เร่เข้ามา เร่เข้ามา ที่นอนนุ่มๆ ของเมี้ยวนาราค่า
Group Blog
 
<<
กันยายน 2549
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
13 กันยายน 2549
 
All Blogs
 

•[Be King]• จอมใจ จอมราชันย์ --- บทที่ 8

•[Be King]• จอมใจ จอมราชันย์ --- บทที่ 8

บทนำ + บทที่ 1 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4619393/W4619393.html
บทที่ 2 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4619393/W4619393.html
บทที่ 3 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4627368/W4627368.html
บทที่ 4 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4633664/W4633664.html
บทที่ 5 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4638231/W4638231.html
บทที่ 6 : //www.bloggang.com/viewblog.php?id=nara-shine-&group=1 (ฉบับสมบูรณ์)
บทที่ 7 : //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4672613/W4672613.html

-------------------

บทที่ 8



ท่ามกลางเวิ้งฟ้าและหุบเหวเบื้องหน้า อากาศบนผาสูงเหน็บหนาวกว่าเบื้องล่างมากนัก แม้นไม่ใช่ฤดูหนาวแต่คนที่อยู่ด้านบนก็ถึงกับต้องห่อตัวเพื่อควานหาความอบอุ่นจากร่างกายเท่าที่มี

มันน่าแปลกที่หลังจากกลับมาจากบ้านในป่าลึกนั่นแล้ว อัณณ์ญา ชาลวีย์ก็ตัดสินใจที่จะไปเก็บข้าวของออกจากที่พัก และพาตนเองให้พ้นจากฝูงชน แต่ทุกก้าวที่ย่างเหยียบไปบนกรวดหิน หรือพื้นถนนที่แสนจะสวยงามเป็นหน้าตาของอาณาจักรจารึกไปด้วยคำสาปแช่ง นางมองทุกอย่างผ่านดวงตาเย็นชาคู่นั้นและกับกำลังตรึงคำสาปร้ายให้ติด
ตัวคนพวกนั้นไปจนวันตาย นางพาตนเองออกมาจากการโจมตีอย่างหนักหน่วงที่คิดไว้ในหัว

เพราะ ‘สาร’ ที่มากับสายฝน

ในเมื่อชาลวีย์คือตระกูลผู้ใช้น้ำ และนางเองก็เปรียบประดุจเทพธิดาแห่งห้างธารา สัมผัสบางอย่างที่ปะปนกรุ่น
อย่างรุนแรงก็เจือปนมากับเม็ดฝนเย็นๆ ที่พร่างพรูกระทบใบหน้า...แต่เจ็บเข้าไปถึงหัวใจ

‘เขา’ เตรียมการจะจับนาง...โทษคือตาย...แน่นอน

หญิงสาวเม้มปากเข้าหากันแน่น แล้วโอบกอดตัวเองแน่นขึ้นอีกนิดเมื่อสายลมพัดปะทะร่างบางอีกครั้ง

ฝ่ายนั้นมีทั้งสามแม่ทัพที่เตรียมพอรับคำสั่ง แต่ฝ่ายนางมีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้น การจะเดินก้าวต่อไป ประมาทไม่ได้อีก

แสงอาทิตย์สาดลงมาเป็นลำแรงจัด แต่ไม่ร้อนเท่าไร นางเงยขึ้นมองแล้วต้องหรี่ตาลง ในที่สุดก็ต้องหลุบตาทอดมองเบื้องล่างแทน

“พ่ออวยพรให้อัณณ์ด้วยนะคะ” นางยังไม่แน่ใจ ว่าบัดนี้เมื่อบิดาที่รักยิ่งของนางได้รู้ว่าตนเองกำลังจะทำอะไรลง
ไปนั้น สิ่งที่ได้รับจะเป็นคำอวยพรหรือสาปแช่งกันแน่

“อัณณ์ทนเห็นพวกมันใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบายโดยไม่เห็นความสำคัญของพ่อไม่ได้หรอกค่ะ พ่อให้พวกนั้นมาก มากเสียยิ่งกว่ามาก แต่ที่ได้รับกับมามันคืออะไรคะ! ทำไมพวกนั้นถึงทำอย่างนี้ ทั้งๆ ที่พ่อให้...ให้แม่กระทั่งลมหายใจ!”

นางพูดไปแล้วต้องกัดปาก ยามนี้เมื่ออยู่เหนือแผ่นดินทั้งหมดจึงคิดว่าใกล้กับสรวงสวรรค์ที่เมธาลต้องไปอยู่หลังจากจบชีวิตแน่นอน ถึงระบายออกมาอย่างอัดอั้น

ความรู้สึกผิดกับความแค้นทำให้นางสับสน ไม่มั่นใจอย่างที่ควรจะเป็น

“อัณณ์ไม่ยอมหรอกค่ะ...พวกเขาต้องชดใช้...ทั้งหมดเลย!”



ภายในพระราชวัง ความอึดอัดยังกรุ่นกระจายไปทั่ว จนในที่สุดพระราชินีที่มิได้อยากยื่นมือเข้าสอดในเรื่องต่างๆ ของทางราชสำนักมากนักก็เป็นฝ่ายที่อดทนต่อความรู้สึกนั้นไม่ไหว พระราชโอรสดูผิดไปราวกับมิใช่คน
เดิม มิใช่โอรสที่พระองค์ทรงรู้จักเป็นแน่

เบื้องหน้าพระองค์บัดนี้ก็แค่ผู้ชายที่เลือดเย็นคนหนึ่งเท่านั้นเอง

“ไม่อนุญาต” สุรเสียงของพระนางเฉียบขาด ขณะที่พระสวามียังคงสงบนิ่งหลังจากได้ฟังแผนการดักจับหญิงสาว
จากตระกูลชาลวีย์จากพระโอษฐ์ของพระราชโอรสโดยตรง

ดวงเนตรสีเงินเหลือบขึ้นมอง รอคอยคำอธิบายที่มากกว่าคำปฏิเสธ

“เกินไปแล้วนะธีรัชต์...วิธีนั้นมันโหดร้ายเกินไป”

พระราชินีทอดเสียงขาดเป็นห้วง พระนางมิได้เลี้ยงดูพระราชโอรสมันด้วยสองหัตถ์นี้หรือ ทำไม...ยามนี้พระองค์ถึงดูไม่ออกว่าแท้จริงแล้วภายใต้สีหน้าเรียบๆ แบบนั้นคิดอะไร ดวงใจดวงนั้นยังคงเต้นอยู่และสูบฉีดเลือดเหมือนกับคนอื่นๆ หรือไม่!

