เช้านี้ยุกันดามาทำงานสายนิดหน่อย และหล่อนก็เดินสวนกับเขาผู้ชายคนที่เข้ามาครอบครองหัวใจเต็มอยู่ทุกห้องในตอนนี้ ต่างคนต่างหยุดมองหน้าสบตากันโดยไม่ต้องพูด ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นสื่อถึงกันเอง ก่อนจะแยกกันไปทำงาน
คิ้วสองข้างของหล่อนขมวดเข้าหากันตลอดเวลาในระยะของการทำงานช่วงเช้า จนได้เวลาพักทานอาหารกลางวัน เมฆก็เดินมารับหล่อนที่ห้องนั่นจึงเป็นโอกาสที่จะพูดกับเขา
ยุ วันนี้เราจะทานอะไรกันดีเอ่ย หืม..ทำไมหน้าซีดจังไม่สบายหรือเปล่านี่ เขาไม่พูดเปล่า แต่เดินเข้ามาเอามือแตะที่หน้าผากหล่อนรีบเอียงกายหลบ นั่นยิ่งทำให้เขามองพร้อมทั้งเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างงงกับท่าที
เมฆคะ ยกเลิกการแต่งงานเถอะ.. หล่อนเอ่ยกับเขาด้วยน้ำสียงราบเรียบ เมื่อเขานั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้า และรีบดีดตัวขึ้นอย่างเร็ว ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ
อะไรนะ ไหนพูดใหม่อีกทีสิ..! เขาถามย้ำในสิ่งที่หล่อนพูด สีหน้านั้นเข้มจนออกแดงที่ย้ำถามในสิ่งที่หล่อนเอ่ยเมื่อสักครู่
ยุกันดาถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะเอ่ยช้าๆ เรายกเลิกการแต่งงานกันเถอะค่ะ เท่านั้นเอง
ปัง
ทำไม ผมทำผิดอะไร อยู่ๆ คุณถึงมาบอกให้ยกเลิกการแต่งงานคุณไม่พอใจอะไรในตัวผม คุณพูดกับผมสิ แต่อย่าทำแบบนี้ มีอะไรมากกว่านั้นบอกผมหน่อยสิยุ เมฆกำมือเข้าหากันแน่น หลังจากที่ทุบโต๊ะเสียงดังโดยไม่กลัวมือจะพัง ริมฝีปากนั้นสั่น ใบหน้าก็ซีดจนหม่นและหมองลงถนัด หล่อนรู้ว่าที่พูดไปนั้นทำร้ายความรู้สึกของเขาไม่น้อย เพราะเห็นเขานิ่งไปแต่สายตาหันมาจับจ้องหล่อนเขม็ง ปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง เหมือนคนไม่อยากเชื่อว่าที่พูดกับเขาอยู่ในตอนนี้ จะใช่หล่อนหรือเปล่า ช่คนที่เขารู้จักไหม
ไม่มีค่ะ คุณไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงเลย แต่ยุยุไม่ดีพอสำหรับคุณ อย่าถามยุอีกเลยนะคะเมฆ ยุขอร้อง หล่อนพูดไปด้วยน้ำตาคลอเบ้าเสียงก็ชักเริ่มสั่น
คุณอย่าพูดบ้าๆ สิยุ วันแต่งของเราเหลืออีกไม่ถึงเดือนแล้วนะมันไม่ง่ายอย่างที่พูด แขกเราเชิญแล้ว จะยกเลิกยังไง คุณคิดหน่อยสิยุ เขาโวยวายเสียงไม่ดังนักเพราะอยู่ในห้องแอร์ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดตามหน้าผากแม้เครื่องปรับอากาศจะยังทำงานสายตาที่มองหล่อนนั้นก็ตัดพ้ออย่างเปิดเผย
ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะเมฆ ยุพูดจริงๆ หญิงสาวยังคงยืนยัน สิ่งเดียวเท่านี้ที่หล่อนทำได้ เมื่อพูดออกไปแล้วก็โล่งอก ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเขา นอกจากสายตาที่มองมาเหมือนจะหักคอหล่อนเสียให้ได้ก่อนจะกระแทกเท้าหนักๆ ผลุนผลันพาร่างออกไปจากห้องอย่างคนขวัญเสีย
เมฆคะ! ยุขอโทษจริงๆ หล่อนพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา และรู้ดี ว่าจิตใจของเขายามนี้เป็นอย่างไร หล่อนเองก็สับสนหวาดหวั่นไม่ต่างอะไรกันคนที่ทำผิด เพียงแต่อยากทำตามที่ใจร่ำร้องเท่านั้น เป็นความผิดด้วยหรือ?
