|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
[Be King] จอมใจ จอมราชันย์ --- บทที่ 6(แปะแก้ไข)
[Be King] จอมใจ จอมราชันย์ --- บทที่ 6
ลิงค์ตอนเก่าๆ :
บทนำ + บทที่ 1 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4619393/W4619393.html บทที่ 2 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4619393/W4619393.html บทที่ 3 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4627368/W4627368.html บทที่ 4 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4633664/W4633664.html บทที่ 5 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4638231/W4638231.html
------------------------
บทที่ 6
ไม่มีความหวัง ไม่มีความหมาย ไร้ชีวิต ไร้วิญญาณ...สิ่งที่พานพบรั้งแต่จะเป็นความตาย สิ่งเดียวและเป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าอยากให้เจ้าจำไว้...สิ้นลมหายใจแห่งชีวิต ดีกว่าสิ้นลมหายใจแห่งรักเพียงหนึ่งเดียว
อัณณ์ญาเห็นอย่างชัดเจน...ความรุ่มร้อนใจจากขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ นางสาใจนัก การเริ่มต้นของนางน่าจะทำให้ใครหลายคนเริ่มระวังตัว และรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาได้แล้วกระมัง
พระองค์ละเริ่มหวาดระแวงหรือยัง
เจ้าหลวงแห่งกันทรา
พระองค์จะยังเสวยสุขในสิ่งที่พระองค์ทำเพียงรับช่วงต่อ หาได้สร้างมันขึ้นมาอยู่หรือไม่ หรือบัดนี้ความกลัวกำลังท่วมท้นพระทัยของพระองค์อยู่...หม่อมฉันจะยังไม่ทำอะไรหรอก...จงทอดพระเนตรเห็นให้มากกว่านี้เถิด ฐานบัลลังก์ของพระองค์จะต้องพินาจลงในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน!
สายฝนที่โปรยลงจางลงทีละนิดจนหยุดไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงร่องรอยของสายน้ำอันบริสุทธิ์ที่ดุจจะพร่างพรมลงมาจากสรวงสวรรค์ ตามดอกไม้ใบหญ้า ความสดชื่นเกิดขึ้นทั่วไป ระงับความหวาดกลัวต่อคนบางคนไปชั่วขณะหนึ่ง ท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสอีกครา เมฆสีเทาเลือนลับไปทิ้งไว้เพียงริ้มเมฆขาวๆ บางๆ ที่ลอยอยู่บนผืนฟ้าสีครามสว่าง อาทิตย์ดวงโตกลับมาส่องแสงเจิดจ้าอีกครั้ง ริ้วสีรุ้งเกิดทาบทับแผ่นฟ้าที่กว้างใหญ่ยิ่งให้ความวิจาตรบรรเจิดมากกว่าทุกครั้งที่เคยเป็น
สัญญาณดี
แต่สำหรับทายาทแห่งชาลวีย์มันเหมือนเป็นลางร้ายที่คอยตอกย้ำอยู่เสมอ
ท้องฟ้าแบบนี้มิใช่หรือที่นางและใครอีกคนหนึ่งเคยนั่งมองด้วยกัน มีเพียงเสียงหัวเราะสดใส และรอยยิ้มจริงใจ อบอุ่น เสียงคลื่นซัดเข้าหาฟังเหมือนเพลงขับกล่อมให้ทั่วทุกหนทุกแห่งมีเพียงความสุข
หญิงสาวสะบัดหน้าหนีจากภาพตรงหน้า หัวใจเจ็บจี๊ดเหมือนถูกเข็มนับร้อยนับพันทิ่มแทงด้วยความสะใจยิ่งนัก
นางอยากเห็นความพินาจย่อยยับของแผ่นดินนี้
แต่ไม่อยากเห็นดวงเนตรคู่นั้นมองมาด้วยความเย็นชาอีกแล้ว!
"ทำไม..." เสียงหวานสั่นเครือ ทำไมถึงเป็นนางที่ต้องคิดเช่นนี้อยู่เรื่อยไป "ท่าน...ข้าจะทำให้มากกว่านี้ ค่อยดู เถิด!" นางกล่าวโทษเสียงสั่น รู้ดีว่ามันไม่มีวันไปถึงผู้ที่ต้องการจะกล่าวหาอย่างแน่นอน สองมือกำแน่นจนเกร็ง
"ท่านดีแต่ว่าข้าที่ลืมสัญญา" น้ำเสียงของอัณณ์ญาแผ่วเบาล่องลอยนัก "ท่านเอง...ก็ลืมมันสิ้นเช่นเดียวกัน"
สายลมพัดผ่านเข้ามาภายในห้อง อ่อนโยน และอบอุ่นดั่งกับว่าจะประโลมความเจ็บปวดของนางให้ทุเลาลงในเร็ววันหญิงสาวหลับตาลง ภาพทุกอย่างจางหายไปจากจิตใจรวดเร็วพอกับตอนที่เกิดมันขึ้นมา
ดวงตาสีฟ้าเย็นเยียบเหมือนท้องฟ้าที่กำลังจะทิ้งละอองหิมะลงสู่พื้นดิน
สายน้ำวิ่งวนอยู่รอบตัวนางดั่งเกล็ดแก้วบางใจที่หุ้มป้องกันนางจากภัยทั้งปวง
อัณณ์ญารู้สึกได้มากกว่านั้น ไอของความคุ้นเคยปะปนมากับสายน้ำ
ความคุ้นเคยถึงสามอย่าง
"ท่านอา..." คำเอ่ยเบาหวิว ระลึกได้ทันทีว่าความคุ้นเคยนั้นคือสิ่งใด ถ้ามิใช่ สามสหาย เพื่อนรักของผู้เป็นบิดา และเป็นคนที่นางเคารพไม่ผิดกับญาติของตนเอง
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดอึกใหญ่ รวบรวมพละกำลังทั้งหมดเท่าที่มี ร่างบางยืดตัวขึ้น สลัดความอ่อนแอทิ้งลง ในทันควัน "พวกท่านจะทำอย่างไรกับข้านะ ข้าอยากรู้นักเชียว"
สามสหายที่ท้ายสุดทิ้งเพียงบิดาของนางเท่านั้นที่รับความผิดเพียงผู้เดียว
สามแม่ทัพที่ยังยืดตัวอย่างองอาจผ่าเผยได้อย่างน่าไม่อาย
รอยยิ้มเยาะเหยียดเย้ย ดวงตาลุกแวบดุจท้องฟ้ายามปั่นป่วน "พวกท่านต้องตัดสินใจ...เดี๋ยวนี้ ก่อนจะไม่มีโอกาสอีกต่อไป!"
