Musica Amante คนรักดนตรี

<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
6 กันยายน 2552
 

เมา เสือใหญ่ กว่าจะเป็นปราการหลังที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 1

ในการเล่นคอนเสิร์ตทุกครั้ง ผู้ที่มีหน้าที่ควบคุมจังหวะของวงดนตรีโดยทั่วไป จะเป็นตำแหน่งมือกลอง บางครั้งจะถูกเรียกว่าเป็นกระดูกสันหลังของวง



เมา เสือใหญ่ มือกลองร่างยักษ์ วัย 34 ปี ถูกเลือกให้มาทำหน้าที่นี้ ใน The Innocent Concert การที่จะมาเป็นเขา คงไม่ใช่เรื่องธรรมดา เขามีที่มาที่ไปอย่างไร ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของ เมา เสือใหญ่ หรือ รุ่งโรจน์ ใจเอื้อย เป็นผู้เล่าเรื่องราวด้วยตัวเอง โดยผมเองเป็นผู้ร่วมสนทนา คุยกันค่อนข้างยาว ผมเลยแบ่งออกเป็นสองตอน

=========================================

ถาม : เมา เป็นคนพื้นเพที่ไหน

เมา เสือใหญ่ : เกิดที่กรุงเทพนี่แหละครับ ชื่อจริงว่า รุ่งโรจน์ ใจเอื้อย เด็กๆเค้าเรียกกันว่า รุ่งโรจน์ ใจแอนท์ (หัวเราะ)

ถาม : อ้าว ไม่ใช่เป็นคนจังหวัดน่านหรือ

เมา เสือใหญ่ : โตที่จังหวัดน่านครับ พ่อเค้าอาชีพขับรถน่าน-กรุงเทพ แม่เค้าก็เลยไปปักหลักทำการค้าขายอยู่ที่น่าน แต่ความจริงทั้งพ่อทั้งแม่ เป็นคนกรุงเทพ อยู่บางซื่อ เด็กบางซื่อ

ถาม : แล้วชื่อเล่น เมา ล่ะ มาได้ไง

เมา เสือใหญ่ : ความจริง มันมาจากชื่อ เมาคลี ครับ

ถาม : แล้วเริ่มสนใจดนตรีมาตั้งแต่เมื่อไหร่

เมา เสือใหญ่ : คือจริงๆ ตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้ว ขอบฟังเพลง แล้วก็หัดเล่นเครื่องดนตรีไปเรื่อย เล่นกีตาร์ เล่นเบส ตอนนั้นชอบเล่นเบส เพราะว่ารู้สึกว่า มันเล่นแค่สายเดียว มันง่ายไง มันจับสายเดียว ดึ้งๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก หัดกีตาร์ก็หัดเอง หัดหาคอร์ดเอง ดูจากหนังสือเพลงสมัยก่อน ตอนนั้น ยังอยู่ที่น่าน เรียนหนังสือที่น่าน แล้วตอนหลังมาเรียนต่อที่กรุงเทพ เรียนเทคโนโลยี บางกะปิ ช่างไฟฟ้ากำลัง

ถาม : เริ่มเล่นกลอง ตั้งแต่เมื่อไหร่

เมา เสือใหญ่ : เริ่มหัดกลองแบบจริงๆจังๆอย่างถูกต้องตอนเล่นอาชีพแล้ว แต่ผมตีได้ตั้งแต่เด็ก มันตีได้ของมันเอง คือมันเห็นกลองแล้วก็ตีได้เอง แต่ว่าตีแบบเด็กๆ ไม่ได้เก่งอะไรนะ จังหวะแรกก็เพลงวณิพกเลย ไม่รู้ด้วยว่ามันเรียกว่าจังหวะอะไร สมัยนั้น ไม่ได้นึกว่าจะเป็นนักดนตรี กะว่าจะทำงานอย่างอื่น จริงๆแล้วชีวิตตอนนั้น ชอบค้าขาย เพราะบ้านขายข้าว ก็ช่วยแม่ขายข้าว ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ไปตลาดตั้งแต่เด็กจนโต อยากขายข้าว ชอบงานบริการไง แต่ตอนนั้น พอเพื่อนเห็นว่า ตีกลองได้ ก็เลยชวนมาทำวงดนตรีกัน งานวัด งานบวช งานแต่งงาน ก็ไปช่วยเค้าขนของ เค้าเล่นในโบสถ์กัน เป็นโรงเรียนคริสต์ที่นั่น เขามีเครื่องดนตรี เราก็ขอเค้าซ้อมฟรี เค้าก็ให้ซ้อม เวลาเค้ามีงาน เราก็ช่วยเค้า

