ตุลาคม 2561

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
น้ำตาดวงดาว 3



ถนนลาดยางที่มีไอละอองแดดลอยเป็นเปลวขึ้นไปบนอากาศบอกให้เอื้อมดาวรู้ว่าวันนี้สภาพอากาศจะร้อนทบทวีกว่าปกติอย่างแน่นอน หญิงสาวเป็นห่วงอาการป่วยกระเสาะกระแสะของนางลำเจีอกที่โรงพยาบาลจิตเวชจะกำเริบหนักขึ้นมาอีกครั้ง เพราะหลังจากเดินด้วยอาการเร่งรีบไปให้พ้นออกมาจากโรงแรมหรูแห่งนั้นหญิงสาวก็รุดตรงไปถามอาการของผู้มีบุญสูงสุดในชีวิตอีกคนหนึ่ง จนปลายสายเอ่ยถามมาว่า ...

“ คุณต้องการทราบอะไรคะคุณดาว ...”

“ ฉันเอ่อ ... อยากรู้อาการป่วยของป้าลำเจียก ห้อง 36 ค่ะคุณพยาบาล...”

“ เมื่อตอนบ่ายป้าเจียกไข้ขึ้นสูง เพ้อและก็อาเจียนออกมาอยู่หลายครั้ง ตอนนี้คุณหมอวิชาญให้นอนพักฟื้นที่ห้องดูอาการค่ะ แล้วคุณเป็นใครเหรอคะ เป็นญาติป้าเจียกหรือเปล่า...”

“ ค่ะคุณพยาบาล ฉันเป็นญาติเพียงคนเดียวของป้า ...”

“ งั้นก็ดีแล้วที่เจอคุณ เพราะเมื่อตอนบ่ายคุณหมอบอกว่าช่วงนี้ญาติป้าเจียกต้องมาดูแลป้าอย่างใกล้ชิด ดีกว่าจะให้พยาบาลเวรดูแลกันเอง เพราะไม่รู้ว่าป้าจะอดทนกับโรคเบาหวานที่เรื้อรังนี้ได้อีกนานแค่ไหน ไม่มีใครรับประกันได้..”

“ แล้วฉันต้องทำยังไงค่ะคุณพยาบาล...”

“ ก็อย่างที่บอก ... คุณต้องมาดูแลป้าเจียกเอง เผื่อว่า ... เอ่อ อาการทางใจจะดีขึ้นมากว่าในตอนนี้...”

“ ค่ะ ค่ะฉันจะไปที่นั่นในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อจากนี้....”

ดาววางสายโทรศัพท์อย่างคนจิตใจอ่อนล้า เพราะเป็นห่วงในตัวยายลำเจียกผู้มีพระคุณสูงสุดในชีวิตว่าจะเป็นอะไรไปมากหรือเปล่า หรืออาจเป็นเพราะความผิดของตนเองทีเดียวที่ไม่ได้มาดูแลยายลำเจียกในช่วงนี้ มัวติดแต่เรื่องหนีอะไรบ้าๆ ก็ไม่รู้ เป็นไงล่ะตอนนี้เกือบสายเกินไปแล้ว นี่ถ้าป้าเป็นอะไรไปจะไม่ให้อภัยตนเองตลอดชีวิต ...

หญิงสาวพึมพำบ่นกับตัวเอง ก่อนจะเดินออกมาป้ายรถเมล์ที่อยู่ถัดไปอีกสองเสาไฟฟ้า ด้วยอารมณ์เหม่อลอยเช่นเดิม

ระยะทางที่เอื้อมดาวมาถึงโรงพยาบาลจิตเวช ใช้เวลานานกว่าปกติเพราะผู้โดยสารที่แน่นขนัดเต็มคันรถ พอมาตึกผู้ป่วยประจำหญิงสาวเร่งรุดเข้าไปในทันที จนเห็นว่ายายลำเจียกระบายยิ้มน้อยๆ แต่ซีดเซียวขาดชีวิตชีวาของชีวิตอยู่บนเตียงนอนสีขาว โบกมือเข้าไปหา ...

“ ดาวของป้ามาแล้ว...”

เสียงเอ่ยทักของผู้อาวุโสทำเอาหยดน้ำตาของดาวหยดรินอาบสองแก้มนวล ยิ่งเมื่อเห็นสายยางที่พาดระโยงระยางไปมาเต็มไปหมดน้ำตาเจ้ากรรมไหลทะลักออกมาจนกลั้นไว้ไม่อยู่อีกทำนบใหญ่ .... พยาบาลสาวสองสามคนอดแปลกใจไปไม่ได้ที่เห็นหญิงสาวร่างเล็กบอบบางนอนกลั้วน้ำตากับคนไข้เป็นเวลานานสองนาน ก่อนจะเงยหน้าแล้วสนทนากัน ...

“ ป้าเจียกเป็นยังไงบ้างจ๊ะ ...ปวดเมื่อยตรงไหนบอกดาวมาได้นะ..”

“ โธ่ดาวเอ๋ย ... ชีวิตแกก็ลำบากมากพออยู่แล้ว ยังมาห่วงป้าอีก… ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไรแล้ว ”

“ ดาวรู้นะว่าป้าไม่สบายมาก ตลอดเวลาที่ ดาวหายไป ป้าคงลำบากมาก ..”

“ วุ้ย ...ลำบากอะไรวะ อยู่ที่นี่กินนอนไปวันๆไม่เห็นต้องไปลำบากคุ้ยหาเศษขยะข้างนอกนั่น..” นางลำเจียกพยายามระบายยิ้มที่ฝืดฝืนเต็มทีออกไปเพื่อให้คนฟังสบายใจ แต่หญิงสาวกลับบีบมือผู้อาวุโสแน่น น้ำตาไหลนองหน้าอยู่เช่นเดิม ...

“ ดาวดีใจที่ป้าชอบที่นี่ วันนี้คุณพยาบาลฟ้องดาวว่าป้าไม่ยอมทานข้าว..”

“ ก็มันเบื่อนี่นา เช้าข้าวต้ม กลางวันซุป ตอนเย็นโจ๊กตบท้าย ... ไม่ให้อ้วกก็ไม่รู้จะว่าอะไรแล้ว ..”

“ อาการของป้าเจียกอยู่ในช่วงรอดูอาการ ให้คุณหมอท่านได้เช็ครายละเอียดโรคซะก่อนได้ไหมป้า ดาวขอสัญญาว่าถ้าป้าหายจากโรคนี้เมื่อไหร่ จะพาไปกินส้มตำรสเด็ดข้างสถานีตำรวจเจ้าประจำของเราสองคนให้ได้อย่างแน่นนอน ...”

“ ป้าไม่เป็นไรแล้ว เห็นไหมว่ายกแขนข้างนี้ขึ้นเหมือนเก่าแล้ว...” นางลำเจียกพยายามที่จะยกแขนขวาที่หนักอึ้งขึ้นสูงให้สูงขึ้นเพื่อแสดงว่าตนเองแข็งแรงดีเกือบเหมือนปกติ หญิงสาวไม่ต้องเป็นห่วงอะไร...

“ จ๊ะ ดาวเชื่อป้าเจียกแล้ว ...”

“ แล้วดาวเป็นยังไงบ้าง เลิกทำงานที่ร้านคาราโอเกะนั่นหรือยัง...”

“ ดาวบอกป้าเจียกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าได้งานทำที่นวนคร เป็นสาวโรงงานเย็บผ้าโหลเล็กๆ คนงานประมาณสองสามร้อย เจ้านายเป็นคนญี่ปุ่น ระเบียบจัดมาก แต่เขาก็จ่ายเงินสูงเช่นกันนะป้า ...”

ดาวระบายยิ้มตอบผู้อาวุโสที่ปรากฏยิ้มน้อยที่มุมปากเช่นกันก่อนจะเล่าต่อไปอีกว่า ...

“ วันนี้ดาวเอาเงินที่เก็บได้เล็กน้อย จากน้ำพักน้ำแรงมาให้คุณพยาบาลไว้เป็นค่ายา ค่ารักษาพยาบาล ค่าเฝ้าไข้ของป้าและค่าจิปาถะอีกหลายอย่าง ป้าอยู่ที่นี่ให้สบาย ไม่ต้องคิดมากเรื่องเงิน ... ดาวอยู่ข้างนอกจะหาเงินมาเยอะๆมาให้ป้าเจียกเก็บไว้ส้รางบ้านสำหรับเราอยู่กันสองคนเนอะป้าเนอะ...”

“ ป้าดีใจที่ช่วยคนไว้ไม่ผิด....”

“ เพราะดาวเชื่อป้า ทุกอย่างเลยลงตัวง่ายแบบนี้....”

“ เออ ...วันนี้ดาวไม่ทำงานเหรอจ๊ะ...”

นางลำเจียกเปลี่ยนเรื่องคุยไปสัพเพเหระ ไม่อยากให้หญิงสาวกังวลเรื่องเจ็บป่วยที่เห็นตรงหน้ามากเกินไป เป็นเพราะรู้ว่าเอื้อมดาวเป็นคนดี แต่โชคร้ายในชะตาชีวิต ...หญิงสาวคนนี้เป็นคน กตัญญูต่อตัวนาง สู้ทำงานหนักเอาตัวเข้าแลกเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งความสะดวกสบายกับบรรเทาท้องไส้ที่กำลังหิวโหยในทุกเมื่อเชื่อวัน ...

นางรู้ดีว่าการขายตัวหากินเป็นเรื่องไม่ดี แต่ชีวิตคนจนๆ ไม่มีหนทางให้เลือกมากนัก ....

“ เอ่อ ...คือ...ดาว หยุดทำงานสักระยะน่ะป้าเจียก...”

“ หยุดทำงานที่วิกตอเรียน่ะเหรอดาว ทำไมล่ะมีอะไรกับนังประคองมันหรือเปล่า...”

“ ป้าคองไม่ได้มาเกี่ยวเรื่องนี้หรอกจ๊ะป้า .... ดาวหนีออกมาทำงานข้างนอกเอง ....”

“ อะไรนะนวล.. ตอนนี้ดาวออกมาทำงานข้างนอก ...ที่ไหน ...อย่าบอกนะว่าข้างสวนสาธารณะใกล้อนุสาวรีย์...”

“ ในเมืองนี้จะมีที่ไหนอีกล่ะป้าเจียก ... ดาวไปหาแขกที่นั่นแหละ...”

“ เวรกรรม ... นี่พวกเราจะหมดหนทางทำมาหากินกันไปแล้วเหรอนี่....” นางลำเจียกประคองถอนหายใจอย่างปลงตก สบตามองอีกฝ่ายที่น้ำตาจะไหลขึ้นมาอีกครั้งตามประสาคนใจอ่อน รับความรู้สึกที่สื่อกันได้ดี ..

“ ก็พอมีลูกค้าบ้างบางคนที่จำได้ว่าดาวเคยอยู่ที่ร้าน ไม่ลำบากอะไรหรอกป้า ... อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้หมด...”

“ แล้วนังคอง ...มันไม่โวยวายเอาดเหรอดาว ที่หนีออกมาแบบนี้....”

“ ป้าคองเข้าใจเหตุผลที่ดาวหนีออกจากร้านกะทันหัน .... มันสุดวิสัยจริงๆ ทำอะไรมากกว่านี้ไมได้..”

“ แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ อยู่ทั่น่นมันก้ดีแล้ว มีข้าวกิน มีคนคุ้มครอง มีงานทำ ถึงแม้มันจะเป็นงานที่ใครๆต่างก็รังเกียจก็เหอะ แต่ก็ยังดีกว่าพวกโกงกินบ้านเมือง สร้างความร้าวฉานให้คนหมู่มาก...”

“ ดาวหนีออกมากับสีนวล เพราะเหตุผลส่วนตัวงี่เง่าอะไรก็ไม่รู้ป้าเจียก ...”

“ ถ้าไว้ใจป้าก็เล่าให้ป้าฟังก็ได้นะดาว เราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล...”

“ ที่ดาวมาหาป้าวันนี้ก็จะมาเล่าเรื่องนี้ให้ป้าฟังนี่แหละ...”

พอดาวเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางลำเจียกฟังอย่างละเอียด ทั้งสองจับมือกันแน่นถ่ายทอดความรู้สึกเป็นห่วงจับใจให้แก่กัน กระทั่งพยาบาลเวรเดินมาพร้อมถาดยานางลำเจียกพยักหน้าบอกให้หญิงสาวกลับไปก่อนแล้วค่อยมาใหม่วันหลัง ...
ดาวค่อยกระเถิบตัวออกมานั่งข้างนอกจนเจอกับหมอวิชาญที่เดินมาทักทาย พร้อมกับหยอกล้อว่าจำได้ว่าเป็นญาติคนเดียวของนางลำเจียก .... ดาวหลบสายตาหมอหนุ่มแห่งโรงพยาบาลจิตเวชที่กำลังจ้องมาไปมองพื้น การสนทนาเป็นไปอย่างฝืดเฝือ ก่อนจะจบลง ... เมื่อดาวขอตัวเลี่ยงเดินออกมาว่ามีธุระที่จะไปทำในตัวเมือง ....

