Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
11 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
Midnight Sun; Chapter 2: Open Book (2/2)

ผมยังมองตาเธออยู่ สนใจอยู่ที่ความลึกในตาที่น่าค้นหา และไม่พยายามนึกถึงสีผิวที่น่ากินของเธอ ผมกักอากาศไว้มากพอจะได้พูดยาวๆโดยไม่ต้องหายใจเข้า
"ฉันชื่อเอ็ดเวิร์ด คัลเลน" ผมพูด ถึงจะรู้ว่าเธอรู้แล้ว ผมอยากเริ่มด้วยวิธีสุภาพๆ "สัปดาห์ที่แล้วฉันไม่มีโอกาสได้แนะนำตัวเอง เธอก็คงจะเบลล่า สวอนสินะ"
เธอดูแปลกใจ เธอทำหน้านิ่วเล็กน้อย ใช้เวลาครึ่งวินาทีในการตอบผม
"เธอรู้จักชื่อฉันได้ยังไง?" เธอถาม ด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
ผมคงทำให้เธอกลัวจริงๆ นี่ทำให้ผมรู้สึกผิด เธอช่างไม่มีความสามารถในการป้องกันตัวเองเอาเสียเลย ผมหัวเราะเบาๆ -- ผมรู้ว่าเสียงนี้จะทำให้มนุษย์ผ่อนคลายขึ้น อีกครั้งที่ผมระวังเรื่องฟัน
"โอ้ ฉันว่าใครๆก็รู้จักชื่อเธอทั้งนั้นแหละ" แน่ล่ะ เธอต้องรู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นจุดสนใจของทุกคนที่นี่ "ทั้งเมืองดูเหมือนจะรอเธออยู่"
เธอทำหน้าย่นเหมือนกับไม่ชอบข้อนี้ ผมเดาว่า คนขี้อายอย่างเธอคงไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใคร แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ชอบนะ พวกเขาไม่ชอบเด่นออกมา
จากฝูง แต่ขณะเดียวกันก็อยากให้สปอตไลท์ส่องตัวเอง
"ไม่ใช่ยังงั้น" เธอพูด "ฉันหมายถึง ทำไมเธอเรียกฉันว่าเบลล่า?"
"เธอชอบให้เรียก อิสซาเบลล่า มากกว่าเหรอ?" ผมถาม งงๆว่าคำถามเหล่านี้จะพาผมไปไหน ผมไม่เข้าใจ ก็วันแรก เธอพยายามบอกทุกคนว่าเธอชอบอย่างไหน คนเข้าใจยากแบบนี้ทุกคนเวลาไม่มีบริบทให้อ่านในหัวหรือเปล่า?
"ไม่ ฉันชอบเบลล่ามากกว่า" เธอตอบพร้อมกับเอียงหัวไปด้านข้างเล็กน้อย สีหน้าของเธอ ถ้าผมอ่านถูก กำลังก้ำกึ่งระหว่างอายกับสับสน "แต่ ฉันเดาว่า ชาร์ลี พ่อน่ะ คงจะเรียกฉันว่าอิสซาเบลล่าไปทั่ว เลยดูเหมือนใครๆก็รู้จักฉันด้วยชื่อนั้น" ผิวหน้าเธอเป็นสีชมพูเข้มขึ้นอีกหนึ่งเฉด
"โอ้" ผมตอบเบาๆ ก่อนหันไปทางอื่น

ผมเพิ่งรู้ตัวว่าคำถามเธอหมายถึงอะไร: ผมพลาดไปแล้ว ถ้าผมไม่แอบฟังความคิดคนอื่นไปทั่วในวันแรก ผมก็ควรจะเรียกเธอด้วยชื่อเต็มๆ เหมือนที่คนอื่นๆเรียกเหมือนกัน เธอสังเกตเห็นความต่างตรงนี้ได้
ผมเริ่มรู้สึกอึดอัด เธอใช้เวลาน้อยมากสังเกตความผิดพลาดของผมได้ ฉลาดทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ควรจะกลัวเวลาอยู่ใกล้ๆผม
แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่า คือความสงสัยต่างๆเกี่ยวกับตัวผมที่เธอมี ดันถูกล้อคตายในหัวของเธอซะอีก
ลมที่ผมกักไว้หมดแล้ว ถ้าผมจะพูดกับเธออีก ผมต้องสูดหายใจแล้ว คงยากถ้าจะไม่คุยกับเธอเลย โชคไม่ดีของเธอ ที่ต้องมาแชร์โต๊ะกับผมและต้องทำแลบด้วยกันในชั่วโมงนี้ คงจะดูแปลกและหยาบคายแบบใครก็ไม่เข้าใจ

ถ้าผมไม่คุยกับเธอเลยระหว่างทำแลบด้วยกัน เธอจะยิ่งงงหนักเข้าไปอีก และก็คงจะกลัวมากขึ้น...

ผมเอียงตัวห่างจากเธอเท่าที่จะทำได้โดยไม่ต้องขยับเก้าอี้ หันหน้าไปด้านทางเดิน ผมกอดตัวเองไว้ พยายามควบคุมกล้ามเนื้อให้เข้าที่ แล้วก็สูดอากาศเข้าเต็มปอด ผ่านทางปากเท่านั้น

อาาา!

เจ็บปวดจริงๆครับ ทั้งที่ไม่ได้กลิ่นเธอ แต่ผมก็ได้รสเธอทางลิ้น คอผมเริ่มลุกเป็นไฟอีกครั้ง ความอยากรุนแรงเท่ากับครั้งแรกที่ผมได้กลิ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ผมกัดฟันและพยายามควบคุมตัวเอง
"เอาล่ะเริ่มได้" เสียงมิสเตอร์แบนเนอร์สั่ง

ผมต้องใช้การควบคุมตัวเองทุกเม็ดที่ผมสะสมมาเจ็ดสิบปีในการหันกลับไปทางเธอคนนั้น เธอกำลังก้มมองที่โต๊ะ และยิ้มให้เธอด้วย
"สุภาพสตรีก่อนดีไหม คู่หู?" ผมเสนอ
เธอมองหน้าผม สีหน้าเธอว่างเปล่า เธอทำตาโต สีหน้าผมมีอะไรแปลกๆหรือเปล่านะ? เธอกลัวอีกแล้วเหรอ? เธอไม่ยอมพูด
"หรือ ให้ฉันก่อน ก็ได้นะ" ผมพูดเบาๆ
"ไม่เป็นไร" เธอพูด หน้าเธอเปลี่ยนจากขาวเป็นแดงอีกครั้ง "ฉันเริ่มก่อนเอง"