ถาม : เราเรียนที่นั่นด้วยหรือเปล่า

เมา เสือใหญ่ : ไม่ได้เรียนครับ แต่ไปช่วยงานเค้าเวลาเค้ามีงาน อันนี้เป็นจุดเริ่มชีวิตความเป็นนักดนตรีนะ ที่นี่มีจุดที่เป็นปลายทางของมันด้วย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

ถาม : ชื่อโรงเรียนอะไร

เมา เสือใหญ่ : โรงเรียนน่านคริสเตียน ไปช่วยงานเค้า แล้วก็หัดดนตรีไปด้วย ผมโตมากับงานลีลาศ วงดนตรีลีลาศมาก่อน พวกผู้ใหญ่เค้าเล่นกัน เราก็ไปช่วยเค้า แล้วก็รอจังหวะเค้าเล่นเพลงโซล ต่อจากตะลุง จะเป็นช่วงโจ๊ะ ก็จะไปตีกลองแบบเพลงวัยรุ่นทั่วไปนี่แหละ พวกผู้ใหญ่ เค้าก็จะเริ่มเพลงลีลาศมา ตั้งแต่ วอลซ์ บีกิน โบเรโล่ สามช่า กัวราช่า ออฟบีท แทงโก้ อะไรอย่างนี้ ก็เลยมีความรู้ติดตัวมาพวกจังหวะพวกนี้น่ะ ก็ได้ความรู้พวกนี้มาเยอะเหมือนกัน ตอนนั้นก็กะไม่ได้เอาเป็นอาชีพหรอก อยากทำแค่สนุกๆ

ถาม : ตอนนั้นอายุประมาณ

เมา เสือใหญ่ : ก็ประมาณ ม.1 ม.2 แถวนี้แหละ (ประมาณ 13-14 ปี) หลังจากนั้น ก็เข้ามาเรียนในกรุงเทพ เรียนเทคนิค จนจบ ก็กลับไปที่บ้าน ก็ไปเห็นโรงแรมที่น่าน มีดนตรีด้วย โอ้โฮ วงนี้เล่นดีมากเลย ก็ไปเที่ยวบ่อยที่นั่นกับเพื่อน แต่พอดีวงดนตรีที่นั่นเค้ามีปัญหา มือกลองเค้าชอบดื่ม แล้วเมา พอเมาแล้วก็ตีกลองไม่ได้ นักดนตรีในวงเค้าก็บอกว่า ใครตีกลองได้มั่งมาช่วยหน่อย มือกลองเมา เราก็เลยบอก ผมตีได้ ก็เลยขึ้นไปตี เค้าก็ชอบนะ แต่ไทมิ่งอะไรไม่ดีหรอก ก็เป็นแบบเด็กๆน่ะ ตอนหลังก็ไปบ่อยๆ ไปเกือบทุกวันเลย อยากได้เล่นอีก แต่งตัวดีเลย ใส่สูท ไปชงเหล้าให้เค้า อยากจะหาโอกาสน่ะ พี่เค้าก็สอนโน้ต ให้ลองตีเล่น

ถาม : ไม่มีชื่อวงเหรอ ชื่อวงอะไร

เมา เสือใหญ่ : มีครับ ก็เป็นวงดังของที่นั่น ชื่อวงคริสต์เมท ตอนนั้น เค้าก็เป็นวงรับจ้างอาชีพเลยนะ แล้วเค้ามาจ้างผมด้วย ให้เงินเดือนผมตั้ง 11000 บาท ตอนนั้นผมว่าเยอะมากนะ ได้เล่นโรงแรม ไส่สูทดูมีเกียรติมากเลย แล้วเราไปแทนเค้า บางทีแทนเป็นเดือนเลย เล่นสวนอาหาร ร้านอาหาร รับเงินเดือนครั้งแรก ได้ตั้ง 7000 โอ้โห ดีใจ แบบเด็กอ้ะ เพิ่งจบใหม่ๆ ตกใจ รีบเอาเงินไปให้แม่ แล้วขอมาซื้อกางเกงยืนส์ตัวนึง ยังจำได้เลย เราก็เล่นไปเรื่อย งานแข่งเรือ งานจังหวัดอะไร เราก็ไปตีกลองเล่นสนุกๆ

ถาม : นี่เป็นชีวิตที่จังหวัดน่านทั้งนั้นเลย

เมา เสือใหญ่ : ใช่ครับ แล้วต่อมา เค้าก็เริ่มแยกกัน ก็มีพี่ในวงเค้าชวนไปเล่นต่างจังหวัด เบื่อเล่นที่นี่กันแล้ว เค้าอยู่กันมาหลายปี เค้าก็เลยเบื่อ เค้าก็เลยย้ายไปเล่นต่างจังหวัดกันหลายจังหวัด ก็เลยไปกับเค้า ที่แรกที่เล่นประจำเลยคือ โรงแรมทิพย์ช้าง ลำปาง อันนี้เป็นจุดเริ่มแรกของการเล่นอาชีพ ผมก็ไปเล่นที่วงเค้า ตอนนั้นยังเด็กอยู่เลย 18 ย่าง 19 เล่นที่โรงแรม ใส่สูท ตอนนั้นรู้สึกมันเท่มาก ใช้ชื่อวงว่า The Time อยู่ได้ 3 เดือนก็ออก เพราะว่าตอนหลังเค้ากินเหล้ากันบ่อย กินแล้วก็มีเรื่องมีราว ผมก็ไม่ค่อยชอบ ก็มาอยู่กับพี่รัฐ มือเบสวงโลโซ ตอนนั้นเล่นที่เดียวกันนั่นแหละ