กึง
เสียงกระแทกอย่างรุนแรงดังมาจากภายนอก สามแม่ทัพหยุดชะงักเรื่องที่กำลังถกเถียงลง ความเงียบเกิดขึ้น และกระจายไปทั่วทุกอณูอากาศอย่างรวดเร็ว
คนทั้งหมดมองตากัน ใจเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัวจะเป็นจริง...รวดเร็วจนเกินไป
พวกเขายังไม่ได้ข้อตกลงถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และหวังว่ามันจะยังทอดเวลายาวออกไปอีกนานไม่ใช่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ยามนี้!
วัชริศลุกขึ้นก่อน ทำท่าจะก้าวออกไปเปิดประตูเดี๋ยวนั้น
"หยุดก่อน" ปวิตราร้องห้าม ดวงตาสีสนิมสั่นวูบก่อนจะเป็นปกติ "ถ้าเป็นนาง...เจ้าจะทำเช่นไร"
คนถูกถามนิ่งเงียบไป จะให้เขาทำอย่างไรกระนั้นหรือ นั่นสิ เขาควรทำอย่างไรกัน จัดการนางเลยดีไหม ด้วยพลังของสามแม่ทัพแห่งอัศวินราชา ไม่มีวันที่จะสู้หญิงสาวเพียงคนเดียวไม่ได้ นอกเสียจากพวกเขาจะไม่อยากสู้ด้วยเท่านั้น
"ข้า..."
"พวกเรามีทางเลือกแค่สองทางเท่านั้น" พลวัตเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น ใบหน้าแต้มยิ้ม ขณะที่เหงื่อเริ่มผุดขึ้นทั่วสรรพางค์ "หนึ่งคือเปิดประตูออกไปเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ภายนอก...แล้วสู้" เขาเว้นช่วงไปนิดเมื่อเสียงการต่อสู้ เบื้องนอกยังคงดั่งแว่วเข้ามาไม่ขาดสาย
ประตูบานนี้หนานัก จึงสามารถกั้นเสียงได้เป็นอย่างดี การที่ได้ยินเสียงภายนอกแว่วเข้ามาชัดเจนเช่นนี้ หมายถึงอีกฝั่งของประตูต้องเต็มไปด้วยความรุนแรงในระดับที่...มหาศาลเสียทีเดียว
"อีกทางหนึ่ง?" วัชริศเร่ง ใจเขาร้อนจนอาจจะรอฟังทางเลือกที่เหลือไม่ไหวอยู่แล้ว คนของเขาที่อยู่เบื้องนอกบัดนี้จะเป็นเช่นไร
"เราต้องไปจากที่นี่...เดี๋ยวนี้เลย"
"ไม่นะ..." เสียงห้ามรอดไรฟัน จะให้เขาทิ้งคนของเขาได้อย่างไรกัน เท้าก้าวเก้าข้ามสิ่งกีดขวางทั้งหลาย โทสะหลังจากได้ฟังคำพูดเห็นแก่ตัวของสหายเดือดพล่าน แต่เสียงแหลมดังขัด
"ข้าเห็นด้วยกับทางที่สอง"
"หมายความว่ายังไง" เขาตวัดหน้ากลับไปมอง ขุ่นเคืองมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ดวงตาเรืองรองอย่างน่ากลัว ขณะที่ใบหน้าของคนสนับสนุนยังเรียบเฉย
"เจ้าพร้อมจะฆ่านางหรือไม่ละ"
ว่างเปล่า...ความคิดที่จะฆ่าเด็กสาวที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของสหายรักกับหญิงสาวที่งดงามอย่างกุลยาไม่เคยมี อยู่ในหัวของเขาเลยแม้แต่น้อย เขาเพียง...ต้องการหยุดยั้งสิ่งที่นางกำลังกระทำต่อคนของเขาเท่านั้น
"...อาจจะไม่ใช่นาง" เจ้าแห่งเวหายังคงมีความหวังอยู่เสมอ เขาพยายามนึก...อย่างมีความหวัง
ปวิตราส่ายหน้า ผู้ชายคนนี้พยายามที่จะไม่เข้าใจ จะเป็นไปได้หรือที่จะเป็นผู้อื่นนอกจากเด็กสาวผู้นั้น
มีคนเสียกี่คนที่รู้จักที่นี่ รู้จักรังอินทรีย์ที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียนแห่งนี้ ความคิดของเขาช่างขัดกับความเป็นจริงสิ้นดี
"เจ้าจะหนีความจริงอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้นะวัชริศ"
"หรือถ้าเจ้าพร้อม...ก็จงเปิดประตูซะ" แม่ทัพพสุธาบีบคั้นด้วยคำพูดมากกว่าเดิม ไม่ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร ชายคนนี้ไม่เคยห่างหายจากรอยยิ้มแม้แต่ครั้งเดียว
เขาพร้อมไหมนะ
แม่ทัพแห่งเวหายังสองจิต สองใจ เขาเป็นห่วงลูกน้องของเขา แต่เขาก็ยังไม่พร้อมที่จะใช้ความรุนแรงต่อเด็กสาวผู้นั้นอยู่ดี
การตัดสินใจยืดเยื้อต่อไปได้ไม่นานเมื่อเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดที่สุดในชีวิตแผดก้องเข้ามา แม่ทัพทั้งสามสะดุ้งลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่เจ้าบ้านเสือกตัวไปที่ประตูและกระชากเปิดออกอย่างว่องไว
คละคลุ้งเหม็นสาบกลิ่นเลือดเป็นอย่างยิ่ง ร่างของทหารเวหาคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามาและร่วงลงไร้สติอยู่แทบเท้าของผู้เป็นเจ้านาย วงหน้าซีดเผือด ดวงตาเหลือกถลนอย่างหวาดกลัวยิ่งนัก ดวงตาสามคู่ไล่ไปตามพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำและสีแดงสดของเลือดที่ไหลย้อมไปทั่วทุกทิศทุกทาง ร่างไร้สติของผู้บาดเจ็บนอนระเกะระกะหายใจอย่างรวยระริน เส้นแห่งชีวิตจะขาดไม่ขาดอยู่ในไม่กี่วินาทีข้างหน้า สุดห้องปลายเท้าของใครคนหนึ่งปักหลักนิ่งอยู่กับที่ ชายเสื้อหลุมสีดำสนิทพลิ้วสะบัดดุจเยาะเย้ยต่อความชิงชังที่เกิดขึ้นในใจของแม่ทัพทั้งสาม
"ข้ารอพวกท่านอาตั้งนาน"
ประหนึ่งคมมีดกรีดทะลวงลงบนหัวใจของแม่ทัพทั้งสามให้ขาดเป็นริ้ว ร่างของปวิตราสั่นสะท้าน สะอิดสะเอียนต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหลือแสน
ภาพของเด็กสาวที่คุ้นเคย หากบัดนี้เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวที่งดงามยิ่ง ผมหยักสลวยสีทองปลิวสยาย บ้างตกลงปรกใบหน้า ดวงตาสีฟ้าที่เย็นเฉียบเหมือนก้อนน้ำแข็ง และรอยยิ้มที่ประดุจรอยยิ้มของซาตาน กับคราบเลือดที่เจิ่งนองอยู่รอบด้าน
นางเหมือนนางฟ้าที่มีใบหน้าของซาตานมิผิดเลย!