ผมมองที่อุปกรณ์บนโต๊ะที่มีกล้องจุลทัศน์เก่าๆกับสไลด์หนึ่งกล่องแทนที่จะมองเลือดใต้ผิวหนังใสๆของเธอ ผมหายใจเข้าอีกครั้ง ผ่านทางปาก แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อรสชาดของมันทำเอาคอผมปวดร้าว
"โพรเฟส" เธอตอบหลังจากดูแป๊บเดียว ก่อนหยิบสไลด์ออก
"ขอดูหน่อยได้ไหม?" ช่างโง่เง่าจริงๆ ผมทำเหมือนเป็นประเภทเดียวกับเธอยังงั้นแหละ ผมยื่นมือออกไปแตะมือให้เธอหยุดเอาสไลด์ออก เวลานั้นเองความร้อนจากผิวของเธอแผ่ผ่านเข้ามาที่ผิวของผมเหมือนกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่าน -- ผมมั่นใจว่าร้อนกว่า 98.6 องศาฟาเรนไฮต์แน่ ความร้อนวิ่งผ่านมือมาจนถึงแขนของผม เธอรีบดึงมือถอยออกไป
"โทษที" ผมกัดฟันพูด อยากรีบหันไปมองอย่างอื่นเดี๋ยวนั้น ผมเลยคว้ากล้องจุลทัศน์แล้วรีบส่องกล้อง เธอตอบถูกแล้ว
"โพรเฟส" ผมเห็นด้วย

ผมยังควบคุมตัวเองไม่ได้พอจะมองหน้าเธอ ผมหายใจเข้าทางปากเบาๆ พยายามไม่สนใจความกระหายที่เกิดขึ้น ผมพยายามจดจ่ออยู่กับแลบ เขียนคำตอบลงบนกระดาษแล้วก็เปลี่ยนสไลด์
ตอนนี้เธอคิดอะไรอยู่นะ? เธอจะรู้สึกยังไงตอนที่ผมแตะโดนมือเธอเข้า? ผิวของผมเย็นยังกะน้ำแข็ง น่ารังกียจ ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมเธอถึงได้นั่งเงียบยังงี้ผมส่องกล้อง
"อนาเฟส" ผมพูดกับตัวเองขณะเขียนคำตอบลงบนบรรทัดที่สอง
"ขอดูก่อนได้ไหม?" เธอถาม

ผมเงยหน้าขึ้นมองเธอ ผมแปลกใจที่เห็นเธอกำลังรอ มือข้างหนึ่งของเธอยื่นออกมาขอกล้องด้วย เธอไม่ได้ดูเหมือนคนกำลังกลัวนี่นา หรือเธอคิดว่าว่าผมจะตอบผิด เธอคิดจริงๆหรือว่าผมจะผิด? ช่วยไม่ได้ที่ผมต้องอมยิ้มกับสีหน้ามีความหวังของเธอขณะดันกล้องไปให้
เธอส่องด้วยสีหน้ากระตือรือร้นที่หายไปอย่างรวดเร็ว
"สไลด์ที่สามล่ะ?" เธอถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาจากกล้อง เธอยื่นมือขอ ผมวางสไลด์ใส่มือให้ โดยไม่ให้ผิวของผมส่วนไหนเข้าโดนเธอได้อีก นั่งข้างเธอตรงนี้เหมือนนั่งใกล้ๆตะเกียงเลย ผมรู้สึกร่างกายผมเริ่มร้อนขึ้น

เธอมองสไลด์แป๊บเดียวก็ตอบ "อินเตอร์เฟส" เธอพูดด้วยเสียงเรียบเฉย แต่ฟังดูเหมือนใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้มันออกมาอย่างนั้น ก่อนดันกล้องกลับมาทางผม เธอไม่เขียนคำตอบ รอให้ผมเขียน ผมส่องกล้องดู และเธอตอบถูกอีกครั้ง

เราทำงานเสร็จกันแบบนี้แหละ ผลัดกันพูดคนละคำโดยไม่มองตาอีกฝ่าย มีเราคู่เดียวที่ทำเสร็จ คู่อื่นๆเห็นว่าแลบนี้ยาก ดูเหมือนไมค์ นิวตั้นจะไม่ค่อยมีสมาธิ เพราะเขาคอยจะมองคู่ผมกับเบลล่าอยู่เรื่อย
'เขาน่าจะอยู่ซะที่ที่เขาหายไปก่อนนี้' ไมค์คิดขณะมองผมโกรธๆ
อืม น่าสนใจ ผมไม่ยักรู้ตัวว่าเด็กน้อยคนนี้แอบคิดไม่ดีกับผมเหมือนกัน เพิ่งจะเกิดขึ้นนะเนี่ย น่าจะตั้งแต่ที่เด็กใหม่เข้ามาแล้ว ที่น่าสนใจหนักเข้าไปอีก ผมพบว่า--อย่างน่าแปลกใจ--ที่ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นกับเราทั้งคู่

ผมมองเธอคนนี้อีกครั้ง รู้สึกทึ่งกับอันตรายและปัญหาที่เธอสามารถทำกับผมได้ ทั้งที่เธอเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้มีลุคที่เป็นอันตรายกับใคร
ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าไมค์คิดอะไร จริงๆแล้วเธอคนนี้ก็สวยทีเดียว...ไม่ใช่สวยทั่วๆไป ดีกว่าสวยนะ ผมว่าหน้าตาเธอน่าสนใจ หน้าเธอไม่ค่อยจะสมมาตรเท่าไหร่ --คางแคบๆของเธอไม่ค่อยรับกับโหนกแก้มที่กว้าง สีสันก็ค่อนข้างตัดกัน สีอ่อนของผิวตัดกับผมสีเข้ม แล้วก็ตาคู่นั้น ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความลับ... ดวงตาที่กำลังหันมามองผมพอดี

