space
space
space
<<
เมษายน 2561
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
3 เมษายน 2561
space
space
space

Epson L6190 or ET-4750 and DURABrite ultra ink



หลังจากได้ทดสอบการเติม DURABrite ink ในเครื่อง Epson L365 เครื่องเดิมแล้วได้ผลดีเกินคาด Nozzle หมึกดำจากที่ไม่เคยได้ perfect nozzle check ก็กลับมาได้ จนรู้สึกเสียดายเล็กน้อยว่าถ้ารู้งี้ ไม่ต้องซื้อ L6190 มาก็ได้ แต่เอาเถอะ ยังไง ๆ เราก็อยากได้ borderless printining, autoduplex printing, automatic document feeder, precision core ฮ่า ๆ 


ที่เมกา Epson L6190 ใช้ชื่อว่า ET-4750  หรือ Ecotank 4750 หน้าตาและเสปคเหมือนกันทุกประการ ยกเว้นแต่ที่เมกาเค๊าจะให้หมึกมา 8 ขวดหรือ สองชุด ราคาตั้งขายคือ $499.99 ซึ่งเปลี่ยนเป็นเงินบาทคือ 15,605.19 บาท (search google วันที่ 2 เม.ย. 61) ดังนั้นเมื่อเทียบกับราคาตั้งขายที่เมืองไทยคือ 13,500 บาท รับประกันแบบหิ้วเครื่องเข้าศูนย์ สองปี   จ่ายแพงกว่า 2000 บาทเป็นค่าหมึกขวดอีกชุดนึงคงไม่คุ้มแน่นอน ปรากฎเครื่อง ET-4570 ที่เมกาก็ขายดีจน out of stock ไปหลายที่ รีวิวก็ดีเริ่ด  ที่จะถูกด่าก็น่าจะเป็นเรื่องที่ ADF หรือ automatic document feeder ไม่ใช่ duplex scan  แต่ printing function เป็น auto-duplex printing

ตั้งแต่ตอนที่ตัดสินใจจะใส่หมึก DURABrite ก็พยายามค้นหาน้ำหมึกดังกล่าว โดยตอนหลังพยายามจะซื้อในประเทศเนื่องจากไม่อยากรอนาน ก็พบว่าหมึก DURABrite นั้น Epson เอาใส่ตลับเป็นส่วนใหญ่ และมักจะเป็นตลับเล็ก ๆ มีน้ำหมึกไม่มาก  เราต้องการปริมาตรสัก 70-80 mL เท่า ๆ กับปริมาตรในน้ำหมึกขวดสี (70 mL) ส่วนหมึกดำนั้น จะใช้ขวด 001 ที่มากะเค๊าก็ได้เพราะเป็นหมึก pigment อยู่แล้ว ตอนแรกก็ตั้งใจไว้อย่างนั้น

หลังจากค้นหาตลับที่มีปริมาตรหมึกเยอะ ๆ ก็พบว่า Epson T7921 (ดำ) T7922 (cyan) T7923 (magenta) และ T7924 (yellow) ซึ่งเป็นตลับหมึกที่ใช้กับเครื่องรุ่น Workforce 5111, 5621 มีปริมาตร 34.2 mL น่่าจะโอเคสำหรับทดสอบเบื้องต้น ถ้าใช้ดีก็กะว่าจะค่อยหาซื้อตลับอื่นจาก e-bay มาเติมต่อไป  ถ้าใช้ไม่ดี หัวพิมพ์ตัน สีเพี้ยนมาก (ไม่น่าจะเกิด -หลังจากได้ทดสอบกับ L365 แล้ว) ก็ค่อยดูดหมึก DURABrite ทิ้งไปแล้วเติมหมึกเค๊าให้มา

ปรากฎว่าตลับหมึกสำหรับ WF5111 4 ตลับดังกล่าวมีขายที่ officemate.co.th ในราคาตลับละ 2,590 บาท ใช่แล้วครับ อุแม่เจ้า หมึกบ้าอะไรฟระ ซีซีละ 75.7 บาท แพงพอ ๆ กับซีรุ่มทาหน้าของคุณผู้หญิงบางท่าน ซื้อไม่ลงขอรับ   ข้อดีคือถ้าสั่ง Officemate ก็ได้หมึกใน 2-3 วัน แต่ถ้าสั่ง e-bay คงรออีกนาน