เมากำลังตกมัน

ถาม : ตอนนั้นเค้าเป็นโลโซหรือยัง

เมา เสือใหญ่ : ยังๆ อยู่คนละวงกัน พวกพี่เสก พี่ใหญ่(มือกลอง) เค้าเล่นอีกที่นึง เค้าเล่นที่มดยิ้ม(สถานบันเทิงใหญ่ในลำปาง) แต่กลางคืนก็นอนบ้านเดียวกันนี่แหละ แต่ก่อนเค้ายังไม่ได้เป็นโลโซ แต่วงเค้าดังมาก มีสมาชิกวงหลายคน ไม่ใช่ 3 คน แบบที่ออกอัลบั้มนะ มีคีย์บอร์ดอะไรด้วย ผมได้ไปดูพี่ใหญ่ตีกลอง ตอนนั้นชอบพี่ใหญ่มาก แล้วเรามีโอกาสได้เจอมือกลองเก่งๆเยอะเลย พี่ต้น ไซแอม (Syam)นี่ก็เป็นอีกคน เป็นคนแรกในชีวิตที่ผมเห็นตีกลองเหยียบสองกระเดื่อง ตอนอยู่ลำปางที่ผมไปออดิชั่นนี่แหละ ไปเจอพี่ต้นเหยียบสองกระเดื่อง โอ้โห ผมขาสั่นขึ้นเวทีไม่ได้เลย แต่ก่อนเค้าเล่นวงยูเรเนี่ยม ตอนนั้นพี่ปู แบล็คเฮด ยังเป็นยูเรเนี่ยมอยู่เลย โอ้โห ปั่นกระเดื่อง จนตกใจ ผมขึ้นเวทีขาสั่นน่ะ ไปเห็นสองกระเดื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ผมว่าเค้าเก่งมากนะ ทุกวันนี้ผมก็ยังว่าเค้าเก่ง ถ้าให้เล่นร๊อกโชว์ ผมว่าในเมืองไทย แกสู้ได้หมด เพราะว่าแกฝึกหนักมาก ผมก็เลยได้แรงบันดาลใจจากพี่คนนี้แหละ ในการฝึกซ้อมนะ ในการที่เราอยากเก่งอย่างเขาบ้าง

แล้วพี่ใหญ่ โลโซ นี่ก็เป็นอีกคนที่เก่งมาก ไปเห็นเค้าตีแล้ว ตีพริ้วมากเลย เป็นคนที่ตีกลองดีมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว หลังจากนั้นผมก็ฝึกเลย ฝึกหนัก เอาเหล็กมากลึงเป็นไม้กลอง แล้วก็ฝึก ฝึกโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองฝึกอะไรน่ะ

ถาม : ไม่ได้เป็นศิษย์มีครูมาเลยเหรอ

เมา เสือใหญ่ : ไม่ครับ ไม่มีเลย ผมฝึกมาเองตลอด ไม่เคยเรียนอะไรกับใครเลย อาศัยลักจำเค้า ดูเค้า ข้อดีมันมี แต่ข้อด้อยมันก็มี ข้อด้อยมันคืออะไรที่คนอื่นรู้ เราจะรู้ช้ากว่า บางที บางอย่างเราก็ทำไม่ได้ เพราะเราข้ามขั้นตอนมา จนวันนี้ผมเลยต้องกลับไปหาจุดเริ่มต้นใหม่ อ๋อ ที่เราทำไม่ได้เพราะเราเป็นอย่างนี้ วางมือผิด อะไรอย่างนี้ แต่ว่าอย่างหนึ่งที่ผมโดนกรอกหูมาตั้งแต่เด็กจนโตก็คือ ไทม์มิ่ง ต้องดี แต่ก่อนฝึก บ้าสองกระเดื่อง หิ้วกระเดื่องไปไหนด้วย โดนเค้าด่ามั่งอะไรมั่ง แต่เราก็ฝึก จนมีรุ่นพี่คนหนึ่ง ชื่อพี่แจ๊ค ที่ประกวดกลองได้ที่สามน่ะ ตอนนี้เป็นครูสอนที่ยามาฮ่าแล้ว แกก็บอกว่าแก่มาก็เหยียบสองกระเดื่องไม่ได้หรอก ฝึกข้อมือดีกว่า ผมก็มาคิดได้ว่า จริงด้วยว่ะ ต้องฝึกข้อมือ ก็ฝึกๆ นั่งขัดสมาธิ เอาหมอนมาบีบให้ตึงๆแล้วตีๆทุกวัน ให้ข้อมือมันพริ้ว ก็ฝึกอย่างนี้ทุกวัน จนรู้สึกว่ามันอยากทำ ถ้าไม่ทำจะรู้สึกว่ามันไม่ดี

