|
 |
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | |
|
|
 |
20 กุมภาพันธ์ 2550
|
|
|
|
โดนเข้าจนได้
ได้ยินคนล่ำลือกันว่า บล็อกนี้มี Tag ใครโดนเป็นต้องเล่าแจ้งแถลงไข เอาความลับของตัวมาเผยกับชาวบล็อก ด้วยความที่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน (ช่วงที่ Tag กำลังบูม) เลยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว แล้วก็โดนเข้าจนได้ ความลับ มันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปก็คราวนี้ล่ะ เรื่อง ลับ ๆ 5 เรื่องที่จะเอามาตีแผ่ อาจไม่เด็ด สะระตี่ เหมือนคนอื่น แต่ก็นะ .. เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา มาเริ่มกันเลยดีกว่า
1 อยู่กับยาย สมัยเริ่มแรกรุ่น ใกล้จะแตกเนื้อสาว เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ ถูกแม่ส่งให้ไปอยู่กับยาย เพราะน้าแต่งงานแล้วก็แยกไปอยู่กับครอบครัว ไม่มีใครอยากให้ยายต้องอยู่คนเดียว เลยเป็นหน้าที่ของสาวน้อย อายุ 13 อย่างเรา ที่โตพอจะไปอยู่เป็นเพื่อนยายได้ ตอนนั้น ไม่เข้าใจเลยว่า แม่คิดยังไง ถึงได้ส่งเด็กที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มวัยกำลังรุ่น ไปอยู่กับคนแก่ .. คนหนึ่งกำลังอยู่ในช่วงอารมณ์รุนแรง เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง และเกลียดคำสั่งเป็นที่สุด อีกคนก็ละเอียดอ่อนกับอะไรไปซะทุกเรื่อง แถมยังขี้น้อยใจไม่เป็นรองใครอีกต่างหาก โอ๊ย .. กว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้ ก็เสียน้ำตาไปหลายถัง (ด้วยเรื่องที่ไม่น่าเป็นเรื่องทั้งนั้น) ชีวิตของสองยายหลาน ก็เหมือนชาวชนบทส่วนใหญ่ ทั่ว ๆ ไป นั่นคือ ติดละครน้ำเน่าหลังข่าว หนักยิ่งกว่าติดยา กิจกรรมโปรดตอนนั่งดูละครด้วยกัน คือ แย่งกรรมสิทธิ์การครองรีโมททีวี หรือที่เราเข้าใจกันในชื่อ "ศึกชิงรีโมท" ขณะที่อยู่หน้าจอ ใครอย่าได้เผลอปล่อยให้รีโมทหลุดจากมือเป็นอันขาด หรือแม้แต่ วางนิ่ง ๆ บนพื้นใกล้มือก็ไม่ได้ ถ้าเผลอเพียงกระพริบตา พริบเดียว รีโมทอาจเปลี่ยนมือได้ เพราะอีกฝ่าย จ้องตะครุบ ตาเป็นมัน อย่างกับสิงโต จ้องตะครุบเหยื่อ ถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าจะแย่งกันถือให้หนักไปทำไม เพราะละครที่ติดงอมแงม ก็ติดเรื่องเดียวกัน แถมพฤติกรรมการดูทีวี ก็ก็อปกันมาเด๊ะ ๆ อีกต่างหาก คือ เปลี่ยนช่องทุกครั้งที่ช่องหลัก มีโฆษณาคั่น ความกระหยิ่มยิ้มย่องที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งทางสีหน้าและแววตาของผู้ถือรีโมท สร้างความหมั่นไส้ให้บังเกิดแก่ฝ่ายตรงข้ามเป็นยิ่งนัก การกระแนะกระแหนจึงเกิดขึ้น แต่อีกฝ่ายก็หาได้นั่งเฉย ๆ ให้โดนว่าฝ่ายเดียวไม่ สงครามน้ำลาย จึงบังเกิด ..แต่มันก็จะสงบลง โดยไม่มีสนธิสัญญาสงบศึกทุกครั้งที่ละครมา และมันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ที่รีโมทถูกเปลี่ยนมือ .. คิดแล้วก็ขำ ..โถ..ทำไปได้ ..บ้าจี้พอกันทั้งยายทั้งหลาน