"อัณณ์ญา!" อารมณ์ของวัชริศบัดนี้พลุ่งพล่านเหลือจะเอ่ย ดีมากขนาดไหนที่เขายั้งมือไม่ให้พุ่งเข้าไปจัดการกับหญิงสาวตรงหน้าได้
เสียงใสหัวเราะรับ ใบหน้าผ่อนคลายลงเกือบเป็นอ่อนโยน "จำได้ด้วยหรือคะ...อัณณ์นึกว่า" ใบหน้าที่อ่อนโยนเมื่อครู่แข็งกระด้างขึ้นมาในทันควัน
"พวกท่านอาจะลืมแล้วเสียอีก ว่าอัณณ์เป็นอย่างไร และพ่อของอัณณ์ต้องตายเพราะอะไร!"
"พอทีเถอะอัณณ์ญา" พลวัตว่าเหมือนผู้ใหญ่ที่ดุเด็กที่ซนเกินกว่าขอบเขต
ใช่ อัณณ์ญาเกินขอบเขตกว่าที่พวกเขาคิดไว้มากเหลือเกิน เป็นไปได้อย่างไรเด็กสาวที่ร่าเริงอ่อนโยนคนนั้นจะกลายเป็นหญิงสาวที่เลือดเย็น ไร้จิตใจเช่นนี้ หญิงสาวที่สามารถทำร้ายคนได้อย่างไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียว
หญิงสาวส่ายหัว "อัณณ์ยังไม่ได้เริ่ม...จะให้อัณณ์พอแล้วหรือคะ"
"อัณณ์ญา" เสียงของแม่ทัพสาวแหบแห้ง "ทำไมเจ้าทำแบบนี้"
"แบบไหนคะ" หญิงสาวถามเสียงซื่อ กวาดตามองภาพตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉยยิ่ง "อ่อ...ทำเหมือนที่พวกท่านอาทำต่อพ่อของอัณณ์นั่นหรือคะ?"
"พวกเราไม่เคยทำร้ายเมธาล" แม่ทัพพสุธาเอ่ยขัดรวดเร็ว
ดวงตาสีฟ้าวูบไหวแล้วกลับสงบนิ่ง "ไม่เคยหรือคะ? ไม่ใช่พวกท่านอาหรือคะที่ยืนมองศีรษะของพ่อร่วงลงต้องกับพื้นดินหยาบช้าอย่างเลือดเย็น ไม่ใช่พวกท่านอาหรือคะที่ยังคงรับใช้กษัตริย์แห่งกันทราแล้วทำเหมือนชีวิตของพ่อไร้ซึ่งความหมาย ไม่ใช่พวกท่านหรือ!"
คำพูดของหญิงสาวตอกย้ำความรู้สึกผิดที่กัดกินใจพวกเขามานานเข้าอย่างจัง
ใช่ พวกเขาทำอย่างที่นางว่าจริงๆ เพราะมันเป็นคำขอร้องสุดท้ายจากเมธาล ชาลวีย์ แต่นางไม่เคยรู้...หรือรู้ก็ไม่เคยคิดจะเปิดใจยอมรับมัน
ฟังอา... วัชริศตั้งท่าจะพูดทั้งที่ไม่ใช่คนพูดมาก แต่คำตอบคือการส่ายหน้าอย่างรวดเร็วของหญิงสาวตรงหน้า
อัณณ์ไม่ได้มาเพื่อฟังคำแก้ตัวของใครนะคะ...อัณณ์มาเพื่อให้แน่ใจเท่านั้นว่าพวกท่านอายืนอยู่ข้างใคร...พ่อ หรือ เจ้าหลวงแห่งกันทรา
ทุกสรรพเสียงนิ่งเงียบลงโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของกันและกัน
การยืนข้างเมธาล ชาลวีย์ก็คือการปฏิญาณตนจะรับใช้แผ่นดินกันทรา
เมื่อไรหนอที่หญิงสาวผู้นี้จะลืมตาจากความแค้นทั้งหมด แล้วเข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นพ่อต้องการเสียที นางจะไม่รู้เชียวหรือ...ว่าเมธาล ชาลวีย์ผู้รักแผ่นดินมากกว่าลมหายใจ ของตนเองต้องการสิ่งใด
ดวงตาสีฟ้าเย็นชากวาดมอง อัณณ์ว่าพวกท่านอาตัดสินใจแล้ว
สีหน้าเรียบหม่นลงเพียงเล็กน้อยจนเกือบจับสังเกตไม่ได้ ไม่มีใครเห็นว่าไหล่เล็กใต้เสื้อคลุมตัวหนาสั่นสะท้านเล็กน้อย นางเชิดหน้าขึ้น เหยียดยิ้มเท่าที่ใบหน้าของนางจะยังมีความรู้สึกอยู่
งั้นสักวันเราคงได้เจอกัน...ในสถานการณ์อย่างนี้ค่ะ ลาก่อน
น้ำที่เจิ่งนองกับพื้นรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กั้นระหว่างอัณณ์ญากับแม่ทัพทั้งสามไว้ แม้ทั้งหมดพยายามจะพูดสิ่งใดอีกก็ดูสายเกินไป เมื่อม่านน้ำร่วงลงกระทบพื้นเหมือนเศษแก้วที่ร่วงกราว ร่างของหญิงสาวผู้บุกรุกก็หายไปเสียแล้ว
ปวิตราขยับตัวเป็นคนแรกเข้าถึงร่างที่นอนล้มอยู่กับพื้น แล้วก็ต้องเบิ่งตาขึ้นด้วยความแปลกใจ ก่อนจะรีบถลาตัวไปยังร่างที่สอง...ร่างที่สาม
แม่ทัพชายทั้งคู่แปลกใจในการกระทำของสหายตนเองยิ่งนัก
เมื่อถึงร่างสุดท้ายที่เมื่อครู่นอนอยู่เบื้องหน้าของอัณณ์ญา นางพญายูงทองเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนทั้งสอง น้ำเสียงแหบแห้งอย่างใจหาย
ไม่มี...ไม่มีใครเป็นอะไรสักคนเดียว
แม่ทัพทั้งสองเบิ่งตาค้างไม่ต่างจากเพื่อนของตนเองก่อนหน้านั้น
ใครกันแน่...ที่กำลังถูกทำร้าย
อัณณ์ญาออกจากรังของอินทรีย์สายฟ้ามาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากยามก้าวเข้าไปอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกก่อนเข้าแม้จะรุนแรงไปด้วยความโกรธมากเพียงไร ก็ไม่คิดว่า จะต้องเผชิญกับความเกรี้ยวกราดของบุคคลที่นางเคารพมาก่อน หลังจากออกมา อารมณ์ของนางเองก็ยังรุนแรง มิใช่ความโกรธอีกแล้ว
