มกราคม 2561

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
31
 
 
กาแกมหงส์ 1






... เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง ...

เสียงปืนที่แผดลั่นดังสนั่นก้องไปในราวป่าตามหลังชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังวิ่งผ่านป่ารกชัฏ ผ่านป่าหญ้าคาและหุบห้วยด้วยสภาพสะบักสบอมเกินกว่าจะเรียกได้ว่าเดินทางปกติ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมเครื่องแบบราชการชุดสีกากีที่มือหนึ่งมือกอดห่อผ้าไว้แน่น อีกมือหนึ่งลากจูงหญิงสาวตากลมโตร่างเล็กผิวคล้ำหน้าตาสะสวยประหลาดไปข้างหน้าให้รวดเร็วอย่างไม่คิดจะหันหลัง ...

... แต่ทว่าหญิงสาวดูมีทีท่าจะอ่อนแรงลงไปมาก น่าใจหาย ...

“ ครูเจ้า ... มะขิ่นไปบ่ไหวแล้วเจ้า บ่ไหวแล้ว...” คนพูดทรุดตัวลงไปกองกับพื้นหญ้าจนดูน่ากลัว

“ เราหยุดไม่ได้นะมะขิ่น พวกมันไล่พวกเราใกล้เข้ามาแล้ว ลุกขึ้นสิ ลุกเดี๋ยวนี้ ..”

“ บ่ไหวแต้เจ้าครู ... มะขิ่นบ่มีแฮง ใจ๋จะขาดที่นี่แล้ว ครูพาลูกข้าเจ้าหนีไปก่อนเต๊อะเน้อ..”

“ ไม่ได้ ฉันทำไม่ได้แน่ ลุกขึ้นมะขิ่นครูขอสั่งให้ลุก ลุก ..”

“ ข้าเจ้าขอดูหน้าลูกเป๋นครั้งสุดท้ายหน่อยเจ้า ”หญิงสาวบ้านป่าที่ชื่อมะขิ่นยันตัวให้ลุกขึ้นอย่างยากเย็นจนอีกฝ่ายต้องยื่นห่อผ้าสีดำที่กำลังดิ้นดุกดิกอยู่ข้างในไปให้ด้วยสายตาที่มองไปรอบๆตัวอย่างหวาดระแวง ....

“ ลูกจ๋า ... แม่บ่มีวาสนาได้อุ้มชูลูกเหมือนแม่คนอื่นๆ จนต้องมาที่ตายกลางป่ากลางเขานี่ ... แต่แม่ก็ฝากชีวิตที่เหลือของลูกไว้กับครูพลแล้ว ขอหื้อลูกอายุมั่นขวัญยืนเป็นเด็กดีของพ่อครูตลอดเน้อลูกเน้อ..”
น้ำตาที่ไหลรินอาบสองแก้มนวลของหญิงสาว เสมือนคำสั่งลาสุดท้าย จนครูหนุ่มแห่งห้วยน้ำรินต้องเบือนหน้าแอบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสำทับเป็นคำสั่งอีกครั้งว่า ...

“ ไปกันได้แล้วมะขิ่น พวกมันขึ้นเขามาโน้นแล้ว ...”

“ บ่ทันแล้วเจ้าครู ... ไปเตอะข้าเจ้าขอร้อง ..”
สาวบ้านป่ายื่นห่อผ้าให้ด้วยความรีบเร่ง กายสั่นเทา ตาปรือสะลึมสะลือ เอื้อมมือไปเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากรอยกระสุนที่หน้าอกจนเลอะดูน่ากลัวยิ่งนัก ...

... เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง ...

เสียงปืนดังมาเป็นระยะๆ จนเฉียดหัวครูพลไปอย่างน่าเสียวไส้หวุดหวิดยิ่งนัก

... ครูหนุ่มมองร่างที่อ่อนระทวยจนคอพับคออ่อนไปกองอยู่กับพื้นแววตาเลื่อนลอยจนแทบไม่มีแวว ลมหายใจแผ่วๆระรวยริน โบกมือให้ไปข้างหน้า จึงตัดสินใจกระโจนลงหุบเขาที่สูงชันลงไปน้ำใสเย็นเบื้องล่างทันที ....