ผมจ้องเธอกลับ พยายามเดาความลับ ให้ออกซักอันก็ยังดี
"เธอใส่คอนแทคเลนส์เหรอ?" เธอถาม
ถามแปลกจริงๆ "เปล่า" ผมเกือบยิ้มออกมา เมื่อคิดถึงว่าจะต้องปรับปรุงสายตาตัวให้ดีกว่านี้ได้ยังไงอีก
"โอ้" เธอพึมพำ "ฉันว่าตาเธอมีอะไรแปลกๆ"

ผมเย็นวาบอีกครั้งเมื่อรู้ว่าผมเกือบเผยความลับอีกครั้งแล้ว แหงล่ะ ตาผมต้องต่างไปจากที่เธอเจอผมครั้งที่แล้วแน่ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันนี้ ที่ต้องต่อสู้กับความกระหาย ผมไปออกล่าทั้งเสาร์อาทิตย์ พยายามดื่มให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ เยอะเกินไปด้วย ผมดื่มเลือดสัตว์ไปซะเยอะ แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้กลิ่นรอบๆเธอมีผลต่างไปหรอกนะ ครั้งล่าสุดที่ผมจ้องเธอ ตาของผมดำสนิทเพราะความกระหาย แต่ตอนนี้เมื่อเลือดเต็มร่าง ตาของผมจะเป็นสีออกทอง สีอำพันอ่อนๆ ผมหลุดอีกครั้งจนได้ ถ้าผมเข้าใจว่าเธอถามทำไม ผมคงจะตอบไปว่า ใช่แล้ว
ผมนั่งเรียนหนังสือกับมนุษย์ที่นี่มา 2 ปีแล้ว แต่เธอเป็นคนแรกที่สำรวจผมใกล้พอจะบอกได้ว่าตาผมเปลี่ยนสีไป สำหรับคนอื่นๆ ถึงพวกเขาจะชอบที่พวกเราหน้าตาดี แต่พอพวกเราจ้องปุ๊บ พวกเขาจะรีบหลบตาทันที พวกเขากลัวเลยไม่ยอมพิจารณารายละเอียดของพวกเราตามสัญชาตญานที่พยายามไม่เข้าใจอะไร ทำเป็นไม่สนใจถือว่าเป็นสุขแล้วสำหรับมนุษย์

ทำไมต้องเธอคนนี้ที่รู้เยอะเกินไป?

มิสเตอร์แบนเนอร์เดินมาที่โต๊ะพวกเรา ผมรีบสูดอากาศบริสทธิ์ที่ติดตัวเขามาก่อนมันจะผสมกับกลิ่นของเธอ
"เอ็ดเวิร์ด" เขาพูดขณะมองกระดาษคำตอบของเรา "ไม่คิดว่าควรจะให้อิสซาเบลล่าได้ลองส่องกล้องดูด้วยเหรอ?"
"เบลล่า" ผมรีบแก้เขาโดยอัตโนมัติ
"จริงๆแล้ว เบลล่าตอบ 3 ใน 5 ข้อครับ"
มิสเตอร์แบนเนอร์รู้สึกสงสัยก่อนจะหันมาทางเธอ "เธอเคยทำแลบนี้มาก่อนแล้วเหรอ?"
ผมมอง อยากได้ยินคำตอบเหมือนกัน เธอยิ้มที่ดูเขินๆเล็กน้อย
"เคยแต่ไม่ได้ส่องรากหัวหอมค่ะ"
"ตัวอ่อนของปลาไวท์เหรอ?" มิสเตอร์แบนเนอร์ถาม
"ใช่ค่ะ"

คำตอบนี้ทำให้เขาแปลกใจ เขาอุตส่าห์หาแลบมาจากคอร์สของนักเรียนระดับสูง เขาพยักหน้าให้เธอ "เธออยู่ในกลุ่มเรียนระดับสูงที่ฟีนิกส์เหรอ?"
"ค่ะ"
เธอเป็นนักเรียนระดับสูง ระดับฉลาดของพวกมนุษย์ ผมไม่แปลกใจหรอก
"ก็ดี" มิสเตอร์แบนเนอร์พูด "ดีแล้วที่พวกเธอทำแลบคู่กัน" เขาพึมพำก่อนเดินออกไป "เด็กคนอื่นๆจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง" ผมไม่แน่ใจว่าเธอจะได้ยินที่เขาบ่นหรือเปล่า เธอเริ่มวาดเส้นเป็นวงๆบนแฟ้มของเธออีกครั้ง

ผมหลุดสองหนภายในครึ่งชั่วโมง ผมแสดงได้แย่มาก แต่ผมก็ไม่รู้นี่นาว่าเธอคิดอะไรเกี่ยวกับผมบ้าง เธอกลัวแค่ไหน เธอสงสัยแค่ไหน ผมรู้แค่ว่าวันนี้ต้องทำให้เธอได้ความคิดใหม่ๆเกี่ยวกับผม สิ่งที่จะทำให้เธอเลิกคิดถึงอาการฉุนเฉียวของผมเมื่อเราพบกันครั้งแรก

"หิมะตกนี่แย่เลยนะ?" ผมพูด จำมาจากที่นักเรียนแถวนี้คุยกันเล่นๆ บทสนทนาน่าเบื่อที่ถือเป็นมาตรฐาน คุยเรื่องอากาศน่ะปลอดภัยเสมอ

เธอมองหน้าผมด้วยความสงสัย ทำไมปฏิกริยาสนองตอบถึงไม่ปกติกับคำถามปกติๆของผมล่ะ
"ก็ไม่เชิง" เธอตอบ ทำให้ผมแปลกใจอีกแล้ว