2.หลานข้าใครอย่าแตะ เป็นเรื่องปกติ ที่ทุกเช้า และเย็น เพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงงัดข้อกันอย่างสนุกปากของสองยายหลาน ถ้าได้ยินเสียงประชดประชัน ประมาณว่า "จะเถียงเอาโล่ รึไง" หรือ "เอาด้วย พร้อมเกียรติบัตรเลยเลยดีมั๊ย เรื่องเถียงคำไม่ตกฟากนี่" คนฟังจะพอเดาได้เลยว่า ฝ่ายที่พูดกำลังเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ แต่ใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ของผู้ชนะนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ดูแล้วก็คงกวนประสาทพอกัน แต่ ด้วยมารยาททางการศึก มันเป็นหน้าที่ของผู้ชนะที่จะง้อคนแพ้ ปล่อยให้อีกฝ่ายจมอยู่กับความรู้สึกพ่ายแพ้มากไป ก็ไม่ดีต่อสุขภาพจิต วิธีการง้อน่ะเหรอ หลัก ๆ ที่ประมวลออกมาก็มีไม่กี่อย่าง แต่ก็ได้ผลชะงัดทุกที - "มากินข้าวได้แล้ว วันนี้กับข้าวของโปรดใครก็ไม่รู้" แล้วก็เอาอกเอาใจอีกฝ่ายด้วยการตักของชอบ แบบเน้น ๆ ให้ -"เมื่อยมั๊ย นอนดี ๆ เร็ว เดี๋ยวเค้านวดให้" แล้วก็ขยำ ๆ ไปตามแขน ตามขา ของคนที่นอนทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่จัดท่า ขยับตัวให้นวดได้เต็มที่ แล้วเค้าของสงครามก็จางหายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอย ว่ารบกันเรื่องอะไร หรืองอนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ววันหนึ่ง การถกเถียงกันก็ไม่ใช่แบบขำ ๆ อีกต่อไป เมื่อมีมือที่สาม "ให้มาอยู่กับยาย ก็มาทำให้ยายไม่สบายหู สบายใจ ผีเจาะปากมาพูดหรือไง ถึงได้เถียงคำไม่ตกฟาก ไป เก็บของ ไม่ต้องอยู่แล้วกับยาย.. กลับบ้าน !" เสียงแม่ยื่นคำขาด "ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น" คำประกาศิตจากปากยายน้ำเสียงเฉียบขาดกว่าหลายเท่า "กูจะไม่สบายหู สบายใจ ยังไงมันก็เรื่องของกู แต่หลานกู กูด่าได้ คนอื่นห้าม" น่าน..แม่ อึ้ง งง แล้วก็พูดไม่ออกเลยสิคะ ทีแรก ยังเป็นแม่เป็นลูกกันอยู่ดี ๆ พริบตาเดียว ถูกลดระดับเป็น แค่คนอื่นซะแล้ว ไม่ได้ตั้งเนื้อตั้งตัวเลย แล้วมหากาพย์อันสนุกสนาน ก็ได้ดำเนินต่อมาเรื่อย จนจบมอปลาย ถึงตอนนี้ เข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงส่งวัยรุ่นไปอยู่กับคนแก่ เพราะความต่างทั้งสองขั้ว ที่จูนเข้าหากันได้ลงตัว เด็กหัวรั้นคนหนึ่ง เลยได้เป็นคนรู้จักคิด รู้ดี รู้ชั่ว รู้จักยับยั้ง ชั่งใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้แพ้ รู้อภัย และละเอียดอ่อนกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ถึงแม้จะกระโดก กระเดก ไม่เรียบร้อย ปีนต้นไม้เก่ง อย่างกับลิง และก็นุ่งผ้าถุงไม่เป็นแม้ยายจะจับหัด จนหมดความพยายาม แต่ที่เป็นตัว เป็นตนได้จนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่ง ก็เพราะ ได้ยายช่วยขัด ช่วยเกลา แล้ว ..จากคนที่กัดกันทุกวัน ก็กลายเป็นคนสำคัญที่สุดของหัวใจ