หญิงสาวค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งแล้วปิดเปลือกตาแน่นปล่อยสมองให้ลอยเคว้งคว้างไปเรื่อยๆเมื่อหล่อนเพิ่งจะทำให้คนที่ไม่อยากให้เจ็บปวดต้องเจ็บปวดและเจ็บช้ำ มันไม่ใช่ความผิดของเขา แต่มันเป็นความผิดของหล่อนเองที่มักง่ายเกิดมีรักขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนกับคนที่ไม่คุ้นเคย แต่ในความรู้สึกมันกลับคุ้นเคยกันมากมาย และมีความสำคัญต่อเธอมากจนยากจะปล่อยให้ผ่านไปได้
หล่อนไม่สนใจว่าใครจะหมางเมินกับหล่อนบ้าง ขอเพียงแค่เริ่มต้นเดินไปพร้อมกับเขา ได้เป็นคนของเขา และเป็นคนๆ เดียวกัน
หล่อนอยากสัมผัสผิวเนื้อของเขา เพื่อรับรู้ถึงไออุ่นจากเรือนกายได้พูดคุยโดยไม่ต้องกอดกันก็ได้ อยากสบตาบ้างใกล้ๆ ได้ทานอาหารและลิ้มรสในสิ่งเดียวกัน กับเขา
ได้ดูได้ทำในสิ่งเดียวกัน เท่านั้นทุกอย่างก็ช่างมหัสจรรย์มากแล้ว
ยุกันดาไม่เคยเชื่อถือเรื่องบุพเพสันนิวาส แต่บัดนี้ หล่อนเชื่อแล้ว
ทุกเวลานาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ก็ผ่านมาด้วยดี ณ วันนี้ วันที่หล่อนได้เลือกชีวิตตามใจตัวเองเฝ้าฝัน
ได้ลิ้มรสชาติของชีวิตคู่ ที่มีหล่อนกับดิษฐ์มาเริ่มต้นใช้หลังจากมีปากเสียงกับทางบ้านและเมฆได้เพียงอาทิตย์เดียว
ทุกๆอย่างดูราบรื่นและไม่มีข้อผิดพลาดสำหรับหล่อนและเขาอีกแล้ว
เป็นการยอมรับซึ่งกันและกัน หล่อนมีความสุขกับชีวิตจุดนี้ ที่ได้เลือกเอง ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากเขาและหล่อน มีแต่ความรู้สึกผูกพัน ความเข้าใจที่เป็นตัวแปรจึงมีวันนี้
พิธีแต่งงาน มีเพียงเขากับหล่อนสองคนที่ต่างก็เป็นพยานให้กับคำสัญญาของตัวเอง เดือนกว่าๆ ที่หล่อนมาอยู่กับเขาและลาออกจากงานที่ทำ แต่ละวันทั้งสองเหมือนคู่สามีภรรยา แม้ไม่ได้จัดงานแต่งกันใหญ่โตแต่ก็เป็นในแบบที่ทั้งสองถูกใจ โดยไม่ต้องเอ่ยปากก็ต่างรู้ดี
ทั้งเขาและหล่อนก็เลือกบ้านพักริมทะเลแห่งนี้เป็นสถานที่ฮันนี่มูน แม้ไม่ใช่เกาะสวยหรูอย่างที่เคยคิด แต่ก็เป็นบ้านพักตากอากาศส่วนตัวที่เปิดต้อนรับการมาของหล่อนตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากที่เขาให้คนขับรถมาส่งก่อนตัวเขานั้นติดงานจึงมาพร้อมกันไม่ได้ เพราะต้องเข้าประชุมใหญ่ตั้งแต่เย็นวานแต่เขาบอกว่าจะตามมาเมื่อเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อย
ยุกันดาชอบทะเล ยิ่งมีบ้านสวยๆ อย่างนี้ให้นอนดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าหล่อนก็ยิ่งชอบ หากมีเขาอยู่ด้วยก็น่าจะดีและมีความสุข หญิงสาวรู้สึกดีใจนักที่พ่อกับแม่ปล่อยให้หล่อนตัดสินใจเอง
ตั้งแต่มีเรื่องกันวันนั้น ท่านก็ไม่เข้ามายุ่มย่าม ไม่ถามไม่ไถ่ เหมือนต่างคนต่างอยู่ ไม่โอภาปราศรัยเหมือนก่อน บางครั้งหล่อนก็แอบร้องไห้น้อยอกน้อยใจ แต่ทั้งหมดเพราะหล่อนเลือกแล้ว หล่อนขอท่านลิขิตชีวิตตัวเอง ซึ่งทั้งสองก็ไม่ห้าม
เมื่อเป็นแบบนี้ หล่อนก็เลยขออนุญาตออกมาอยู่ข้างนอก ซึ่งท่านก็ไม่ขัด ยุกันดาจึงมีอิสระเต็มที่กับเรื่องนี้
หญิงสาวนอนตากแดดตากลมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เมื่อหิวก็ลุกขึ้นหาอะไรในตู้เย็นมาทาน มีอาหารมากมายหลายอย่างในนั้น เพราะเขาสั่งคนดูแลให้ซื้อไว้ให้พร้อมสรรพ
หล่อนยืนทอดสายตามองเหม่อออกไปในทะเลปล่อยดวงใจล่องลอยกับฟากฟ้าสีครามเบื้องหน้า ยามลมพัดโชยบางเบาได้หอบเอาไอเค็มของน้ำและแดด มาให้หล่อนได้ซึมซาบ กับความเป็นธรรมชาติจนถึงแก่น.เหมือนหล่อนได้ซึมซับสัมผัสผิวกายของเขาไปด้วย คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าก็แดงระเรื่อ ผิวกายร้อนรุ่มอกใจเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความคิดถึง..