-- -- -- -- -- -- -- -- -- -

ครูพลกระพริบตาถี่ๆ คล้ายจะหลั่งน้ำตาให้กับความหลัง เมื่อสาวหน้าใสตาจ้องแป๋วรอฟังคำตอบจากผู้เป็นพ่อ “ ต่อจากนั้นแม่ของมะยมเป็นยังไงจ๊ะพ่อ..” ครูใหญ่โรงเรียนโคกพะงาดยิ้มละมุนรับคำออดอ้อนเป็นคำถามที่เฝ้าเวียนถามมาตั้งแต่แบเบาะของลูกสาวคนเล็กที่ตนเองตั้งชื่อให้คล้องจองกับผู้เป็นแม่ ...

“ หลังจากที่พ่ออุ้มลูกกระโดดหน้าผาลงไปในน้ำ พวกนั้นก็มาถึง แม่ของมะยมสิ้นใจที่บนเขานั่น..”

“ ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมแม่ต้องเคราะห์ร้ายอย่างนี้ด้วย แล้วพวกโจรพวกนั้นล่ะจ๊ะ..”

“ หลังจากเหตุการณ์บนเขา พวกตำรวจจากข้างล่างได้ยกกำลังปิดล้อมพวกเหลือบสังคมพวกนั้น แล้วเอาไปลงโทษอย่างสาสมที่สุด พวกมันฮึดสู้จนนาทีสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงที่ควันปืนกับความสงบสุขอย่างถาวรของชาวลัวะ ...”

“ มะยมอยากกอดและหอมแม่ ถ้าแม่ยังอยู่..”

“ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมอย่างที่เบื้องบนท่านได้ขีดเส้นเอาไว้แล้ว เรามีชีวิตเพื่อวันข้างหน้ากันดีกว่านะลูก วันนี้มะยมทำอะไรให้พ่อกินล่ะลูก...”

“ วันนี้ต้มมะระกับกระดูกหมูที่พลอยเขาชอบมากๆ น่ะจ๊ะพ่อ..”

“ ดีแล้วมะยม ตามใจพี่เขาหน่อยคิดว่าทำเพื่อพ่อนะลูก..”
เด็กสาวยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม ก่อนจะโผเข้าสวมกอดผู้เป็นพ่อ ผู้ให้ชีวิตตลอดสิบเจ็ดปีไว้แน่น ด้วยความรักล้นเปี่ยมสุดซึ้ง ถึงแม้จะมีเรื่องบางเรื่อง ยังค้างคาใจอยู่ก็ตาม...

-- -- -- -- -- -- -- -- -- -

ในอากาศยามเช้าเช่นนี้ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยละอองหมอกระเรี่ยตามผิวดินและยอดไม้ สายลมพัดแผ่วปะทะผิวกายให้สาวหน้าใสวัยกำดัดนางหนึ่งรู้สึกแช่มชื่นกว่าทุกวัน อากาศเย็นสบายยามเช้าเช่นนี้คงอยู่ในอีกไม่นานเพราะดวงตะวันจะทอแสงสีทองกำลังจะออกมารับเช้าวันใหม่แล้ว ...
มะยมเก็บข้าวของที่จัดเตรียมใส่บาตรยามเช้าเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีห่วงอีกหนึ่งอย่างที่ต้องทำก็คือตามหาสมุนจอมซนคู่ใจที่ชื่อ “เจ้าแสนดี” สุนัขพันธุ์ไทยตัวผู้สีน้ำตาลทอง รูปร่างปะเปรียวที่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหนแล้วตั้งแต่เดนไปกรวดน้ำที่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ ๆ ...
ทันใดนั่นเองเสียงเห่าดังบ็อกๆ ของเจ้าแสนดีแว่วดังให้ได้ยินแถวอยู่บริเวณถนนด้านหน้าโรงเรียนจนทำให้สาวผิวเนียนหน้าใสต้องค่อยๆเดินออกไปดู …
ภาพที่กำลังเห็นก็คือ เจ้าแสนดีกระโดดโลดเต้นกับเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจด ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาออกขาวจัดจนเกือบซีด ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผิวพรรณสะอาดสะอ้านคล้ายผิวผู้หญิง แววตาที่เงยหน้ามองตรงมาดูมีเสน่ห์เหมือนหยุดนิ่งทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ คิ้วที่หนาคมเข้มรับกับใบหน้าเหลี่ยมพอเมาะพอเจาะ จนมะยมเปรียบเทียบในใจว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาผิวพรรณดีจนผิดปกติ แถมเวลาที่เดินเข้าไปใกล้ก็รู้สึกได้ว่านายคนนี้รูปร่างกำยำสูงใหญ่กว่าตัวเองเยอะมาก...

มะยมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่สายตาคมปลาบจ้องมายังตนเอง แล้วหันกลับไปสาละวนหยอกเย้ากับเจ้าสมุนตัวดีด้วยความสนุกสนานประหนึ่งเคยเป็นเพื่อนรักกันมานานแสนนาน ความไม่ชอบใจเกิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน รู้สึกไม่ถูกช ะตากับผู้ชายหล่อหน้าตาคนที่ยืนตรงหน้าในตอนนี้ขึ้นมาทันที จึงตวาดเน้นย้ำในเสียงไปในทันทีว่า ..

“ แสนดีกลับบ้านเดี๋ยวนี้ คราวหลังจะเล่นกับใครก็ดูตามม้าตาเรือซะมั่งนะเจ้าตัวดี สมัยนี้ไม่รู้ใครเป็นใคร ไว้ใจได้หรือเปล่ามานี่เดี๋ยวนี้นะ”
มะยมร้องเรียกเจ้าแสนดี แต่มิวายที่จะสังเกตปฏิกิริยาของเด็กหนุ่มร่างสูง ผิวขาวคมเข้มที่กำลังเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตนเองอย่างพินิจพิจารณาอีกครั้งว่าเพราะอะไรเจ้าตัวดีในอาณัติถึงกบฏคำสั่งไปชั่วคราว …

“ บ๊อก ๆ ๆ ” เจ้าแสนดีส่งสัญญาณบอกกลับมาว่า “กำลังเล่นสนุก ยังไม่กลับไม่หรอก”

เด็กสาวรู้ดีว่าตอนนี้เจ้าหมาแสนดีกำลังห่วงเล่น ไม่สนใจคำสั่งอะไรทั้งสิ้นแล้ว ... แต่ก็ต้องลองปรามกันดู “ แสนดีนับหนึ่ง แสนดีนับสอง ....จะมาหรือไม่มาหา ” มะยมเริ่มจะงัดไม้ตายที่ใช้ได้เป็นประจำขึ้นมาใช้แล้ว “ บ๊อก ๆ ๆ ” ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเจ้าแสนดียังคงห่วงเล่น แต่ก็มีลังเลหันรีหันขวางตัดสินใจไม่ถูกจะเอายังไง จึงหันกลับมาส่งเสียงให้เจ้าของหนึ่งที แล้วกลับไปเล่นตามเดิม ...

“ แน่ะยังอีก อยากเจ็บตัวหรือไงหาเจ้าตัวยุ่ง มานี่ ..” คนพูดทำท่าสะบัดสะบิ้ง ส่ายตามองหากิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น จนร่างคนร่างสูงที่อยู่ในชุดกีฬากางเกงวอร์มสีขาวสะอาดทั้งชุด ต้องเอ่ยคำพูดออกมาเป็นประโยคแรก ..