3.ขอบคุณซุปไก่ก้อน คนอร์ ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ปีสอง เพื่อน ๆ ย้ายหอ หลังจากช่วยขนของ จัดของเสร็จ ก็เลยมีการทำกับข้าวกินกัน ไอ้เราก็พอเคยเห็นแม่ทำแกงจืดมาบ้าง เลยอาสาโชว์ฝีมือทำแกงจืด ตอนนั้นคิดในใจ ว่าจะแสดงฝีมือจนใคร ๆ ก็ต้องร้องขอ กันเลยทีเดียว เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก ..แล้วแกงจืดชามโตก็ถูกยกมาวางกลางวง โอ้พระเจ้าช่วยลูกด้วย .. ชั้นจะตายมั๊ยเนี่ย ...สีหน้าและแววตาของเพื่อนบอกอย่างโจ่งแจ้ง แม้จะไม่แสดงออกมาเป็นคำพูด ก็หน้าตาแกงจืดมันดูไม่จืดเลยอ่ะ น้ำงี้ข้นซะอย่างกับน้ำซุบก้นหม้อก๋วยเตี๋ยว ผักก็เละจนดูแทบไม่รู้ ว่าเป็นผักชนิดไหนกันแน่ แทบจะต้องเรียกคุณหมอพรทิพย์มาพิสูจน์ดีเอ็นเอกันเลยทีเดียว เนื้อก็ ..อี๋..อย่าให้พูดเลย เพราะ บรรยายไม่ถูก เป็นอันว่า ภาพโดยรวม คนกินต้องใช้ความใจกล้า หน้าด้าน + บ้าบอ ไม่กลัวตาย ถึงจะกล้าจับช้อนตักน้ำแกง พอซดเข้าไปคำแรก "เฮ๊ย ..ไม่น่าเชื่อ รสชาดใช้ได้ว่ะ" เสียงร้องอย่างแปลกใจดังขึ้น เออ..ค่อยยังชั่ว เพื่อเป็นการร่วมการันตีว่าแกงถ้วยนี้กินได้ เราเลยลองตักน้ำซุปขึ้นซดเบา ๆ อืม..รสชาติกลมกล่อม หวาน ๆ หอม ๆ แต่มันคุ้น ๆ แฮะ เหมือน..เหมือน "จะให้เหมือนอะไรล่ะ แกเล่นใส่คนอร์ก้อนใหญ่ลงไปทั้งก้อนแบบนั้น" ไอ้เพื่อนตัวดีมันขัดความคิดซะสะดุด ให้หิวจนตาลาย แกงจืดถ้วยแรกในชีวิต ก็ไม่หมด ถึงแม้เพื่อนจะใจดี ช่วยตัก ช่วยกินกัน ไปครึ่งถ้วย แล้วการโชว์ฝีมือครั้งนี้ ก็ได้รับการร้องขอจริง ๆ ด้วย "แกกรุณาอย่าได้ลุกขึ้นมาแสดงฝีมืออีกเลย" นั่นคือคำร้องขอจากเพื่อน ๆ แล้วอภิสิทธ์การนั่งรอกิน กับล้างจาน ก็ถูกเซ็นสัญญาผูกขาด นับแต่บัดนั้น โถ..คนอร์ช่วยชีวิตไว้แท้ ๆ
4 หนีเสือปะจรเข้ ตอนที่เรียนจบใหม่ ๆ ไปสมัครงานที่รีสอร์แห่งหนึ่งในไร่เลย์ ..เหตุผลน่ะเหรอ เคยมาเที่ยว แล้วก็มาช่วยเพื่อนเก็บข้อมูล ทำภาคนิพนธ์แล้วชอบ ทะเลสวย ทรายขาว สงบเงียบ ถึงแม้คนจะเยอะ แต่ก็ไม่พลุกพล่านเหมือนแถว พี พี ได้เที่ยวโดยไม่ต้องเสียตังค์ แถมยังได้เรียนภาษาฟรี กับเจ้าของภาษาอีกต่างหาก เงินเดือนเท่าไหร่ไม่เกี่ยง เพราะถือว่าหาประสบการณ์ หลังเรียนจบ เหตุผลดี ๆ เข้าท่าขนาดนี้ จะให้เมินได้ไง การทำงานแต่ละวันเต็มไปด้วยความสนุก มีความสุขกับงานที่ทำจนวัน ๆ ผ่านไปเร็วเหลือเกิน ถึงแม้บางวันจะรบกับแขกบางคนที่เรื่องมากจนน่าถวายผาง เหนื่อยจนหลับเป็นตายเมื่อหัวถึงหมอน แต่ก็เป็นงานที่สนุก ได้ประสบการณ์ และได้ความรู้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่างของคน และภาษา ด้วยหน้าที่ การงาน บังคับ จากที่ไม่กระดิกเลย ก็พอฟังได้บ้าง ว่าไอ้ที่ฝรั่งอ้าปาก พะงาบ ๆ น่ะ เค้ากำลังพูดอะไร จากที่พูดไม่ได้เลย วิ่งหนีฝรั่งตลอด ก็ถูกคอกกั้น ให้ยืนรับมือแขกอยู่แต่ข้างใน ก็บังคับให้ เราต้องเรียนรู้คำอื่น นอกเหนือจากคำว่า yes no ok thank you เป็นรีเซฟชั่นอยู่ไร่เลย์ได้ 8 เดือนก็ตัดสินใจลาออก เพราะที่รีสอร์ทมีนโยบาย ย้ายพนักงานขึ้นไปพักอีกอ่าวหนึ่ง แล้วต้องนั่งเรือ ไป กลับ ทุกวัน เห็นอย่างนี้ เด็กบกก็ปอดสิคะ คลื่นลมในอ่าวไร่เลย์หน้ามรสุมลูกเล็กอยู่ซะเมื่อไหร่ กลางวันยังพอว่า แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุกลางคืน ใครจะไปลอยคออยู่กลางทะเลได้จนถึงเช้า เด็กชาวเลเค้าไม่เห็นมีใครกลัวกันสักคน แต่ดิฉันไม่สู้รอพิสูจน์หรอกค่ะ พอโทรไปปรึกษาคุณแม่แค่นั้นแหละ คำสั่งด่วนก็มาทันที ตกงานได้พักใหญ่ ความทุรนทุรายมันก็เริ่มออก ความรู้มันร้อน จนทนต่อไปไม่ไหว งานอะไรก็จะทำแล้ว แล้วก็ได้งานที่เขาหลัก ทำ ทัวร์ โอเปอร์เรชั่น ในบริษัทดำน้ำแห่งหนึ่ง เหตุผลที่รับงานนี้น่ะเหรอ เพราะเป็นบริษัทดำน้ำที่จัดทริปไปสิมิลัน โอ้ว เพราะเจ้า ยอด มัน จอร์จ มาก สิมิลัน ..ต้องทำงานตัวเป็นเกลียว เก็บเงิน เก็บทองอีกกี่ปี ถึงจะได้มีโอกาส เอาเท้าไปสัมผัสเม็ดทราย ที่ชายหาด เกาะสี่ เที่ยวฟรี กินฟรี อยู่ฟรี ไปสิคะ (โถ..เหตุผล คนอื่นเค้าจะคิดได้เหมือนเรามั๊ยเนี่ย) ตามหน้าที่ คือจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องทัวร์ ตั้งแต่ ติดต่อลูกค้า ติดต่อเอเย่นต์ จองโรงแรม จองตั๋ว รับ-ส่งลูกค้า เช็คเรือสปีด ที่คอยรับ-ส่ง ลูกค้า แล้วก็มานั่งช่วยขายทัวร์ ในร้าน วันดีคืนดี ก็ได้ระริก ระรี้ ไปรับ ไปส่ง ไปนอน บนเรือ ที่พานักท่องเที่ยวไปดำน้ำที่สิมิลัน งานสนุกมาก เหนื่อยจนแทบไม่มีเวลาหยุดพัก ทำได้ทุกอย่างตั้งแต่ผู้ช่วยแม่บ้าน ยันเลขา ใครเลยจะรู้ ว่าเวลาแห่งความสุข มันจะแสนสั้นอย่างนี้ เช้าวันที่ 26 ธันวาคม ท้องฟ้าแจ่มใส แดดเปรี้ยง ท้องทะเลสงบ จนแทบจะไร้คลื่น แต่ใครจะรู้ว่ามัจจุราชกำลังคืบคลานเข้ามาก่อนจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าอย่างรวดเร็ว คลื่นยักษ์โถมเข้ากระหน่ำ และทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างไม่ได้ตั้งตัว เมื่อคลื่นสงบ สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า คือเศษ ซากไม้ ซากศพ คราบน้ำตา และความสูญเสีย แม่เป็นลมเมื่อรู้ข่าว พ่อใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อติดต่อลูกไม่ได้ จนวันต่อมา โทรศัพท์ใช้การได้ ในเวลาที่โชคช่วย โทรกลับบ้าน เลยได้รับคำสั่งด่วน แล้วก็รับโทรศัพท์ไม่หวาดไม่ไหว จากบรรดา เพื่อน ๆ "ไอ้สุ เป็นไงบ้าง แกออกจากไร่เลย์แล้วใช่มั๊ย" เสียงรุ่นพี่ที่ขาดการติดต่อไปนานดังขึ้นอย่างตื่นเต้น "ออกตั้งนานแล้วพี่" "เออ ดีแล้ว แกรู้มั๊ยว่าที่ไร่เลย์ก็โดนคลื่นยักษ์" เสียงโล่งใจ "เหรอพี่ ไร่เลย์ก็โดนเหรอ" ไม่ค่อยได้ติดตามข่าว เลยไม่รู้เรื่องรู้ราว รู้แต่ว่าที่นี่ โล่งเตียน จนเห็นทะเลจากถนน "เออ แต่ไม่ค่อยเป็นไรมาก เพราะมีภูเขาช่วยกันแรงคลื่นไว้" "พอได้ยินข่าวนะ เค้าโทรเช็คแกกันจ้าล่ะหวั่น โชคดีที่โทรติด จะได้บอกเพื่อน ๆ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง แกออกจากไร่เลย์แล้ว แล้วตอนนี้ ทำอะไร อยู่ที่ไหนล่ะ" "ทำบริษัททัวร์พี่ อยู่เขาหลัก" "เออ ดีแล้ว ..หา..อะไรนะ..อยู่เขาหลัก ..ไอ้..นั่นมันที่มันโดนหนักเลยนี่หว่า" เสียงตกใจ จนเดาหน้าตาพี่แกได้ จากเครียด ๆ เลยขำ อืมม นี่ใช่มั๊ย ที่เค้าเรียกกันว่า หนีเสือ ปะจรเข้ แล้วยังเป็นจรเข้ยักษ์ ซะด้วย จากนั้นเป็นต้นมา เลยโดนกักบริเวณ ให้ทำงานที่ไม่เสี่ยง อยู่ภายในกรุงเทพ เท่านั้น ..เฮ้อ..นี่แหละน๊า ชีวิต เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้สักอย่าง