แต่ยามนี้อยู่คนเดียว มันชวนเหงาพิลึก
กริ๊ง กริ๊งงง
เสียงแผดดังของโทรศัพท์ ทำเอาหล่อนสะดุ้งก่อนจะลุกขึ้นเดินไปคว้ามาแนบหู กรอกเสียงลงไป
ฮัลโหล.สวัสดีค่ะ อ้าว ! หรือคะ ไปเมื่อไหร่คะ แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ ค่ะ ยุจะรอคุณมารับกลับบ้านเรา แล้วเจอกัน เดินทางปลอดภัยนะคะดิษฐ์ ยุรักคุณ
****************
ทุกเวลานาทีที่อยู่ที่นี่ ยุกันดาเดินไปตามหาดทรายสีขาว สายลมโชยแผ่วเบา ทำให้เย็นสบาย อากาศยามบ่ายแก่ๆอย่างนี้ยิ่งทำให้ชายหาดริมทะเลดูดียิ่งขึ้น หล่อนยกเท้าเพื่อให้พ้นน้ำทะเลที่สาดซัดขึ้นมาจนสูงเดินบ้างวิ่งบ้าง พอเหนื่อยก็หยุด
ยุกันดาทรุดตัวลงนั่งบนผืนทราย ทอดตามองแสงอาทิตย์ที่ไม่แผดจนจ้ามากนัก อย่างเลื่อนลอย เสียงฝีเท้าหนักๆ ทำให้หล่อนเงยหน้าขึ้นมองเห็นเด็กใบ้ลูกของแม่บ้าน เดินมายื่นโทรศัพท์ให้ พร้อมชี้มือชี้ไม้เป็นการสื่อสารหล่อนรับมาถือและไม่ลืมกล่าวขอบใจเบาๆ
ฮัลโหล ! เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนลอยเข้ามาตามสาย ยุครับ ผมเอง
คุณดิษฐ์หล่อนเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อยู่ที่ไหนคะตอนนี้ ถามเสียงใส
ตอนนี้ผมอยู่สนามบินแล้ว อีกไม่เกินสามชั่วโมงนี้เราคงได้เจอกัน ให้นายยิ่งมารับแล้วจ้ะ ผมคิดถึงคุณมาก รู้ไหม บอกเพื่อให้หล่อนคลายกังวลและกระซิบในตอนท้ายน้ำเสียงกระเส่ามาตามสายทำให้คนฟังใบหน้าร้อนวูบวาบ ค้อนลมค้อนแล้งแถวนั้นไปเรื่อย
ฮื่อออ รู้แล้ว จะรอนะคะ บอกกลับไปด้วยน้ำเสียงสดชื่นไม่ต่างกันดวงตาสุกใสเปล่งเป็นประกาย
ติ๊งง
เสียงปลายทางวางสายไปแล้ว หล่อนจึงส่งโทรศัพท์คืนแม่หนูใบ้ไป แล้วคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าไปบอกแม่เนียมในครัว ให้ออกไปช่วยถือของที่ตลาดแล้วบอกให้กลับบ้านได้ หล่อนจะเตรียมอาหารเอง เพื่อรอเขากลับมาทานพร้อมกัน
ตั้งแต่แต่งงานกันมา หล่อนก็ทานคนเดียวมาตลอด ในเมื่อวันนี้เขากลับแล้ว ถือโอกาสเลี้ยงฉลองกันสักหน่อย
๑๗.๓๐ น.แล้ว ยุกันดาเตรียมอาหารไว้พร้อม ไวน์ที่เขาชอบก็จัดแจงแช่รอในถัง ในชีวิตนี้ ทั้งเขาและหล่อนต่างไม่ขออะไรมาก แค่ได้อยู่กันสองคนก็เพียงพอแล้ว
******************