ผมไปอยู่กับพี่รัฐ โลโซ ตอนนั้น เค้าใช้ชื่อวงว่า ฟีเว่อร์ แล้วก็เริ่มเล่นดนตรีรับจ้างไปเรื่อย ออกจากลำปาง ก็ไปจันทบุรี สระบุรี ลพบุรี ไปทั่วแหละ เชียงใหม่ เล่นไปทั่วแบบนักดนตรีต่างจังหวัดน่ะ นครสวรรค์ โคราช ไปหมด เล่นหมดเลย

ถาม : ไปแบบที่ไม่ได้เรียกว่าเป็นการทัวร์คอนเสิร์ตใช่ไหม

เมา เสือใหญ่ : ไม่ใช่ครับ เป็นการไปเล่นประจำเลย แต่ระยะเวลาสั้นๆ บางที่ 3 เดือนบ้าง 6 เดือนบ้าง อะไรอย่างนี้ สมัยก่อนจ้างสูง จ้างวงละ 2 แสน ก็เล่นไปเรื่อย จนครั้งสุดท้าย เค้าจะไปภูเก็ต ผมไม่ไป เพราะบ้านผมอยู่เหนือ ผมรู้สึกว่ามันไกลมาก เลยไม่ไป ก็เลยให้คนอื่นเล่นแทน แล้วผมก็ไปเล่นอยู่เชียงรายอยู่อีกปีกว่า จนในที่สุดได้ย้อนกลับมาเล่นกับวง คริสต์เมท วงเก่า ที่เราเคยเล่นกับพี่ๆเค้า ตอนนั้นก็กลับว่า ชีวิตนักดนตรี ไม่เอาอะไรแล้ว ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว

ถาม : แล้วเริ่มเข้ามากรุงเทพ ตอนไหน มาอยู่ในยุทธจักรนักดนตรีเมืองกรุงได้ยังไง

เมา เสือใหญ่ : ก็ปรากฏว่าช่วงที่ผมเล่นอยู่ที่เชียงรายนั่นแหละ ชีวิตมาพลิกผัน ไปเจอเพื่อนชื่อหนุ่ย เคยเล่นด้วยกันที่ลพบุรี ไอ้หนุ่ยนี่แหละ เล่นให้จั๊ก (ชวิน จิตรสมบูรณ์) เล่นแบ็คอัพให้จั๊ก ชื่อว่าวง Never Mind ไปเจอผมที่เชียงราย เค้าไปบ้านที่เชียงราย แล้วไปเที่ยวที่ผมเล่นดนตรีอยู่ มันดูแล้วก็บอกว่า เอ๊.....ไอ้คนตีกลอง สำเนียงกลองคุ้นมาก เพราะอยู่ด้วยกันมานานไง มันเดินไปหาผมหน้าเวที ชี้หน้า ไอ้เมา..มึงอยู่ที่นี่เหรอ ก็เลยแลกเบอร์โทรศัพท์กัน แล้วตรงนี้เป็นจุดพลิกผัน แล้วต่อมาผมก็ได้เบอร์ ไอ้เอก มิสเตอร์ทีม(ตอนนี้อยู่ Silent Scream) มือกลองนี่แหละ ไอ้นี่มันเพื่อนผม ฝึกแข่งกันมาตั้งแต่อยู่ต่างจังหวัด แล้วมันก็ไปออกเทปมีชื่อเสียง มันก็เลยชวนผมมาเล่นกรุงเทพ ผมก็วางแผนเก็บเงิน รอเดือนนึง แล้วก็มาที่ห้องซ้อม ห้องป๋าฮูกนี่แหละ( Saw Record ห้องซ้อมที่ดิอินโนเซนท์ซ้อมในปัจจุบัน ) มาเจอคนแรกก็ป๋าฮูกนี่แหละ ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าเป็นแก แกชวนกินก๋วยเตี๋ยว เลี้ยงผมด้วย เราก็เอากินด้วย ก็เลยรู้จักกัน