ผมพยายามพาบทสนทนาไปสู่เรื่องธรรมดาๆ เธอมากจากเมืองที่มีแดด อบอุ่นกว่านี้ ผิวของเธอสะท้อนสิ่งเหล่านั้นออกมาเหมือนกัน ถ้านับเรื่องแดดล่ะก็ ความหนาวที่นี่ ก็ต้องทำให้เธอไม่ชอบอยู่แล้วสิ ผิวสัมผัสที่เย็นเหมือนน้ำแข็งก็คงจะให้ผลเหมือนกัน...
"เธอไม่ชอบหนาว" ผมเดา
"แล้วก็ชื้นๆ" เธอเห็นด้วย
"ฟอร์คคงไม่เหมาะกับเธอเท่าไหร่" 'บางทีเธอก็ไม่ควรจะมาที่นี่ด้วยซ้ำ' ผมอยากจะพูดต่อ 'บางทีเธอควรจะกลับไปที่เดิม'
แต่ผมก็ไม่แน่ใจผมอยากทำยังงั้นจริงไหม ผมยังจำกลิ่นเธอได้ ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าผมจะไม่ตามล่าเธอ? อีกอย่าง ถ้าเธอไป ความคิดของเธอก็จะเป็นปริศนาตลอดไป ปริศนาที่คอยรบกวนจิตใจของผม
"เธอไม่มีวันเข้าใจหรอก" เธอตอบด้วยเสียงต่ำๆ และมองผมผ่านด้วยความไม่พอใจคำตอบของเธอไม่เคยตรงกับที่ผมคาดซักที ทำให้ผมอยากถามเธอมากขึ้น
"แล้วทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่ล่ะ?" ผมถาม น้ำเสียงผมอาจจะฟังว่าต่อว่าเธอหน่อยๆ ยังสบายๆไม่พอสำหรับบทสนทนาทั่วๆไป คำถามก็ไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่
"เรื่องมัน..ซับซ้อน"
เธอกระพริบตา แล้วก็หยุดพูดอยู่เท่านั้น ทำให้ผมแทบอกแตกด้วยความอยากรู้ ความอยากรู้เผาผมพอๆกับความกระหายที่คอ ที่จริงผมเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเวลาหายใจ ความเจ็บปวดเริ่มจะพอทนได้แล้วล่ะ
"ฉันว่าฉันตามเธอได้นะ" ผมยืนยัน บางทีใช้ความเห็นใจหน่อยเธอก็คงจะยอมตอบคำถาม เท่าที่ผมยังหยาบคายพอตั้งคำถามเหล่านั้น
เธอก้มมองมือตัวเอง ผมเริ่มหมดความอดทน ผมอยากเอามือช้อนคางเธอให้หันหน้ามาทางผม จะได้อ่านจากเธอให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทำแบบนั้นก็โง่ และอันตรายเกินไปที่จะแตะตัวเธออีก
เธอเงยหน้าขึ้น ผมรู้สึกโล่งที่ได้เห็นอารมณ์ในตาเธออีกครั้ง เธอพูดเร็วๆ
"แม่แต่งงานใหม่"

อ่าฮะ ก็เรื่องมนุษย์ธรรมดาๆ เข้าใจไม่ยากหรอก ความเศร้าฉายในตาเธอ เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย
"ถ้าแค่นี้ก็ไม่เห็นจะซับซ้อนอะไร" ผมพูด น้ำเสียงผมนุ่มโดยไม่ต้องพยายามให้มันเป็นอย่างนั้น ความเศร้าในตาของเธอทำให้ผมรู้สึกช่วยอะไรเธอไม่ได้ ผมหวังว่าผมจะพอทำอะไรให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง แรงกระตุ้นแบบนี้มันแปลกๆ
"ตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"กันยาที่แล้ว" เธอหายใจออกแรงๆ ไม่เชิงถอนหายใจ ผมกลั้นหายใจเมื่อลมหายใจอุ่นๆของเธอปะทะหน้าผม
"เธอไม่ชอบเขาเหรอ?" ผมเดา พยายามหาข้อมูลเพิ่ม
"ไม่หรอก ฟิลก็ดี" เธอตอบ แก้ความเข้าใจของผม ตอนนี้ที่มุมปากอิ่มๆของเธอเหมือนกำลังจะยิ้ม "เด็กไปหน่อย แต่ก็ดีพอล่ะ"
คำตอบแบบนี้ไม่เข้ากับที่ผมกำลังคิดในหัวเลยนะ
"แล้วทำไมไม่อยู่กับพวกเขาล่ะ?" ผมถาม น้ำเสียงผมดูอยากรู้เกินไปหน่อย ดูเหมือนผมจุ้นจ้านไปเหมือนกัน ซึ่งผมก็ยอมรับ
"ฟิลเดินทางบ่อย เขาเล่นเบสบอลอาชีพ" รอยยิ้มน้อยๆเริ่มฉายบนใบหน้าของเธอ อาชีพแบบนี้ทำให้เธออมยิ้ม
ผมก็ยิ้มเหมือนกัน โดยไม่ต้องตั้งใจทำ ผมไม่ได้พยายามทำให้เธอรู้สึกสบายๆ รอยยิ้มของเธอทำให้ผมอยากยิ้มตอบ
"ฉันรู้จักเขาไหม?" ผมไล่อ่านรายชื่อนักเบสบอลอาชีพในหัวของผม สงสัยว่าเขาคือฟิลไหน
"ไม่น่าหรอก เขาไม่ได้เก่งขนาดนั้น" แล้วเธอก็ยิ้มอีก "เขาเล่นในไมเนอร์ลีค แต่ก็เดินทางบ่อยมาก"

รายชื่อนักกีฬาเมื่อกี้เปลี่ยนไปทันที ผมสร้างตารางรายชื่อใหม่ภายในหนึ่งวินาที ในขณะเดียวกัน ผมก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างอื่น
"แม่เลยส่งเธอมาอยู่ที่นี่ เพื่อเธอจะได้เดินทางไปไหนมาไหนกับเขาได้ใช่ไหม?" ผมพูด ตั้งสมมุติฐานดูจะได้ข้อมูลมากกว่าที่เธอตอบคำถามเสียอีก
แล้วก็ได้ผลอีกแล้ว เธอยื่นคางไปข้างหน้าทำสีหน้าแบบไม่ยอมใคร
"แม่ไม่ได้ส่งฉันมาหรอก" เธอพูดด้วยน้ำเสียงปนความไม่พอใจหน่อยๆ สมมุติฐานของผมทำให้เธอไม่พอใจ แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าจะเป็นไปได้ยังไง
"ฉันส่งตัวเอง"
ผมเดาความหมาย หรือสิ่งที่ทำให้เธอเสียใจไม่ออกเลย ผมงงไปหมดแล้ว
ผมยอมละ ผมไม่เข้าใจเธอผู้นี้ เธอไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นๆ บางทีความคิดที่เงียบกริบและความหอมของเธออาจไม่ใช่สิ่งผิดปกติเดียวซะแล้ว