นอกจากนี้ยังมีหมึก DURABrite สำหรับเครื่อง WF-3620 ราคาย่อมเยาหน่อยคือ 590 บาท แต่มีน้ำหมึกแค่ 8.13 mL  หมึกสำหรับเครื่องพิมพ์ WP (Workforce Pro) -4020, 4025 ราคา 770 บาท มีน้ำหมึก 21.3 mL  ที่น่าสนใจที่สุดก็คือตลับหมึกสำหรับ Epson B510DN 

Epson B510DN นั้นเลิกผลิตไปนานแล้ว มีขายตอนช่วงปี 2558 ซึ่งราคาเครื่องพิมพ์คือ 17,500 บาท ตลับหมึกมีให้เลือก 2 ความจุ คือ Standard capacity (T6161-4) ราคา 1,390 (หมึกดำ) และ 1,750 (หมึกสี) หรือ high capacity (T6171-4) ราคา 1,750 บาทสำหรับหมึกดำ 2450 บาทสำหรับหมึกสี โดยรุ่น Standard capacity มีความจุหมึก 76 mL (หมึกดำ) และ 53 mL (หมึกสี)  รุ่น high capacity มีความจุ 100 mL เท่ากับทุกตลับ ทั้งดำและสี  สำหรับต่างประเทศยังมีตลับดำรุ่น T6181 อีกรหัสซึ่งมีความจุ 198 mL

ตอนนั้นเราก็สืบเสาะหาตลับสำหรับ B510 DN สำหรบผู้ขายในประเทศไทย ก็ไปเจอร้าน heresong.com (เฮียส่ง.com) พอ line ไปถามว่ามีของในสต็อคหรือไม่ ก็ปรากฎไม่มี สรุปว่า ถ้าอยากได้เร็วและรวยจัด ไม่เสียดายเงิน ก็ซื้อ Officemate ไป ซีซีละ 75 บาท ได้เล่นภายใน 2-3 วัน

ไม่หละ  เสียดายเงิน ยอมรอ ก็เลยไปหาในอีเบย์

ณ ตอนนี้ มี.ค. - เม.ย. 2018 ยังมีคนขายตลับ T6161-4, T6171-4 และ T6181 เยอะ ครับ โดยที่ราคาตลับความจุน้อย T6161-4 จะมีราคาถูกกว่ารุ่น high capacity ส่วนหนึ่งเพราะหมึกมีน้อยกว่าและอันที่สองคือคนยังต้องการหมึก high capacity มากกว่า

อุปสรรคของอีเบย์คือราคาส่งของ ของส่งจากเมกา หรือยุโรปตอนนี้ถ้าใช้  e-bay global shipping program ราคาจะสนนอยู่ที่ $30 ขึ้นไป ข้อดีคือได้เร็ว (มักจะไม่เกิน 7 วัน) และได้ถึงที่บ้านเลย เพราะของราคาแพงจะมีการบวกค่าศุลกากรไปเรียบร้อย  (ถึงได้แพงนักไง)

โชคดีเราไปเจอคนขาย T6161-4 ทั้งชุดและคนขายเค๊า (sourceit) ส่งเอง คิดค่าส่งถูก ก็เลยสอยมาลองก่อนชุดนึง ก็ได้มาครบทั้ง 4 สีคือ black, cyan, magenta และ yellow

อุปสรรคอีกอย่างของการเติมหมึก L6190 ก็คือ design ใหม่  ครับ  L6190 หรือ ET-4750 มากับมาตรฐานใหม่ของปริ๊นเตอร์หมึกแท๊งค์ก็คือถังเติมหมึกไม่ได้เป็นจุกยางเปิดปิดธรรมดาเหมือนรุ่นเก่า ขวดหมึกมีลิ้นปิดเปิดประเภทว่าเปิดฝาขวดหมึกยกคว่ำขวดลงหมึกไม่หก จิ้มกดลงไปกับรูเติมหมึก จะมีระบบคีย์ล็อคสีใครสีมัน ไม่มีวันเติมผิดสีได้ สะดวกผู้ใช้ไม่เลอะเทอะ โฆษณาไว้ว่ายังงั้น

แต่สำหรับพวกนอกคอกนี่สิ มีปัญหา เราจะเติมหมึกจาก syringe ได้ยังไง รูที่สำหรับให้น้ำหมึกมันไหลลงไปไม่ได้เป็นรูกลมกว้างโล่งเหมือน ink tank รุ่นเก่า จะเติมนอกคอกก็ยังยาก จะให้ดูดทิ้งกรณีไม่เวิ๊คนี่ยิ่งเกือบเป็นไปไม่ได้