มันคือความหวาดกลัว
หวาดกลัวในตัวเอง
ร่างบางทิ้งตัวกับต้นไม้ข้างทาง หายใจถี่ระรัว หัวใจที่พยายามฝืนไว้เต้นตึกตักดังกระหึ่มกึกก้องอย่างยิ่ง มือทั้งสองของนางสั่นสะท้าน หญิงสาวจ้องมองมือของตัวเองแล้วถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย
แม้จะทำตัวให้เย็นชา แต่นางก็ไม่เคยนึกจะทำร้ายคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องมาก่อน ที่นางทำเพียงอยากจะให้พวกเขาหลีกทางเท่านั้น ไม่คิดว่าพลังของตนเองจะรุนแรงเช่นนี้
ตอนที่แม่ทัพวัชริศเปิดประตูออกมา นางแทบจะปรับสีหน้าพรั่นพรึงไม่ทัน แต่เพราะแม่ทัพทั้งสามมัวแต่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบด้านทำให้ยังพอมีเวลาที่จะปรับสีหน้าให้เลือดเย็นเหมือนเคย
และสุดท้ายนางยังบังคับให้สายน้ำรักษาพวกนั้นเสียอีก อัณณ์ญารู้สึกโกรธเคืองในความใจอ่อนของตัวเองขึ้นมานิดๆ
ไม่ใช่สามแม่ทัพนี้หรอกหรือที่ทิ้งให้พ่อของนางต้องรับความผิดอย่างเดียวดายและอดสูยิ่งนัก
จากวีรชนเพียงข้ามคืนกลับกลายเป็นทรราช...และเป็นมาตลอดสิบปี!
นางกำมือแน่นเข้าและทุบเข้ากับต้มไม้ใหญ่ ความรู้สึกเจ็บทำให้นางตื่นจากความหวาดกลัว
จากนี้นางต้องทำมากกว่านี้ มากกว่าใช้พลังเพื่อให้คนที่เข้ามาขวางหลีกทาง
แต่นางต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเปิดทางเข้าสู่ราชวงศ์ให้มากที่สุด
ช้าๆ นี่แหละ...เวลาแห่งความหวาดกลัวจะได้ยาวนาน ยาวนานจนเป็นฝ่ายนั้นที่ต้องกระโจนออกมาด้วยตัวเอง ต้องเป็นฝ่ายนั้นที่เพลี่ยงพล้ำสู่เส้นทางมรณะที่นางเตรียมการไว้
พ่อ...ถ้าพ่อรู้ พ่อจะทำยังไงคะ ยังภูมิใจในลูกคนนี้อีกหรือเปล่า ยังโอบกอดอัณณ์ด้วยความอ่อนโยนดุจเคยหรือไม่...อัณณ์...ไม่มีทางเลือกนะคะพ่อ
การที่ใช้พลังไปมากกับการพยายามพยุงตัวให้นิ่งสงบเหมือนกับการที่มีสองร่างไว้ในตนเอง ทั้งใช้พลังกายมหาศาลและยังใช้พลังใจที่มากล้นอีกด้วย จะมีใครที่เข้าใจอะไรภายใต้หน้ากากพวกนี้หรือเปล่านะ นางชักเหนื่อยเกินกว่าจะบังคับตัวเองได้อีกแล้ว
หญิงสาวทิ้งตัวลงอย่างอ่อนแรง ปล่อยให้ความรู้สึกหนักๆ ไหลรินออกจากร่างกายอย่างเชื่องช้า ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนเปลือกตาอันหนักอึ้งจะปิดลงมาคือ ท้องฟ้า...ที่สดใส เหลือเกิน
ในห้องทรงพระอักษรของเจ้าหลวงแห่งกันทราเงียบ ดุจไม่มีผู้ใดประทับอยู่ภายในหากแต่ความเป็นจริงแล้ว เจ้าผู้ครองอาณาจักรและพระราชโอรสประทับอยู่ และกำลังมีเรื่องปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ภายใน...ความเครียดซึ่งเกิดเจ้าชายแห่งอาณาจักรเอง...เปลี่ยนไป
ห้องทรงพระอักษรสีสว่าง เหมาะที่จะให้ความกระชุ่มกระชวยในการทรงงานตามพระราชดำริขององค์เจ้าหลวง ตกแต่งภายในด้วยสีฟ้าครีม จะมีก็เพียงโต๊ะทรงพระอักษรแล้วหมู่พระเก้าอี้บนพรมทอมือสีน้ำตาลทองปักลายเถาไม้พันกระหวัดกันอย่างสวยงามเท่านั้นที่โดดออกมาด้วยสีโทนน้ำตาลแก่เกือบดำเป็นเงาวับ เบื้องบนคือระย้าโคมแก้วเจียระไนอย่างดีที่ส่องประกายระยับเมื่อต้องแสงแดด เยื้องด้านหลังโต๊ะทรงพระอักษรคือวิสูตรกำมะหยี่เนื้อหนาสีฟ้าอมเทาที่รูดเปิดไว้ เผยให้เห็นพระบัญชรคู่อันเปิดอ้ารับลมและแดดจากภายนอก เบื้องนอกคือส่วนหลังที่สามารถมองเห็นอุทยานเขียวขจีที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้หลากสีสัน และน้ำตกจำลองได้อย่างชัดเจน และมักตกเป็นเป้าหมายหลักในยามที่เจ้าหลวงแห่งกันทราต้องการพักสายพระเนตรระหว่างทรงงาน