ดวงเนตรสีเดียวกับพระราชโอรสต่างกันที่เป็นความโศกที่เจือปนอยู่แทนความเย็นชา วรองค์บางเล็กห่อสะท้านด้วย
ความหวาดกลัวต่อความคิดที่ไร้สุดสิ้นสุดของพระราชโอรส

การลงทัณฑ์ด้วยวิธีจัตุรภุชฆาตหรือการลงทัณฑ์ด้วยการจับนักโทษมาทรมานด้วยความรุนแรงสี่ประการ ควักลูกตา ตัดลิ้น คว้านท้อง และประทับตราแห่งคนบาปไว้ที่หน้าอก เป็นโทษร้ายแรงที่สุดที่เคยใช้ครั้งเดียวกับกษัตริย์ทรราชที่แปรพักตร์ไปเข้ากับพวกกบฏอาณาจักรภายนอก มันเป็นโทษที่รุนแรงยิ่งกว่าการประทานความตายให้เสียอีก!

“พ่อก็ว่ารุนแรงเกินไป” เจ้าหลวงทรงพูดขึ้นมาในที่สุด เสียงถอนพระทัยหนักๆ ดังแว่วตามมาด้วยความสบายใจ
ของคนฟังอีกหลายคนที่อยู่ในที่ประชุม แต่อีกหลายคนก็ส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจขึ้นมากับพระราชดำรัสนั้นทันควัน...จะเป็นใครถ้ามิใช่ท่านอำมาตย์ไกรสรณ์หนึ่งในผู้เสียหายจากฝีมือของหญิงสาว

“กระหม่อมว่าสมควรที่สุดสำหรับนางตัวดีนั้น”

ตอนแรกเขาไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำว่าเจ้าชายหนุ่มจะยื่นโทษสาหัสเช่นนี้ให้กับหญิงสาวที่ประดุจดั่งแก้วล้ำค่าที่ปกป้อง
รักษามาโดยตลอด

“ระวังคำพูดด้วยท่านอำมาตย์” ปวิตราเตือนเสียงเย็น “อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ข้าหวังว่าท่านควรจะรู้กาละว่ามิควรที่จะนำเอาภาษาบ้านของท่านมาใช้”

“ท่าน!” คนถูกกระทบเดือดดาลขึ้นมาทันควัน

เจ้าหลวงต้องยกพระหัตถ์ห้ามก่อนที่เรื่องที่ประชุมจะถูกเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเวทีลับฝีปากขนาดย่อมๆ ของ
อำมาตย์ผู้ใหญ่กับแม่ทัพสาวไปเสีย แต่หลายคนที่ไม่ชอบความถือดีของไกรสรณ์อยู่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียง
หัวเราะหึ หรือไม่ก็รอยยิ้มอย่างกว้างขวางออกมา

ปวิตราค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าพอใจของใครหลายคน ยิ่งทำให้คนที่ตกเป็นเป้าหมานกรุ่นขึ้นมาอีก แต่ที่ทำได้ก็คือสะบัดหน้าหนีเท่านั้น

ขณะที่รอบด้านเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวในลักษณะต่างๆ กัน ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงกลางท่ามกลางวงล้อมของผู้
เขาร่วมประชุมทั้งหมดกลับยังคงนิ่งได้เหมือนเดิม

ในดวงเนตรมีแววรำลึกถึงเหตุผลที่เสนอการลงโทษขั้นรุนแรงเช่นนี้

มันคือการยืดระยะเวลาแห่งการตัดสินของพระองค์เท่านั้น

ประหาร...ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงคำสั่ง

แต่จัตุรภัชฆาตยังเปลี่ยนแปลงได้...หากถ้าพระองค์เสนอโทษที่เบากว่านี้ พวกขุนนางหลายคนย่อมไม่พอใจก็เท่านั้น

มันเป็นการยืดเวลาให้ยาวนานออกไป

แต่ที่ทุกคนเห็นก็เพียงแค่ว่าพระองค์เป็นคนโหดร้าย เย็นชา ไร้หัวใจ

แม้แต่นางที่น่าจะรู้ซึ้งในตัวพระองค์ดีกว่าใคร ก็ยังเห็นเป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่? ถึงกล้าประกาศซึ่งๆ หน้าว่าทุกอย่างจะต้องล้างด้วยเลือด

เลือดของใคร?

ของพระบิดา ของพระองค์ ของชาวกันทรา หรือของนางเอง?

“ธีรัชต์” เจ้าผู้ครองแคว้นเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้าชายธีรัชต์ยังคงเหม่อลอย

ทรงสะดุ้งออกจากความคิด แววพระเนตรแข็งกร้าวทอดมองเบื้องหน้าอย่างไม่ยี่หระ “หม่อมฉันว่านั้นคือโทษที่สมควรที่สุด นางทำผิด...ตั้งแต่การหนีจากโทษที่สมควรได้รับตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน และยังกลับมาสร้างความวุ่นวาย
เสียหายในกับกันทราอีกครั้ง...”

“พ่อนึกว่าเจ้าจะยินดีที่นางหนีไป” รับสั่งขึ้นมาเรียบๆ ตอกพระทัยผู้พูดเข้าอย่างจัง

ดวงเนตรกร้างหลุบลงเป็นครั้งแรก ทรงหลุดรับสั่งออกมาเบาหวิว “มัน...ไม่ใช่อีกแล้ว”

“เจ้าแน่ใจหรือ” ทรงถามย้ำอีก

แน่ใจ...ทรงย้ำกับตนเองอยู่อย่างนั้น แต่ไม่มีสักถ้อยคำเดียวที่หลุดพระโอษฐ์ออกไป

“เจ้าชายธีรัชต์ต้องแน่พระทัยถึงเสนอเข้าที่ประชุมเช่นนี้” ไกรสรณ์ทำท่าจะไม่ยอมเมื่อหลายสีหน้าเต็มไปด้วยความโล่งอกที่วิธีการนี้อาจจะไม่ได้รับการลงนามจากเจ้าหลวงแห่งกันทรา

ใช่...พระองค์ต้องหนักแน่น มิเช่นนั้นจะมิกลายเป็นว่า เป็นพระองค์เพียงผู้เดียวหรือที่ต้องถูกกระทำ นางไม่เคยคิดถึงสิ่งที่พระองค์รู้สึก พระองค์ก็ไม่ควรคิดเช่นเดียวกัน

มันจบแล้วสินะ...

ตั้งแต่พระองค์ปัดเรือไม้ลำนั้นลงถูกห้วงเหวแห่งความพินาศ

และมันควรจะเป็นจุดจบจริงๆ เสียที

“หม่อมฉันแน่ใจอย่างที่ท่านไกรสรณ์ว่า”

สายตาของอำมาตย์เฒ่าลิงโลดด้วยชัยชนะ ทั้งยังสะใจที่เห็นสีหน้าของแม่ทัพทั้งสามดูหม่นลงทันตาเห็น เขาเยาะ
ทันทีที่มีโอกาสมาถึงมือ “หรือพวกท่านยังอาลัยอาวรณ์คนทรยศอยู่ซะละ”

สายตาทั้งสามจ้องมองขวับ ประกายเหี้ยมเกรี้ยมฉาบทั่ว ปล่อยความกดดันออกมาที่แบบคนพูดต้องหัวเราะเจื่อนๆ
แต่ยังกล้าทำสีหน้าราวกับมิรู้สึกถึงความหนักที่กดทับลงมา

วัชริศกำมือแน่นจนสั่น ขณะที่ปวิตราสะบัดหน้าไปอีกทางมิเช่นนั้นคงอดไม่ได้ที่จะ ‘ก่อเรื่อง’ ขึ้นมาเสียกลางสภานี่แหละ

แต่มันก็น่ามีเรื่องจริงๆ เสียด้วยสิ!

พลวัตยิ้มอยู่ในหน้า ดวงตาจับจ้องมองคนพูดด้วยสายตาที่ทำให้หนาวๆ ร้อนๆ เขาโคลงหัวไปมา ระอาใจกับคำพูด
พล่อยๆ ของอำมาตย์เฒ่าเสียเต็มประดา

“ข้าไม่แน่ใจ...ว่าคนทรยศที่ท่านพูดถึงคือใคร”

“จะใครถ้าไม่ใช่มัน ไอ้เมธาลคนทรยศนั่น!”

“ห่ะ...คนทรยศที่ทำงานเพื่อบ้านเมืองมากกว่าคนรักชาติเช่นท่านน่ะหรือ!” แม่ทัพสาวเย้ยขึ้นมาทันควัน

ไกรสรณ์หนึ่งในอำมาตย์ที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อกันทราอย่างแท้จริง ทุกสิ่งที่ทำล้วนเพื่อตนเองทั้งสิ้น แล้วก็เจ้าอำมาตย์นี่แหละที่เป็นหนึ่งในเสียงรับรองให้ทำการประหารเมธาล ชาลวีย์แทนการเนรโทษ!

“หยุดทะเลาะกันเป็นเด็กเสียที” รับสั่งห้ามขึ้นปนรอยกริ้วจางๆ

เจ้าหลวงแห่งกันทราเริ่มกริ้วเพราะแทนที่จะได้ลงมติเรื่องสำคัญกลับต้องมาฟังผู้ใหญ่ที่ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ เช่นนี้ ทรงละสายพระเนตรจากคนทั้งหมด ไล่ตามตัวอักษรบนกระดาษอีกครั้ง หลายครั้งที่ทรงทำเช่นนี้เพื่อหาจุดที่อาจจะผิดพลาด

แต่มันก็ไม่มี...มันสมบูรณ์ไปเสียทุกอย่าง

พระราชินีทอดพระเนตรมองสวามี หัตถ์บอบบางยื่นแตะท่อนพระกรสั่นระริก เมื่อพระสวามีผินพระพักตร์หาก็ส่ายพระเศียรไปมา ดวงเนตรสีเงินเจือรอยโศกและหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด

“ฝ่าบาท...” รับสั่งแผ่วเบาราวเสียงกระซิบของสายลม “ให้นางตายดีกว่าได้รับโทษอันโหดร้ายเช่นนี้” นี่คือสิ่งเดียวที่จะทำเพื่อเด็กสาวที่ทรงเอ็นดูมาตลอดได้ ตั้งแต่ครั้งเมื่อสิบปีก่อน พระองค์ไม่เคยเชื่อเสมอมาว่าเมธาลจะกล้าก่อการกบฏต่อราชบัลลังก์ จนถึงบัดนี้ก็ยังคงไม่เชื่ออยู่นั่นเอง แต่เด็กสาวผู้นั้นที่กลับมาพร้อมกับความแค้นเต็มเปี่ยม ทรงเข้าพระทัยถึงความรู้สึกนั่นดี ว่าเป็นพระองค์พระองค์จะมิโกรธแค้นเชียวหรือ...ไม่มีทาง ถ้าเป็นพระองค์จะไม่พร้อมเวลาให้ยืดเยื้อขนาดนี้ด้วยซ้ำไป “ทรงเมตตานางบ้าง”

“ไม่...ไม่ได้พระเจ้าค่ะ” พระราชโอรสรับสั่งขัดขึ้นอีก

ดวงเนตรที่วาววับด้วยความสงสารตวัดมองเยือกเย็น “ทำไมจะไม่ได้ธีรัชต์...เจ้าโหดร้ายจนเกินไปแล้ว นางมิได้ทำผิดมากมายขนาดทั้งมอบความทุกข์ทรมานที่โหดร้ายเช่นนี้ให้เสียหน่อย”

เจ้าชายธีรัชต์เว้นจังหวะ ผ่อนลมหายพระทัย ดวงเนตรสีเงินทวีความหนาวเหน็บ เย็นชา สุรเสียงเรียบสนิทแต่เปี่ยมไปด้วยไอเย็นยะเยือกที่ทำให้คนฟังสะท้านเข้าไปถึงกระดูก

“ความตายง่ายเกินไปสำหรับนาง”

สามแม่ทัพมองตากันนิ่ง

ความตายง่ายเกินไปอย่างนั้นหรือ!