พอเดินมาถึงมุมตึกหน้าใกล้ถนนใหญ่เอื้อมดาวต้องหลบเข้ามุมบังตัวเองอย่างรวดเร็วเมื่อมองเห็นร่างสูงใหญ่แสนคุ้นเคยของใครสักคนกำลังเดินตรงมาจากรถสปอร์ตสีแดงเพลิงคันโตใกล้ถึงจุดที่หญิงสาวยืนอยู่ ห่างออกไปไม่ถึงห้าสิบเมตร ..
หัวใจที่เต้นแรงเหมือนกองระรัว ... เมื่อหลบทันบอกตัวเองว่าต้องหนีให้ห่างชายคนนี้ เพราะเป็นอันตรายต่อหัวใจข้างในเหลือเกิน ... เกินที่จะยับยั้งให้ได้กลับมาเหมือนเดิม เหมือนแต่ก่อนที่จะเจอกันเมื่อคืนนี้ ...

แต่แล้วดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเมื่อคนตัวสูงแวะมาแค่ฝากของสองชิ้นแล้วผละเดินขึ้นรถสปอร์ตออกไป...

ดาวถอนหายใจโล่งอกออกมาอย่างเบาใจ มองรถคันหรูลับตาจึงเดินหลบจากที่ซ่อนขึ้นฟุตบาธตรงออกปไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อกลับบ้านเช่าไถ่ถามสีนวลว่าจะเอายังไงต่อไปดี

---------------------------------

พอผลักบานประตูสังกะสีเข้าไปในบ้านเช่าราคาถูก พอคุ้มแดดคุ้มฝนได้ในราคาไม่ถึงพันเข้าไปก็มองเห็นว่าสีนวลกำลังนั่งสบาย ๆ กับพื้นเสื่อน้ำมันตาจ้องเป๋งอยู่บนจอโทรทัศน์สิบสี่นิ้ว พร้อมจานส้มตำปูปลาร้าวางตรงหน้าพร่องลงไปเล็กน้อย ... เหลือบตามามองรับรู้ว่ามาถึงแล้วเหรอสีนวลจึงถามขึ้นว่า ...

“ อ้าวดาวกลับมาถึงแล้ว ... เป็นยังไงบ้าง แขกเมื่อคืนใจป้ำดีหรือเปล่า...”

“ เอ้อ ... เรื่องมันยาว เดี๋ยวขอไปอาบน้ำแล้วจะมาเล่าให้ฟังนะจ๊ะนวล...”

“ ได้ตามสบายเลย เสื้อผ้าดาวที่แช่ไว้เมื่อวาน เราซักให้หมดแล้ว...”

“ เฮ้ยทำทำไมนวล ฉันบอกแล้วไม่ต้องซักเสื้อผ้าเราอีกแล้ว...”

“ ก็ฉันเห็นมันวางทิ้งไว้ แล้วดาวก็ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ ... แต่ไม่เป็นไร แค่นี้เรื่องเล็กน้อยน่า..”

“ ไม่ดีเลย เหมือนเราเอาเปรียบนวลยังไงไม่รู้...”

“ คิดอะไรมากจ๊ะดาว เราเป็นเพื่อนกันต้องช่วยเหลือกันซี ... ฉันว่าเธอรีบไปอาบน้ำก่อนเหอะ แล้วค่อยมาเล่าสิว่าเมื่อคืนเป็นยังไงบ้างตื่นเต้นสนุกสนานอะไรดีไหม...”

ดาวคล้อยหลังไป สีนวลยังคงตาจ้องเป๋งอยู่รายการโปรดทางทีวี พอสักครู่ใหญ่ดาวก็เดินออกมาพร้อมกลิ่นหอมฉุยจากสบู่ราคาถูก เส้นผมที่เปียกลวกๆถูกเช็ดให้แห้งเรียบร้อยดีแล้ว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างสีนวลแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางอย่างคนมีกังวล ...

“ เธอหนีคนรูปหล่อคนนั้นมา ทั้งๆที่เขาดีกับเธอขนาดนั้นน่ะเหรอจ๊ะดาว...”

“ ยังไงก็ต้องออกมาจากที่นั่น ... คุณวินเขาดีเกินไป ... ดีเกินกว่าที่คนเลวอย่างพวกเรา ๆ จะไปเกลือกกลั้วสวรรค์ชั้นฟ้านั่นได้อีกต่อไป และที่สำคัญฉันกำลังกลัวว่าเรื่องราวจะเหมือนตอนเจอคุณแทน...”

“ โธ่ดาวเอ๊ย ... ทำไมไม่อยู่รอเยี่ยมวิมานให้มันหนำใจก่อนน้อ ... ค่อยกลับมาบ้านเช่าสับปะรังเคนี่ก็ได้ ...”

“ ฉันนอนคิดดีแล้วทั้งคืนจ๊ะนวล ...ว่าถึงแม้คุณวินจะพูดว่าชอบฉัน หลงในตัวฉันยังไงก็ตาม แต่สุดท้ายพวกเราก็หลอกตัวเองว่าไม่ได้เป็นอีตัวข้างถนนไปไม่ได้ ..จริงมั้ยนวล ...”

สีนวลนิ่งมองคนเล่าไปครู่ใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ หนักใจในความคิดของเพื่อนร่วมชะตากรรมคนนี้เสียเหลือเกิน
คนเราจะหนีความเป็นจริงในชีวิตไปได้ยังไงกัน ในเมื่อทุกอย่างในชีวิตเราไม่ได้เป็นผู้ควบคุมมันได้เลยสักเรื่องเดียว…

“ ฉันขอออกความเห็นว่าคุณวิน คุณแวนอะไรนี่น่ะ เขาคงไม่สนใจหรอกว่าเธอจะเป็นใคร มีอาชีพอะไร ขายตัวแลกข้าวสามมื้อหรือไม่ เพราะอะไรรู้ไหมดาว ... ก็เพราะเขาประกาศตัวออกมาแล้วว่าชอบเธอ ทั้งๆ ที่มันไม่มีทางจะเป็นไปได้สักนิดเดียว ...เขายังกล้าจะเสี่ยง ฉันเชื่ออีกอย่างหนึ่งนะดาว เชื่อว่าคนที่มีเงินทอง มีสมบัติล้นฟ้า ... บางทีความสุขที่เขาอยากจะหาได้ตลอดชีวิตอาจจะเป็น แค่ แค่อยากจะมีใครสักคนให้ได้รัก ... เท่านั้น...”

“ ฉันไม่อยากจะคิดแบบนี้ เพราะมันไม่มีทางจะเป็นไปได้ ... คนเราพบเจอกันคืนเดียว จะมาผูกพันกันมากมายได้ยังไงกัน และที่สำคัญ ฉันก็ยังไม่รู้ความคิดเขาแน่ชัด ...”

“ เอาเป็นว่าป่านนี้เขาคงตามหาเธอให้ขลัก ...”

“ เมื่อกี้ฉันแวะไปหาป้าเจียกก็เจอเขาอยู่ที่นั่น หลบเสียแทบตายแนะนวล...”

“ เป็นไปได้ไหมที่เขาสจะรู้ว่าป้าเจียก ญาติคนเดียวของดาวพักรักษาตัวที่นั่น...”

“ โนเวย์ ไม่มีทางจ๊ะนวล .... เขาอาจจะมีธุระอะไรบางอย่างก็ได้ ...”

“ ช่างมันเถอะนะดาว ถ้าเขาเป็นคู่เธอจริง สักวันคงได้เจอกันอีกแน่นอน...”

“ ไม่ ไม่หรอกจ๊ะนวล ... ฉันไม่อยากเจอเขาอีกแล้ว ... อยากจะทำงานหาเงินอย่างเดียว....”

“ โธ่ดาว ... อย่าปิดกั้นตัวเองอย่างนั้นสิ ถ้าเขาไม่รักเธอคงไม่ไปเฝ้าอยู่เป็นเดือนขนาดนั้นหรอก และที่สำคัญเขากล้าคนอย่างพวกเราไปถึงที่พักหลับนอนของเขา แถมให้พักค้างแรมโดยไม่ตั้งข้อรังเกียจในเนื้อตัวของเราเลย นี่ก็คงจะพิสูจน์ได้เพียงพอแล้วใช่ไหมว่าคุณมาวินคนนี้ เขาชอบเธอจริง ...”

ดาวนั่งบิดตัวสีหน้ากระสับกระส่ายที่ได้ยินความคิดเห็นของสีนวล ... ซึ่งความจริงทั้งหมดที่หญิงสาวพูดมาดาวรับรู้อยู่แล้ว แต่ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นตามมานี่สิ ไม่อยากจะคิด ลำพังแค่ปัญหาหลบหนีการตามหาของแทนคุณก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว ถ้ามาเจอปัญหาเกือบซ้ำซากของมาวินอีกคงไม่ดีแน่ ๆ ... จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า ...

“ ตอนนี้ช่างมันเถอะ ... อะไรจะเกิดมันคงต้องเกิด ฉันไม่อยากจะคิดอะไรล่วงหน้า ปวดหัว... ว่าแต่ว่าตอนนี้นวลอิ่มส้มตำข้าวเหนียวหรือยัง ...”

“ ทำไมเหรอจ๊ะดาว ... จะไปไหนเหรอ..”

“ เราจะไปไหว้พระที่วัดป่าสาลวันสักหน่อย นวลไปเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ...”

“ ได้ ได้สิดาว เราอิ่มพอดี ...ขอเวลาอาบน้ำสิบห้านาที ...”

“ ขอบใจจ๊ะนวล ไม่ต้องรีบก็ได้ เราจะดูทีวีรอ...”

กว่าที่ทั้งสองสาวจะเดินออกจากบ้านเช่าเพื่อไปไหว้พระที่วัดป่าสาละวันก็ในอีกสามสิบนาทีต่อจากนั้น ... รถสองแถวสายสิบเอ็ดสภาพกลางเก่ากลางใหม่ได้พาทั้งสองมาถึงภายในวัดในอีกสิบห้านาที ติดสองไฟแดงเท่านั้น ...


สีนวลปลีกตัวออกไปบูชาธูปเทียนดอกไม้ พร้อมถังสังฆทานในฝั่งตรงข้ามกำแพงวัด ส่วนดาวขอนั่งพักเหนื่อยคุยกับแม่ค้ารถเข็นขายผลไม้ไปพลาง ๆ ...

“ มาไหว้พระเหรอจ๊ะหนู ...” หญิงชราท่าทางเหนื่อยยากการทำมาหากินมาตลอดชีวิต ผมหงอกขาวโพลนเต็มหัว ผิวหนังเหยี่ยวย่นชราภาพเกินหกสิบปีเอ่ยทักหญิงสาวทันที่ทรุดตัวลงนั่งที่ม้าหินอ่อน...

“ จ๊ะยาย...ใกล้วันพระใหญ่ หนูก็เลยมาถวายสังฆทานล่วงหน้า กลัวถึงวันนั้นจะไม่มีเวลา...”

“ ดีนะนี่อีหนู ... อายุน้อย ๆ หัดทำบุญทำทาน บั้นปลายชีวิตจะได้สบายๆไม่ต้องลำบากอย่างป้าตอนนี้ ...”

“ ทำไมจ๊ะยาย ยายเคยสบายมาก่อนใช่หรือเปล่า...”

ดาวขมวดคิ้วด้วยความสงสัยที่ทำไมหญิงชราแม่ค้าผลไม้ในวัดถึงมีชีวิตที่สบายมาก่อนลำบากในตอนนี้ จนพอเพ่งพิศสังเกตเนื้อตัวของหญิงชราก็พบว่า เค้าโครงใบหน้าหญิงชราคนนี้มีความสวยงามอยู่พอได้เห็นเป็นเลาๆ แถมหูตากระพริบยิบพรายแปลกประหลาดพิกล ... จึงถามต่อไปว่า ..

“ ยายเคยทำงานอะไรมาก่อนหรือจ๊ะ...”

หญิงสาวหยิบผลไม้ที่อุดหนุนขึ้นมาเคี้ยว แล้วยิงคำถามเด็ด จนหญิงชราถึงกับเบือนหน้าไปมองยอดเจดีย์ในวัดที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล แล้วหันค่อยมาเล่าว่า ...

“ ยายก็เป็นเหมือนกับเรานั่นแหละ ..”

“ อะ ...อะไรนะจ๊ะยาย ... ทำไม เอ่อ ...”

“ จะถามว่ายายรู้ได้ไงน่ะเหรอ ... ง่ายนิดเดียวหนึ่งไม่มีใครจะมาทำบุญที่วัดในเวลาบ่ายสองบ่ายสามในสภาพอิดโรยหรือเพิ่งตื่นนอนมาหมาด ๆ นอกเสียจากพวกอาชีพคนกลางคืน ... ข้อสองดูจากสภาพร่างกายแววตา ท่าทางแล้วเอ็งกำลังเป็นทุกข์เพราะอะไรสักอย่าง ไม่รู้จะหันหน้าไปเพิ่งใครจึงมาที่นี่ และข้อที่สามเอ็งลองมองเสื้อผ้าที่สวมใส่ กับการแต่งหน้าตาของตัวเองดูสิวะอีหนู มันมีสีสันที่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาที่ไหน ... อย่าบอกนะว่านี่เป็นชุดที่เรียบร้อยที่สุดในตู้ของเอ็งแล้ว...”