เจ้าหลวงแห่งกันทราในยามนี้ทรงชราภาพกว่าเมื่อสิบปีก่อนอย่างมาก ราวกับต้องทรงงานหนักและมีเรื่องราวหนักพระทัยให้ต้องคิดมิจบมิสิ้น ทั้งที่พระราชภาระของแผ่นดินก็ได้พระราชโอรสแบ่งเบาไปส่วนหนึ่งแล้ว พระเนตรสีน้ำตาลเข้มเกือบดำมีแววล้า พระเกศาซึ่งขมวดมุ่นอยู่ด้านหลังเคยดกดำแต่บัดนี้เริ่มแซมไปด้วยสีเทา โครงพระพักตร์งดงามในวัยหนุ่มซูบตอบลงผิดกันดั่งกับเป็นคนละคน มิเปล่งปลั่ง สดใส หรือเปี่ยมเสน่ห์อีกแล้ว
เจ้าชายเคยทรงคิด อาจเพราะพระบิดารู้สึกผิดกับความผิดพลาดที่ได้กระทำต่อชาลวีย์
ทว่าเมื่อพระบิดาเงียบ และยิ่งไม่มีการสั่งการให้ออกติดตามชาวธาราที่หายสาบสูญไป พระองค์ก็เริ่มไม่แน่พระทัย
สิ่งใดกันแน่ที่ทำให้ทรงกังวล และหม่นหมองเช่นนี้
เอกสารที่เจ้าชายธีรัชต์นำมาอยู่ในพระหัตถ์ของพระบิดา พระองค์มีพระพักตร์เรียบไร้รอยแย้มสรวลต่างจากทุกวัน พระเนตรสีเงินมองตรงไม่มีแวว สงบนิ่งจนดูน่าหวาดกลัว พระบิดาเองก็ทรงสงบยิ่ง หากแต่ความแตกต่างในความเหมือนมีมากพอดู
เจ้าหลวงทรงเหลือบพระเนตรขึ้นมา ประกายบางอย่างลุกโชนขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว ทรงทอดมองพระราชโอรสที่สงบนิ่งอยู่เบื้องพระพักตร์แล้วคลี่รอยแย้มสรวลบางๆ
ชายเปลี่ยนไปนะ
มิทรงคิดว่าจะได้ยินรับสั่งเช่นนี้จากพระบิดา
เมื่อก่อนเรื่องราวที่เกิดกับธารา...หญิงสาวจากชาลวีย์คนนั้น ชายไม่เคยแม้แต่จะให้พ่อสะกิดสักนิดเดียว
พระพักตร์คมแดงด้วยความกระดากวูบหนึ่ง พระเนตรหลุบจ้องมองเพียงพื้นพรม แต่พระกรรณยังแว่วเสียงสรวลของพระบิดา
พ่อไม่ได้จะตำหนิชาย
ชาย... ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น เกือบจะหลุดคำแก้ตัว หากเมื่อเห็นแววเอ็นดูปนปรานีในดวงเนตรสีเข้มก็ทำให้หยุดลงเสีย
พระบิดาในยามนี้เองก็เปลี่ยนไป
ทั้งสองพระองค์มีกระแสรับสั่งกันน้อยยิ่งกว่าน้อยในรอบสิบปีที่ผ่านมา และแววห่างเหินก็มักปรากฏขึ้นในดวงเนตรของทั้งคู่ยามที่สบพระเนตรกันแบบตรงๆ
สำหรับเจ้าชายธีรัชต์เป็นเพราะความโกรธวูบหนึ่งซึ่งวาบขึ้นมาทุกครั้งเหมือนได้เห็นพระเนตรเย็นชาแบบที่ทรงทำต่อตัดสินประหารชีวิตแม่ทัพแห่งธารา
สำหรับพระบิดา พระองค์ไม่รู้เพราะเหตุใด...อาจจะเพราะทรงทราบว่าพระองค์พยายามออกตามหาหญิงสาวจากตระกูลชาลวีย์ที่หายไปแล้วเก็บงำไว้เป็นความลับมาตลอดก็ได้
ชายไม่ได้ต้องการปิดบังท่านพ่อ
เจ้าหลวงทรงผงกพระเศียรลงเล็กน้อย ก่อนส่ายพระพักตร์ไปมา แต่พ่อไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของชาย
พระเนตรสีเงินเบิ่งขึ้นอย่างแปลกพระทัย พระบิดาอยากรับสั่งอะไรกับพระองค์กันแน่
ชายดูเหมือนคน...ไร้หัวใจ
ดำรัสของพระบิดาน้อยคำ...แต่ตรงพระทัยเสมอ
เจ้าชายธีรัชต์เหมือนถูกต่อยที่พระนาภี (ท้อง) เข้าอย่างจัง ทรงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะหลุดเสียงแค่นพระสรวลออกมาเพียงน้อยนิด
จะให้ทรงพูดสิ่งใดได้ ในเมื่อสิ่งที่เจ้าหลวงตรัสเป็นเรื่องจริงที่ตรงประเด็นเหลือเกิน
พระองค์ยามนี้...ไร้พระทัยจริงเสียด้วย
"ชายอยากให้ทรงตัดสินพระทัยเกี่ยวกับเรื่องของ...คนที่สร้างความวุ่นวายภายในอาณาจักรเรา" รับสั่งเปลี่ยนเรื่อง...สะดุด ชื่อของใครบางครเกือบหลุดออกจากพระโอษฐ์
เจ้าหลวงถอนพระทัย พระราชโอรสดูท่าจะเกินกว่าที่พระองค์จะรับสั่งถึงสิ่งที่หายไปในตอนนี้ได้ เรื่องบางเรื่องละเอียดอ่อนเกินกว่าที่ใครบางคนจะรับได้ อย่างเช่นเจ้าชายพระราชโอรสที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ผู้นี้ และเมื่อการสนทนาเปลี่ยนเรื่องไปพระองค์ก็ไม่ขัด
"พ่ออยากให้ชายเป็นคนจัดการ พ่อ...อีกไม่นานก็คงต้องพักเสียที ชายดูแลทั้งหมด เมื่อก้าวขึ้นมาจะได้ไม่มีปัญหาอะไร" รับสั่งของเจ้าหลวงนาบเนือย น่าใจหาย
เจ้าชายทรงก้าวพระบาทเข้าใกล้โต๊ะทรงพระอักษรอีกนิด สุรเสียงเบา ทุ้ม ห่วงใย "ทำไมท่านพ่อรับสั่งเช่นนั้น ยังทรงแข็งแรง มิต้องพักเสียตอนนี้หรอกพระเจ้าค่ะ"
"เจ้าอย่าผัดเรื่อยไปธีรัชต์" กระแสรับสั่งจริงจัง เข้มแข็ง ทรงจ้องมองพระราชโอรสแบบทะลุไปถึงก้นบึ้งหัวใจ "วันนี้พ่ออาจจะไม่เป็นไร แต่จะมีอะไรมาค้ำประกันได้ว่าวันหน้าพ่อจะโชคดีเหมือนวันนี้?"