“การที่นางกลับมาคราวนี้นำความวุ่นวายกลับมา แล้วยังทำให้ประชาชนของกันทราต้องหวาดกลัวสายน้ำที่จะปะทุคลั่งขึ้นมาอีก ถ้าหากเราให้นางได้รับโทษเพียงความตาย หม่อมฉันเห็นจะไม่สาสมกับความร้ายกาจที่นางทำต่อชาวกันทราทั้งหมด”

“ธีรัชต์!!” พระนางกรีดร้องอย่างตกพระทัย กับรับสั่งโหดร้ายเช่นนั้นของพระราชโอรส รับสั่งเหมือนคนไร้หัวใจเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร

ไม่ใช่แน่...นี่ไม่ใช่เจ้าชายธีรัชต์ที่พระองค์ฟูมฟักมาอย่างดีแน่นอน

นี่แค่มันปิศาจ...ปิศาจในคราบมนุษย์เท่านั้นเอง!

เสียงฮือฮาของขุนนางทั้งหลายเริ่มเซ็งแซ่ขึ้น แบ่งออกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย ทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย และวิจารณ์ถึงกรณีอื่นๆ ที่อาจจะเป็นไปได้อีก

บนบัลลังก์ทองเจ้าหลวงทรงประทับนิ่ง ดวงเนตรหลุบลงซ่อนความนัยเอาไว้สิ้น

ตรงกลางสภาเจ้าชายแห่งกันทรายังประทันอย่างสงบ...จนน่ากลัว

มีเพียงไม่กี่คนที่จะยิ้มออกมาอย่างยินดี

คราวนี้จะได้ถอนรากถอนโคนชาลวีย์ให้หมดสิ้นไปเสียที...หมดขวากหนามที่ต้องคอยระวังมาตลอดหลายสิบปีได้เมื่อไร พวกเขาคงนอนได้อย่างมีความสุขเมื่อนั้น

พวกเขาสาแก่ใจ...ที่จะเห็นความทุกข์ทรมานของศัตรู

ใช่...ความตายมันง่ายจนเกินไป

พระราชินีแห่งกันทราประทับยืนขึ้นทันควัน สีพระพักตร์ผิดหวังรุนแรง ดวงเนตรกร้าวตวัดมองพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียวเขม็ง

“คัดค้าน...ด้วยมงกุฏแห่งราชินีกันทรา!”

เสียงทั้งหมดเงียบกริบลงในทันใด ทุกสายตาจับจ้องอยู่ที่วรองค์บาง

“หม่อมฉันเสนอให้ทรงเลื่อนการประชุมสภา”

เจ้าหลวงทรงผงกพระเศียร พระองค์เองก็ต้องการเช่นนั้น ทรงประทับยืนขึ้น ทำให้คนทั้งหมดต้องยืนตามอย่างรวดเร็ว

“ขอประกาศเลื่อนการประชุมสภา” จบรับสั่งก็เสด็จออกพร้อมกับพระชายา ผู้ร่วมประชุมทั้งหมดถวายคำนับลงดุจต้นอ้อลู่ลม แล้วเริ่มทยอยกันออกจากที่ประชุมพร้อมกับเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นแผ่วเบา

แม่ทัพทั้งสามมองร่างสูงสง่าที่ยังประทับนิ่งอยู่กึ่งกลาง แล้วต่างพากันถอนหายใจออกมา “มาวินฝากต่อด้วยนะ”

พลวัตหันไปกล่าวกับองครักษ์หนุ่มที่ยืนประจำที่ไม่ขยับเขยื้อนเหมือนเจ้านายตน ชายหนุ่มค้อมศีรษะลง รับคำหนักแน่น

“ครับท่านแม่ทัพ”

ลับร่างแม่ทัพทั้งสาม มาวินจึงค่อยหันหน้ากลับไปยังบุรุษหนึ่งเดียวที่ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว “ฝ่าบาท”

“ถ้านางไม่ช่วยเราวันนั้นก็คงจะดี...” สุรเสียงแห้งผาก แผ่วยิ่งกว่าเสียงกระซิบของมนุษย์ ดุจดังคลื่นลมที่เกิดจากปีกผีเสื้อกระพือเพียงเล็กน้อย

หากความหมายนั้น...กระทบหัวใจคนฟังอย่างรุนแรง


ไม่มีทางที่ความรู้สึกทั้งหมดจะผ่านสายน้ำ เทพธิดาแห่งสายน้ำยิ่งเกลียดชังเทพบุตรแห่งแผ่นดินมากเท่าไร ความรู้สึกในทางที่ดียิ่งมีน้อยลงเท่านั้น

ราวกับสวรรค์จะกลั่นแกล้ง

ความอ่อนโยนที่ผ่านการกระทำเสมือนคนเลือดเย็นของเจ้าชายพระองค์นี้ไม่ได้รับการถ่ายทอดไปยังนาง...ที่ส่งถึงมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

“ความตายง่ายเกินไปสำหรับนาง”

ดวงตาสีฟ้าขมุกขมัวแทบจะกลายเป็นสีขาวเหมือนกระจกที่สะท้อนภาพอยู่เบื้องหน้า ความเย็นเยียบแล่นเข้าเกาะกุมทุกทั่วพื้นที่ของหัวใจ มือทั้งกำแน่น เล็บจิกลงกับเนื้อจนเลือดซิบ หากความเจ็บปวดไม่ได้เสี้ยวหนึ่งหลังจากได้ฟังคำอันโหดร้ายนั้นหรอก

ได้...เมื่อความตายง่ายเกินไปสำหรับนาง

การมีชีวิตอยู่ก็ยากเกินไปสำหรับเขาเช่นเดียวกัน!