5.โดนเด็กขอเบอร์บนรถเมลล์ ตั้งแต่เกิดจนอายุปูนนี้ (พูดเหมือนแก่งั่กเลยแฮะ) เพิ่งจะโดนเด็กขอเบอร์บนรถเมลล์เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง เป็นปกติของมนุษย์เงินเดือนจน ๆ อย่างเราที่ต้องนั่งรถเมลล์ไปทำงานทุกวัน แล้วบุพเพอาละวาด ก็ขีดเส้นให้เรามาเจอกัน..จนได้ ถัดไปข้างหน้า 3 แถว มีเด็กหน้าตาดีคนหนึ่ง นั่งมอง ..ไอ้เราก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะไม่คิดว่าจะมีใครมอง แต่เอ๊ะ ยิ้มให้ ..หันซ้าย มองขวา ก็ไม่เห็นมีใคร ถ้าสายตาน้องไม่เอียง ก็เป็นการจงใจให้รู้ว่ามองเราอยู่นั่นแหละ เออ..เด็กนี่ มองอยู่ได้ น่าตาน่ารัก น่าหยิกซะด้วย ตาโต กลมแป๋ว คิ้วเข้ม แก้มใสเชียว เดี๋ยวก็โดนแม่หม่ำซะหรอก เคยมีคำกล่าวไว้ว่า สยาม เป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม เมื่อน้องยิ้มให้ พี่ก็ยิ้มตอบน่ะสิ หุ หุ มองกันไป ส่งยิ้มกันมา แล้วน้องหน้าใส ก็เดินมาถามชื่อ ...ใจกล้า น่ารักจังเลย ช๊อบ ชอบ "พี่ชื่อไรกั๊บ" อุ๊ย เสียงก็น่ารัก "ชื่อพี่สุค่ะ" ตอบเสียงหวาน แถมยิ้มสวย ๆ แบบนางฟ้าใจดีอีกทีหนึ่ง "ผมชื่อน้องเบสท์คับ" "กำลังจะไปโรงเรียนหรือคะ" อ่ะได้ทีชวนคุยซะเลย "ป่าวคับ ไปหา ป่ะ ป๊า" อืม สะพายเป้สีสดเชียว นึกว่าจะไปโรงเรียน "เบสท์จะลงป้ายหน้านี้แล้วครับ ขอเบอร์พี่หน่อยได้มั๊ยครับ" ว๊าย น้อง รุกแบบไม่ให้พี่ตั้งตัวเลยเหรอนี่ ขณะที่นั่งอึ้งไปเสี้ยววินาทีนั้น "เบสท์ ถึงป้ายแล้วลูก" คุณแม่ ท่าทางใจดี ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไปยืนรอตรงประตู เหมือนเสียงระฆังตีหมดยก ..เฮ้อ ..เกือบไปแล้วมั๊ยล่ะ เรา (ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ เพราะถ้าขึนน้องลงช้ากว่านี้ เพียงเสี้ยววินาที พี่ต้องใจอ่อน ยอมให้เบอร์โทร แถม ที่อยู่ + อีเมล แอดเดรสแน่ ๆ เลย) อายุ 4 ขวบ ยังไม่ถึงเลยมั๊ง นั่นน่ะ พูดก็ยังไม่ชัดเลย หัดขอเบอร์สาวเป็นซะแล้ว เกือบโดนข้อหา ผู้เยาว์เดินมาให้พราก ซะแล้ว ..หวิดไป
แล้วเรื่องของตัวเองที่จะเอามาแฉ ก็จบลงด้วยประการละฉะนี้
tag ใครต่อดีล่ะเนี่ย เอาเป็น
ลุงไม้ ..ไม้หลักปักมั่นคง ประมุขขวัญ แม่น้องฟ่าน ระเบียงดอกไม้ pim แล้วก็ grippini แล้วกันนะคะ
Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2550 |
|
37 comments |
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2550 23:36:38 น. |
Counter : 837 Pageviews. |
 |
|
|
| |