"ชายเอง...ชายจะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านพ่อแน่"
รอยแย้มสรวลกว้างขึ้น หากก็ทรงส่ายพระเศียรไปมา "พ่อเชื่อใจชาย แต่พ่อ...ก็อยากจะพักจริงๆ"
"ชาย..."
"เรื่องงานเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย ชายเรียนรู้ไว้เถิด วันข้างหน้าชายจะได้ใช้มัน...แล้วจงเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงเวลาเจ้าจะได้ไม่พะวักพะวง...เลือกแค่สิ่งเดียว"
ถ้อยพระราชดำรัสแห่งเจ้าหลวงชัดเจนทุกถ้อยคำ หนักแน่นจนพระองค์เองเถียงไม่ออก แม้อยากจะบอกให้ทรงทราบไว้เหลือเกินว่าพระองค์เองได้เลือกแล้ว 'สิ่งเดียว' ที่รับสั่งมา พระองค์เลือกแล้ว หากพออ้าพระโอษฐ์สุรเสียงกลับไม่หลุดออกมา ความหนาวเย็นแล่นเข้าถึงพระทัยจนแทบทรุดเสียตรงนั้น
ที่คิดว่าทรงเลือกแล้ว...ความจริงทรงเลือกแล้วหรือยัง หรือเป็นเพียงเพราะสายพระเนตรที่ราวกับอ่านใจได้ของพระบิดาที่ทำให้พระองค์หวาดกลัวในคำตอบที่จะหลุดออกไป
โอกาสที่พระบิดาให้มา พระองค์ไม่อยากจะรับมันเสียเท่าไร
ยิ่งยืดเวลา
ความมั่นพระทัยของพระองค์อาจจะน้อยลงก็เป็นได้
เอกสารที่ทรงถือเข้าไปในอยู่ในพระหัตถ์ ทรงเคาะกับพระเพลาอย่างใช้ความคิด...วิธีไหนที่จะ 'ล่อ' นางออกมา แล้วจัดการให้เสร็จสิ้นได้อย่างรวดเร็ว
ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้จบลงจริงๆ เสียที
พระดำริยังไม่ทันจบห้วงคิดเสียด้วยซ้ำเมื่อเห็นองครักษ์คนสนิทเดินเข้ามาหาอย่างรีบร้อน เขาตบเท้าโค้งกายถวายคำนับอย่างฉุกละหุก "ท่านไกรสรณ์...ท่านไกรสรณ์เข้ามาร้องเรียนเรื่อง...หญิงสาวจากชาลวีย์ทำลายทรัพย์สินพระเจ้าค่ะ"
พระขนงเข้มขมวดขึ้นนิดๆ ทรงผงกพระเศียรให้คนสนิทเดินนำพระองค์ไปยังโจทก์ระดับสูงทันที
อัณณ์ญาลืมตาขึ้นมาเมื่อรับรู้ถึงหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนริมฝีปากที่แห้งผาก พลังชีวิตเหมือนจะฟื้นกลับคืนมานิดๆ หลังจากหมดเรี่ยวแรงไปกับการทำลายต่างๆ แพขนตาหนากะพริบถี่ๆ ก็จะเปิดขึ้นอย่างเต็มที่ ดวงตาสีฟ้าใสกลอกไปมาขณะที่ยังนอนนิ่งไม่แม้แต่จะขยับนิ้วมือ
เสียงเล็กแว่วอยู่ข้างๆ แล้วผลุบหายไป
นางมองตามไม่ทันแต่คาดว่าร่างเล็กๆ นั้นต้องเป็นเด็กไม่ผิดแน่
หญิงสาวหันกลับไปจ้องเบื้องบน เพดานเป็นแผ่นฝ้าสีมัวๆ และผนังทั้งสองด้านก็เป็นปูนสีทึบทึมที่เก่าแก่เสียจนดูน่ากลัว หรืออาจจะเพราะมันไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดีพอก็เป็นได้ถึงมีสภาพที่ไม่ต่างหากห้องเก็บของเก่าๆ เช่นนี้
หญิงสาวพยายามเรียบเรียงเรื่องราวก่อนหน้าที่สติจะหลุดลอยออกไปอย่างช้าๆ นางจำได้ว่าหมดแรงอยู่กลางป่าระหว่างทางไม่ใช่ห้องเก่าๆ ห้องนี้แน่นอน และที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่นางเคยเห็นมาก่อน ไม่แม้แต่นิดเดียว
นิ้วเรียวกระตุกเบาๆ เมื่อเสียงเลื่อนประตูเปิดออกนิดๆ พร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยเข้ามากระทบจมูก นางเหลือบตามองสิ่งมีชีวิตใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ
"...เจ้า!" อัณณ์ญารำลึกได้ทันควัน นี่คือหญิงสาวที่กอดร่างเด็กชายตัวน้อยๆ เอาไว้แล้วร้องเรียกให้คนช่วยชีวิตลูกของนางไว้ แล้วก็เป็นตนเองที่ยื่นมือเข้าไป โดยลืมเสียสนิทว่าพื้นที่ที่เหยียบอยู่คือกันทราหาใช่เรือนาวาพิสุทธิ์แห่งกองทัพธาราไม่ หญิงสาวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนคนมาใหม่ตกใจ