“ จ๊ะชุดเรามีแค่สามสี่ชุด ต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันใส่กับเพื่อน ...โชคดีที่ขนาดตัวเท่ากัน....”

“ ที่นี่รู้หรือยังว่าทำไมยายถึงมองแปร๊ดเดียวก็รู้ว่าเราเป็นใคร ทำอาชีพอะไร...”

“ จ๊ะยาย ... แล้วทำไมยายมาขายผลไม้ได้ล่ะจ๊ะ...”

หญิงชรามองไปยังรอบ ๆ อีกครั้งแล้วถอนหายใจ เล่าไปว่า ...

“ ช่วงที่ยายยังสาว ๆ ก็ถูกล่อลวงมาขายจากผู้ไม่หวังดี ... ถูกนำตัวเร่ไปทั่วประเทศ ชีวิตลุ่มดอนๆ อดมื้อกินมื้อ เสี่ยงติดโรคภัยเหลือเกิน ... จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ระหกระเหินเกือบตายหลายครั้งในช่วงนั้น...”

“ หนูว่าชีวิตหนูลำบากแล้ว .. ตอนนี้คงไม่ได้ครึ่งของยายเลยจริงๆ …”

“ ก็ช่วยไม่ได้นี่นาอีหนูเอ๊ย ... เราเสือกเกิดมาจน เลือกเกิดได้ที่ไหนกัน...”

“ ทำไมยายไม่หนีพวกนั่นล่ะจ๊ะ...”

“ หนีเรอะ ... เฮอะเคยทำอยู่เหมือนกัน แต่พอมันจับยายได้ มันซ้อมซะเราเจ็บปางตาย หยอดข้างต้มอยู่ร่วมเดือน .. อยู่รอดมาแก่ได้ในวันนี้ก็ถือมามีบุญคุ้มหัวติดตัวมากโขแล้ว ...”

“ พวกมันเป็นใคร ร้ายกาจนักเชียวจ๊ะยาย...”

“ พวกที่คอยไถ่เงินเอ็งทุกวันนี้ไงล่ะ ...”

“ พวกแมง ... งั้นเหรอยาย...”

“ ช่าย ... พวกห่านี่แหละ เหลือบสังคมชิงนรกมาเกิดชัดๆ ...”

“ เราไม่ยุ่งกับมันไม่ได้เหรอยาย อย่างพวกหนูต่างคนต่างอยู่ยังได้เลย... ถึงจะมาขอค่าธรรมเนียม ค่าคุ้มครอง ค่าอะไรต่อมิอะไร พวกหนูก็ให้พวกมันตามสำมาพาควร ... ไม่มากมายจนเราอยู่ไม่ได้ ...”

“ เออ ... นับว่าโชคดีไป อาจเป็นเพราะสมัยนี้ตำรวจมันคงแยะกว่าแต่ก่อน แล้วผู้คนก็มีทางรอดเลี้ยงปากท้องกันมากยิ่งขึ้น ... ไม่อดอยากปากหมองเหมือนตอนสงครามจบลง ครานั้นมั้ง ...”

“ ยามสงครามอะไรหรือจ๊ะยาย ....”

“ ก็สงครามโลกไงเล่าอีหนู ตอนนั้นพอมันจบลง ข้าวของในตลาดแพงขึ้นจนผู้คนไม่มีจะจับจ่าย บ้านเมืองระส่ำระสายเพราะไม่รู้จะทำมาหากินอะไรกันแล้ว ... บ้านเมืองเข้าสู่ความทุกข์เข็ญแท้จริง พวกขโมยขโจรเกลื่อนเมืองทุกหัวระแหง ... พวกมิจฉาชีพแทบจะเดินไหล่ชนกัน ... แม่บ้านไม่มีเงินเลี้ยงลูกหลานก็ออกมาหากินในอาชีพพิเศษ ... พวกยายที่ทำอยู่แล้วก็เดือดร้อนขึ้นสองสามเท่าเพราะต้องแย่งลูกค้ากันกับแม่พวกนี้ ... สุดท้ายพวกชั่วพวกนั่นก็เข้ามาจัดการ ..พวกยายก็ต้องรับเงื่อนไขที่มันตั้งไว้ ... จนสุดท้ายแทบเอาชีวิตไม่รอดเพราะทำงานหนักจนเกินไป ... พอเราจะหมดค่าพวกชั่วนั่นก็ลงมือซ้อมบังคับให้ทำทุกอย่าง ... ยายหนีออกมาจากซ่องไปหลบในท่อน้ำ ... โชคดีที่เจอคนดีๆ คนหนึ่ง ...”

หญิงชราเล่าไปพรางขายผลไม้ที่อยู่ในรถเข็นไปเมื่อมีลูกค้ามาซื้อเป็นพัก ๆ …

“ เขาเป็นนายไปรษณีย์ บ้านอยู่หลังสนามม้าใกล้ๆกับโรงสุรา เขานี่แหละเป็นเหมือนเทวดามาโปรดยาย มา ช่วยคนยากให้พ้นทุกข์ ... เขาเป็นคนดี ชาติตระกูลดี จนยายหาไม่ได้อีกเลยในชีวิตนี้ ...”

“ คุณลุงที่อยู่ในภาพใช่ไหมจ๊ะยายจ๋า....”

ดาวชี้ไปยังภาพถ่ายขาวดำสีซีดจางที่แปะติดกับคันบังคับรถเข็นด้านหน้า ดูมองเห็นว่าเป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาประพิมพ์ประพายงดงามประจักษ์ตา เสริมสง่าราศีด้วยเครื่องแบบที่สวมใส่ รอยยิ้มที่มองเห็นเหมือนกำลังเปิดโลกที่มืดดำกลับมาสว่างในทันใด ...

“ ใช่รูปคุณรังสรรค์ คนนี้แหละ ...”

“ ลุงคนนี้ ... เขาเป็นคนดีใช่ไหมยาย ..”

“ ดีไม่มีที่เปรียบได้เชียวล่ะอีหนู น่าเสียดายที่ยายเห็นเพชรเป็นก้อนกรวด ...เห็นกงจักรเป็นดอกบัวไปซะก่อน ไม่งั้นชีวิตที่เหลือของยายทั้งหมดคงไม่มาจบกับการเป็นแม่ค้าขายผลไม้แลกข้าวกินอย่างทุกวันนี้แหละ...”

“ งั้นหมายความว่า ยายแยกกับคุณลุงรังสรรค์ …”

“ นั่นเป็นเรื่องที่ยายเสียใจมาตลอดชีวิต จนมาถึงทุกวันนี้ ... ทำไม ทำไมนะ ทำไมยายไม่เลือกที่จะอยู่กับเขา แทนที่จะทำเป็นอวดดีกับชีวิตต่ำค่า ... หาเลี้ยงชีวิตด้วยร่างกายที่เหี่ยวย่นไปทุกวัน จนเหลือแต่กระดุกอย่างวันนี้ ... มีใครบ้างล่ะมาเหลียวแลอีแก่คนนี้บ้าง...”

“ ใจเย็นจ๊ะยายจ๋า ... ทุกอย่างมีทางแก้ไขนะจ๊ะ...”

“ มันสายเกินไปแล้วอีหนู ชีวิตยายคงขายผลไม้จนตายคารถเข็น หรือไม่ก็อาจจะแก่ตายเพราะกรรมตามมาทัน...”

“ ไม่เอาน่ายาย ... คิดอะไรมาก แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ เรื่องในอดีตช่างมันเหอะนะ ...”

“ เอ็งดูท่าจะเป็นคนดีน่ะอีหนู ถ้าเป็นไปได้ขอให้เลิกอาชีพถูกสาปนี้เสียเถอะนะ ... ยายขอเถอะ... ไปทำอาชีพที่มันดีกว่านี้ มีศักดิ์ศรีความเป็นคนมากกว่านี้เดีกว่า ... ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินแก้ ดูยายเป็นตัวอย่างไว้ลูก ดูเอาไว้ให้ดี ...”
“ ถ้าไม่ทำอาชีพนี้แล้วจะไปทำอะไรกินจ๊ะยาย ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี คนตกงานเป็นแสน ... ดาวคงอดตายไปก่อนที่จะต้องรอคอยงานที่ดี สุจริต มีเกียรติในสังคม ...”

“ ถ้าเอ็งขยัน ไม่มีวันอดตายหรอกลูกเอ๊ย เชื่อยายเถอะ...”

“ แล้วเอ็งทำงานที่ไหนกันตอนนี้...”

“ หนูชื่อดาวนะจ๊ะยาย หนูทำงานที่ร้านคาราโอเกะชื่อวิกตอเรีย พอจะเคยได้ยินไหม...”

“ อ้อ ... ที่แท้เอ็งก็เป็นลูกสาวนังคองมันน่ะเอง ...” หญิงชราแค่นเสียงสูง หัวเราะออกมาคล้ายขบขันที่ได้ยินชื่อร้านวิกตอเรีย ซึ่งดาวรู้สึกแปลกใจที่นางทำท่าเหมือนรู้จักกับวิกตอเรียเป็นอย่างดี จึงถามว่า ...

“ ยายรู้จักร้านด้วยเหรอจ๊ะ...”

“ ทำไมฉันจะไม่รู้จักจ๊ะอีหนู ก็ร้านนี้เป็นร้านของฉันมาก่อนที่นังคองมันจะทำต่อ ...ฉันเป็นคนแรกที่สร้างร้านนี้ขึ้นมาสมัยพวกจีไอเกลื่อนเมืองโคราช ...”

“ จริงเหรอจะยาย .... อย่าบอกนะว่ายายชื่อ ราตรี ...”

“ ใช่ยายชื่อนั่นแหละ ชื่อเต็มก็คือราตรี มณีนพรัตน์ เป็นเจ้าของร้านวิกตอเรียคนแรกคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยความลำบาก อยู่นี่แล้วไง...”

ดาวหยุดสนทนาไปพักใหญ่เพราะมีเด็กกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังกรูกันเข้ามาเลือกผลไม้สด ก่อนจะแยกย้ายจากไป
ด้วยเวลาอันรวดเร็ว พอเหลียวหันซ้ายขวาก็มองเห็นว่าสีนวลได้ซื้อของที่เตรียมไหว้เรียบร้อยแล้ว ... หญิงสาวจึงหันไปล่ำลาหญิงชราที่หันกลับมามองอยู่พอดี ...

“ นั่นเพื่อนคงซื้อของได้หมดแล้วสินะ...”

“ จ๊ะยาย ... กำลังคุยกันสนุกอยู่พอดี ยายจะรีบไปไหนไหมถ้าหนูจะขอตัวเข้าไปไหว้พระอาจารย์ข้างในกุฏิ สักพักใหญ่ค่อยออกมาคุยกับยายอีกรอบ อย่าเพิ่งไปไหนนะจ๊ะ...”

เพราะดาวรู้ดีว่ากำลังจะแยกตัวจากหญิงชราผู้มีประวัติชีวิตมาอย่างโชกโชน เพื่อเข้าไปหาร่มธรรมนำชีวิตทางด้านในกับสีนวลเพื่อนรักที่ยืนรออยู่ไกลๆแล้ว ...

“ ไปเถอะอีหนู ... เราอาจจะไม่ได้เจอกันอีก ขอให้จำคำยายเอาไว้ว่าอย่ารีรอที่จะทำอะไรสักอย่าง ตัดสินใจไปเลยว่าชีวิตนี้ควรจะเดินเส้นทางไหน อย่าเป็นเหมือนยายเลยนะ ... เพราะตัดสินใจผิดพลาด ชีวิตเลยต้องเป็นทุกข์ตลอดชีวิตเช่นนี้...”
“ จ๊ะยายดาวจะจำเอาไปใช้ ขอตัวก่อนนะจ๊ะ...”

ดาวยกมือขึ้นไหว้แล้วเดินเลี่ยงไปหาสีนวลที่มีสีหน้าตั้งคำถามรออยู่แล้ว ...

“ ยายคนนี้ใครน่ะดาว ...เป็นญาติป้าเจียกหรอ...”

“ ไม่หรอกนวล ยายเป็นแค่คนเคยทำงานอย่างเรา พอแก่ตัวมาเลยไม่มีใครเหลียวแลและเลี้ยงดู...”

“ น่าสงสารเนอะดาว ดูท่าทางป้าขายผลไม้สดเหมือนได้กำไรไม่ค่อยจะดีเลย...”

“ ช่วงนี้คนกำลังลำบากกับเศรษฐกิจ จะกินจะอยู่ต้องอัตคัดตัวเอง เพื่อจะได้อยู่รอดในประจำวัน...”

“ มันก็จริงอย่างเธอว่านะดาว ... ดูนี่สิแค่สังฆทานกับดอกไม้ และของถวายเพลนิดหน่อยเกือบห้าร้อยบาทแนะ .. แล้วถ้ามันยังแพงอยู่แบบนี้ ใคร้เขาจะมาทำบุญกันเยอะ ๆ นะ...”