“ ปล่อยให้มันเล่นกับผมสักพักเถอะครับมะยม เดี๋ยวมันเหนื่อยก็วิ่งกลับบ้านไปเองแหละ”

“ เอ๊ะ ! นายไม่ใช่คนแถวนี้ ”

“ ผมไม่ใช่คนแถวนี้หรอกครับ ... ผมชื่ออิสราครับเพิ่งย้ายมาจากกรุงเทพฯ ตอนนี้มาพักอยู่ในไร่บนเขาทางฟากโน้น พอตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืด เห็นลมฟ้าอากาศเย็นสดชื่นน่าวิ่งออกกำลังกายเรียกเหงื่อเอามากมาก ก็เลยออกวิ่งมาเรื่อยๆ จนเจอเจ้าแสนดีเห่าทักทายนี่แหละครับ นี่ผมกะว่าจะวิ่งเลยไปจนถึงสะพานคอนกรีตข้ามน้ำน่านทางด้านโน้นแล้ววกกลับมาผ่านหน้าโรงเรียน จนคุณมะยมเดินมาพอดีครับ …”

เด็กหนุ่มนิรนามทั้งหน้าตาและชื่อเสียงพยายามอธิบายเรื่องราวความเป็นมาเสียยืดยาว เพราะเกรงสาวหน้าใสยืนเท้าสะเอวตรงหน้าจะกระโดดงับคอเอาง่ายๆ จึงแสร้งลูบหัวเจ้าตัวยุ่งไปด้วยพร้อมเล่าไปด้วย จนผู้ฟังที่ยืนประจันหน้าด้านตรงกันข้ามกลับคิ้วขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่มีสาเหตุ ..

“ แล้วนายรู้จักชื่อฉันได้ไง..”
มะยมกอดอกแล้วยืดตัวทำเสียงเข้มกระชากกระชั้น เพื่อให้อีกฝ่ายเข็ดขยาดขึ้นมาบ้าง ทั้งที่ใจลึกๆ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเด็กหนุ่มหน้าตาผิวพรรณผุดผ่องที่ยืนสูงโด่ค้ำหัวอยู่ตรงหน้าตอนนี้มารู้จักชื่อจักแซ่ตนเองได้ยังไง …

“ เอ่อ ! คือเมื่อวานผมไปรายงานตัวที่โรงเรียนเห็นรูปคุณติดที่บอร์ดเลยจำได้ครับ..”

“ นายเป็นเด็กใหม่เหรอ ! แต่เอ ...ไม่เห็นอาจารย์เมตตาเล่าอะไรให้ฟังเลย สงสัยจะเพิ่งย้ายมา ” เด็กสาวส่งเสียงพึมพำคล้ายจะบ่นออกมาเบา ๆ จนคนร่างสูงที่ยืนฟังอยู่ต้องถามย้ำอีกทีว่าพูดอะไร ..

“ ว่าอะไรนะครับ ”

“ ปละ เปล่าไม่มีอะไร้ ฉันจะถามนายว่าอาจารย์เมตตาให้นายอยู่ห้องไหน ”

“ อยู่ห้องทับหนึ่งห้องเดียวกับมะยมนั่นแหละครับ อาจารย์เมตตาแนะนำว่า มะยมเป็นหัวหน้าห้อง และมีบ้านอยู่แถวนี้ ผมเลยถือโอกาสมาทำความรู้จักเอาไว้ก่อนเผื่อจะให้ผมรับใช้ช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ได้ ..”

“ ฉันไม่รบกวนนายหรอก อยู่ห่างๆ ฉันไว้ดีกว่านะ ฉันไม่พิศวาสพวกผู้ชาย

“
อิสรามีสีหน้างงระคนแปลกประหลาดที่สาวหน้าคมขำ ผิวเนียนละเอียดเป็นสีน้ำผึ้งมาทำมาดกร่างคล้ายทอมบอยตามสมัยนิยม ดูพิลึกพิลั่นแปลกๆ อดแปลกใจไม่ได้ว่าขนาดตนเองย้ายมาจากเมืองหลวงเมืองศิวิไลซ์ เพื่อมาหาความสงบสุขไร้มลพิษทางสังคมทุกรูปแบบไกลถึงท่าวังหิน อำเภอเล็กๆ ในจังหวัดทางภาคเหนือแห่งนี้ยังมิวายที่ค่านิยมผิดเพศ ทั้งตุ๊ด เกย์ ทอม ดี้ จะระบาดลามมาถึงที่นี่ ...

“ ว่าไง ๆ ฉันถามว่านายหมดธุระหรือยัง จะเข้าบ้านแล้ว พ่อฉันรอกินข้าวอยู่ ..”