เจ้าของบ้านรีบวางถาดในมือลงกับโต๊ะเก่าๆ ที่ตั้งอยู่ริมสุดอีกด้านหนึ่งติดกับหน้าต่างที่เป็นแบบผลัก แล้วถลาเข้าประคองร่างคนป่วยทัวควัน "ท่านยังลุกไม่ได้!" นางดุเหมือนที่ดุลูกชายตัวน้อยยามซนอย่างไรอย่างนั้น แต่กับอัณณ์ญาที่ไม่ชินต่อการถูกดุแล้วย่อมผิดกัน
"อย่า...ข้าไม่เป็นอะไร" เสียงนางแข็ง แต่ก็ต้องอ่อนลงในที่สุดเมื่อนึกว่านางเองถูกช่วยโดยหญิงสาวผู้นี้ ไม่เช่นนั้นอาจจะกลายเป็นพวกชาวบ้านที่หวังทำลายชาลวีย์ให้ราบคาบเป็นผู้ค้นพบ แล้วนางคงไม่ได้มีสิทธิมาเสียงแข็งกับใครเช่นนี้อีก "เจ้าช่วยข้ามาทำไม"
เจ้าของบ้านสาวปล่อยมือออกจากร่างที่พยุงขึ้นนั่งพิงกับหมอนเรียบร้อยดีแล้ว ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองดวงตาสีฟ้าใสอย่างไม่เกรงกลัวนัก ผิดกับคนอื่นที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาของแม่ทัพสาวแห่งธาราแม้เพียงเสี้ยววินาที นางขยับกายถอยห่างแล้วนั่งลงกับเก้าอี้ไม้ทรงกลมที่วางอยู่ข้างโต๊ะใกล้หน้าต่าง
"ท่านช่วยลูกข้าเพราะอะไรคะ"
นอกจากไม่มีคำตอบแล้ว ยังมีคำถามมาเสียอีก อัณณ์ญานิ่งไปทันที
นั่นสิ...นางช่วยเด็กคนนั้นทำไม ทั้งที่บนผืนแผ่นดินนี้นางไม่อยากไว้ชีวิตใครสักคนด้วยซ้ำ แต่วันนั้น...ตอนนั้น นางก็ยื่นมาเข้าไปช่วย โดยที่ลืม...ทุกอย่างเสียสนิท
"ข้า..." ชาลวีย์สาวยังอ้ำอึ้ง ในขณะที่ผู้หญิงอีกคนเปิดรอยยิ้มนุ่มนวล...คงเป็นรอยยิ้มที่คนเป็นแม่ทุกคนมีกระมัง เพราะรอยยิ้มอย่างนี้นางเห็นจากผู้เป็นมารดาบ่อยครั้ง
หญิงสาวตรงหน้าจะว่า...อายุคงไล่เลี่ยกับนาง หรือมากกว่าไม่กี่ปีแน่นอน วงหน้ากลมแจ่มใส ดวงตาสีถ่าน ดำสนิทเป็นประกายอ่อนโยน ผมสีลูกโอ๊คทิ้งตัวเคลียอยู่กับบ่าบอบบาง เป็นแม่ที่ดูบอบบางแล้วแข็งแกร่งในคราวเดียวกัน
"ท่านไม่มีเหตุผล...แต่ข้ามีค่ะ" เสียงนางเรียบเรื่อย โบกพลิ้วเหมือนสายลม "หนึ่งคือท่านช่วยลูกของข้าเอาไว้ และอีกหนึ่ง...ท่านคืออัณณ์ญา ชาลวีย์"
"ชาลวีย์คนทรยศน่ะรึ?" เสียงเจ้าของนามเกือบกระด้าง ดวงตาฟ้าใสเริ่มขุ่นมัวด้วยแรงอะไรบางอย่างซึ่งผลักดันอยู่ภายในอย่างแรงกล้า
คนตรงหน้าส่ายหัวเบาๆ แล้วยิ้มให้นางอีก "ข้าไม่เชื่อคนพวกนั้นมากกว่าตัวข้าเองหรอกนะคะ ถึงข้าจะเป็นแค่สาวชาวบ้านธรรมดาๆ ที่แม้แต่บ้านให้ซุกหัวนอนยังต้องสร้างร้างไกลริบออกมาจากผู้คนมากมายขนาดนี้ ถึงข้าจะเป็นคนไร้การศึกษาในสายตาของใครต่อใคร และถึงข้าจะเป็น..." รอยขื่นปรากฏในดวงตา หากนางก็ยังฝืนเข้มแข็งมิให้หยดน้ำหยาดรินออกมาได้ ดวงตาสีดำเป็นประกายจัด "ถึงข้าจะเป็นนางแพศยาที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ริอาจรักกับชายหนุ่มผู้ดีเลิศก็ตาม...หากข้าก็รู้เสมอว่าหัวใจของข้าสูงค่ากว่าคนพวกนั้นมากนัก!" ปลายเสียงกระแทกลง มือทั้งสองกำแน่น
"ข้าไม่ยอมให้ใครมาจูงความคิดของข้าหรอกนะคะ แม้ต้องเสียทุกอย่าง...เสียกระทั่ง...ข้า...ข้าก็จะไม่ยอมเสียความเป็นตัวตนของข้าเด็ดขาด...ไม่เด็ดขาดเลย"
แม่ทัพสาวแห่งธารามองผู้หญิงตรงหน้าด้วยความทึ่งจัด นางนับถือในความเข้มแข็งบางอย่างที่มีมากในร่างกายเล็กบอบบางนั้น นางนับถือในการคิด การพูดและความเป็นตัวตนแบบที่หญิงผู้นี้เป็น สายตากระด้างจึงพลันอ่อนแสงลง
นอกจากนางจะถูกช่วยมาแล้ว ยังต้องสร้างความขมขื่นให้กับผู้หญิงคนนี้อีกหรือ
อัณณ์ญาขยับตัวลงจากเตียง อีกฝ่ายยังคงมองตามทุกฝีก้าวแต่ไม่ยื่นมือเข้าช่วยประคองอีก นางนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้เจ้าของบ้านสาว มือทาบลงบนสองมือที่กำแน่นอยู่ ถ่ายทอดความเข้าใจทั้งหมด "เจ้าเข็มแข็งมาก...ข้านับถือแล้วขอบคุณเจ้ามากสำหรับการช่วยเหลือครั้งนี้"