“ เราก็ทำตามจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาและกำลังทรัพย์เรามีก็พอ ไม่ต้องโอเว่อร์ทำบุญเยอะจนสุดท้ายเอาตัวไม่รอดในแต่ละวัน...”

“ งั้นเราเข้าไปข้างในกันเถอะนะดาว...”

“ ไปสิ ...”

เพราะวันนี้เป็นวันธรรมดา ดาวกับสีนวลจึงทำบุญถวายสังฆทานข้าวสารอาหารแห้งอีกหลายปัจจัยเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็วไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พอพระอาจารย์ให้ศีลให้พรเสร็จดาวจึงรีบเดินออกมาดูว่านางราตรี ยังขายผลไม้อยู่ตรงร่มไม้ที่เดิมหรือไม่ ... แต่สุดท้ายก็ไร้เของหญิงชราในบริเวณนั้น ...

ดาวถอนหายใจ ก่อนจะเดินออกมาข้างนอกคิดเรื่อยเปื่อยถึงคำสอนของหญิงชราที่เน้นย้ำเอาไว้ ...

“ มองหายายคนนั้นเหรอดาว...”

“ ใช่จ๊ะนวล ... ยังไม่ถามบ้านช่องยายแกเลย...”

“ ยายคนนี้สำคัญกับดาวมากนักหรือจ๊ะ ... ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลยว่าดาวมีญาติเป็นคนเข็นรถขายผลไม้...”

“ ไม่หรอกนวล เราก็เพิ่งรู้จักยายราตรี ... ยายคนนี้เคยเป็นอีตัวอย่างเรามาก่อน และที่สำคัญคุณยายคนนี้แหละที่เป็นเจ้าของร้านคาราโอเกะวิกตอเรียของเรา เป็นคนแรก ...”

“ ห้า ... ยายคนนี้เหรอที่เป็นเจ้าของวิกตอเรีย เธอล้อเล่นหรือเปล่าน่ะดาว.....”

“ ไม่ ไม่ มันเป็นเรื่องจริง ... คุณยายราตรีที่ขายผลไม้รถเข็นคนนี้แหละเป็นเพื่อนกับแม่คองของเรา ร่วมบุกเบิกกันมานาน ... จนวันหนึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ว่าทำไมแม่คองยังอยู่ที่เดิม แต่ยายราตรีกลับต้องตกอับอยู่เช่นนี้...”

“ เออ...ดาวฉันจำได้แล้ว เรื่องนี้ป้าคองเคยเล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันมาอยู่คนหนึ่ง ...”

“ งั้นก็คงเป็นคนเดียวกันกับยายราตรีนี่แหละ...”

“ ป้าคองเคยเล่าว่า เพื่อนแกคนนี้แหละที่หนีหายไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเธอกำลังมีความรัก .. แล้วก็มีกับคนชนชั้นสูง มากทรัพย์ และยศถาบรรดาศักดิ์ ... หลายไปนานหลายปีดีดัก จนป้าคองคิดถึงเพื่อนที่เคยลำบากกันมามาก ให้ลุงสุเทพไปสืบเสาะหาจนพบว่าป้าราตรีลำบากมาก เพราะผู้ชายคนนั้นได้ทิ้งป้าไป ไม่เหลียวแลใยดีอะไรเลย ... ปล่อยให้ป้าราตรีที่เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ เคยสวยงามและรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด เป็นดาราชื่อก้องฟ้าวิกตอเรีย ... มีเงินทองที่ใช้ได้เป็นเบี้ย ...กลับต้องมามีชีวิตที่อยู่เหมือนตกนรกทั้งเป็น ... เพราะความรักมาบังตาเอาไว้ซะมิดเลย ...” สีนวลเล่าไปพรางถอนหายใจไปพราง ...
“ โธ่น่าสงสารยายจัง ... แล้วผู้ชายคนนั้นไปไหนเสียล่ะนวล...”

“ ไม่รู้เหมือนกันดาว ต้องไปแอบ ๆ ถามป้าราตรีดู อาจได้ความ...”

“ คงไม่ต้องแล้วนวล ... ตอนนี้ดาวไม่อยากรู้แล้วยิ่งเรื่องนี้เคยทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่งมาซะขนาดนี้ ... พวกเราไม่รับรู้อะไรน่าจะเป็นการดี ... แต่ก็เชื่อว่าคงเป็นเหตุผลที่คนสองคนที่รู้กันเอง โดยไม่ต้องไปอธิบายให้คนอื่นได้รับรู้ก็ได้...”

“ นี่ถ้าดาวไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเราก็คงไม่รู้ข่าวป้าราตรีอีกแล้ว ... เซอร์ไพร์ซหลายเรื่องจริงๆ...”

“ ช่างเถอะนะ ...วันหลังเรากลับมาที่นี่อีกครั้งดีกว่า เผื่อเจอยายอีกครั้ง ... คงได้ช่วยเหลือเรื่องการเงินกันบ้าง...”

“ จ๊ะดาว ... เรากลับกันเถอะวันนี้อิ่มบุญ อิ่มใจกันมากแล้ว...”

“ ไปสินวล ...”

ทั้งสองเดินเคียงคู่กันออกจากวัดป่าสาลวันด้วยจิตใจที่ครุ่นคิดไปคนละอย่าง ...

ดาวคิดว่าจะกลับมาหานางราตรีที่นี่อีกครั้งให้ได้ แต่สีนวลกลับคิดตรงข้ามว่าต้องรับไปบอกนางประคองเพื่อมาพบและทวงทรัพย์สิน เงินทองที่หญิงชราได้ฉกไปจนหมดตัว เมื่อครั้งอยู่ร้านวิกตอเรียเมื่อหลายสิบปีก่อน ....

แต่ทว่าทั้งสองหาล่วงรู้ไม่ว่า จะไม่มีวันได้พบเจอกับนางราตรีอีกตลอดชีวิตนี้อีกแล้ว ...

--------------------------------------------

หลังจากค่ำคืนในเงียบสงัดค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างเซ็ง เศร้าและผิดหวัง เพราะเมื่อแทนคุณได้ไปตามหาดาวที่ร้านวิกตอเรียก็ได้รับคำตอบว่าหญิงสาวได้หนีออกไปจากร้านโดยไม่มีใครรู้ว่าไปที่ไหน หรือไปกับใคร ... คำตอบที่ได้รับสั้นห้วนและไร้คำอธิบายไว้แค่นั้น ....

ชายหนุ่มหงุดหงิดหัวเสียยิ่งนัก ใจ อยากจะเข้าไปค้นภายในร้านก็ทำไม่ได้เพราะกำลังล่วงเข้าสู่วันใหม่อีกไม่กี่ชั่วโมงและเมื่อมองสำรวจคร่าวๆก็เห็นว่าพนักงานต้อนรับภายในร้านไม่มีเหลือทำงานแม้แต่คนเดียว คงออกไปข้างนอกกันหมด ...
แทนคุณขับรถกินลมมานอกเมือง เพื่อระบายอารมณ์ที่หงุดหงิดและขุ่นมัว ... ครั้นพอสายลมอุ่น ๆ ปะทะหน้าทำให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังไม่เข้าใจการกระทำของดาวเลยว่าทำไมต้องหนีในเมื่อตนเองกำลังจะพามาอยู่ในที่ที่ปลอดภัย อยู่ในที่ที่ไม่ต้องลำบากเอาตัวกับศักดิ์ศรีเข้าแลกเช่นนั้น ....

แต่ทำไมหล่อนถึงหนีไป โดยไม่เข้าใจในเจตนาที่เขาได้ทำเพื่อเธอคนเดียว ...

พอปล่อยอารมณ์ไปกับความคิดมาเรื่อย ๆ แทนคุณก็รู้สึกตัวอีกครั้งว่าตนเองกำลังชะลอรถจอดที่หน้าบ้านจัดสรรหรูหราราคาหลายล้านหลังหนึ่ง .... ชายหนุ่มจึงจอดรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูอัลลอยด์ขนาดใหญ่ แล้วเคลื่อนรถเข้าไปข้างใน บ้านหลังใหญ่ขนาดกลางหลังนี้เป็นบ้านที่ทาสีขาวหลัง ความสูงสองชั้นสามารถใช้สอยประหยัดได้พอดิบพอดีกับครอบครัวเล็กๆ ขนาดสามคนพ่อแม่ลูก ....ชั้นสองมีระเบียงยื่นออกมาเป็นหลังคาของโรงจอดรถ ส่วนภายในบ้านมีสามห้องนอนสองห้องน้ำ ตกแต่งหรูหราทันสมัย ไม่รกรุงรังแต่แฝงไปด้วยความคลาสิคร่วมสมัย ...

บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่แทนคุณซื้อไว้เป็นเจ้าของจากเงินทองที่ได้เก็บหอมรอมริบจากการทำงานพิเศษ เมื่อครั้งศึกษาอยู่ต่างประเทศหกเจ็ดปี ... โดยให้อนึก น้องชายร่วมมารดาเป็นคนดูแลและจับจองให้ก่อนจะกลับมาสองสามปี ...

บ้านที่เป็นเหมือนความหวังและความฝันทั้งชีวิต ...

ความหวังที่จะมีชีวิตที่เหลือกับคนที่รัก กับความฝันที่จะมีครอบครัวน้อยๆ พอเพียงตามอัตภาพ ไม่ฟุ้งเฟ้อแต่เปี่ยมไปด้วยความสุข ระอวลไอด้วยกลิ่นหอมของความรัก ... เท่านี้ก็พอแล้วสำหรับแทนคุณ ...

พอเปิดประตูบ้านเข้าไปข้างในก็พบว่าข้าวของ เฟอร์นิเจอร์ที่วางเรียงรายอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบนักจากการมาคราวก่อน บัดนี้ได้เรียงรายไว้เป็นที่เป็นทางเรียบร้อยจนต้องขอบคุณคนจัดการเรื่องนี้ให้ ...

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแทรกความเงียบของรัตติกาลในย่ำรุ่งใกล้สว่าง ... แทนคุณก้มมองดูก็เห็นว่าเป็นสายของอนึก จึงกดรับพ่วงด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่ามีเรื่องอะไรน้องชายร่วมมารดาถึงต้องโทรมาเอาเวลานี้ ....

“ พี่แทนอยู่ที่ไหนเหรอนี่...” เสียงอนึกสั่นๆคล้ายคนยังไม่ได้นอน ระล่ำระลักถามชายหนุ่ม อยากจะรู้ที่ตั้งเต็มที่ ...

“ พี่อยู่บ้านชานเมือง มีอะไรเหรอนึก...”

“ ตอนนี้ป้าเมียดกำลังแย่ .. แม่ซักไซร์ไล่เรียงจนเสียงดังลั่นบ้านได้ยินไปสามบ้านแปดบ้านแล้ว ... พี่แทนจะให้พวกเราทำยังไงดี แม่อาละวาดสั่งเด็ดขาดว่าคืนนี้จะไม่นอน ถ้าพี่แทนไม่กลับมาที่บ้าน ... แล้วนี่มันก็จะสว่างแล้วด้วย แม่นะแม่ ...ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ ... ไม่เข้าใจจริงๆเลย ...”

“ พี่ก็ไม่นึกว่าไอ้การที่ไม่อยู่บ้านคืนเดียว มันจะมีเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ...”

“ ก็ยายปริกนั่นแหละพี่แทนไปฟ้องแม่พี่ไปหาดาวที่รานวิกตอเรีย ...งานก็เลยเข้าน่ะสิพี่...”

“ ปริก ...นี่ใช่ไม่ได้จริงๆ เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ...”

“ ยายปริกเป็นพวกของแม่ คงรู้เรื่องตอนนี้ผมได้คุยกับพี่แทน บังเอิญได้มาแอบฟังอยู่ตรงบันใด เรื่องก็เลยบานปลายไปกันใหญ่ ... พี่แทนรู้หรือเปล่าว่าแม่รู้เรื่องบ้านพี่แล้ว สั่งให้นึกพาไปหาพี่พรุ่งนี้เช้า ... แต่เอ ไม่ใช่สิ ...อีกประมาณไม่กี่ชั่วโงข้างหน้า พี่จะให้นึกทำยังไงต่อดี ... ตอนนี้มีพี่นี่มาแทรคทีมอีกคน น่ากลัวมากๆพี่แทน...”

แทนคุณรับรู้เรื่องแล้วส่ายหน้าช้าๆ ไม่คิดนึกว่านางสุนีย์ ผู้เป็นแม่จะยังไม่ลืมเรื่องของดาว... ทั้ง ๆ ที่เวลาได้ผ่านล่วงไปพอสมควรแล้ว ...

“ นายไม่ต้องทำอะไรหรอกนึก ... พี่จะไม่ไปบ้านจนกว่าจะอยู่ที่นี่อย่างพอใจ เข้าใจนะ..”

อนึกรู้ดีว่าบทจะเอาแต่ใจตัวเองขึ้นมาของพี่ชายคนโปรดก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่าสาลินีหรือนนนี่ พี่สาวคนรองแต่อย่างใด

“ แต่ถ้าแม่ถามหาพี่แทนล่ะ ...นึกจะโกหกว่าอะไรดี...”