"ฉันไม่เข้าใจ" ผมยอมรับ ไม่อยากยอมเลย

เธอถอนหายใจ แล้วมองตาผม นานกว่าที่มนุษย์ทั่วๆไปจะทนได้
"แรกๆแม่ก็อยู่กับฉัน แต่แม่คิดถึงเขา" เธออธิบายช้าๆ น้ำเสียงน่าสงสารขึ้นเรื่อยๆ "นั่นทำให้แม่ไม่มีความสุข...ฉันเลยตัดสินว่า ถึงเวลาที่ฉันควรจะรู้จักชาร์ลีให้มากขึ้นแล้วล่ะ"
เธอขมวดคิ้วแรงขึ้น
"กลายเป็นว่าเธอไม่มีความสุขแทน" ผมพึมพำ ดูเหมือนผมจะอดไม่ได้ที่จะพูดทฤษฎีของผมออกมาดังๆ หวังว่าจะได้เรียนรู้อะไรๆจากปฏิกริยาของเธอ แต่หนนี้ไม่ได้ผลอย่างที่คิด
"แล้วไง?" เธอพูด ทำราวกับว่า ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเอามาคิดถึง

ผมจ้องตาเธอต่อไป รู้สึกเหมือนผมจะเริ่มเห็นความเป็นเธอเข้าแล้ว ผมเห็นมันจากคำเดียวนั้นแหละ คำเดียวที่บอกว่าเธอให้ความสำคัญกับความต้องการของตัวเองแค่ไหน ไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นๆเธอคนนี้ให้ความสำคัญต่อความต้องการของตัวเองต่ำ
เธอเป็นคนไม่นึกถึงแต่ประโยชน์ของตัวเอง
พอผมเห็นดังนี้ ความลึกลับเกี่ยวกับเธอผู้เป็นเจ้าของความคิดเงียบๆคนนี้ก็เริ่มจางลงเล็กน้อย

"ไม่ค่อยแฟร์นะ" ผมพูดพร้อมกับยักไหล่ พยายามทำให้ดูปกติๆ ปกปิดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไว้
เธอหัวเราะ แต่ไม่มีความขำในเสียงหัวเราะนั้นเลย "ไม่เคยได้ยินเหรอ ว่าชีวิตไม่มีคำว่าแฟร์"
ผมอยากจะหัวเราะกับคำพูดของเธอ แต่ผมเองก็เหมือนกันที่ไม่ได้รู้สึกตลกเลย ผมรู้ว่าความไม่แฟร์ของชีวิตเป็นยังไง "ฉันว่าฉันเคยได้ยินมาก่อนเหมือนกัน จากที่ไหนซักที่"
เธอมองหน้าผม ด้วยความรู้สึกสงสัยอีกครั้ง เธอหลบตาแล้วก็กลับมามองใหม่
"ก็ จบแล้วล่ะ" เธอบอกผม

แต่ผมยังไม่พร้อมให้บทสนทนานี้จบนี่ ตัววีระหว่างคิ้วและน้ำเสียงเศร้าๆของเธอยังรบกวนผมอยู่ ผมอยากใช้นิ้วลูบรอยนั้นให้เรียบ แต่ก็แหละ ผมแตะต้องเธอไม่ได้ มันไม่ปลอดภัยในหลายๆแง่
"เธอกลบเกลื่อนได้ดี" ผมพูดช้าๆ ยังคิดถึงทฤษฎีอื่นๆอีก
"แต่ฉันก็ยังอยากพนันว่าเธอเจ็บปวดมากกว่าที่เธอแสดงออกให้คนอื่นเห็น"

เธอเปลี่ยนสีหน้า หรี่ตา เม้มปาก ก่อนหันกลับไปมองหน้าห้องเรียน เธอไม่เหมือนคนที่กำลังทรมานทั่วๆไป เธอไม่ต้องการให้คนรู้ว่าเธอเจ็บปวด
"ฉันพูดผิดเหรอ?"
เธอสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ทำเหมือนไม่ได้ยินผม
และนั่นทำให้ผมยิ้ม "ฉันไม่คิดยังงั้น"
"แล้วมันมีปัญหาอะไรกับเธอหรือไง?"เธอถาม ทั้งที่ยังมองไปที่อื่น
"เป็นคำถามที่ดีมาก" ผมยอมรับ กับตัวเองมากกว่าจะตอบคำถามเธอ

เธอมองอะไรๆขาดกว่าผม เธอเห็นถึงแก่นแต่ผมแค่บินอยู่ขอบๆหาร่องรอยไปเรื่อยๆ รายละเอียดลึกๆของชีวิตมนุษย์ของเธอไม่น่าจะทำอะไรผมนี่นา ผิดแล้วที่ผมไปสนใจว่าเธอคิดยังไง นอกจากจะเพื่อปกป้องครอบครัวแล้ว ความคิดของพวกมนุษย์ถือว่าไม่มีความหมายอะไร
ผมไม่ชินกับการไม่ใช้สัญชาตญานในการไขปัญหา ผมไว้ใจความสามารถพิเศษเรื่องการได้ยินของผม ผมไม่ได้เก่งเหมือนกับที่ผมให้เครดิตตัวเอง

เธอถอนหายใจและมองไปหน้าห้องด้วยสีหน้าโกรธๆ บางอย่างเกี่ยวกับอารมณ์เซ็งๆของเธอก็น่าขำอยู่ ทั้งหมดนี่ ที่เราคุยกันนี่ ก็น่าขัน ไม่เคยมีใครตกอยู่ในอันตรายจากผมมากเท่ากับผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ ถ้าช่วงไหนที่เราคุยกันผมเผลอสูดหายใจเข้าแรงๆ แล้วผมก็กัดเธอก่อนจะได้คิด... เธอกำลังโกรธเพราะผมไม่ยอมตอบคำถามของเธอ

"เธอรำคาญฉันหรือเปล่า?" ผมถามพร้อมกับยิ้มให้เรื่องเหลวไหลทั้งหมดนี่
เธอหันมามองอย่างรวดเร็ว ก่อนตาเธอจะเหมือนติดบ่วงที่ผมกำลังจ้อง
"ก็ไม่เชิงหรอก" เธอบอก "ฉันกำลังรำคาญตัวเองมากกว่า หน้าฉันมันก็อ่านง่ายเหลือเกิน แม่ชอบบอกว่าฉันเป็นเหมือนหนังสือที่เปิดอยู่"
เธอทำหน้าย่นด้วยความไม่พอใจ

