่ขวางผมไม่ให้มองเห็นอะไรชัดๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
หัวผมมีแต่ภาพจากอนาคตที่น่าเศร้าของอลิส ภายในผมกำลังดิ้นรนเพราะความเจ็บปวดที่มันนำมาให้ ขณะเดียวกัน ปีศาจในตัวผมก็กำลังโห่ร้องยินดี ที่ดูท่าว่ามันจะสมหวัง และนั่นทำให้ผมคลื่นไส้
มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ มันต้องมีทางเลี่ยงได้ ผมจะไม่ยอมให้นิมิตของอลิสมากำกับทางเดินของผม ผมเลือกทางอื่นได้ ทางเลือกมีเสมออยู่แล้ว
ต้องมีสิ



Create Date : 25 พฤษภาคม 2552
Last Update : 25 พฤษภาคม 2552 23:12:59 น. 7 comments
Counter : 4506 Pageviews.

 
ชอบบทนี้ค่ะ ตอนอ่าน Twilight ไม่เข้าใจ Edward เท่าไหร่ ออกแนว อะไรกันนักกันหนา พ่อคู้นน
เสียดายที่ เมเยอร์ เสียใจจนไม่ยอมเขียนต่อ บท confession (ที่คุยกันในป่า) ในมุมของ Edward นี่คงจะสุดยอด แต่เราเชื่ออย่างนึงค่ะ ว่าสุดท้ายแล้ว เราก็จะได้อ่านกัน แต่อาจจะอีกนาน....
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นนะคะ


โดย: hs3puk วันที่: 25 พฤษภาคม 2552 เวลา:23:19:01 น.  

 
เย้ๆๆๆ ได้อ่านแล้วดีใจจังเลย อิอิ

ขอบคุณมากมายนะค่ะ วันนี้ต้องเป็นวันที่หลับฝันดีแน่ๆ

เห็นด้วยค่ะ ว่าต้องได้อ่านต่อแน่ แต่ต้องรอจน mayer ทำใจได้ก่อน เง้อ แต่ยังไงก็รอได้


คืนนี้หลับฝันดีนะค่ะ


โดย: amandayoyo วันที่: 26 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:27:49 น.  

 
หลับฝันดีเหมือนกันนะคะ


โดย: hs3puk วันที่: 26 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:53:58 น.  

 
อ๊ากกกก ก



เด่วจะคุยกันในป่าแล้ว
ออกมาไวไวสิ
วุ้ยๆ
ชักจะลงแดงตาย
5555*


โดย: Miiezadiixx วันที่: 28 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:55:23 น.  

 
โอ๊ย โอ๊ย...............


แทบจะทนรอไม่ไหวแล้วค่ะ ลงแดงตามไปอีกคน


ขอบคุณอย่างสูงค่า


โดย: + Sherry_na_SurinLand + วันที่: 29 พฤษภาคม 2552 เวลา:13:20:53 น.  

 
คุณ Miieฯ คุยกันในป่า เขายังเขียนไม่ถึงน่ะซี้ midnight sun มีถึงแค่บทก่อนหน้าคุยในป่านั่นแหละ ... เสียดายจริงๆ ส่วนตัวคิดว่า Midnight sun หนุกกว่า Twilight เพราะว่าชอบอยู่ในหัว Edward มากกว่า Bella
คุณ Sherryฯ รออีกสองสามวันนะคะ.. :)


โดย: hs3puk วันที่: 29 พฤษภาคม 2552 เวลา:21:04:15 น.  

 
คิดเหมือนกันว่าในหัวเอ็ดเวิร์ดสนุกกว่าหัวเบลล่า

แต่ถ้าไม่ได้อ่านเบลล่ามาก็คงไม่เข้าใจเรื่องราวและความเป็นไปค่ะ


โดย: aorp วันที่: 14 มิถุนายน 2552 เวลา:22:36:35 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

hs3puk
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add hs3puk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.