นัยน์ตาสีดำสนิทเป็นประกาย รอยยิ้มถูกระบายลงบนวงหน้ากลมๆ นั่น "หรือคะ...งั้นทานอะไรก่อนสิคะ ท่านจะได้แข็งแรง"
คนป่วยเหลือบตามองชามข้าวต้มบนโต๊ะ ควันยังกรุ่น และกลิ่นหอมจางๆ ยังลอยขึ้นมาเป็นสาย นางผงกหัวแล้วเริ่มหันไปสนใจกับอาหารตรงหน้า
หญิงสาวอีกคนลุกขึ้น "ถ้ามีอะไรเรียกข้านะคะ ข้าจะไปดูตรัยเสียหน่อย"
ตรัยคงหมายถึงลูกชายนางเป็นแน่
ดวงตาสีฟ้าตวัดมองแล้วค้อมศีรษะลงให้เล็กน้อย ทว่ากลับสร้างความแปลกใจให้อย่างยิ่งกับสาวชาวบ้านธรรมดาๆ คนนี้ นางเบิ่งตากว้างทำท่าตกใจอย่างน่ากลัว
อัณณ์ญามองแล้วเกือบหลุดหัวเราะหากก็กลั้นเอาไว้ นางวางสีหน้าเรียบเฉย เสียงเย็นพูดเหมือนเป็นปกติ "ถึงแม้ว่าคนอย่างข้าจะดูหยิ่งทะนง...หากข้าก็รู้จักถึงคำว่า 'บุญคุณ' ดี เจ้า..."
"ณิชาค่ะ...ชื่อของข้าคือณิชา" เจ้าของชื่อบอกอย่างยินดี สีหน้าเรื่อด้วยความตื่นเต้น รอยยิ้มกว้างถูกส่งให้คนป่วยอีกครั้งแล้วหายลับไปหลังบานประตู
นานมากแล้วที่อัณณ์ญาไม่ได้หัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะแจ่มใส ผลัดกับเสียงฮัมเพลงอย่างร่าเริงดังผะแผ่วอยู่เบื้องนอก อัณณ์ญาแทบจะเห็นภาพด้วยซ้ำว่า ป่านนี้หญิงสาวผู้นั้นคงกำลังจับมือกับลูกน้อยของนางแล้วเต้นรำไปรอบๆ บ้านอย่างแน่นอน
บ้านที่แม้จะทรุดโทรม...แต่ก็มีความเป็นบ้านครบทุกประการ
ณิชาเป็นคนซื่อตรง และบริสุทธิ์เหมือนดอกไม้เล็กๆ ที่ร่าเริง ไหวเอนเมื่อยามลมพัดพา ดวงตาคู่นั้นมีประกายที่แสดงอารมณ์อย่างชัดเจน ทั้งยินดีและเสียใจ เหมือนดวงตาจะทำได้มากกว่ามองเห็นและหลั่งน้ำตา มันยิ้มได้ และเป็นยิ้มที่เปี่ยมด้วยความจริงใจอย่างมากอีกด้วย
หญิงสาวคนนี้มีความเข้มแข็งสามารถโอบประคองชีวิตน้อยๆ มาได้ด้วยตัวเอง และแม้จะต้องระเห็ดระเหินออกมาไกลริบจากชุมชนก็ไม่แม้แต่จะโอดครวญหาความยุติธรรมที่ไหน อ่อนโยนและก็นุ่มนวมเหมือนกับแม่ของนาง เพียงแต่ในความนุ่มนวลทั้งหมดยังซ่อนความร่าเริงแบบเด็กๆ เอาไว้ อาจจะเป็นเพราะว่านางยังเด็กอยู่จริงๆ ก็ได้
ความรักวิ่งเข้าหาณิชาเร็วเกินไป...
"ถึงข้าจะเป็นนางแพศยาที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ริอาจรักกับชายหนุ่มผู้ดีเลิศ ก็ตาม..."
หัวใจนางรวดร้าวเพียงไหนนะ เมื่อหลุดประโยคที่ร้ายกาจนั้นออกมาได้
แค่เพียงนางรักมากไปเท่านั้น
ดวงตาของอัณณ์ญากลับมาเย็นชา รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ความรักเริ่มหมดค่าในสายตาของชาลวีย์สาวลงไปทุกที
ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนอยู่ในความรัก นอกจากความเจ็บปวดทรมาน และบาดแผลที่ทิ้งรอยขื่นไว้ให้กับผู้ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้เท่านั้น
แล้วนางก็จะแพ้ไม่ได้...ไม่มีวัน!
แพ้คือตาย...แพ้คือหมดสิ้น ผู้ชนะเท่านั้นที่จะอยู่รอดมีลมหายใจเพื่อมองอรุณรุ่งหน้า...
นางจะไม่แพ้เพื่อธารา...เพื่อตัวนางเอง!
"สาบาน...อัณณ์สาบานค่ะพ่อ อัณณ์จะไม่ยอมให้กันทราหลุดมือไปได้!" เสียงเย็นแผ่วดุจสายลมต้องแผ่นน้ำแข็ง
เสียงฟ้าข้างนอกร้องครืนครานอีกครั้ง แล้วสายฝนก็ปรอยลงมา
ท้องฟ้ากำลังร้องไห้แทนนาง...
อัณณ์ญา ชาลวีย์
- จบบทที่ 6 -
ฝากด้วยค่ะ
Create Date : 29 สิงหาคม 2549 |
Last Update : 29 สิงหาคม 2549 2:03:46 น. |
|
1 comments
|
Counter : 479 Pageviews. |
|
|
|
โดย: นารา IP: 202.44.144.2 วันที่: 31 สิงหาคม 2549 เวลา:1:04:38 น. |
|
|
|
|
|
|
|