“ ไม่ต้องโกหกอะไรหรอกนึก บอกแม่ว่าพี่แทนมีธุระที่ต่างจังหวัด เรื่องจะได้จบ โอเคมั้ยวะนึก...”

“ นึกจะพยายามแต่ยังไงก็เบื่อหน่ายพี่นี่เหลือเกิน ..เมาแอ๋เข้ามาบ้านเมื่อกี้นี่เอง ผมอายคนใช้มันมองจะแย่อยู่แล้วพี่แทน ทำไมทำตัวแย่แบบนี้ก็ไม่รู้ เฮ้อ ...”

“ เขาเป็นลูกสาวโปรดของแม่ ปล่อยเขาสักคนเถอะนึก .. สรุปก็คือนายทำตามที่เราบอกก็แล้วกัน...”

“ ได้ครับพี่แทน..”

พออนึกวางสายลง แทนคุณปิดเครื่องไปในทันทีเพราะไม่อยากจะติดต่อกับใครคนไหนอีกแล้ว อยากจะพักผ่อนคลายความเครียดที่นี่จนถึงเช้า แล้วจะกลับไปทำงานที่สำนักงานตามปกติ ..เสียงไก่ขันแว่วดังมาแต่ไกล บอกให้ชายหนุ่มรู้ว่าอีกไม่ถึงกี่ชั่วโมงท้องฟ้าสีทองยามเช้าจะรำไรที่ขอบฟ้าแล้ว ...

ความง่วงกลับมาจู่โจมอีกครั้ง ก่อนที่แทนคุณจะหลับตาลงใจประหวัดนึกถึงใบหน้าสวยซึ้งของใครบางคน ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะทำอะไรที่ไหนอยู่ก็ไม่รู้ แต่ถึงยังไงก็ขอให้เจ้าหล่อนรับรู้ไว้เถอะว่าคนคอยคิดถึงคนไกล

----------------------------------------

นาน ๆ ได้ทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันซะที ค่อยดูเป็นครอบครัวสุขสันต์กันหน่อย ...” 

เสียงใสแจ๋วของสาวสวยแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดจนเข็ดฟันด้วยเสื้อผ้าเครื่องทรงราคาแพงลิบลิ่ว ประดับด้วยเครื่องประดับพราวไปทั้งตัว ... ดูวูบวาบเรืองแสงพิกล .... ได้เอ่ยแทรกความเงียบที่เป็นมานานร่วมห้านาทีของโต๊ะรับประทานอาหารค่ำ จนทำให้ทุกคนที่ร่วมโต๊ะต้องเงยหน้าขึ้นมามองยังร่างเล็กบางของต้นเสียงพร้อมๆกัน ...

“ แกมองฉันทำไมนายนึก ... หรือฉันพูดไม่จริงอะไรไปยะหล่อน...”

อนึกตาคมวาวสีหน้าไม่พอใจแล้วหันไปตามเสียงที่พาดพิงถึง ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดโต้ตอบไปว่า...

“ อะไรกันพี่นี่ ...อยู่ ๆ ก็มาแขวะกันซึ่งหน้าอยู่ได้ แล้วมันดีไหมล่ะไอ้ที่พูดมาน่ะ...”

“ อ้อลืมไป ... คนโปรดพี่แทนแตะต้องไม่ได้นี่นา...”

“ ผมไม่ได้เป็นคนโปรดใครหรอกครับพี่นี่ ... โปรดเข้าใจใหม่ไว้ด้วย...”

ผู้เป็นน้องยื่นช้อนไปตักแกงเขียวหวานไก่ใส่จานตัวเอง แล้วเกริ่นตอบไปโดยไม่เกรงใจคนที่อาวุโสกว่าสองคนที่กำลังนั่งเงียบอยู่โดยไม่กระตุกกระดิก ประหนึ่งจมอยู่ในความคิดตัวเอง เหมือนไม่ได้อยู่ในระหว่างรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว ...

“ ค้าพ่อประคุณทูนหัวทูนเกล้า ... อีฉันจะจดจำไว้ในกระหม่อมตราบนานเท่านานเลย เฮอะ...”

“ พี่นี่ก็เป็นอย่างนี้ทุ๊กที ชอบพาลพาโล ถ้าเถียงสู้คนอื่นเค้าไม่ได้...”

“ เอ๊ะ .... นายอนึก ตกลงใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่ยะ ...เถียงอยู่ได้ฉอดๆ เดี๋ยวแม่ตบปากด้วยทัพทีเสียหรอก...”

“ ถ้ากล้าก็ทำเลยซี้ ... ผมจะได้หนีออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอกกับพี่แทนเลย ... ใช่ไหมพี่...”

อนึกถลึงตาคงจ้องไปยังพี่สาวคู่ปรับ แล้วหันไปพยักเพยิบกับแทนคุณที่นั่งทานข้าวเงียบกริบ ไม่มีส่งเสียงออกมาให้ใครได้รับรู้ว่ายังอยู่ที่โต๊ะกินข้าวแห่งนี้ ... ตรงกันข้ามกับหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะที่ตอนนี้หัวคิ้วเริ่มขมวด วางช้อนลงแล้วผินหน้าไปทางอื่นที่ไม่ใช่วงสนทนาเผ็ดร้อนของสองพี่น้อง ...

“ ว้ายตายแล้ว ... หยาบคาย ต่ำไร้สกุลรุนชาติมาก ๆ นี่ถ้าแกเป็นคนนอกบ้านหาเช้ากินค่ำ ...ไม่ได้เกิดอยู่ในบ้านชั้น ก็จะไม่แปลกใจเลยที่พูดออกมาแบบนี้ ... เชอะ... ปกป้องกันเข้าไปเถอะ สักวันจะได้ไปอยู่สลัมตามนังบ้านนอกนั่นสมใจแน่ ..ไม่เชื่อคอยดูสิ... ใช่ไหมคะแม่ขา ...”

สาลินีหรือนนนี่โยนลูกให้หญิงวัยกลางที่เตรียมจะลุกขึ้นให้กลับหันมานั่งโต๊ะอีกครั้ง พร้อมกับสายตาประกาศิตที่กวาดตามองบุตรชายคนเล็กอย่างปรามให้สงบปากสงบคำไว้ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยียบลึกขาดใจมาว่า ...

“ หยุดเสียทีได้ไหมนายนึก ... เถียงพี่เขาเหมือนเด็ก ๆ ไปได้...”

“ ก็ผมพูดตามเนื้อผ้าจริง ๆ นี่แม่ ... ขอถามหน่อยเถอะวัน ๆ พี่นี่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เห็นแต่ฉุยฉายไปฉุยฉายมารบกวนเวลาคนโน้นทีคนนี้ที ... น่ารำคาญชะมัด ...”

“ นี่ นี่ ไอ้นึก ...แกมาว่าชั้นแบบนี้ได้ไง ฉันไม่ยอมนะ ... แม่ขาดูไอ้นึกมันว่านนนี่สิจ๊ะ...”

“ ว่าแค่นี่ทำเป็นสนิมสร้อย เป็นลูกแหง่ไม่รู้จักโตไปได้ ... จะร้อนตัวไปทำไมถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง...”

“ แก ...ไอ้น้องทรยศ ...ฉันไม่โพนทะนาเรื่องอีดาวกับแกให้แม่ฟัง ...มันก็คุ้มกะลาหัวแกแค่ไหนแล้ว จำใส่กะโหลกเอาไว้ซะบ้าง ...”

หญิงสาวมองหน้าผู้เป็นน้องซ้ำ แล้วเหยียดริมฝีปากคล้ายกำลังสะใจเรื่องทีกำลังพูดเต็มที่ ... ก่อนที่จะมีน้ำเสียงประกาศิตดังเน้นย้ำถามมาจนทั้งสองต้องหันไปมอง แล้วทำหน้าปุเลี่ยนไม่รู้จะทำยังไงดี ...

“ มันเรื่องอะไรกันนี่ ... เล่าให้แม่ฟังอีกทีสิ...”

สาลินี่มองไปยังอนึกแล้วยิ้มเยาะอีกครั้ง ... หนุ่มน้อยหันไปมองพี่ชายเหมือนจะขอตัวช่วย แต่ก็พบกับความว่างเปล่าจึงตอบคำถามผู้เป็นแม่แบบเลี่ยงดำน้ำข้าง ๆ คู ๆ ว่า ...

“ ไม่มีอะไรนี่แม่ ...พี่นี่พูดถึงนับดาว เพื่อนของนึกที่มหาวิทยาลัยน่ะครับ ... ไม่มีอะไร...”

“ เชอะเพื่อนมหาวิทยาลัยบ้านแกน่ะสิย่ะนายนึก เดี๋ยวนี้กล้าโกหกแม่ซึ่งหน้าแล้วเหรอพ่อคนเก่ง...”

“ พี่นี่พูดอะไรผมไม่เห็นรู้เรื่อง ... ใครไปทำอะไรอย่างไง เมื่อไหร่ ที่ไหน...”

“ หน๊อยทำมาย้อน ... ช่างน่าซื่อตาใสดีแท้น้องรัก...”

“ พูดให้ดี ๆ นะพี่นี่ ..ถ้ามันไม่ใช่ เห็นทีต้องเกิดเรื่องแน่ ..”

“ โอ๊ย ๆ ๆ ๆ กลัวแล้ว กลัวแล้วจ้าพ่อพระของบ้าน ... ฉันไม่นึกเลยว่าแกกับพี่แทนจะปิดแม่ได้นานถึงขนาดนี้ นี่แค่รู้ระแคะระคาย งานยังเข้าขนาดนี้ ... ถ้ารู้เรื่องทั้งหมด มันจะเกิดอะไรขึ้นนะ ... ไม่อยากจะคิดเลย ฮ่ะ ๆ ๆ ๆ ๆ ...”

“ พี่นี่ ...พี่รู้ตัวเปล่าว่าตัวเองกำลังจะเหมือนนังแม่มดใจร้ายขึ้นทุกวัน ๆ เสียดายหน้าตาก็สะสวยดีอยู่หรอก ..ไม่น่าเล้ย”

“ อะไร...แกพูดให้จบนะไอ้บ้า...”

สาลินีใบหน้าหน้าแดงกล่ำด้วยอารมณ์โกรธจัด ลุกยืนขึ้นตบโต๊ะอาหารดังปังพร้อมจานข้าวตรงหน้าลอยวืดข้ามหัวอนึกไปหล่นลงบนพื้นดังเพล้ง ... เป็นที่ตกตะลึงกันทั้งโต๊ะ อนึกยิ้มเยาะพร้อมทำท่ายียวนกวนโมโหอีกต่อไป...

“ โอะโอ ... อารมณ์ก็รุนแรงไม่เปลี่ยนด้วย เสียดายจานสวยๆใบนี้เหมือนกันนะ...”

“ กรี๊ด ๆ ๆ ๆ ไอ้น้องชั่ว ... ฉันอยากจะฆ่าแก กรี๊ด ๆ ๆ แม่ช่วยนี่ด้วย ... แม่ แม่ แม่...”

เสียงกรีดร้องของหญิงสาวทำเอาบรรดาคนรับใช้ต่างหลบไปบังอยู่หลังเสากันเป็นแถว ...

นางสุนีย์กำหมัดแล้วลุกยืนขึ้นตรงไปยังอนึกแล้วทำบางอย่างที่ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่นั่งตรงกันข้ามและนิ่งเงียบมานานถึงกับลุกขึ้นเพราะทนนิ่งอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ...

.. เพลียะ ....

เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าหนุ่มน้อยฝีปากกล้าดังสนั่นไปทั่วห้องโถงที่เป็นห้องรับประทานอาหารของบ้าน ทำเอาหลายคนที่อยู่บริเวณนี้ถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึง แต่ผู้กระทำหาได้สนใจไม่ กลับทำตาลุกวาวแล้วขู่สำทับไปว่า ...

“ นี่เป็นการสั่งสอนแก จำเอาไว้ให้ดีนะอนึก ... แม่กำลังจะบอกว่าเราเป็นเด็กควรรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ พี่เขาก็เป็นพี่ไม่ควรไปเถียงฉอดๆ ไม่ตกฟากแบบนั้น ... ไม่รู้ใครสั่งใครสอนกัน ...”

อนึกยืนนิ่ง เอามือลูบแก้มที่แดงเถือกพร้อมน้ำตาที่หยอดรินไหลปริ่มขอบตา ... คราวนี้เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปแล้วจริงๆ

“ แม่หยุดเถอะ .... อย่าทำแบบนี้กับน้องอีกเลย แทนขอร้อง...”

คนร่างสูงดินตรงไปตบบ่าผู้ป็นน้องแล้วพยักหน้าเป็นเชิงปลอบใจ ก่อนจะต่อไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบก้องกังวาร

“ แม่ทำแบบนี้ทำไม ... แทนผิดเองที่ทำอะไรไม่ปรึกษา ... อนึกไม่รู้เรื่องอะไรมากนักหรอก...”

“ ก็เพราะเห็นชั้นเป็นหัวหลักหัวตอนะสิ .. มันถึงเกิดเรื่องอับอายฉาวโฉ่เหม็นคุ้งไม่ดีไม่งามไปจนคนเขาเอาไปนินทาทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นขี้ปากชาวบ้านอยู่ตอนนี้ไงล่ะ ...”