บนเรือนาวาพิสุทธิ์ที่ยังล่องเอื่อยไปเรื่อยๆ ห่างจากฝั่งพื้นดินอย่างที่ใครก็ไม่สังเกตเห็น หากก็ยังใกล้พอที่จะแทรกแซงเข้าไปทันทีที่จะเกิดเรื่องขึ้น

หญิงสาวที่ต้องกลับมารับบทเป็นนายหญิงแห่งเรือรบนี้อีกครั้ง ยืนนิ่งอยู่บริเวณหัวเรือ ดวงตาทอดจับนิ่งอยู่กับเกลียวคลื่นที่สะบัดตัวขึ้นลงเป็นระลอกอย่างเชื่องช้า นุ่มนวล สม่ำเสมอ

แผ่นน้ำสีมรกตเป็นประกายวิบวับสะท้อนกับแสงแดดที่ทอลงมา บรรยากาศรอบด้านดูสงบนิ่งเสมือนร้างซึ่งสิ่งมีชีวิต ทว่าทุกชีวิตยังคงดำเนินไปในรูปแบบที่ควรเป็นเหมือนเช่นทุกวัน

ยังมีการทำความสะอาดทั่วทั้งลำเรือ ทำอาหารสำหรับคนกว่าแปดสิบคน ตรวจและจัดสรรเสบียงให้เพียงพอก่อนที่จะปล่อยเรือเล็กออกไปเพื่อนำเสบียงกลับเข้ามาอีกในอีกหลายสัปดาห์ต่อจากนี้ ตรวจดูสภาพทั่วไปของท้องทะเล ควบคุมพังงา และอีกกลุ่มหนึ่งก็คอยอารักขา ‘ท่านหญิงกัลยา’ มิได้ห่างเลย

“อากาศเริ่มชื้นท่านน่าจะกลับเข้าข้างใน” เสียงเตือนอย่างหวังดีดังขึ้นมากกว่าสิบครั้งทำให้คนถูกเตือนต้องคลี่ยิ้มออกมา ดวงตาคู่สวยปนรอยเศร้าผินออกจากผืนน้ำเบื้องหน้ากลับมาจ้องมองคนสนิทของสามีด้วยความขอบคุณอย่างยิ่ง นางส่ายหน้าไปมาเบาๆ กระชับผ้าคลุมที่คลุมอยู่บนบ่าเข้าหาตัว

“ข้าไม่อ่อนแออย่างที่ท่านคิดหรอกค่ะ”

แม้กลับคนที่มีศักดิ์ต่ำกว่า ถ้อยคำที่หลุดออกไปอย่างนอบน้อม นุ่มนวล

“แต่มากกว่าที่ข้าคิด” ไชยันต์สวนกลับมา นัยน์ตาปรากฏความหวั่นวิตก

ในเมื่อเขาเป็นคนสนิทของแม่ทัพเมธาล เหตุใดเขาจะไม่ล่วงรู้เหล่าว่าสุขภาพของสตรีตรงหน้าอ่อนแอเพียงใด หมอยังเคยว่าว่าอาจจะมีลูกไม่ได้ แต่นางก็แข็งใจจนได้ธิดาตัวน้อยออกมาให้เป็นที่ชื่นชมของคนอยู่เช่นทุกวันนี้ แล้วก็ยังมีชีวิตอยู่กับเด็กสาวต่อมาได้อีกหลายปีอย่างที่เห็น แต่หมอประจำตระกูลก็ยัคงเตือนบ่อยๆ และห้ามเป็นเด็ดขาดกับโครงการที่จะมีบุตรอีกคนเพื่อออกมาเป็นเพื่อนเล่นกับเด็กสาวที่ลืมตาดูโลกขึ้นมาก่อน

ครั้งนี้แม้กุลยาจะเชื่อฟัง แต่สุขภาพของนางก็ยังคงเป็นปัญหาที่หลายคนเป็นห่วงอยู่เสมอ ยิ่งบนเรืออบอวลไปด้วยความชื้นในอากาศมากมายแบบนี้ ไม่แน่ว่าที่นางยังยืนได้ก็เพราะความใจแข็งเพียงประการเดียวเท่านั้น

“ข้าจะไม่เป็นไรหรอกค่ะ” นางย้ำหนักแน่น ดวงตาเศร้าเป็นประกาย รอยยิ้มที่ไชยันต์อ่านความหมายไม่ได้แต่งแต้มริมฝีปากที่เจรจาแต่คำเพราะหู “ข้ายังไม่เป็นไรจนกว่าจะถึงวันนั้นแน่”

ไชยันต์ยังไม่ทันที่จะอ้าปากถามให้แน่ใจ นายหญิงของเขาก็ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วเดินจากไปเสียก่อน เขาไม่มั่นใจว่าเมื่อครู่เขาเห็นดวงตาคู่นั้นเคลือบไปด้วยความเย็นชาหรือไม่

ชายกลางคนสะบัดไปมา

เขาคิดผิดแน่ๆ ไม่มีวันที่หญิงสาวอ่อนโยนอย่างท่านหญิงกุลยาจะมีดวงตาเช่นนั้นไปได้ ไม่มีวัน...ไม่มีทางอย่างแน่นอน

ใช่ เขาแค่ตาฝาดไป...

“ท่านพ่อ...!” เสียงเรียกตื่นตระหนกดังมาจากเบื้องหลัง ไชยันต์หมุนตัวกลับไปแล้วต้องขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

น้อยยิ่งกว่าน้อยที่เขาจะเห็นอาการตื่นตระหนกจากลูกชายของตนเอง

นิรุชกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาบิดาของตนเองอย่างรวดเร็ว ดวงตาปรากฏแววตื่นตระหนกชัดเจน

“ข้าเห็น...มันมา!”



แม่ทัพทั้งสามลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อสายรายงานจากฝ่ายเวหากล่าวว่าเห็นความผิดปกติในน่านน้ำ ใจพวกเขาประหวัดนึกถึงสิ่งแรกเป็นอย่างเดียวกัน

กองทัพธารา!

หากที่พวกเขาได้รับทราบจากคนรายงานคือไม่ใช่กองทัพของธาราเป็นแน่ แต่เป็นเรือไม่ทราบสัญชาติ ไม่มีธงสัญลักษณ์ และลักษณะเรือก็ไม่ใช่นาวาพิสุทธิ์อย่างที่พวกเขารู้จักกันดี

ทั้งสามไม่แน่ใจว่าควรเสียใจหรือดีใจกันแน่กับความจริงที่ผิดกับความคิดของพวกเขา

แต่ตอนนี้มีเรื่องน่าหนักใจมากกว่านั้น

เมื่อหนึ่งในพวกเขาไม่มีใครชำนาญทางน้ำเลยสักคนเดียว!