ผมมองเธอด้วยความทึ่ง เธอไม่พอใจเพราะเธอคิดว่าผมมองเธอทะลุปรุโปร่งงั้นเหรอ แปลกจริงๆ ผมไม่เคยต้องใช้เวลามากมายขนาดนี้ในการทำความเข้าใจใครซักคน มาตลอดทั้งชีวิต หรือการมีอยู่ของผม ไม่รู้จะใช้คำว่าทั้งชีวิตได้ไหม เพราะผมไม่มีชีวิต

"ตรงข้ามเลย" ผมไม่เห็นด้วยกับเธอ รู้สึกแปลกๆ โกรธ...เหมือนกับมีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ที่นี่แล้วผมก็กำลังมองข้ามไป ผมอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ลางสังหรณ์เมื่อกี้ทำให้ผมกังวล "ฉันว่าเธออ่านยากมาก"
"งั้นเธอก็คงจะอ่านเก่งมากๆเลย" เธอเดา บอกสมมุติฐานของเธอ ซึ่งก็เหมือนเดิม ตรงเผง
"โดยปกติแล้ว ก็ใช่" ผมเห็นด้วย
จากนั้นผมก็ยิ้มกว้างให้เธอ ริมฝีปากผมเปิดเผยให้เห็นฟันคมๆที่อยู่ด้านหลัง

โง่จริงๆที่ทำแบบนั้น แต่อยู่ๆผมก็เกิดอยากส่งคำเตือนบางอย่างถึงเธอขึ้นมาซะยังงั้น ตัวเธอนั่งใกล้ผมมากในตอนนี้ คงขยับเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจเพราะเราคุยกัน แต่การเตือนเล็กๆน้อยๆแบบนี้ที่เคยได้ผลกับมนุษย์คนอื่นๆมาแล้ว ดูจะไม่มีผลกับเธอเลย ทำไมเธอไม่สะดุ้งถอยออกไปเพราะกลัวนะ? ผมแน่ใจว่าเธอเห็นด้านมืดของผมเยอะพอทำให้เธอรู้ถึงอันตราย ทั้งที่เธอดูจะเป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ

ผมยังไม่ทันได้เห็นว่าคำเตือนของผมมีผลกับเธอยังไง มิสเตอร์แบนเนอร์ก็เรียกนักเรียนให้ฟัง เธอจึงหันออกไปจากผมทันที ดูเหมือนเธอจะโล่งใจที่อาจารย์มาขัดจังหวะ ดังนั้น ผมว่า ลึกๆแล้วเธอคงจะเข้าใจอยู่เหมือนกัน

หวังว่าเธอจะเข้าใจ

ผมรู้ว่าความชื่นชมเริ่มก่อตัวในใจผม แม้ผมจะพยายามถอนมันออกซะ ผมคงสามารถรับมือได้หรอกที่คิดว่าเบลล่า สวอนน่าสนใจ หรือไม่ก็ฝั่งเธอเองที่จะรับมือไม่ได้ ผมเริ่มนึกถึงครั้งหน้าที่จะคุยกับเธอ ผมอยากรู้เรื่องแม่เธอมากขึ้น ชีวิตเธอก่อนจะมาอยู่ที่นี่ ความสัมพันธ์กับพ่อ ทั้งหลายทั้งปวงที่จะบอกว่าเธอเป็นคนยังไง แต่ทุกๆวินาทีที่ผมใช้อยู่กับเธอ มันคือความผิดพลาด มันคือความเสี่ยงที่เธอไม่ควรจะต้องเจอ

เธอเสยผมจังหวะเดียวกับที่ผมกำลังหายใจเข้า กลิ่นเดิมๆของเธอกระแทกคอผมอย่างรุนแรง เหมือนวันแรกไม่มีผิด เหมือนโดนลูกปืนใหญ่ ความเจ็บปวดจากคอที่กำลังไหม้ทำให้ผมมึน ผมต้องจับโต๊ะไว้เพื่อให้นั่งติดเก้าอี้ แต่คราวนี้ผมควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ทำอะไรหัก ปีศาจในตัวผมคำรามแต่ไม่ใช่ดีใจในความเจ็บปวดของผม เขาดูจะถูกพันธนาการไว้แน่นในคราวนี้ผมหยุดหายใจทันที แล้วก็เอนตัวออกจากเธอให้ได้มากที่สุด ไม่ได้ ผมไม่สามารถรับมือได้แน่ถ้าเห็นว่าเธอน่าชื่นชม ยิ่งผมเห็นเธอน่าสนใจเท่าไหร่ ผมก็มีสิทธิ์จะฆ่าเธอได้เท่านั้น แค่วันนี้ผมก็หลุดสิ่งเล็กๆออกมาแล้วสองหน แล้วถ้าครั้งที่สามไม่ใช่อะไรที่เล็กๆล่ะ?

ทันทีที่เสียงระฆังดัง ผมก็รีบออกจากห้องทันที บางทีอาจจะทำลายความประทับใจที่ผมสร้างไว้ครึ่งทางให้เธอรู้สึกต่างจากวันแรกไปด้วย อีกครั้งที่ผมออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์และความชื้นข้างนอกซึ่งเหมือนได้รับกลิ่นหอมไล่พิษ ผมรีบหนีให้ห่างจากเธอให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
เอ็มเม็ตต์รอผมอยู่หน้าห้องเรียนภาษาเสปน เขาอ่านสีหน้าผม
'เป็นไงวะ?' เขาสงสัย
"ไม่มีใครตาย" ผมตอบ
'ดีแล้ว พอตอนหลัง ฉันเห็นอลิสโดดเรียน ฉันนึกว่า...'

ขณะเดินเข้าไปในห้องเรียน ผมอ่านความจำเขา เขามองผ่านประตูห้องเรียนชั่วโมงที่แล้ว เขาเห็นอลิสเดินตาลอยไปทางตึกวิทยาศาสตร์เร็วๆ ผมรู้สึกถึง
ความคิดของเขาในขณะนั้นที่อยากลุกออกไปหาเธอ แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเพราะคิดว่าถ้าอลิสอยากให้ช่วย เธอคงจะบอกเอง...