“ แม่จะไปแคร์ทำไม ... ในเมื่อเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของบ้านเรา ... พวกเขาไม่เกี่ยว ...”

“ ฉันจะไม่แคร์ได้ยังไงแทน ... แค่ฉันไปเข้าสมาคมไหนใครก็ถาม ใครก็ชัก ...ขี้เกียจจะปั้นหน้าโกหก หรือส้รางเรื่องว่าแกบริสุทธิ์ จบด็อกเตอร์จากเมืองนอกเมืองนา ไม่มีรอยราคินเพราะไปเกลือกกลั้วกับอีโสเภณีชั้นต่ำนั่น...”

นางสุนีย์แค่นน้ำเสียงออกมาคล้ายเยาะอยู่ในที สาลินี่เข้าไปโอบกอดผู้เป็นแม่แล้วยิ้มเยาะด้วยความสะใจ ... อนึกเมินหน้าหนีแล้วส่ายหน้าด้วยความระอาในญาติวงศ์พงศา ...แต่คนที่สำคัญถูกกล่าวพาดพิงกับยืนนิ่ง แล้วเอ่ยถ้อยคำพูดออกมาแผ่วเบาว่า …

“ ที่แท้ก็เป็นเรื่องของดาวนี่เอง ... แทนขอถามแม่หน่อยจะได้ไหม...”

นางสุนีย์คอตั้งเชิด ไม่มองมายังแทนคุณเลย ...

“ แทนจะถามว่า ..... ดาวเขาทำอะไรให้แม่โกรธนักหนา ถึงได้ผูกใจเจ็บเขาไม่จบไม่สิ้น...”

“ แกก็เป็นเหมือนพ่อแกไม่มีผิด ทั้งๆที่มีชาติตระกูลจะสูงเป็นหงส์เยี่ยมเทียมฟ้า แต่จิตใจข้างในหาได้สูงไปตามไม่ พยายามทำตรงกันข้ามเสียอีก ... ใจคออ่อนแอ ปรกเปียก โลเล ไม่อดทนขี้ใจอ่อน .. .ยอมให้คนอื่นหลอกใช้หรือสนสะพายอยู่ได้ตลอดเวลา ...ทำไมไม่เอานิสัยที่ดี ๆ อย่างชั้นบ้างแทน แม่ขอถามแกหน่อยเถอะ...”

“ ใช่พี่แทนไฝ่ต่ำเพราะไปเกลือกกลั้วโคลนตมอย่างนังดาว...”

สาลินีพูดเสริมนางสุนีย์ แต่ผู้เป็นแม่กลับตวาดหญิงสาวคล้ายไม่พอใจที่พูดแทรกไม่ถูกจังหวะในตอนนี้ ...

“ หยุดเถอะนนนี่ ...จะขึ้นห้องไปเลยไหม...”

“ แม่ก็...ฮึ...”

ชายหนุ่มทั้งสองยังคงยืนนิ่งฟังผู้เป็นแม่ปรามจนจบก่อนที่คนตัวใหญ่กว่าจะพูดประโยคที่นางสุนีย์ถึงกลับอยากจะกรีดร้องออกมาให้ลั่นบ้านเหมือนสาลินีเมื่อตะกี้ ...

“ เราเคยพูดเรื่องนี้กันมาหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอครับแม่ ... แทนบอกไปแล้วว่าจะรับดูแลดาวเขาเอง ... แม่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรอีกแล้ว ไม่ว่าเรื่องค่าใช้จ่าย ความเป็นอยู่ หรื้อแม้แต่เงินทองที่แทนหามาได้กำลังจะไปหยิบยื่นให้ดาวเขาเร็ววันนี้ ... แทนขอถามหน่อยว่าทำไมแม่ยังเป็นทุกข์กับเรื่องนี้อีก ... เราทำผิดกับเธอมากมาก ชาตินี้คนตระกูลเราไม่มีวันที่จะไถ่โทษที่ทำไว้กับเธอได้อีกแล้ว ถ้าแม่ยังตามไปรังครวญดาวแบบนี้ ... แม่ยังจำวันที่เราไปรับเขามาจากบ้านเด็กกำพร้าได้ใช่ไหม ... วันนั้นแม่ยิ้มแก้มแทบฉีกเพราะดีใจที่บ้านเราจะได้มีลูกสาวกับเขาเสียที .... พ่อก็เหมือนกันที่พออกจากที่นั่นก็อุ้มดาวไม่ยอมวางลงด้วยความเห่อ วันนั้นครอบครัวเรามีความสุขกันมาก คุณย่ามอบสร้อยทองรูปหัวใจให้ แล้วอวยพรว่าดาวคือดวงใจของคนในบ้าน
ทุกคนรวมทั้งคุณปู่คุณย่าด้วย .... แล้วเด็กหญิงน่ารักคนนั้นก็ยิ้มทั้งน้ำตาพูดอ้อแอ้ว่าพ่อจ๋าแม่จ๋า หนูมีพ่อกับแม่เหมือนคนอื่นเขาแล้ว .. เห็นไหมครับแม่ ดาวเขาน่ารักมากมายมาตั้งแต่เด็ก ... ผมรักน้อง เพราะเขาเป็นตัวแทนของพวกเราในวันที่เรากำลังทุกข์ยากตอนเสียน้องกลางไป ... แม่คงจำได้นะครับว่าดาวเขาเรียนเก่ง ชอบมาอ้อนแม่ขอกินไอติมกะทิของโปรด ... แต่ก็ไม่ได้กินเลยสักครั้งเพราะแม่ขู่เขาว่าจะอ้วนฉุเหมือนตือโป้ยก่าย หรือจะมีน้ำหนักร่วมร้อยกิโลเหมือนน้าอุไรพรข้างบ้าน ... คืนนั้นดาวร้องไห้สะอึกสะอื้นฝันร้ายมาหาแทน แล้วบอกว่าปีศาจหมูไล่เขาทั้งคืน ... แม่ยังหัวเราะเขาท้องดัดท้องแข็ง ปลอบอยู่ทั้งคืนจนสว่างคาตา แล้วลงไปตักบาตรเลย ... แม่ยังจำลูกสาวแม่คนนี้ได้อยู่ไหมครับ ...”

สิ่งที่แทนคุณไม่เห็นในตอนนี้นอกจากสาลินีก็คือนางสุนีย์ฟังชายหนุ่มเล่าไปพร้อมปาดน้ำตาอย่างไว้เชิง คอยังคงเชิดตั้งอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ....

“ แกเล่าเรื่องปีมะไว้มาเพื่ออะไรกันแทน ... ฉันไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย ...”

“ ผมเชื่อว่าแม่ไม่รู้สึกอะไร เพราะสิ่งที่แม่ทำไว้กับดาว มันบอกโต้งๆอยู่แล้ว...”

“ เอ๊ะแทน ... จะให้แม่ไปกราบตีน มันหรือไงถึงจะเจ๊ากันไปน่ะ...”

“ ผมแค่อยากบอกบางเรื่องที่แม่อาจจะลืมไปแล้ว หรือพยายามจะลืมมันไปจากชีวิตของแม่...”

“ แทนคุณ ... แม่ผิดหวังในตัวแกมาก เสียเวล่ำเวลาที่ได้ส่งเสียไปเรียนเมืองนอก ... หมดเงินหมดทองไปตั้งหลายล้าน หวังไว้ว่าจะฝากฝีฝากไข้ในยามแก่เฒ่า เป็นที่เชิดหน้าชูตากับวงศ์ตระกูล แต่แกกลับทำเหมือนคนสิ้นคิด คิดสั้นแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ... ทำความดีบ้าบอไร้สติ ... แล้วยังจะมาประณามแม่ผู้ให้กำเนิดเกิดแกมาลืมตาดูโลกว่าเนรคุณ ไม่รู้จักคุณคน ... แถมยังตำหนิว่าครองตนทั้งความคิดและสติไม่ถูกครรลองครองธรรมไปอีกนั่น ... ฉันคิดว่าชีวิตในชาตินี้ ... ฉันขอตายเสียดีกว่าที่ทำตัวผิดพลาดและเลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้แย่ถึงเพียงนี้ ....”

นางสุนีย์ร่ำไห้โฮออกมาด้วยความขุ่นข้องหมองใจ โดยมีสาลินีเคียงข้างตาคว่ำตาเหลือกอยู่ไม่ห่าง ...

“ พี่แทนทำไมทำกับแม่แบบนี้ ... มีลูกที่ดีที่ไหนที่เขาทำร้ายแม่ด้วยคำพูดแบบนี้กันหรือคะพี่ ... ที่แม่ทำไปทั้งหมดก็เพราะใคร ไม่ใช่เพราะพี่หรอกหรือ ... ถ้านังดาวมันมีดีจริง ทำไมไม่อยู่ส่วนเขา เราก็อยู่ส่วนเรา ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ... เขาเติบโตมาจากเด็กจนเป็นสาวที่บ้านเรา เราเลี้ยงดูเขามาจนโต ...เขาตอบแทนเราด้วยแรงงาน มันก็เหมาะสมกันดีแล้วไม่ใช่เหรอคะพี่แทน ยังจะมาเรียกร้องเอาอะไรอีก...”

“ ใช่เราเลี้ยงดูเขาด้วยข้าวสามมื้อ พร้อมการศึกษาขึ้นพื้นฐาน.... แต่ตอนที่เรารับเขามาจากบ้านเมตตา ในฐานะลูกสาว ไม่ใช่คนใช้เข้าใจหรือยังยายนี่ ... พอเธอเกิดมา ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป ... ลดตำแหน่งดาวไปเป็นคนใช้ ชีวิตที่สุขสบายกลับตกสวรรค์ไปซะงั้น ... นนนี่ถ้าลองเอาใจเขาไปใส่ใจเราดูสิจะรู้ได้ทันทีว่า ... เขาต้องเจ็บปวดมากมายแค่ไหน ...”
“ พี่แทนก็เป็นซะแบบนี้ ใจอ่อนไม่เข้าท่า ...”

“ เธออาจจะว่าพี่ใจอ่อนไม่เข้าท่า ... ใช่พี่ยอมรับ แต่มันก็คงไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดาวหลังจากถูกพ่อของเธอหลอกไปข่มขืนที่บนห้องนอนตัวเอง ...”

“ หยุด หยุดได้แล้วนายแทน .... จะไปไหนก็ไป อย่ากลับมาบ้านนี้อีกเลย ...”

“ แม่ครับ ... แทนขอโทษที่ก้าวล่วงแม่ ... แต่มันจำเป็นที่ต้องรับผิดชอบชีวิตของดาวที่เหลือให้ดีขึ้นอีกตลอดไป ... สิ่งที่พ่อทำกับดาวในคืนนั้น เปลี่ยนชีวิตเขาทั้งชีวิต เขาไม่มีทางเลือก เขาไปขายตัวเพื่อแลกเงินมาเลี้ยงสองชีวิต ... ชีวิตต้องตกต่ำไม่มีวันได้ผุดได้เกิดเหมือนคนทั่วๆไป ไปที่ไหนก็มีแต่คนรังเกียจ สกปรกโสโครกเหมือนกากเดนสังคมที่เดินยัวะเยี้ยตามท้องถนนอนาคตไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรให้ได้เห็นนอกจากเลี้ยงท้องไปวันๆ ... เธออยู่อย่างลำบากกว่าเราไม่รู้กี่ล้านเท่า ... ใครคนไหนยังไม่รู้สึกว่าได้ทำลายคนดี ๆ มีอนาคตคนหนึ่งให้จมดิ่งอยู่ในบ่อโคลน ไม่มีวันผุดขึ้นมาเหนือน้ำตลอดชีวิตก็แล้วแต่ ... ถึงยังไงแทนก็จะขอดูแลเธอในชีวิตที่เหลือทั้งหมดด้วยตัวแทนเอง ... ถ้าทำไม่ได้ขอบวชไม่สึกตลอดชีวิต ... แม่คงเข้าใจนะครับ...”

“ พี่แทน พี่แทนบ้าไปหรือเปล่า ...”

เสียงกรีดร้องของสาลินีดังลั่นบ้านอีกครั้งเมื่อนางสุนีย์ ตัวอ่อนละทวย ใบหน้าซีดเผือดทรุดกองไปกับอ้อมกอดของลูกสาว ภายหลังที่แทนคุณขับรถคันเก่งพร้อมอนึก น้องชายพ้นจากประตูรั้วไปแล้ว ...

แทนคุณเปิดประทุนหลังคารถสปอร์รับลมที่พัดมาจากภายนอกรถ แล้วถอนหายใจออกมาดังๆคล้ายอยากจะระบายความอึกอัดที่อยู่ในใจให้ออกมาอีกครั้ง ก่อนะหันไปถามคนข้างตัวว่า ...

“ นายว่าพี่ทำแบบนี้ถูกหรือเปล่าวะนึก ... มันดูเหมือนลูกเนรคุณยังไงไม่รู้...”

“ ถ้าถามความเห็นผม ผมก็ว่าพี่แทนทำถูกต้อง อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ...”