“อาจเป็นโจรสลัด” ปวิตราตั้งข้อสังเกตอย่างค่อนข้างที่จะเป็นกังวล ถ้าเกิดพวกนั้นขึ้นมาบนบก หรือมาทางฟ้าพวกนางจะมิเกรงกลัวเลยสักนิดเดียว แต่นี่มาทางน้ำ...จุดอ่อนที่เปราะบางมาตลอดสิบปี

ไร้กองทัพธาราก็เหมือนไร้ปราการป้องกันทางน้ำที่เข้มแข็งมากที่สุดไป

สิบปีที่ไม่เกิดเรื่องโดนบุกทางน้ำพวกเขายังแปลกใจด้วยซ้ำว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะทั้งนี้ทั้งนั้นอาณาจักรรอบข้างต่างก็รู้ดีว่าขณะนี้กันทรามีทางน้ำเป็นจุดบอดที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอาณาจักรที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกับกันทราอย่างอินทรธานีก็ยังวางเฉย นิ่งสงบเหมือนไม่เคยคิดที่จะพยายาม ‘ฮุบ’ รวมกันทราเข้าไปเป็นของตนเอง หรือสาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากการที่พระขนิษฐาของเจ้าหลวงองค์ปัจจุบันคือพระราชินีแห่งกันทราก็เป็นได้

เท่าที่พวกเขาทราบ องค์เจ้าหลวงอินทรเทพทรงโปรดเจ้าหญิงฑุลิกาพระขนิษฐาประดุจดวงหทัย เพราะทรงเติบโตขึ้นมาด้วยกัน ทรงเป็นทั้งพี่ชายที่หวงน้องสาว และเป็นดั่งพ่อที่คอยปกป้องลูกสาวเสมอมา กว่าที่เจ้าหลวงแห่งกันทราจะผ่านด่านเจ้าหลวงอินทรเทพได้มิใช่เรื่องง่ายเลย

เครือข่ายครอบครัวโยงใยสัมพันธ์ช่วยลบรอยร้าวได้...เรื่อยมา แต่มิรู้ว่าจะได้ถึงเมื่อไร อาจจะเป็นทันทีที่กันทราต้องสูญเสียพระราชินีอันเป็นเจ้าหญิงต่างแดนพระองค์นี้ไปก็ได้

“ต้องทำอะไรสักอย่าง” วัชริศเปรยขึ้นมา

แม่ทัพหญิงเหลือบตามองปนรอยขุ่นนิดๆ

ใช่ ต้องทำอะไรสักอย่าง...แล้วมันอะไรกันละ!

“ข้าจัดการเอง” พลวัตเสนอตัว ในดวงตาคู่นั้นสงบนิ่งจนดูเหมือนไม่ใช่ดวงตามนุษย์ทั่วไป เขามีความมั่นใจในการออกปากทุกคำ หากแต่คนฟังกลับมีความไม่มั่นใจเสียเอง

“เจ้าจะเอาอะไรไปสู้? ถ้าพวกมันเป็นโจรสลัดจริง”

แม่ทัพพสุธาเหยียดยิ้ม “ธนูเป็นอาวุธระยะไกล”

“พวกมันต้องมีปืนใหญ่” เจ้าแห่งสายฟ้ายังขัด

“หรือเจ้ามีทางที่ดีกว่านี้?” พลวัตย้อนด้วยรอยยิ้มเห็นจำ เพื่อนทั้งสองเงียบกริบ

แน่นอนอยู่แล้วว่ามันไม่มีทางที่จะมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ไปได้อย่างแน่นอน ในเมื่อหนึ่งก็เป็นเจ้าเวหา และการที่มีอินทรีย์ยักษ์บินเหนือหัวเจ้าพวกนั้นมีหรือที่มันจะไม่ไหวตัวกันทันเสียก่อน ถึงมันจะไม่ตั้งหลักสู้ แต่ก็หนีออกจากทางน่านน้ำหลวงพร้อมกับโจมตีไปด้วยก็ยังได้...ถ้าพลาดพลั้งบุกจนเลยอาณาเขตของตนเองก็จะกลายเป็นกรณีพิพาทระหว่างอาณาจักรไปเลยทีเดียว

อาชาอย่างนั้นหรือ? ถึงม้าจะสง่างาม องอาจมากแค่ไหน แต่ก็เป็นการต่อสู้ที่เหมาะกับระยะประชิด และอีกอย่างเขาไม่แน่ใจว่าพวกอาชาทั้งหลายจะยินยอมควบลงไปในทะเลที่มีความลึกมากกว่าตัวพวกมันหรือเปล่า

ธนูพลนี่แหละเหมาะสมที่สุด...อาวุธระยะไกล และจะพรางตนเองไว้จนกว่าเจ้าพวกนั้นจะเข้ามาใกล้ในรัศมีที่จัดการได้ก็เรียบร้อยแล้ว

เขามั่นใจในความเป็นแม่ทัพแห่งพสุธาที่มีความสามารถในการใช้อาวุธระยะไกลอย่างธนูอันดับหนึ่งของอาณาจักร

“พวกเจ้ายังจะขัดอะไรอีกไหม” เสียงถามกลั้วหัวเราะ ทำให้หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวหน้าตึงขึ้นมาทันที

ความหวังดีของนางกลายเป็นเรื่องตลกไปอย่างนั้นหรือ!

“เหอะ พสุธาอย่าทำเป็นเก่งนัก ข้าก็อยากจะดูฝีมือเจ้าเหมือนกันว่าป่านนี้มันจะยังเหมือนเมื่อสิบปีก่อนอยุ่หรือเปล่า...อย่าทำให้ข้าผิดหวังละท่านพลวัต!”

ปวิตราร่ายยาวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ไม่มีรอยประชด หากแต่คนฟังก็รู้ถึงความนัยนั้นดี มีหรืออย่างไรเพื่อนที่คบกันมาเป็นสิบ ยี่สิบปีจะไม่รู้ไส้รู้พุงกัน!

โธ่เอ๊ย ก็แค่อยากร่วมด้วยเท่านั้นแหละน่า!

“พวกเจ้าจะช่วยข้าไหมละ” คนอารมณ์ดีก็ยังคงอารมณ์ดีได้เสมอ เขาหันหน้าไปทางเจ้าแห่งเวหาที ทางพญานกยูงแห่งกองทัพที ทั้งสองหน้านิ่งแต่แววตาพิกล!