ครั้งแรกที่เล่นเลย ก็ที่ Imageries (สุขุมวิท 24) มาเล่นเป็นมือกลองให้ House Band ของที่นั่นเค้าช่วงหลังๆของที่นั่นแล้ว ก่อนที่จะเลิก ตอนแรกผมเข้าใจว่าเป็นดิสโก้เธค เพราะเราเล่นเธคมาก่อนไง ล่าสุดก่อนนั้นก็เล่นอนัน อันวา มาไง ตะลึงๆตึงๆ พอมาเจอกรุงเทพ เราก็มั่นใจว่าเราแจ๋วไง เราอยู่ต่างจังหวัด เราแจ๋วเหมือนกัน เรามีชื่อ พอมาอยู่กับเค้า ตีไทม์มิ่งดี สบายมาก พอเค้าบอกเล่นเพลง I Will Survive เราก็ไม่รู้จัก / Can't Take my Eyes ไม่รู้จัก ไม่รู้จักซักเพลง พอมาตีก็ร่วงๆอ้ะ ไอ้ความคิดที่ว่าเราแจ๋วเนี่ย มันหายไปเลย ตีไทม์มิ่งดี ยังโดนด่าเลย ผมงงอ้ะ เค้าบอก โยนหน่อยซี่ มันต้องมีเลย์แบ็ค ต้องมีไดนามิค ผมก็งง อะไรวะ ไม่เข้าใจ ตีกลองโดนด่า ถึงขนาดว่า กลับบ้านนอนร้องไห้ทุกวันน่ะ โดนกดดันมาก ในวงเค้าก็ไม่รู้จะบอกเรายังไงอ้ะ เอือมระอา ก็เซ็งกันไปหมด บางคนไม่มองหน้าเลย บางทีเค้ากำลังโซโล่อยู่ เค้าก็งง อ้าว มันจบแล้วเหรอ อ้าวก็เราแกะมาตามแผ่นอย่างนี้อ้ะ แบบเนี้ยะ คือผมไม่รู้ไง แกะมาตามแผ่น ก็ผิดตรงไหน ไทม์มิ่งก็เป๊ะ ไทม์มิ่งดีไง เรามั่นใจ เพราะเราเล่นกับซีเควนซ์มาตั้งแต่เด็ก ปรากฏว่าไอ้ความรู้สึกที่ว่าเราแจ๋ว มันถูกกลบล้างไปหมดสิ้น กลายเป็นว่าต้องมาเริ่มกันไหม่ทุกอย่าง

มีอีกเรื่องที่ Imegeries ครั้งแรกเลยผมไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ตีกลอง ก็โดนด่าจนชินแล้วน่ะ เจอวงวายน๊อตเล่น โอ้โห ดีใจ ชื่นชม ทีแรกเราว่าผับอะไรวะมีแต่คนดังมาเยี่ยมเยอะจัง พี่อ้อง สุรสีห์ มานั่งดูด้วย พี่โต๊ะ วสันต์ พี่ป้อม อัสนี มานั่งดู ขาสั่นเลย ตีกลองไม่ออกเลย นี่มันผับหรือมันอะไรวะ จนเราผ่านประสบการณ์มาเรื่อย จนกลืนกับคนอื่น ไม่ใช่เก่งนะ แต่โดนด่าจนกลืนไปกับคนอื่นไปละ

แล้วมีอยู่วันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร รู้แต่ว่าเป็นหุ้นส่วนของ Imageries เรียกผมมานั่งคุย เฮ้ย ชื่ออะไร ผมชื่อเมาครับ คนในวงบอกว่า มึงโดนแน่ คนนี้ดุด้วย เค้าบอกว่าผมชอบคุณตีกลองว่ะ เดี๋ยวมาตีออโต้บาห์นกับผม ผมงงๆ ก็ไม่รู้เรื่อง ผมมารู้ว่า พี่เค้าชื่อ จิรพรรณ อังศวานนท์ โอ้โห ผมรอดมาได้ยังไงไม่รู้ผมงงตัวเอง