ผมหลับตาและรู้สึกขยะแขยงขณะนั่งลง "ฉันไม่รู้ว่ามันใกล้ถึงขนาดนั้น ฉันไม่รู้สึกว่าฉันจะ... ฉันไม่เห็นว่ามันจะแย่ขนาดนั้น" ผมกระซิบ
'ก็ไม่ได้แย่ไง' เขาปลอบ 'เพราะไม่มีใครตาย ถูกไหมล่ะ?'
"ถูก" ผมกัดฟัน "ไม่ใช่หนนี้"
'ครั้งหน้าอาจจะง่ายขึ้นก็ได้'
"แน่นอน"
'หรือไม่ นายก็ฆ่าเธอ' เขายักไหล่ 'นายไม่ใช่คนแรกที่ทำแบบนี้ ไม่มีใครตัดสินนายแย่ๆหรอก บางทีพวกมนุษย์ก็ดันหอมเกินเหตุ ฉันประทับใจที่นายทนได้นานขนาดนี้'
"ไม่ได้ช่วยเลย เอ็มเม็ตต์"

ผมไม่ชอบที่เขายอมรับการฆ่าเธอคนนั้นได้ เป็นความผิดเธอหรือไงที่เธอหอมยังงี้?

'ฉันรู้ตอนมันเกิดขึ้นกับฉัน...' เขาเล่า พร้อมพาผมย้อนกลับไปห้าสิบปี บนทางเดินฝุ่นๆในชนบทแห่งหนึ่ง ที่ๆหญิงวัยกลางคนหนึ่งกำลังเก็บผ้าปูที่นอนจากราวแขวนที่ผูกอยู่กับต้นแอ้ปเปิ้ล กลิ่นแอ้ปเปิ้ลหอมไปทั่ว ตอนนั้นหมดฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว พวกแอ้ปเปิ้ลที่ไม่ได้ขนาดถูกทิ้งกระจัดกระจายบนพื้นดิน รอยแตกช้ำบนผิวแอ๊ปเปิ้ลปล่อยกลิ่นหอมออกมา กลิ่นหญ้าที่ถูกตัดใหม่ๆส่งกลิ่นหอมอยู่ด้านหลัง เขาเดินไปตามทาง เพื่อทำธุระให้โรสซาลี่ ด้านหน้าท้องฟ้ากำลังครึ้ม แต่ฟ้าเป็นสีส้มเหนือต้นไม้ด้านทิศตะวันตก เขาคงจะเดินไปเรื่อยๆและคงไม่มีอะไรทำให้วันนี้น่าจดจำ ถ้าไม่ใช่ลมอ่อนๆที่พัดผ้าปูที่นอนขาวๆลอยเหมือนใบเรือและพากลิ่นของผู้หญิงคนนั้นมาปะทะหน้าของเอ็มเม็ตต์

"อาา" ผมครางเบาๆ ราวกับผมจำกลิ่นนั้นได้ด้วยตัวเอง
'ฉันรู้ ฉันทนอยู่ได้ไม่ถึงวินาที ฉันไม่ได้คิดว่าจะต้องทนด้วยซ้ำ'
จากนั้นความทรงจำของเขาก็โจ่งแจ้งเกินกว่าจะทนได้
ผมยืนขึ้น กัดฟันแรงพอทะลุแผ่นโลหะได้

"เอสต้า เบียน เอ็ดเวิร์ด?" ซินยอร่ากอฟฟ์ ถามผม เธอตกใจที่ผมลุกขึ้นอย่างกระทันหัน ผมมองเห็นหน้าผมในความคิดเธอ และผมก็ดูไม่ค่อยสบายมาก
"มี เพอโดนา" ผมพึมพำ ขณะเดินออกจากห้อง
"เอ็มเม็ตต์ พอร์ เฟเวอร์ พูเออดาส ตู อายุดา อะ ตู เฮอมาโน?" เธอถาม ผายมือตามผมตอนที่ผมออกห้องพอดี
"ครับ" ผมได้ยินเสียงเขาตอบ จากนั้นเขาก็ไล่ตามผม

เอ็มเม็ตต์ตามผมทันที่ตึกอีกด้าน เขาแตะไหล่ผม ผมปัดมือเขาออก ถ้าเป็นแขนมนุษย์กระดูกคงจะแตกละเอียด
"โทษที เอ็ดเวิร์ด"
"รู้แล้ว" ผมสูดลมหายใจแรงๆ พยายามไล่มันทั้งจากความคิดและจากปอด
"มันแย่เท่านั้นเลยไหม?" เขาถามโดยไม่พยายามคิดถึงกลิ่นและรสจากความทรงจำของเขาไปด้วย แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
"แย่กว่า เอ็มเม็ตต์ แย่กว่านั้น"
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง
'บางที...'
"ไม่เลย ต่อให้ฉันทำให้มันเสร็จๆไปซะมันก็ไม่ดีขึ้นหรอก กลับไปเรียนต่อเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว"

เขาหันกลับโดยไม่พูดหรือคิดอะไรแล้วเดินจากไปเร็วๆ เขาคงบอกอาจารย์ชาวเสปนว่าผมไม่สบาย หรือไม่ก็โดด ไม่ก็กำลังควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างแรง เขาจะแก้ตัวยังไงไม่เห็นจะมีผลอะไร ผมอาจจะไม่กลับไปเรียนเลยด้วยซ้ำ ผมอาจจะต้องหนีไปจากที่นี่
ผมกลับไปที่รถ รอให้โรงเรียนเลิก ผมมาซ่อน อีกแล้ว

ผมควรจะใช้เวลาตัดสินใจหรือไม่ก็หาเหตุสนับสนุนทางเลือกของผม แต่ เหมือนคนติดยา ผมดันค้นหาทั่วโรงเรียนท่ามกลางเสียงอื้ออึง หาเสียงที่ผมคุ้น ผมไม่อยากได้ยินภาพจากอนาคตในหัวอลิส หรือเสียงบ่นของโรสซาลี่ในตอนนี้ ผมหาเจสสิก้าเจออย่างง่ายดาย แต่เธอไม่ได้อยู่กับเจสสิก้า ผมจึงหาต่อไป