“ ครับ คร้าบหมด ครับหมด งั้นเดี๋ยวเจอกันที่โรงเรียนนะครับคุณมะยม ..”
อิสราตอบแล้วอมยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อเห็นสาวน้อยผิวเนียนสีน้ำผึ้งตรงหน้าค้อนขวับอย่างลืมตัวแล้วรีบหันหลังหลับไปพร้อมแลบลิ้นส่งมาให้ก่อนจะลากเจ้าแสนดีไปด้วยความทุลักทุเล ....
พอเด็กสาวหายลับไปอิสราถึงกับถอนหายใจโล่งอกไปเฮือกใหญ่ รู้สึกดีใจที่ได้รู้จักกับมะยมอย่างที่ครูเมตตาแนะนำว่าถ้าอยากจะรู้จักท่าวังหินให้ดีพอต้องเป็นเพื่อนกับสาวหน้าคมมาดทอมที่เป็นประธานนักเรียนโรงเรียนท่าวังหินพิทยาคมให้ได้ ....

จนทุกอย่างประจวบเหมาะ เมื่อได้เปิดดูจุลสารแนะนำโรงเรียนท่าวังหินพิทยาคมที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกอย่างไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จนมาสะดุดตาในหน้าเกือบท้ายๆ เล่มที่แนะนำคณะกรรมการนักเรียนทั้งหมด เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักดูดี รูปร่างสูงปราดเปรียวเหมือนนักกีฬาไม่สูงไม่ต่ำมากนัก ดวงตาคมโตระยิบระยับคล้ายเพชรน้ำเอกมีทีท่าเอาจริงเอาจังอยู่ในนั้น วงหน้าเรียวยาวรับกับทรงผมซอยสั้นๆคลอเคลียเป็นลอนอยู่ท้ายทอย ...

อิสรารู้สึกแปลกๆ จนต้องถามตัวเองว่าทำไมถึงรู้สึกถูกชะตาสาวน้อยคนนี้ แม้เพียงแค่เห็นแว่บแรกในรูปถ่ายเท่านั้น …

แรกเมื่อได้เดินทางรอนแรมออกจากเมืองหลวงกระทั่งมาถึงท่าวังหินเมื่อ
ดวงตะวันเย็นย่ำ คณะเดินทางได้พักผ่อนหนึ่งคืน จนรุ่งเช้าท่านชายปกรณ์เทวาผู้เป็นบิดาได้พาตนเองวันวิสา ว่าที่คู่หมั้นที่ได้ย้ายมาเรียนที่นี้ด้วยอีกคน เพื่อไปพบอาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนท่าวังหินพิทยาคม ...
พอรถยนต์คันหรูแล่นจอดหน้าอาคารเรียนไม้ทาสีขาวทั้งหลังที่ร่มครึ้มด้วยแมกไม้ที่ขึ้นอยู่รายรอบ ตึกนี้มีสามชั้น ห้องอาจารย์ใหญ่จะอยู่ชั้นสาม ขึ้นบันใดแล้วเลี้ยวขวาไปสุดอาคารก็จะพบกับห้องขนาดใหญ่ติดแอร์เย็นฉ่ำ ห้องนั้นทาสีขาวเหมือนผนังด้านนอก แบ่งเป็นสามห้องเล็กๆ คือห้องพักครู ห้องอาจารย์ใหญ่กับห้องธุรการการเงิน ...

ท่านชายปกรณ์เทวาเดินก้าวเท้ายาวๆ พร้อมด้วยอิสราและรั้งท้ายด้วยวันวิสา กระทั่งถึงหน้าห้องอาจารย์ประสงค์ ที่มีโต๊ะทำงานขนาดไม่ใหญ่นักตั้งอยู่พร้อมเอกสารที่เปิดกางค้าง แต่ไม่มีใครนั่งอยู่บริเวณนั้น หม่อมเจ้าปกรณ์เทวาหันรีหันขวางอยู่ครู่ใหญ่ จนประตูห้องที่ปิดอยู่เปิดผัวะออกมา ...
หญิงสาวหน้าตาสะสวย แย้มยิ้มรับแขกพร้อมกับเอ่ยต้อนรับว่า ..