ถาม : ตอนนั้นพี่จิรพรรณ ทำงานให้ออโต้บาห์นเหรอ

เมา เสือใหญ่ : มันมีงานของออโตบาห์น ที่จะเล่นที่นั่น จำได้เลย 14 กุมภาฯ เป็นงานที่ผมเล่นที่นั่นเป็นครั้งสุดท้ายด้วย เพราะวงประจำเค้าเลิกจ้าง หลังจากนั้น ผมก็ไปออดิชั่น ไปเรื่อย พักนึงป๋าฮูก ก็พาผมไปเล่นแบ็คอัพให้ศิลปิน คนแรกเลยที่ผมเล่นให้ ก็คือปาล์มมี่ คอนเสิร์ตอัลบั้มแรกเลย ตอนนั้นซ้อมครั้งแรก ก็มาซ้อมที่ห้องซ้อมป๋าฮูกนี่แหละ ซ้อมครั้งแรก 1 เดือน เพื่อคอนเสิร์ตใหญ่ ตอนไปเล่นผมก็ไม่รู้ว่า มันจะเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ เล่นที่หอประชุมธรรมศาสตร์ พอม่านเปิด โอ้โห คนเต็มเลย จะเป็นลม วัน รันทรู ผมเกร็งมากเลย ตอนนั้นมีพี่โอมไปกำกับด้วย แล้วมีรุ่นพี่คนนึง พี่ปู มิสเตอร์ทีมเค้าบอกว่าจะเกร็งไปทำไม คุณเล่นให้เค้า ไม่ใช่ตัวศิลปินเอง เล่นเต็มที่ไปเลย ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรเสียหรอก เราก็คิด เออจริงด้วยว่ะ เราไม่ใช่ศิลปินเอง กลัวอะไรวะ หลังจากนั้น ผมก็ขึ้นไปตี ไม่เกร็งเลยนะ แฮปปี้ด้วย โอเคเลย วันนั้นตีดี

ถาม : เล่นกับปาล์มมี่นี่ ได้ไปเล่นเมืองนอกด้วยซี่

เมา เสือใหญ่ : โอ้โห ตอนผมเล่น มีทัวร์เยอะจริง แต่อยู่ในประเทศ ไม่ได้ไปไหนเลย ทัวร์ในประเทศงานเยอะมาก แต่ละที่ต้องมีซ้ำ 2-3 รอบ พอผมมาทำกับวงเสือใหญ่ ไม่ได้ทัวร์กับปาล์มมี่แล้ว เขาก็ไปกันจังเลย ไปนอกกันบ่อยเชียว ทำไมตอนเราอยู่ไม่ได้ไปมั่งวะ

ถาม : แล้วยังไงถึง มาเป็นสมาชิกเสือใหญ่ได้

เมา เสือใหญ่ : คือเราเป็นเพื่อนกัน รู้จักกันที่ต่างจังหวัด เค้าก็ชื่อวงเสือใหญ่อยู่แล้ว เล่นผับก็ชื่อวงเสือใหญ่ ก็เป็นเพื่อนกับหนุ่ม(อรรถพร ธีมากร) ไอ้หนุ่มก็เคยออกอัลบั้มมาก่อน เค้าก็รู้จักกับวงนี้แหละ วงก็มาชวนผมเข้ามาด้วย เราก็ไปทีแรกนึกว่าเล่นแบคอัพ

ถาม : วงเสือใหญ่นี่พื้นฐานมาจากต่างจังหวัดหรือเปล่า

เมา เสือใหญ่ : ไม่ครับ มาจากกรุงเทพ ทั้งวงเลย ผมก็มารู้จักกันก็ที่กรุงเทพนี่แหละ เจอกันก็เพราะเล่นกลางคืนเหมือนกัน ก็ตกลงไปทำอัลบั้มด้วยกัน ทีแรกจะให้หนุ่มออกเดี่ยวไป ไอ้หนุ่มบอกไม่เอา ถ้าให้เดี่ยวไม่เอา คือถ้าจะเดี่ยวมันบอกว่า มันออกไปนานแล้ว เค้าอยากทำเป็นวง ทีแรกจะให้ออกชื่อว่า หนุ่มอรรถพรและเสือใหญ่ อะไรแบบนี้ เค้าก็ไม่เอา ให้ใช้ชื่อเสือใหญ่เลย แล้วก็วนเวียนอยู่กับวงเสือใหญ่ ออกอัลบั้มมาได้ 2 ชุดแล้ว เวลาไม่ได้ทำอัลบั้ม ใครมีงานอะไรก็ทำไป ผมจะโชคดีหน่อยมีเพื่อนๆ ญาติๆในวงการเยอะ เค้าก็ชวนไปเล่นคอนเสิร์ต ชวนไปเล่นโน่น เล่นนี่อะไรแบบนี้ วงเสือใหญ่ หลักๆคือเราเป็นเพื่อนกัน ถึงยังไม่ได้ออกงาน แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกัน มันก็ยังมีสภาพเป็นวงอยู่ตราบใดที่เรายังไม่เลิกคบกัน ยังไงมันก็ยังอยู่ วงมันไม่แตกหรอก อยู่ที่ว่า เราจะทำงานเพลงกันเมื่อไหร่ หรือเปล่าเท่านั้นหละ


บนเวทีคอนเสิร์ต Academy Fantasia

ถาม : ตอนไม่ทำวง ก็เล่นแบ๊คอัพมาตลอดหรือ

เมา เสือใหญ่ : จุดมุ่งหมายที่เข้ากรุงเทพมา ก็คือ มาเล่นแบ๊คอัพครับ เป็นความตั้งใจของผม คือผมอยากเล่นให้คนที่เราเคยฟังเพลงของเขามาก่อนตั้งแต่เด็กๆ มีที่ภูมิใจเลยนะ เล่นให้พี่แหวน ฐิติมา ชอบตั้งแต่เด็กๆ พี่กบ ทรงสิทธิ์ เบิร์ตกะฮาร์ด อย่างนี้ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ ภูมิใจมากเลย