แทนคุณอมยิ้มที่น้องชายปล่อยมุขออกมาแก้ความเคร่งเครียดในยามคับขันทั้งการจราจรบนถนนมิตรภาพ ทั้งเรื่องราวจากเหตุการณ์ระทึกขวัญวันแห่งครอบครัวเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ...

“ ฟังดูเหมือนโฆษณาผ้าอนามัยยังไงก็ไม่รู้สินึกเอ๊ย ...”

“ ผมพูดจริงนะพี่แทน ... คนอย่างพี่นนนี่ต้องเจอพริกที่เผ็ดร้อนพอฟัดพอเหวี่ยงอย่างนึกนี่แหละ ส่วนแม่ต้องใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวแบบพี่แทน ถึงจะสมน้ำสมเนื้อแท้จริง .... แต่แหมยังไม่รู้ผล ระฆังดันหมดยกไปซะงั้น วัยรุ่นเซ็งชะมัดญาติ ... นี่ถ้าระฆังต่อเวลาให้อีกสามนาที คงได้รู้ผล แพ้ชนะชัวร์ ๆ ...”

คนเล่าดีดนิ้วเปลาะสะใจในเรื่องเล่า ก่อนที่ผู้เป็นพี่จะปรามออกมาว่า ...

“ นายคิดอย่างนี้ก็ไม่ถูกทั้งหมดนะนึก อย่าลืมสิว่านั่นก็แม่ นั่นก็พี่สาวเรา ...”

“ โถพี่แทนยังกะพี่ไม่รู้จักนิสัยทั้งสองคนนั่นดี ... เมื่อกี้แม่ตบหน้านึก แล้วยัยพี่นี่ยังแลบลิ้นยกคิ้วหัวเราะให้อีก พี่แทนไม่เห็นเหรอว่า ...มีแม่ มีพี่คนไหน ...ตบหน้าลูกตัวเองโดยไม่มีเหตุผลแบบนี้บ้าง เล่าให้ใครฟังอายเขาถึงนั้น .... ดู ๆ ไปแล้วผมกับพี่เหมือนไม่ได้เป็นลูกแม่ ส่วนพี่นี่ก็เหมือนกันร้ายกาจ ผิดพี่ผิดน้อง ..ตอนเกิดน้าเอาขี้เถ้ายัดปากซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย จะได้ไม่ไปเสี้ยมแม่กับแสดงฤทธิ์เดชได้ขนาดนี้ ... เฮ้อกลุ้มชะมัดพี่ ...”

“ เฮ้ย เฮ้ย นายนึก...ฟังพี่ให้ดีนะโว้ย ... ตอนนี้รู้สึกนายกำลังจะฟุ้งซ่านไปกันใหญ่แล้ว ... แม่กับยายนี่คือแม่กับพี่สาวเอ็งชัดเจนมั้ย ที่พี่กล้าว่าแม่วันนี้ก็เพราะอยากจะให้เรื่องจบ ๆ ไปเร็วๆ ถ้าดาวเขาตกลงจะมาอยู่กับพี่ที่บ้านจอหอ เรื่องมันก็ลงตัว เขาจะเป็นแม่บ้านให้พี่ พี่จะมีลูกกับเขา ...เราจะเริ่มต้นกันใหม่ ... ใช้ชีวิตเรียบง่ายพอเพียงตามอัตภาพ ไม่ร่ำรวย ไม่ฟุ้งเฟ้อหรือเห่อไหลกับกระแสวัตถุนิยมเหมือนคนในทุกวันนี้ .. แค่นี้ชีวิตที่เหลือของพี่ก็น่าจะสงบ มีความสุขที่สุดแล้ว ...”

“ ถ้าทำได้อย่างที่ฝันไว้มันก็ดีนะพี่ ... แต่ไม่รู้ว่าดาวเขาจะเอาด้วยกับพี่หรือเปล่าน่ะสิ คิดแล้วชักกลุ่มดีมั้ย...”

“ นายพูดก็ถูก .. ตอนนี้พี่ยังไม่รู้ว่าดาวเขาหนีจากร้านวิกตอเรียไปอยู่ที่ไหน เราสองคนจะได้คุยกันอีกเมื่อไร นั่นคือปัญหาหลักล่ะนึกเอ๊ย ...”

“ งั้นเราลองไปเลียบเคียงถามที่ร้านวิกตอเรียอีกครั้งมั้ยพี่แทน เผื่อได้ข่าวดาวขึ้นมาบ้าง...”

“ ไปกันเลยนึก ...พี่ก็ใจร้อนอยากรู้เรื่องดาวเหมือนกัน ...”

อนึกพยักหน้ารับคำชวนแทนคุณที่กำลังหักเลี้ยวพวงมาลัยไปตามถนนมิตรภาพ-หนองคายมุ่งตรงไปยังวอยสามย่านอันเป็นที่ตั้งของร้านคาราโอเกะขึ้นชื่อที่สุดของเมืองโคราชที่ชื่อ ... “ วิกตอเรีย..”

------------------------------------------------------

แสงเดือนแสงดาวของท้องฟ้าที่กระพริบพราวยามค่ำคืนในคืนนี้ดูเหมือนจะไม่อาจจะเทียบแข่งกับรัศมีสร้อยเพชรพวงระย้าที่วาบวิบอวดแสงอยู่บนคอระหงของหญิงสาวร่างบอบบางน่าทะนุถนอมสวมชุดราตรีสีดอกพิกุลเดินกรุยกรายกระย่องกระแย่งนวยนาถลงจากรถสปอร์ตคันหรูด้วยท่าทีขัดๆเขินๆ เก้งๆ ก้างๆแตกต่างกับชายหนุ่มที่สวมสูทสีดำสง่าผูกเนคไทสีสดตัดกันแบบดูดีมีระดับเดินตรงเข้ามายังคลับวีไอพีใต้ถุนโรงแรมเลิศหรูห้าดาวแห่งนี้ด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลาเหมือนคนกำลังอ่มความสุขอย่างเต็มที่ ...

“ ทำตัวตามสบายนะดาว ไม่ต้องเกร็ง ... แถวนี้ไม่มีเสือสิงห์ มีแต่คนสนิทรู้จักกันทั้งนั้น...”

“ ขอโทษด้วยค่ะคุณวิน ... ดาวไม่เคยใส่ชุดแบบนี้ มันคันยิบๆที่คอ แล้วชุดที่ใส่ก็ดูโป๊กับดีเกินไป..”

“ ผมเตรียมไว้ให้คุณโดยเฉพาะ เดาขนาดเอวเอาไว้ ไม่คิดเหมือนกันว่าคุณจะใส่ได้พอดี แถมยังสวยดูดี ใครก็มองมาตั้งแต่ลงมาจากคอนโดนั่นแล้ว ... เป็นไงบ้างครับน้าเพลง ช่างเสริมสวยส่วนตัวผมเอง แกใจดีไหมครับดาว..”

น้าเพลงที่มาวินพูดถึงคือช่างเสริมสวยกิตติมศักดิ์ เป็นเสมือนญาติห่างๆ มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมทั้งเรื่องบางเรื่องที่อยากจะปรึกษาเป็นพิเศษก็สามารถจะบอกกล่าวได้ อย่างเรื่องการแต่งตัวดาวด้วยเครื่องทรงที่หรูหราเกินกว่าที่หญิงสาวจะหามาใส่ได้ในชีวิตนี้ ... น้าเพลงคนนี้นี่เองเป็นผู้จัดการบันดาลความงามได้อย่างที่ใคร ๆ เห็นก็ต้องชื่นชม แม้กระทั่งมาวินที่พบเจอดาวหลังจากแปลงโฉมถึงกับอึ้งตะลึง ไม่เชื่อว่าเด็กสาวกะโปโลบอบบางจะกลายเป็นนางหงส์ นางพญาที่ผู้ชายคนไหนคนใดเห็นต้องคาราวะในความงามนี้ ...

“ ค่ะน้าเพลงใจดีมาก กรุณาดาวทุกเรื่อง .. ไม่ถามว่าเป็นใครหรือซักไซ้ร์เรื่องส่วนตัว น่ารักมากค่ะ...”

“ นี่แหละคนที่ผมนับถืออีกคน รองจากแม่ ...”

เมื่อพูดถึงมารดาผู้ให้กำเนิดดาวสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มมีน้ำเสียงเป็นกังวลใจอะไรบางอย่าง แต่ไม่พูดออกมาให้ได้ฟัง นอกจาแววตาที่หลุบหลูลงมาจนมองเห็นแว่บเดียวเท่านั้น ..

“ มันสวยงามและดีเกินไปที่คนอย่างดาวจะมีโอกาสใส่มัน...”

“ ไม่ต้องคิดอะไรมากนะครับ .. ผมพอใจและดีใจที่คุณใส่มันได้ ก็แค่นั้น...”

“ ขอบคุณ ขอบคุณค่ะคุณวิน...”

พอคำสนทนาจบลง ทั้งสองก็เดินล่วงเข้าไปในห้องสูทหรู บรรยากาศอบอวลไปด้วยมิตรภาพและแอร์เย็นฉ่ำ เสียงสนทนาของคนแต่ละกลุ่มดังแทรกเสียงดนตรีที่บรรเลงเป็นระยะๆ เสริมให้งานเลี้ยงคืนนี้มีอะไรน่าสนใจกว่าปกติ ...

มาวินเดินควงแขนดาวเข้าไปในงานกาล่าดินเนอร์ด้วยท่าทีองอาจ เรียกร้องทุกสายตาให้มามองด้วยความรู้สึกแปลกแตกต่างกว่าทุกครั้งที่พารัศมิยาเข้ามาที่นี่ ชายหนุ่มเดาคำถามแรกที่เพื่อนร่วมก๊วนสนิทจะซักถามก็คือ ... ดาวเป็นใคร..

และแล้วก็เป็นจริงอย่างที่มาวิน คิด เพราะทันทีชายหนุ่มเดินเจอกลุ่มชายหนุ่มฉกรรจ์วัยทำงานเดียวกันสามสี่คน ทุกคนถามคำถามทันทีที่หยุดสนทนาว่า ...

“ เอ้ามาถึงแล้วพระเอกของเรา ... แนะมากับสาวสวยเสียด้วย...”

ดาวก้มหน้าต่ำมองพื้นเมื่อชายรูปร่างสันทัด ท่าทางและบุคลิกดูอารมณ์ดี หันมาจ้องเต็มตาแล้วทักมาวินด้วยความสนิทสนมกว่าคนอื่นๆ ที่เข้ามารุมล้อมจับจ้องมองหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์เต็มที่ ...

“ นี่คุณดาว ... เพื่อนสนิทของกันเอง ... ดาวจ๊ะนี่เพื่อนๆ คนรู้จักกันมานาน นั่นสมชาย ชื่อเล่น แอ๊ดเพื่อนสนิทของผมหรือพิภพ โน้นพาที อาเสี่ยใหญ่โรงน้ำแข็ง คนโน้นที่ดื่มไวน์แกล้มสาวตาหวานฉ่ำก็ภวัณ เจ้าของรีสอร์ทหรูวังน้ำเขียว คนสุดท้ายอารมณ์ดีสุดสมคะเนเจ้าของโรงน้ำแข็งเอเอชื่อดัง ..”

“ สวัสดีค่ะ...”

ดาวหลบตาเพื่อมาวินมองพื้นห้อง แต่มาวินยังคงถามเรื่องทุกข์สุขต่อไป ...

“ พวกนายมานานกันหรือยังวะ..”

“ พักใหญ่วะวิน วันนี้ไหงมากับสาวน้อยคนนี้ได้ รัศมิย่าคนเด่นไปอยู่ไหนแล้วล่ะเพื่อน...”

เสียงทุ้มนุ่มของร่างสูงใหญ่มาดสุขุมที่ซ่อนตัวในมุมมืดเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มที่ดาวรู้สึกไม่ถูกชะตาเอาเสียเลย มันดูทั้งไม่จริงใจและเย้ยหยันแปลกพิกล ... มาวินระบายยิ้มอย่างเคย เดินตรงเข้าไปโอบไหล่ชายผู้นี้แล้วดึงออกมาแนะนำกับหญิงสาวด้วยท่าทีสนิทสนมคุ้นเคยกันดี ...

“ อ้าวไอ้ชาติ ... วันนี้นายก็มางานเลี้ยงกับเขาเป็นด้วยเหรอวะ... เห็นกลัวเมียหงอ..”

“ งานแบบนี้จะพลาดได้ไงล่ะเพื่อน....ว่าแต่นายน่ะพาใครมาด้วย หน้าคุ้นๆนะ ...”

ชายชื่อสมชายยิ้มมุมปากเอียงคอมองจ้องดาวจนหญิงสาวต้องก้มไปมองพื้นด้วยความกลัว ...

“ ดาวเป็นแฟนของเรา ...เพื่อนๆรู้จักไว้ก็ดีนะ..”

เสียงหัวเราะแข่งกับเสียงคุยกันดังเมื่อครู่เเงียบเสียงลงเมื่อได้ยินประโยคที่มาวินพูดเมื่อครู่ ... ทุกคนมีสีหน้าประหลาดใจจนมองเหมือนมีเครื่องหมายคำถามตั้งอยู่บนหน้าชัดเจน แต่ก็เป็นชายแปลกหน้าอีกเช่นเคยที่ยื่นหน้าเข้ามาเคลียร์เหตุการณ์เอาไว้เหมือนพระเอกขี่ม้าขาว ...