“ เรียนคุณชายด้านในเลย อาจารย์ประสงค์มารอได้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วค่ะ..”

“ ขอบคุณมากครับ เอ่อ …”

“ อุ๊ยตายขอโทษค่ะ! ลืมแนะนำตัวเองดิฉันชื่อพักตร์พิไล เป็นอาจารย์ฝ่ายประชาสัมพันธ์โรงเรียนค่ะ ”

“ สวัสดีครับอาจารย์ ผมขออนุญาตเข้าไปข้างในก่อนนะครับ..” ท่านชายหนุ่มใหญ่ยิ้มขอบคุณ ก่อนจะก้าวเข้าห้องข้างหน้าทันทีที่พูดจบ ….

ภายในห้องส่วนตัวของอาจารย์ประสงค์บ่งบอกรสนิยมความชอบของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี เพราะภายในห้องสี่เหลี่ยมไม่แคบไม่กว้างเท่าใด มีรูปภาพและวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเครื่องรางของขลังอยู่เต็มไปหมดนับตั้งแต่พระเครื่องที่จัดเรียงเป็นชั้นลดหลั่นลงมา ไหนจะหินปลุกเสกชนิดต่าง ๆ พระพุทธรูปจำลองปางต่าง ๆ ไม่นับรวมกับเครื่องรางของขลังอื่น ๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าห้องนี้ไม่น่าจะใช่ห้องผู้บริหารสูงสุดของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ ....

อิสรารู้สึกอึดอัดที่ได้เข้ามานั่งในห้องทั้งบรรยากาศตรงหน้าและรายรอบตัว ท่านชายปกรณ์เทวาเป็นผู้ใหญ่และสุขมพอที่จะไม่แสดงอาการออกมาเหมือนเด็กหนุ่มสาวทั้งสอง จึงเอ่ยฝากฝังบุตรชายและหลานสาวให้ได้เล่าเรียนประมาณหนึ่งปีก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย ...

ผู้บริหารมาดกรุ่มกริ่มยิ้มแก้มปริทันทีเมื่อท่านชายเซ็นเช็คบริจาคเงินให้โรงเรียนเป็นตัวเลขจำนวนหกหลัก การสนทนาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ ท่านชายจึงขอตัวกลับไร่ฟ้าเมฆา อาจารย์ประสงค์กับอาจารย์พักตร์พิไลเดินมาส่งถึงบันใดด้านล่าง ก่อนที่รถเบนซ์สีดำขลับจะเคลื่อนลับหายไปที่หน้าประตูโรงเรียน …

หลังจากออกมาจากโรงเรียนได้สักครู่ บรรยากาศที่นิ่งเงียบๆ ภายในรถในตอนแรกกลับต้องขมวดตึงเพราะน้ำเสียงที่ทุ้มแน่นของผู้อาวุโสสุดดังก้องขึ้นมา ..

“ เมื่อกี้ลูกทำไม่ถูกนะอิส ถ้าหากเราอยู่ในสถานการณ์ชวนอึดอัดแบบนั้น ลูกควรจะนิ่งเฉยไว้จะดีกว่า ไม่ใช่แสดงออกทางสีหน้าชัดเจนเช่นนั้น ..”

“ ลูกไม่ชอบคนไม่จริงใจ” อิสราเอ่ยเถียงไปตามความรู้สึกข้างใน จนหม่อมเจ้าปกรณ์เทวาถึงกับหันหลังกลับมามองด้วยสายตำหนิ ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยเหมือนพร่ำสอน ..

“ เราไม่ควรไปตัดสินคนๆ หนึ่ง เพียงแค่พบกันไม่กี่นาทีนะอิสรา หากวันหนึ่งลูกโตเป็นผู้ใหญ่ ลูกก็จะเข้าใจเรื่องนี้เอง ทุกๆอย่างมีเหตุผลประกอบด้วยกันทั้งนั้นแหละ ว่าแต่ว่าพวกเราเตรียมพร้อมที่จะเรียนในวันมะรืนกันแล้วหรือยัง ..” ท่านชายเอ่ยถามทั้งสองคนในอารมณ์ที่แช่มชื่นขึ้นมาบ้าง ..