ถาม : มาถึงเวลานี้แล้ว เล่นแบ็คอัพให้ใครมาบ้างแล้ว

เมา เสือใหญ่ : มีปาล์มมี่, พี่แหวน ฐิติมา สุตสุนทร, เบิร์ดกะฮาร์ด, ปราโมทย์ วิเลปะนะ, พี่ฟอร์ด สบชัย ไกรยูรเสน , พี่ไท ธนาวุฒิ แล้วก็ แคลลอรี่ บลา บลา

ถาม : แคลลอรี่ บลา บลา ด้วยเหรอ ใครตัวใหญ่กว่ากันเนี่ย

เมา เสือใหญ่ : อุ๊ย ป๊อบเค้าใหญ่กว่า (พูดเบาๆ) หลังจากนั้น วนเวียนไปเรื่อย มีอีก แต่ผมจำไม่ได้แล้ว

ถาม : แล้วมาเจอกับพี่โอม ชาตรี ได้ยังไง

เมา เสือใหญ่ : ก็เพราะผมเล่นให้ Academy Fantasia ไง แล้วพี่โอม เป็นมิวสิค ไดเร็คเตอร์ แกก็เห็นใครตีกลอง แล้วก็ชอบเดินมาดูข้างหลัง ครั้งแรกเราก็ตกใจ อุ๊ย..พี่โอม แกก็ทักทายว่า ตีกลองเพราะดี พอพี่เค้าออกอัลบั้ม Into The Light พี่เค้าอยากมีคนมาเล่นให้ อยากได้แบ๊คอัพจริงๆที่แม่นๆ แกะเพลงตามสั่งได้ แต่ผมว่าพี่เค้าคงไม่อยากได้คนเก่ง เพราะคนเก่งมันเยอะมาก แต่พี่เค้าอยากได้คนที่เข้าใจงานของเค้ามากกว่า ถึงเอาผมมาตี บางทีเราก็อาจจะทำไม่ได้อย่างที่พี่เค้าคิดด้วย แต่หลักๆแล้ว Into The Light เราต้องคุมทั้งหมดในภาค Rythm เพื่อให้เค้าโซโล่ ร้องได้อย่างมั่นใจ ผมว่าหลักๆคงเป็นเรื่องนี้มากกว่า ห้อง บาร์ นับยังไง ต้องแม่น เวลาที่เล่นผมต้องดูที่โอมอย่างเดียวเลย เวลามีคนมายืนบังพี่โอม ผมจะทำอะไรไม่ถูกเลยนะ มีตู้แอมป์บัง ก็ต้องแหงนคอ คอยมองพี่โอม ดูมือ ดูอาการของพี่โอมตลอด คือซ้อมจนรู้ว่าพี่เค้าจะทำอะไร คือเราทำได้ในแบบฉบับของเรา ในความสามารถที่เรามีอยู่ แต่เราก็ตั้งใจ เพราะทุกครั้งเราก็จะตีเหมือนเดิมไม่ค่อยเปลี่ยนอะไรมาก ทุกอย่างก็จะเหมือนที่ซ้อมเป๊ะ ถึงมันจะมีใส่ความรู้สึกบ้าง แต่หลักๆโครงมันต้องอยู่เหมือนที่ซ้อม

ถาม : งั้น ย้อนไปอีกนิดนึง มาอยู่ในทีมทำงานเดียวกับ แมนได้อย่างไร (แมน - เกรียงศักดิ์ เกรียงไกรนิยม ผู้ช่วย Music Director ของพี่โอม ในงาน AF และงานอื่นๆอีกหลายงาน)

เมา เสือใหญ่ : แมนเค้าเป็นคนปล่อยคิวตอนคอนเสิร์ตแรกของ ปาล์มมี่ ที่ธรรมศาสตร์ ก็เลยรู้จักกัน แล้วตอน AF1 แมนเค้าชวนไปเล่นแทนมือกลองเก่า พอดีเค้าติดงาน พอเราไปตีเสร็จ เค้าก็แฮปปี้ หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อนกัน มีงานอะไร เค้าก็ชวนไปเล่นตลอด ตอนนั้นงานก็ยังไม่เยอะหรอก คือเป็นวงแบ็คอัพ รองานจากทีมใหญ่อีกที แล้วแมนเค้าก็พัฒนาตัวเองมาจนคุมเพลง คุมงานทุกอย่างได้ พอ AF 4 ก็ชวนมาเล่นอีก ผมก็เลยมาเล่นด้วย หลังจากนั้น ก็ทำงานด้วยกันมายาวเลย ตอนนั้นงานเค้าก็ไม่เยอะนะ แต่ก็ทำงานด้วยกันมาตลอด แมนเค้าจะไม่มาBriefงานผมนะ นอกจากจะมีอะไรพิเศษเพิ่มขึ้นมา

=========================================

จบตอนแรกตรงนี้ก่อน ยังมีอีกหนึ่งตอนจบครับ


Create Date : 06 กันยายน 2552
Last Update : 8 กันยายน 2552 14:12:57 น. 11 comments
Counter : 4249 Pageviews.  
 