“ ยินดีที่รู้จักครับคุณดาว สวย ๆ อย่างนี้มิน่านายวินถึงทิ้งมิย่าลงคอ...”

เป็นอีกประโยคที่บาดหัวใจหญิงสาวเสียเหลือเกิน ... อยากจะออกไปจากที่แห่งนี้เสียโดยเร็วจะยิ่งดี ... แต่เมื่อเห็นแววตาแห่งความดีใจที่ได้สังคมกับเพื่อนฝูงของคนข้างตัวแล้วทำเอาหญิงสาวถึงกับเปลี่ยนใจ ... เพราะตั้งแต่ได้เจอหน้าตาพูดคุยหรืออยู่ร่วมคอนโดมาพอสมควร ตนยังไม่เห็นชายหนุ่มยิ้มกว้าง หรือหัวเราะร่าเริงได้เต็มเสียงได้ขนาดนี้มาก่อน ...

แต่คำพูดที่วกวนชวนคิดได้ออกมาจากปากเพื่อนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นอย่างสม่ำเสมอ กระทั่งเวลาเข้าสู่วันใหม่ ... กลุ่มเพื่อนสนิทของมาวินได้แยกย้ายกลับไปบางส่วน โดยทีเหลือได้มารวมกันนั่งที่โต๊ะข้างๆเวทีนักดนตรี หัวข้อสนทนายังคงมีมากมายอยู่ต่อไป ...

มาวินส่งสายตามาดูแลหญิงสาวเป็นบางครั้ง แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆ แล้วหันไปสนใจการสนทนาที่ออกรสพร้อมแอลกอฮอล์ที่เพิ่มมากขึ้นไปตามด้วยเช่นกัน ....

แต่ดาวเริ่มรู้สึกอึดอัดเพราะเป็นเหมือนส่วนเกิน จึงขอตัวออกมาด้านนอกห้องงานเลี้ยง ... สายลมโชยพัดเอาอากาศเย็นตามธรรมชาติเข้าปะทะใบหน้านวลจนต้องเบี่ยงตัวหลบไปมุมเสา ... ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อชายร่างสูงที่อยู่ในมุมมืดตลอดเวลามายืนปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า จนสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าชายคนนี้มีใบหน้าหวานคมผสมกันอย่างลงตัว โครงหน้าโดดเด่นจนดูว่าหน้าตาดี สำอางกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือแววตาที่จ้องมายังหญิงสาวมีทั้งเยาะเย้ยปะปนไปกับความเชิดหยิ่งในความเป็นตัวของตัวเอง ...

“ หาตั้งนานที่แท้คุณดาวแห่งบ้านวิกตอเรียก็มาหลบมุมหนีควันบุหรี่ที่ด้านนอกด้วยเหมือนกัน ...”

“ เอ่อ ..คุณชื่ออะไรนะคะ...”

ชายหนุ่มทำท่าปั้นปึ่งไม่พอใจ ก่อนจะตั้งสติกลับคืนได้อย่างรวดเร็วแล้วพูดด้วยความประชดประชันว่า ...

“ ผมจะชื่ออะไรไม่สำคัญนักหรอกคุณดาว .. แต่ขอให้รู้ไว้อย่างหนึ่งว่า ผมรู้ประวัติของคุณดีทุกอย่าง ตั้งแต่คุณมาเป็นดาราประจำร้านคาราโอเกะโนเนม จนโด่งดัง ใครๆก็รู้จัก และเผลอไปใช้บริการ...”

“ คุณต้องการอะไรกันแน่คะคุณชาติ..” ดาวเริ่มเข้าใจเจตนาของชายหนุ่มคนนี้ดีจากการพูดจาเพียงประโยคเดียว
ดูท่าทางแล้วไม่มีเจตนาดีแน่ เมื่อเห็นตามออกมาถึงด้านนอกและปลอดผู้คนถึงเพียงนี้ ...

“ เธอก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะดาว ว่าสังคมที่นี่ไม่ต้องการโสเภณีค้างคืนแบบเธอ...”

ช่างเป็นถ้อยคำที่เสียดแทงหัวใจหญิงสาวเสียเหลือเกิน แต่ยังไงความจริงก็เป็นสิ่งไม่ตายอยู่วันยังค่ำ ดาวเชิดหน้าตั้งตรงหันกลับไปจ้องชายหนุ่มร่างสูงจนอีกฝ่านรู้สึกงงๆ ... ก่อนจะพูดออกมาว่า...

“ ฉันรู้จักตัวเองดีค่ะคุณ ... รู้ว่าตนเองเป็นใคร ต่ำต้อยถูกเหยียบติดดินได้สักแค่ไหน แต่ก็อยากจะขอถามคุณสักหน่อยจะได้ไหมว่า อาชีพขายของเก่าที่ฉันทำอยู่เป็นอยู่ในตอนนี้ มันสุจริตพอที่สังคมจะเรียกว่าคนดีได้หรือเปล่า แล้วถ้าคนที่ขายตัวแลกเงินอย่างฉันทำงานด้วยความสุจริตไม่คดโกงหรือเอาเปรียบใคร มันจะดีกว่าพวกนักการเมืองหรือพ่อค้าท้องถิ่นที่โกงชาติบ้านเมืองอยู่ทุกวันนี้ .... คุณคิดว่าอย่างไหนที่ควรจะยกย่องมากกว่า...”

“ ก็ทางเลือกมีตั้งมากมายทำไมไม่เลือก มาขายตัวทำไม...”

“ คุณชาติคะ ฉันอยากจะถามว่าคนจน ๆ อย่างพวกเรามีทางเดินให้เลือกมากมายนักเหรอ ..ขอถามหน่อย...”

“ อย่างน้อยก็ไม่น่ามาขายตัว...”

“ แต่คนขายตัวอย่างพวกเราอาจจะมีจิตใจที่ดีกว่าพวกที่ฉันกล่าวอ้างก็ได้ ...”

“ งั้นแสดงว่าตอนนี้เธอกำลังจะสบายด้วยการมาเกาะนายวิน เพื่อนของฉันงั้นซี...”

“ มาเกาะคุณวิน ... ให้ตายเถอะคุณชาติอะไรทำให้คุณคิดไปได้ถึงขนาดนั้น ... ฉันไม่ได้คิดอะไรนอกลู่นอกทางอะไรเลยสาบานกันเลยก็ได้ ...”

“ อันนี้ฉันรู้ว่านายวินกำลังชอบและหลงเธออย่างหนัก ไม่งั้นคงไม่ทิ้งยัยมิย่ามาคั่วแล้วพาออกงานสังคมแบบนี้ได้..”

“ ขอบอกเอาไว้เลยนะคะคุณว่าฉันไม่คิดอะไรแบบนั้น แค่คุณวินพามางานหรูหราของคนชั้นสูง สวมเสื้อผ้าที่ล้อมเพชรวูบวาบยังกะไฟงานวัด รองเท้าส้นสูงคล้ายอยู่บนปากเหว แล้วอะไรต่อมิอะไรที่ทั้งชีวิตนี้ฉันไม่เคยรู้จักหรือแม้จะสัมผัสก็นับว่าเป็นบุญของฉันแล้วในชาตินี้ ... ขอคุณอย่าซ้ำเติมความต่ำต้อยของฉันอีกเลยนะคุณชาติ ฉันขอร้อง...”

“ อ้าวก็นึกว่าทำงานแล้วจะรวย เห็นเป็นงานง่ายๆเหนื่อยแป๊บเดียวก็สบาย...”

เสียงหัวเราะขื่นๆที่ดังลอดริมฝีปากออกมา ทำเอาดาวถึงกับเพิ่มความเกลียดชังมากขึ้นไปอีกหลายเท่า แต่งานเลี้ยงของมาวินยังไม่จบ ต้องอดทนเอาไว้อย่างถึงที่สุด ... เพื่อนคนดี ๆ อย่างมาวิน ...

“ ความจริงมันก็คือความจริง จะเสริมหรือปรุงแต่งมากมาย สุดท้ายก็คือตัวตนของตัวเราเอง ...”

“ คารมจากร้านวิกตอเรียหรือเปล่านี่....”

“ ไม่ใช่หรอกค่ะคุณชาติ มันคือความจริงที่คนขายของเก่าทุกคนต้องตระหนักถึงความไม่แน่นอนของสังขารที่ร่วงโรยตามวันเวลา หรือไม่ก็เรื่องหากินไม่พอยาไส้ ... จะอดตายถ้าไม่ออกไปทำงานทั้ง ๆ ที่กำลังเจ็บป่วยปางตายก็ต้องทำ เพื่อปากท้อง เพื่อญาติที่รออยู่ข้างหลัง ... คุณคิดว่าพวกเราจะไปทำอะไรถ้าไม่หากินด้วยวิธีนี้ ...”

“ งั้นก็แสดงว่าอาชีพขายของเก่าเป็นอาชีพที่ดี สมควรที่เยาวชนควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างงั้นล่ะสิ... หึ หึ ...”

เสียงหัวเราะที่แฝงเจือปนไปด้วยความเย้ยหยันเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่อยากรู้ ทำเอาหญิงสาวถึงกับมีอารมณ์อยากจะตะบันหน้าคนพูดขึ้นมาบ้างเหมือนกัน ... แต่คิดไปคิดมาเรื่องคำพูดแค่นี้ ไม่อาจจะทำอะไรได้อีกแน่นอน... จึงเงียบเสียงเอาไว้ฟังดีกว่า ...

“ ทำไมเงียบไปล่ะครับคุณดาวคนสวย หรือว่าผมพูดอะไรไม่จริงออกไป...”

ดาวถอนหายใจ รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับผู้ชายที่หน้าตาแสนเปอร์เฟคตรงหน้า แต่คำพูดคำจาสุนัขไม่รับประทานเลย ...

“ ถ้าคิดได้อย่างนี่มันก็สุดแต่ความเข้าใจของคุณ แต่ฉันขอบอกไว้อีกครั้งนะว่า ... ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร ที่ไหน อย่างไร หรือทำอะไรเมื่อไหร่ฉันจะไม่ขอรับรู้ ...ฉันไม่อาจจะเป็นตัวอย่างแก่เด็ก เรื่องความถูกต้องหรือศีลธรรมอะไรพรรณนั้นได้ แต่ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตในอาชีพ ฉันก็เล่าให้พวกเขาได้อย่างเต็มปากว่า ... ฉันเอาหยาดเหงื่อแรงงานเข้าแลก ไม่ได้คดโกงกินเหมือนใครหลายคนๆที่กำลังทำกันอยู่ในบ้านเมืองนี้ ... และที่สำคัญถึงพวกเราจะขายของเก่า แต่พวกคุณอย่าลืมว่าสิ่งที่คุณได้กลับไปก็คือความสุข ไม่ใช่เหรอ ...”

“ เชอะความสุขที่แลกมากับน้ำกามงั้นเหรอ...”

“ คุณจะคิดอะไรก็แล้วแต่ ... ถึงยังไงพวกเราก็เป็นคน เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อ เต้นเร่ารับรู้ความรู้สึกเหมือนกัน ... มันน่าแปลกที่คุณวินมีเพื่อนอย่างคุณได้...”

ดาวพูดสวนไปด้วยคำถามเด็ดทำเอาสมชายถึงกับสะอึกและหน้าตาแดงกร่ำขึ้นมาด้วยความโกรธ ก่อนจะตรงเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสาวแล้วขู่ตะคอกออกมาว่า ...

“ ทำปากดีนักนะเธอ ... อย่าลืมกำพืดตัวเองสิว่าเป็นใคร...”

“ คุณพูดอย่างนี้ยิ่งไม่น่าจะเป็นเพื่อนคุณมาวินได้เลย ...”

“ ทำไม ...เธอมีดีอะไร หรือมีลีลาท่าทางรักท่าทางใหม่คิดประดิษฐ์ขึ้นมามัดใจนายวิน มันถึงกล้าพามาออกงานได้..”

“ เขาเป็นสุภาพบุรุษ ... ไม่เคยทำร้ายผู้หญิงแบบที่คุณกำลังทำอยู่ในตอนนี้...”

“ เอ๊ะอีบ้า... แกวอนซะแล้วนะ..”

สมชายเง้อมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อจะพาดเปรี้ยงลงใบหน้าของหญิงสาว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อห้าวลึกดังก้องมาจากด้านหลังพร้อมแรงเหวี่ยงที่กระชากตามมาอย่างรุนแรง ...

“ หยุดเดี๋ยวนี้นะ...”

ดาวหันไปมองอย่างตกใจเมื่อเห็นหมัดหลุนๆของใครคนหนึ่งกำลังแหวกลอยไปในอากาศแล้วเลี้ยวโค้งปะทะหน้าของสมชายเข้าอย่างจัง 

(จบตอน ๓)





Create Date : 15 ตุลาคม 2561
Last Update : 15 ตุลาคม 2561 12:33:22 น.
Counter : 336 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 4063778
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]