“ เรียบร้อยครับท่านพ่อ ลูกว่าจะไปหาเพื่อนที่เป็นหัวหน้าห้องในพรุ่งนี้เช้า ..”

“ วิสาล่ะขาดเหลืออะไรหรือเปล่าลูก ! ถ้าขาดอะไรก็บอกลุงนะ ลุงจะพาไปซื้อที่ตัวเมือง ”

“ ไม่มีอะไรขาดค่ะคุณลุง ท่านแม่เตรียมทุกอย่างให้วิสาเรียบร้อยแล้ว..”

“ งั้นก็ดีแล้วตั้งใจเรียนกันเข้า เพราะปีหน้านี้แล้วใช่มั้ยลูกที่เราสองคนจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย..”

“ ครับ ..ค่ะ..” อิสรากับวันวิสาตอบขึ้นพร้อมกัน ท่านชายปกรณ์เทวายิ้มอย่างพอใจ …

“ เออ ! พ่อเกือบลืมเรื่องสำคัญไปแน่ะ อาจารย์ประสงค์ได้ย้ำเรื่องการคบหาเพื่อนในโรงเรียนว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าไปเข้ากลุ่มกับกลุ่มเด็กแสบสองกลุ่มอะไรทำนองนี่แหละ ”

“ ลูกจำที่ท่านพ่อสอนได้ว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่คนอื่นเขาบอกต่อๆกันมาไม่ใช่เหรอครับ..” อิสราโต้เถียงด้วยเหตุผลกลับไปจนผู้เป็นพ่อต้องรีบตอบในทันทีว่า ..

“ มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดนะอิสรา เรื่องบางเรื่องเราไม่ควรไปหาเหตุผลกับผู้ที่มีประสบการณ์มาก่อน ดูๆแล้วอาจารย์ประสงค์แกก็หวังดีกับลูกนะอิส และอีกอย่างเด็กพวกนั้นอาจจะไม่ดีอย่างที่ว่าก็ได้ ..”

อิสราคิดว่าถ้าหากเอ่ยเถียงต่อไปเรื่องราวคงไม่จบ จึงนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอีกต่อไป แต่ทว่าสาวน้อยผิวขาวเหมือนหยวกกล้วยที่นั่งนิ่งอดทนฟังมานานแล้ว รู้สึกทนไม่ไหวอยากจะแสดงความคิดเห็นออกมาบ้าง …

“ อิสล่ะก็เป็นอย่างนี้ทุกทีเลย ชอบใจอ่อนมองโลกในแง่ดีไปซะทุกเรื่อง วิสาว่าท่านลุงพูดถูกและขอเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งนะคะว่าเด็กบ้านนอก เอ่อ … เด็กต่างจังหวัดอย่างท่าวังหินนี่ มันจะมีอะไรดีไปกว่ายกพวกตีกันเหมือนคนบ้านป่าเมืองเถื่อน ไร้การศึกษา นี่ถ้าไม่ติดว่าอิสรามาเรียนที่นี่นะ เอาเงินจ้างสักล้านสองล้านวิสาก็ไม่มาให้ลำบากหรอกค่ะท่านลุง.. ”

เด็กสาวมีศักดิ์เป็นหลานห่างๆ และว่าที่คู่หมั้นบ่นอุบแล้วยักไหล่ทำท่าประกอบคำพูดใส่ความรู้สึกอย่างเต็มที่ จนอิสราทนฟัง ทนดูแทบไม่ได้ จึงแสร้งหันหน้ามองไปยังทุ่งนาสีเขียวที่มีต้นข้าวชูช่อสะบัดไปมาล้อเล่นกับลมอยู่ไกลลิบติดกับทิวเขาสีเทาระเรี่ยไปด้วยหมอกลอยจางๆสุดสายตาเสียดีกว่า ก่อนจะจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอีกครั้ง …

(จบตอน)



Create Date : 29 มกราคม 2561
Last Update : 30 มกราคม 2561 17:11:05 น.
Counter : 410 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สมาชิกหมายเลข 4063778
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]