It feels like spring !!
สองสามวันที่ผ่านมาเนี่ย อากาศอุ่นขึ้นมากๆเลยค่ะ
ใครจะนึกว่าต้นเดือนมกราอากาศจะสูงถึง 60F (หกสิบกว่าๆด้วยนะ) (15.5C)
ให้ความรู้สึกเหมือนเข้าสปริงเลยค่ะ ออกไปข้างนอกใส่แจ็กแก็ตบางๆสักตัวก็โอเคแล้ว
แถมยังมีฝนตกลงมาทุกวันอีกตังหาก
วันนี้เดินนอกบ้านเจอไส้เดือนตัวอ้วนพีตั้งหลายตัวแน่ะ ><"
แต่อีกเดี๋ยวอากาศก็ค่อยๆลดกลับเข้าสู่บรรยากาศของวินเทอร์อีกรอบแล้วล่ะค่ะ
มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง ...
เมื่อตอนซัมเมอร์นะ หลังจากพิมย้ายเข้ามาบ้านนี้ใหม่ๆ บ้านข้างๆก็ประกาศขายอยู่เหมือนกันค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่งก็คุยกัน เค้าก็บอกว่ากำลังจะย้ายออกแล้วล่ะ แล้วเค้าก็ย้ายออกไป พิมก็รอว่าใครหนอจะมาเป็นเพื่อนบ้านคนใหม่ของเรา แต่ก็รอเก้อ เพราะตั้งแต่เจ้าของบ้านเก่าย้ายออกไป ก็ไม่เคยเห็นเจ้าของใหม่เข้ามาสักทีค่ะ จนชักจะแปลกใจ เพราะบ้านที่นี้ ซื้อทิ้งไว้คงจะไม่ค่อยมีหรอกค่ะ เพราะเมื่อซื้อบ้านแล้ว ก็จะต้องมีค่าผ่อนบ้านล่ะ แล้วสมมุติว่าซื้อเงินสด ก็ใช่ว่าจะหายห่วงไปเลย เพราะยังไงก็จะต้องจ่ายภาษีบ้านทุกๆปี ซึ่งหนึ่งปีจะต้องจ่ายสองครั้ง (สำหรับที่อิลินอยส์นะคะ) แล้วภาษีบ้านก็ใช่ว่าจะถูกๆ เรื่องจะซื้อบ้านทิ้งๆไว้แล้วยอมจ่ายเงินเปล่าๆไปเรื่อยๆ คงจะไม่ค่อยมีใครทำกัน เพราะแถวนี้ก็ไม่ใช่เป็นเวเคชั่นโฮมซะด้วยสิคะ
บ้านหลังนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งไว้เกือบครึ่งปี จนมาวันหนึ่งก็มีรถเข้ามาจอดหน้าบ้านสักพักแล้วก็ขับออกไป พิมก็นึกว่าเจ้าของใหม่คงจะมาแล้วละมั้ง แต่พอขับรถผ่านไปถึงได้เห็นป้ายติดไว้ว่า "Bank owned property" งั้นก็แสดงว่าบ้านนี้โดยแบงค์ยึดไปซะแล้วล่ะค่ะ สองวันผ่านไปก็มีป้ายขายปักติดอยู่หน้าบ้าน
ช่วงนี้บ้านโดนยึดกันเยอะมากเลยค่ะ เป็นเพราะช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา แบงค์ปล่อยเงินกู้กันง่ายมาก แล้วช่วงนั้นดอกเบี้ยก็ต่ำ คนก็กู้เงินซื้อบ้านกันสนุกสนาน บ้านใหม่ๆขึ้นกันคึ่กคึ่ก ยิ่งสร้างยิ่งใหญ่ ยิ่งสร้างยิ่งแพง คนซื้อก็ไม่แคร์จะกี่แสนจะเป็นล้านก็ซื้อกันไหว ขอให้ได้บ้านหลังใหญ่เอาไว้ก่อนละกัน ตอนนั้นที่ผ่อนได้เพราะอะไรละค่ะ