“ข้าไม่อยากรับคำสั่งจากพสุธา” นี่ละเจ้าแห่งเวหา

“อาชาไม่ใช่ขี้ข้าธนูพล” และก็นี่...นางพญานกยูงทอง

จบคำทั้งสอง พลวัตก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาชุดใหญ่ กึกก้องไปทั่ว จนทหารที่เฝ้าอยู่หน้าห้องถึงกับตกใจ เพราะแทบจะไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะเช่นคนเสียสติเช่นนี้จากแม่ทัพคนใดคนหนึ่งมาหลายปีแล้ว หลายปี...ถ้าจำไม่ผิดก็ตั้งแต่สูญเสียแม่ทัพเมธาลแห่งธาราไปนั่นแหละ

แล้ววันนี้มันมีเรื่องดีอะไรกัน?

อยากรู้ แต่ก็ยังต้องยืนนิ่งเป็นหุ่นเหมือนกับระเบียบที่ฝึกมา แต่ดวงตาทุกคู่ของทหารเวหานี่สิ...มันส่ายลอกแลกเต็มที



เจ้าชายธีรัชต์เป็นบุคคลต่อไปที่ทราบถึงความผิดปกติทางน่านน้ำ ด้วยคำกราบทูลรายงานของแม่ทัพแห่งพสุธานั่นเอง พวกเขาแจ้งข่าว และเสนอตัวที่จะเป็นผู้จัดการถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นมา

วูบแรก...ทรงคิดเหมือนกับที่แม่ทัพทั้งสามเคยคิด แววประเนตรสีเงินจึงหม่นแปลก

หากเมื่อทรงทราบว่ามิใช่ แววแปลกๆ เช่นนั้นก็หายไป เปลี่ยนเป็นความเย็นชาระดับน้ำแข็งขั้วโลกเหนือแทน ทรงฟังอย่างสงบเหมือนที่ยังสงบเมื่อพลวัตอาสาเป็นรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยตนเอง โดยที่สองแม่ทัพยืนนิ่งอยู่เบื้องหลัง เหมือนหุ่นมากกว่ามนุษย์จนทำให้แปลกพระทัย

“พวกท่านทั้งสองละมีความเห็นว่าอย่างไร”

“หม่อมฉันรอรับ ‘บัญชา’ จากพสุธาอยู่เพคะ” นางตอบเสียงเย็น แล้วตวัดมองค้อนคนจาก ‘พสุธา’ หนึ่งครั้ง ดวงตาสีสนิมเย็นชายามจับจ้อง

ไม่ได้รังเกียจที่ต้องรับคำสั่งจากชายผู้นี้ แต่มันน่าเจ็บใจที่เถียงไม่ออกตอนนั้นต่างหาก!

คอยดูเถอะอย่าให้ถึงทีอาชาบ้างก็แล้วกัน!

เจ้าชายธีรัชต์แย้มเรียวโอษฐ์นิดๆ เหลือบสายพระเนตรขึ้นมองลำแสงจากดวงอาทิตย์ที่เริ่มทอนความร้อนแรงลง

การประชุมที่ต้องหยุดไปกลางคันกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้งแล้วคราวนี้พระองค์ก็พร้อมที่จะตอบคำถามของสภาโดยไม่ต้องพลาดท่าความรู้สึกขององค์เองเหมือนครั้งที่แล้วอีก

ทรงประทับยืนขึ้นทำให้องครักษ์หนุ่มที่ยืนนิ่งเริ่มขยับตัวบ้าง

“เอาเถอะ เอาข่าวของท่านไปแจ้งต่อสภาพร้อมกันนี่แหละ”

“พระเจ้าค่ะ” แม่ทัพทั้งสามยกมือขวาขึ้นแตะหน้าอกของตนเองแล้วโค้งตัวลงอย่างสง่างาม

บางครั้งเจ้าชายพระองค์นี้ก็อ่อนโยนเสียจนน่ากลัวว่าจะอ่อนแอ แต่บางครั้งก็แข็งแกร่งจนแข็งกร้าว แต่ไม่มีสักครั้งที่จะ...เย็นชาเหมือนเช่นตอนนี้

‘สายน้ำ’ กำลังจะเปลี่ยน ‘แผ่นดิน’ อย่างช้าๆ ตามการไหลเอื่อยกัดเซาะริมฝั่ง


การประชุมสภาเริ่มอีกครั้งเมื่อดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับจากพื้นปฐพี ลำแสงสุดท้ายของวันเคลือบแผ่นดินกันทราให้กลายเป็นสีส้มอมแดงดูเริงแรงอย่างน่าประหลาด หากพื้นที่ทั้งหมดกลับเงียบเชียบไม่คึกคักเหมือนทุกวันประชาชนต่างพากันเก็บตัวอยู่ในคูหาและออกมาพูดคุยและจับจ่ายซื้อของกันหลังพระอาทิตย์ตกดินอีก เด็กๆ เองก็ถูกสั่งห้ามนักหนาว่ามิให้ออกจากธรณีบ้านของตนหลังพระอาทิตย์เลียบฝั่งฟ้าเช่นยามนี้

ความหวาดกลัวของชาวกันทราสำแดงฤทธิ์มากกว่าคำประกาศของสภาที่ให้ความเชื่อมั่นว่าจะจัดการเรื่องทั้งหมดได้ในระยะเวลาอันสั้น

ความเชื่อมั่นกำลังคลอนแคลน

ทำให้พวก ‘ขุนนางนั่งคอก’ เริ่มนั่งไม่ติดคล้ายจะมีไฟลนอยู่ที่ใต้เก้าอี้ของตน ต้องเริ่มลุกออกมา...เพื่อหาทางหนีไฟ

อำมาตย์ทั้งหลายต่างพากันทยอยเข้านั่งประจำที่ของตนเอง

หลังจากมีการหยุดพักการประชุม พวกเขาก็ต่างปรึกษาหารือเกี่ยวกับข้อประชุม พยายามหาทุกวิธีทางที่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด...สำหรับตนเอง

เสียงเริ่มแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม

กลุ่มที่ต้องการจัดการกับอัณณ์ญา ชาลวีย์ขั้นเด็ดขาดก็มีมาก

และกลุ่มที่ยังเชื่อมั่นใจชาลวีย์ก็ยังแฝงตัวอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน

เสียงพูดคุยยังจ้อกแจ้กไปซ่าจนเมื่อร่างสูงสง่าของเจ้าชายธีรัชต์ปรากฏขึ้นเสียงจึงค่อยเงียบลง เบื้องหลังคือสามแม่ทัพแห่งอัศวินราชา และรั้งท้ายด้วยองครักษ์หนุ่มคนสนิทของเจ้าชายแห่งกันทรา

ทุกสายตาจับจ้องทุกการก้าวเดินของคนทั้งห้า

บุรุษหน้าสุดก้าวย่างด้วยความมั่นใจ พระพักตร์คร้ามตั้งตรง ยันย์เนตรสีเงินวาวจับจ้องไปยังบัลลังก์กลางหอประชุมที่ยังคงว่างเปล่า พระขนองตั้งฉากกับพื้น หัตถ์ขวาไขว์ไว้เบื้องปฤษฏางค์ ฉลองพระองค์สีน้ำตาลทองสว่างยิ่งทำให้ทรงโดดเด่นจับตาคนมองยิ่งนัก

สามคนที่ตามมายิ่งไม่ต้องพูดถึง มีใครบ้างที่จะไม่เกรงกลัวในความสามารถของแม่ทัพทั้งสาม ทั้งน่าเกรงขามและน่าพรั่นพรึงต่อพลังที่มีอย่างมากมายยิ่งนัก แต่ก็เพราะสัตยาวาจาที่เคยกล่าวไว้ ทำให้กันทราโชคดีที่ไม่ต้องเกรงกลัวต่อความน่ากลัวนั้น

หลังสุดชายหนุ่มที่ไร้ที่มา แต่เพราะเจ้าชายทรง ‘เก็บ’ มาด้วยพระองค์เอง ทำให้ไม่มีใครกล้าปริปาก ยิ่งโตขึ้นความเข้มแข็ง ดุดันในความแปลกยิ่งสะท้อนออกมาอย่างเด่นชัด จนกลายเป็นที่ยอมรับทั่วไป แต่ไม่มีใครสักคนที่ลืม...ว่าชายคนนี้ไร้อดีตเช่นไร ในความชื่นชมจึงมักปนความเหยียดเยาะอยู่ด้วยเสมอ

เจ้าชายธีรัชต์ประทับกึ่งกลางสภาประชุมที่เดิม พระโอษฐ์เม้มเรียบ ดวงเนตรเฉยชาไร้แววที่เหมือนรูปปั้นทองแดงหล่อสลักขึ้นมามากกว่ามนุษย์มีเลือดเนื้อวิญญาณอย่างแท้จริง

สามแม่ทัพเข้าประจำที่ของตน และองครักษ์หนุ่มที่หยุดยืนอยู่ริมสุดของสภาทางด้านซ้าย ไม่ห่างจากกายของผู้เป็นนายมากนัก

เสียงสนทนาแผ่วๆ ยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ ถ้าพระทวารด้านในสุดมิเปิดออกและมีเสียงมหาดเล็กขานออกมาให้ได้ยินทั่ว

“เจ้าหลวงและพระราชินีเสด็จ”

คนในหอประชุมทั้งหมดลุกพร้อมเพรียงจนได้ยินเสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันดังทั่ว จากนั้นจึงค้อมกายถวายคำนับให้แด่ผู้ถืออำนาจสูงสุดของแผ่นดิน

ดวงเนตรสีน้ำตาลจัดกวาดมองผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด แล้วผงกพระเศียร

คนทั้งหมดถวายคำนับลงอีกครั้งแล้วนั่งลง ไร้สิ้นสรรพเสียง

“เริ่มการประชุมได้”




 

Create Date : 13 กันยายน 2549
3 comments
Last Update : 13 กันยายน 2549 21:21:43 น.
Counter : 883 Pageviews.

 

nongwin

สวัสดีค่ะ ^ ^
ฮา ให้จับได้อาจจะไม่ดีก็ได้นะคะ วิธีลงโทษของเจ้าชายน่ากลัวเกินไปสักหน่อยแหละค่ะ


ต้นไม้ในบ้านหลังเก่า

ทุกคนเอาใจช่วยอัณณ์ญาหมดเลย
อย่างนี้เจ้าชายธีรัชต์น่าสงสารแย่เลยนะคะ อิอิ
แต่มีปล.แนบท้ายแบบนี้ เจ้าชายค่อยโล่งใจหน่อย


scottie

สวัสดีค่ะ อิอิ
พี่อยากรู้ทันค่ะ เดี๋ยวนีลไม่มีมุกเขียนต่อ
ความรู้สึกของแม่อัณณ์ญาจะปรากฏชัดๆ ก็ตอน สองตอนนี้แหละค่ะ


Argent

นึกว่าหายไปเลยเสียอีกค่ะ
ดีใจจังเลยที่ยังตามอ่านอยู่ ^ ^

ปล. สงสารเจ้าชายธีรัชต์มากกว่าอ่ะค่ะ (ลำเอียงจริงๆ เรา ฮ่าๆ )


มิรันตี (Lady Virago)

มาแล้วค่า
แต่มีการโยกย้านสถานที่นิดหน่อย จะหากันเจอไหมคะเนี่ย แฮ่ๆ


ฝากบทที่ 8 ไว้ด้วยนะคะ

 

โดย: นารา_ShiNe 13 กันยายน 2549 21:29:47 น.  

 

เพิ่งตามไปขออนุญาตทวงตอนใหม่ที่พันธุ์ทิพย์มาเอง มาเจอ อ้าว...มาแล้วนี่นา
แต่ก็นั่นล่ะค่ะ มาขอตอนที่ 9 ต่อเลยดีกว่า หุ ๆ
รับรองว่ายังไม่หายไปไหนแน่นอนค่ะ ยังรักอัณณ์ ธี แล้วก็รักคุณนาราด้วยเอ้า
เป็นกำลังใจให้นะคะ

 

โดย: Argent IP: 203.153.172.15 1 ตุลาคม 2549 21:13:54 น.  

 

พี่ลองไปอัพให้ที่ถนนนักเขียนแล้ว
ใครติดตามไปอ่านต่อได้นะคะ
ส่วนน้องนารากำลังติดสอบอยู่ค่ะ

 

โดย: Vela IP: 203.107.206.243 1 ตุลาคม 2549 23:28:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


นารา_ShiNe
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add นารา_ShiNe's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.