ความคิดของไมค์ นิวตั้นดึงความสนใจของผม แล้วผมก็รู้ว่าเธออยู่ไหน เธออยู่ที่โรงยิมกับเขา ตอนนี้เขาไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่ เพราะวันนี้ผมคุยกับเธอในห้องเรียนชีวะ เขากำลังคิดถึงคำตอบของเธอ หลังจากที่เขายกเรื่องนี้ขึ้นมาถาม

'ไม่เห็นเขาเคยคุยกับใครมากกว่าหนึ่งคำมาก่อนเลย แน่ล่ะ เขาคงจะเห็นแล้วว่าเบลล่าน่าสนใจ ไม่ชอบวิธีที่เขามองเธอเลย แต่เธอก็ดูตื่นเต้นกับเขาเหลือเกิน เธอคุยอะไรกับเขานะ? ประมาณอยากรู้จังว่าจันทร์ที่แล้วเขาเป็นอะไรนะ สินะ แต่ฟังๆดู เธอก็ไม่ได้แคร์เท่าไหร่หรอก คงจะคุยกันตามมารยาท...'

เขาบอกตัวเองเพื่อให้หยุดคิดในแง่ไม่ดีอย่างนั้นเอง เขาดีขึ้นกับความคิดที่ว่าเบลล่าไม่ได้รู้สึกสนใจในสิ่งที่เธอพูดคุยกับผม สิ่งนี้รบกวนผมมากกว่าจะยอมรับได้ ผมจึงเลิกฟังเขา

ผมใส่ซีดีที่มีเนื้อหาแรงๆเข้าไปในสเตอริโอ แล้วก็เปิดดังๆจนมันกลบเสียงอื่นๆ ผมตั้งใจฟังเพลงเพื่อไม่ให้กลับไปสนใจความคิดของไมค์ นิวตั้น หรือไปสืบเรื่องราวของเธออีก แต่ผมเผลอไปสองสามหน พอใกล้ๆจะเลิกเรียน ไม่ได้จะสืบอะไร ผมบอกตัวเอง ผมต้องเตรียมตัวต่างหาก ผมต้องรู้ว่าเธอจะออกจากโรงยิมเมื่อไหร่ แล้วเธอจะมาถึงลานจอดรถเมื่อไหร่ เพื่อเธอจะได้ไม่ทำอะไรให้ผมตกใจ

พอนักเรียนเริ่มเดินออกจากโรงยิม ผมก็ออกจากรถ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำยังงั้นทำไม ผมก็ตกปรอยๆอยู่แต่ผมไม่สนใจว่าน้ำกำลังซึมเข้าไปในเส้นผม ผมอยากให้เธอเห็นผมเหรอ? ผมหวังว่าเธอจะเดินมาคุยกับผมอีก? นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่?

ผมไม่ขยับตัว แต่ก็พยายามบอกตัวเองให้กลับเข้าไปในรถ ผมรู้ว่าอาการผมตอนนี้น่าโดนประนามจริงๆ ผมกอดอกแล้วหายใจเข้าตื้นๆขณะเห็นเธอเดินออกมา เธอไม่ได้มองผม หลายครั้งที่เธอมองไปบนฟ้าด้วยสีหน้าเศร้าๆเหมือนกับว่าฝนทำให้เธอไม่พอใจ

ผมผิดหวังที่เธอถึงรถก่อนจะเดินผ่านผม เธอจะพูดกับผมไหม? แล้วผมจะพูดกับเธอไหม?

เธอก้าวขึ้นรถเชฟสีแดงซีดๆขึ้นสนิมที่อายุมากกว่าพ่อของเธอ ผมมองเธอสตาร์ทรถ เสียงเครื่องนยต์ดังสนั่นยิ่งกว่ารถคันไหนๆที่จอดที่นี่ แล้วเธอก็ยื่นมือมาข้างหน้าเพื่อเปิดฮีตเตอร์ เธอไม่ชอบอากาศเย็น เธอใช้มือสางผมหนาๆของเธอ แผ่เส้นผมให้ลมร้อนๆผ่านเหมือนจะเป่ามันให้แห้ง ผมจินตนาการถึงกลิ่นในรถว่าจะเป็นยังไงนะแล้วก็รีบหยุดความคิดนั้นทันที

เธอมองไปรอบๆพอจะเริ่มถอยรถ แล้วในที่สุดก็หันมาทางผม เธอมองผมประมาณครึ่งวินาที ที่ผมอ่านจากตาเธอได้คือ รู้สึกแปลกใจ ก่อนจะหันไปทางอื่น แล้วออกตัวก่อนจะหยุดกึก เพราะเกือบชนรถของอีริน ทีค ท้ายรถห่างจากคันนั้นไม่กี่นิ้ว

เธอเหลือบมองกระจกมองหลัง อ้าปากด้วยความตกใจ พอคันอื่นๆขับผ่านไปแล้ว เธอก็เช็คแล้วเช็คอีก ก่อนขับออกไปได้อย่างระมัดระวังจนผมขำ เธอทำยังกับเธอเป็นตัวอันตรายมากๆในรถคุณตาคันนี้

ความคิดที่ว่าเบลล่าเป็นอันตรายต่อคนอื่นไม่ว่าเธอจะขับอะไร ทำให้ผมหัวเราะขณะเธอขับผ่านผมตามองตรงไปข้างหน้า



Create Date : 11 พฤษภาคม 2552
Last Update : 24 พฤษภาคม 2552 15:04:40 น. 4 comments
Counter : 4094 Pageviews.

 
เย้...คนแรกเลย ขอบคุณที่เอามาลงบล็อกให้อ่านกันนะคะ ...รอตอยมานานแสนนาน....


โดย: KruOng วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:40:55 น.  

 
ว้าววว หลงรักเจ้าของบล็อคนี้ซะแล้ว อิอิ

ขอบคุณมากมายนะค่ะ


โดย: amandayoyo วันที่: 21 พฤษภาคม 2552 เวลา:22:54:16 น.  

 
ชอบเอ็ดเวิร์ดแบบ



ทำให้หมี่เลือดพุ่งได้ทุกครั้งที่อ่านอะ*


โดย: Miiezadiixx วันที่: 28 พฤษภาคม 2552 เวลา:10:14:31 น.  

 
ชอบแบบนี้จังเลยค่าา


โดย: aorp วันที่: 14 มิถุนายน 2552 เวลา:22:14:34 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

hs3puk
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add hs3puk's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.