อย่างนี้นะคะสมมุตินะ บ้านหลังละสามแสนกว่า คนซื้อมีเงินมาสองหมื่นสามหมื่นก็สามารถซื้อบ้านได้ ที่เหลือผ่อนธนาคารกันไปซึ่งบางคนเลือกจ่ายแบบไม่ Fix ดอกเบี้ย เมื่อก่อนดอกเบี้ยต่ำก็สบายค่ะ แต่ผ่านไปทุกปีดอกเบี้ยก็เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ลำบากสิคะทีนี้
แล้วอย่างที่บอกคือ ซื้อบ้านแล้วยังต้องจ่ายภาษี บ้านใหม่ๆน่ะที่นี้จะคิดภาษีบ้านสองเปอร์เซนต์กว่าๆของราคาซื้อบ้านค่ะ ยิ่งบ้านราคาแพง ภาษีก็ยิ่งแพงตามไปด้วย แล้วภาษีบ้านก็รับรองได้ว่าขึ้นราคาทุกปีค่ะ แล้วถ้าใครไม่จ่ายภาษีสองปี (สี่งวด) เค้าก็จะยึดบ้านเราไปนะคะ
เค้าจะมีวิธีการแบบนี้ด้วยค่ะ สมมุติว่าถึงเวลาจะต้องจ่ายภาษีแล้ว แต่เรายังไม่จ่าย ทางซิตี้ก็จะคิดดอกเบี้ยไปเรื่อยๆตามวันที่เราเลทเลยค่ะ ถ้าเราไม่จ่ายสองงวด ซิตี้จะเอาบ้านเราขึ้นลิสต์เอาไว้ ซึ่งลิสต์นี้ถ้าใครมาเห็นแล้วถูกใจ ยอมจ่ายภาษีให้กับทางรัฐเป็นเวลาสองปี คุณก็จะได้บ้านนั้นไปเลยค่ะ ถ้าเจ้าของบ้านไม่ยอม จะขอจ่ายกลับก็ต้องเสียดอกเบี้ยให้คนที่จ่ายภาษีให้กันไป หรืออาจจะขึ้นโรงขึ้นศาลกันไปก็ได้ ถ้าไม่มีใครยอมใครนะคะ
ช่วงนี้ตลาดบ้านเริ่มซบเซา บ้านขายกันไม่ค่อยจะออก ลดราคากันลงมาเป็นแถว พวกที่ไม่มีเงินผ่อนให้แบงค์ ก็โดนยึดไปอย่างข้างๆบ้านพิมเนี่ยค่ะ แล้วบ้านโดนแบงค์ยึดบางบ้านนี่นะคะ ก่อนออกก็ทำลายบ้านซะเยินเลยค่ะ ถอดเอาประตู ตู้ อุปกรณ์ต่างๆในบ้านออกมาขายเป็นชิ้นส่วน บ้านก็เหลือแต่โครงเท่านั้น ก่อนที่จะซื้อบ้านนี้พิมก็เคยไปดูบ้านที่โดนแบงค์ยึดมาหลังนึงค่ะ บ้านยังใหม่มากอยู่เลยแต่ว่าโดนถูกกระทำซะเยินเหมือนกันค่ะ
หมู่บ้านใหม่ๆที่กำลังสร้างก็เห็นเลิกกันไปหลายที่แล้วเหมือนกัน ผู้คนเริ่มออกมาบอกความต้องการให้รัฐช่วยตรึงอัตราดอกเบี้ยอย่าให้สูงขึ้นไปกว่านี้ ผลกระทบคือคนธรรมดาที่ไม่ได้อยู่อย่างราชา แต่มีเงินเก็บในแบงค์ดอกเบี้ยก็จะต้องโดนลดลงไปด้วย
ไหนๆก็พูดเรื่องเงินแล้ว ก็ขอคุยเรื่องบัตรเครดิตต่อหน่อยเถอะค่ะ วันก่อนดูหนังสารคดีเกี่ยวกับการใช้บัตรเครดิตเนี่ยล่ะ ชื่อเรื่อง Maxed Out