 
 
 
คราวหน้าจะพูดถึงเรื่องในปัจจุบัน และ อนาคตครับ
 
 

โดย: Musica Amante วันที่: 6 กันยายน 2552 เวลา:13:16:13 น.  

 
 
 
"วงเสือใหญ่ หลักๆคือเราเป็นเพื่อนกัน ถึงยังไม่ได้ออกงาน แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกัน มันก็ยังมีสภาพเป็นวงอยู่ตราบใดที่เรายังไม่เลิกคบกัน ยังไงมันก็ยังอยู่ วงมันไม่แตกหรอก อยู่ที่ว่า เราจะทำงานเพลงกันเมื่อไหร่ หรือเปล่าเท่านั้นหละ"

พี่เมาน่ารักมากมาย ^^
 
 

โดย: น้องบัว IP: 125.25.146.132 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:4:55:56 น.  

 
 
 
กรี๊ดดดดดดดดดดด

ชอบพี่เมามากๆๆๆๆๆๆ
 
 

โดย: angle IP: 192.168.0.27, 61.19.188.43 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:15:50:43 น.  

 
 
 
เคยทราบเรื่องพี่เมา...ตอนเรียนที่น่าน รร.ศรีสวัสดิ์ มีเพื่อนชอบดนตรี เขาบอกรู้จักพี่เมาตีกลองเก่งมาก ก็ได้ยินบ่อยๆ พยายามติดตามผลงาน รู้ข่าวอีกทีเพื่อนบอกไปเป็นแบ็คอัพดังที่ กรุงเทพฯ ดีใจครับ เพราะผมก็ชอบกลอง
 
 

โดย: kig IP: 113.53.24.69 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:52:20 น.  

 
 
 
เล่นดีค่ะ แต่เจ้าชู้เกิน
 
 

โดย: คนที่เคยโดนเธอทำร้าย IP: 124.122.188.98 วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:19:35:40 น.  

 
 
 
ใครอยากดูพี่เมาเล่นกลองแบบใกล้ๆ บ้าง

ไปดูได้ที่ ฟิลม์ บาร์ อยู่หลัง แฟชั่นไอแลน ถนน ปัญญา - รามอินทรา
 
 

โดย: .... IP: 125.25.221.150 วันที่: 27 มิถุนายน 2553 เวลา:14:54:04 น.  

 
 
 
ชอบพี่เมามากครับ พี่เค๊าเป็นกันเองมากเลยครับ จากน้องที่เคยนั่งคุยกันใต้ตึก
 
 

โดย: น้องที่เคยอยู่ตึกเดียวกัน IP: 125.26.235.135 วันที่: 17 กรกฎาคม 2553 เวลา:13:14:25 น.  

 
 
 
พึ่งได้เข้ามาอ่านดูว่ะ ไอ้น้องรัก ตอนนี้อยู่ไหนหล่ะ ว่างก็โทรมาคุยกันบ้างเด้อ พี่หยุดเล่นมา 9 ปีแล้ว อญุ่เบื้องหลังการบันเทิงอย่างเดียวเลยตอนนี้ .. ว่างก็โทรมาคุยกันนะไอ้น้อง (อย่าเมามากเหมือนชื่อล่ะ 5555)
 
 

โดย: ไก" Kismet IP: 182.52.202.123 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:30:32 น.  

 
 
 
ชอบลีลาการตีมาก มันสุดๆ ถามจริง เคยตีจนกลองแตกมั่งไม๊
 
 

โดย: jane IP: 125.24.39.221 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2553 เวลา:17:04:39 น.  

 
 
 
ไม่เจอกันนานบายดีป่าว...คิดถึงจัง......ไอ้หมูตอน
 
 

โดย: ann IP: 124.122.197.233 วันที่: 9 มิถุนายน 2554 เวลา:20:37:56 น.  

 
 
 
เลวจะตาย
 
 

โดย: zazi IP: 192.168.4.11, 61.19.188.43 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2554 เวลา:22:22:25 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

Musica Amante
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




เปิดตา เปิดหู เปิดสมอง เปิดใจ
เพลงที่ดี ดนตรีที่ดี ไม่มีค่าย
[Add Musica Amante's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com