โดย: meena (Meena_March ) 20 กุมภาพันธ์ 2550 1:30:14 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนผ่านมา IP: 61.7.139.99 20 กุมภาพันธ์ 2550 1:52:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: grippini 20 กุมภาพันธ์ 2550 2:39:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: smack 20 กุมภาพันธ์ 2550 8:08:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: P Q BOY 20 กุมภาพันธ์ 2550 14:13:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: N_BEE810 20 กุมภาพันธ์ 2550 16:13:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลาทอง9 20 กุมภาพันธ์ 2550 18:29:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: icebridy 20 กุมภาพันธ์ 2550 20:33:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: pim(พิม) 20 กุมภาพันธ์ 2550 23:16:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนขับช้า 21 กุมภาพันธ์ 2550 16:40:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: สักกะนิด 21 กุมภาพันธ์ 2550 21:24:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: umi_chan (umi_chan_2 ) 22 กุมภาพันธ์ 2550 14:32:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: แสง สีรุ้ง (แสง สีรุ้ง ) 22 กุมภาพันธ์ 2550 17:30:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: TsuTaYa 22 กุมภาพันธ์ 2550 20:42:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: pim(พิม) 22 กุมภาพันธ์ 2550 21:15:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: Plaze 23 กุมภาพันธ์ 2550 0:47:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้ามด 23 กุมภาพันธ์ 2550 8:51:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่น้องแดนนี่ บอย (แดนนี่ บอย ) 23 กุมภาพันธ์ 2550 19:11:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: LeoLion 24 กุมภาพันธ์ 2550 9:26:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: พิจักษณา 24 กุมภาพันธ์ 2550 20:33:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: ยามารุด.... IP: 124.120.10.67 25 กุมภาพันธ์ 2550 11:13:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: มี้เอง IP: 58.8.100.108 25 กุมภาพันธ์ 2550 23:22:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมอกบา (หมอกบาง ) 26 กุมภาพันธ์ 2550 5:43:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมอกบาง (หมอกบาง ) 26 กุมภาพันธ์ 2550 5:46:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: haiku 26 กุมภาพันธ์ 2550 22:09:07 น. |
|
|
|
| |
|
 |
แร่ใยหิน |
|
 |
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

|
สวัสดีก๊าบ.. ชื่อสุค่ะ ..นิยส่วนตัว บ้า ๆ บ๊อง ๆ ติงต๊องหน่อย ๆ รักการอ่านและการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ก็เมืองไทยมีที่น่าสนใจตั้งเยอะตั้งแยะนี่นา
|
|
|
เอ๊ะ นี่นินทาแม่ตัวเองนี่ ฮี่ๆ