คือทางธนาคารก็แย่นะคะ พยายามยั่วยวนให้คนใช้บัตรเครดิตของตนมากๆ เพื่อจะได้เก็บดอกเบี้ยจากการใช้เงินเกิน ซึ่งดอกเบี้ยสูงมากล่ะ แต่ของอย่างนี้ไม่มีการบังคับนะคะ มีแต่โวลันเทียร์ที่จะใช้ ถูกมั๊ย พอคนที่ไม่รู้จักประมาณตัว อะไรก็รูดปรี๊ด รูดปรี๊ด พอยอดเงินมาจ่ายไม่หมด ก็ทบต้นทบดอก จากเงินจำนวนนิดเดียวก็กลายเป็นเงินจำนวนมากไปได้ แล้วก็มาร้องร่ำว่าแบงค์ใจร้าย ไม่มีเงินจ่ายจะให้ทำยังไง บางคนถึงกับฆ่าตัวตายหนีหนี้แล้วครอบครัวก็ไปโทษว่าแบงค์ผิด
แต่พิมฟังดูแล้วก็ว่าแปลกๆนะคะ ตอนใช้ละไม่นึก รูดปรี๊ดกันสนุก พอเค้าจะทวงเงินคืนไม่มีก็ไปว่าเค้า คนเราเนี่ยถ้าไม่รู้จักประมาณตัวแล้วก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วนะคะ
เรื่องทั้งหมดที่เขียนมาวันนี้ถือเป็นความคิดส่วนบุคคลนะคะ อาจจะมีใครที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยก็ได้ ไม่เป็นไรค่ะ คนเราถ้าคิดเหมือนกันหมดก็ไม่สนุกสินะ แต่นี้คือส่วนหนึ่งของความคิดของพิมที่อยากจะแชร์กับเพื่อนๆ ข้อมูลทั้งหมดไม่มีอะไรจะให้อ้างอิงจากที่ไหนหรอกนะคะ
พิมกับพี่โจ้ยังเคยคิดกันเล่นๆเลยว่า การใช้ชีวิตให้คุ้มน่ะมันคืออะไรกันแน่
อดออม เก็บออม จับจ่ายใช้สอยอย่างประหยัด รู้จักประมาณตน ถ้ารู้ว่าตนไม่สามารถก็ไม่ไขว่คว้าหาหนี้ใส่ตัว อยู่กันอย่างสมถะ พอมีพอกินพอเก็บ ไม่ต้องถึงกับอดอยากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย
หรือ
ใช้ไปเลย อยากได้อะไรก็ต้องได้ อยากมีบ้านหลังสี่ห้าล้านก็หา อยากขับรถสุดหรูก็ขับ ชีวิตหนึ่งเอาให้สุดๆไปเลย เดี๋ยวก็ตายแล้ว มีหนี้ก็ผ่อนไปเรื่อยๆ ใครจะรู้เราอาจจะตายก่อนผ่อนหมดก็ได้ แต่ถึงตายก็คุ้มเพราะใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะเป็นอยากจะมีแล้ว ถ้ามัวแต่เก็บเกิดตายเร็วก็อดใช้กันเท่านั้น
......................
Create Date : 09 มกราคม 2551 |
|
18 comments |
Last Update : 9 มกราคม 2551 5:43:53 น. |
Counter : 663 Pageviews. |
|
|
|
อยู่ที่ว่าใครทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำๆไปเถอะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเป็นพอ
สำหรับเราชอบแบบพอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ประมาณว่านกน้อยทำรังแต่พอตัว หรือ ช้าๆได้พร้าเล่มงาม แต่อันหลังนี้ไม่ค่อยชอบแฮะกลัวพร้าขึ้นสนิมซะก่อน