หมึก T6161-4 หรือ T6171-4 จะมาเป็นกล่องตลับใหญ่ ซึ่งสามารถแงะฝากล่องออกได้โดยง่าย ด้วยไขควงปากแบนแบบไขควงวัดไฟเล็ก ๆ น่ะ ได้เลย ข้างในจะเป็นถุงฟอยล์ มีจุกยางที่สามารถดันปลาย syringe เข้าไปและดูดหมึกออกมาได้เลย แต่ไม่สามารถดันหมึกคืนเข้าไปได้  ก่อนดูดอย่าลืมเขย่าถุงให้ดี ๆ นะครับ สัก 20-30 รอบ

หมึก DURABrite Ultra ink ที่ขายราคาถูก ๆ บนอีเบย์เป็นหมึกที่หมดอายุแล้วเป็นส่วนใหญ่ (ถึงได้ราคาถูกไง) เราไม่สนใจมาก เพราะหมึก Ultrachrome ที่เราเติม L365 ก็หมดอายุกันตั้งแต่ 2008 เราก็เขย่าจนเค๊าลอยตัวดีเนื้อเนียน ก็เติมไปใช้ได้ ไม่เห็นมีปัญหา หัวก็ไม่ตัน   DURABrite ที่ขายบน อีเบย์ส่วนใหญ่ก็หมดอายุกันตั้งแต่ 2013-2016 ถ้าแบบยังไม่หมดอายุ เค๊าก็จะขายกันเต็มราคา

ตอนที่ตรวจเครื่อง L6190 เห็นปากรูเติมหมึกแล้วก็กลุ้มใจเพราะรูที่หมึกไหลลงไม่ได้เป็นรูโล่ง ปรากฎว่าหากใช้หลอดพลาสติกเล็ก ๆ ซึ่งบังเอิญที่ทำงานของเรามีสิ่งที่เรียกว่า IV catheter เป็นหลอดพลาสติกขนาด 18 Ga ซึ่งมากับชุดแทงสายน้ำเกลือของผู้ป่วยและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครใช้ (เป็นของทิ้ง) เราก็เก็บสะสมมาไว้ หลอดพลาสติกสีน้ำเงินที่มากับชุดแทงน้ำเกลือ Central line ของ Arrow สามารถยัดลงไปผ่านปากรูเติมแท๊งค์ L6190 ได้และใช้เติมน้ำหมึกได้เลย      สำหรับท่านอื่น ๆ ที่ไม่มีอุปกรณ์ IV catheter นี้ ก็อาจจะต้องใช้เข็มเหล็ก ขนาดสัก 20 Ga ก็น่าจะได้เหมือนกัน ระวังความคมของเข็มและเข็มเหล็กจะแข็ง มันไม่เลี้ยวโค้งเวลาเจอสิ่งกีดขวาง  ตอนสอดท่อพลาสติก 18 Ga ลง มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรพยายามกั้นอยู่ด้านล่างเล็กน้อย แต่ความที่ท่อเป็นพลาสติก มันก็เลี้ยวโค้งผ่านลงไปได้โดยดี  กรณีสุดท้ายหากไม่สามารถสอดท่อหรือเข็มเล็ก ๆ ผ่านรูเติมปากแท๊งค์ได้จริง ๆ ก็คงจะต้องหาขวดเติมหมึก 001 เปล่า (ถ้าไม่เสียดายก็เทหมึกทิ้งไป หรือดูดเก็บขึ้นมาใส่ syringe ไว้) เพื่อที่จะ overcome ลิ้นเปิดปิดที่ปากแท๊งค์ ใส่หมึก DURABrite เข้าไปในขวดนี้ก่อน แล้วก็เติมจากขวดเหมือนกับที่ Epson ออกแบบมา 

โชคดีเราเติมผ่าน syringe + Arrow 18Ga IV catheter ได้ เท่าที่แอบดูคลิปหรือรูปของคนที่เติมหมึกจากขวดตามที่เอปสันออกแบบมา ดูสะดวกดี หมึกไม่หกเลอะเทอะ แต่ปากขวดหมึกดูเลอะเทอะไม่สวย ของเราเติมผ่าน IV catheter ลงไปข้างในขวดเลย รูเติมของแทงค์ดูสวยงาม ไม่มีคราบหมึกเปื้อนเลย สวยกว่า อิอิ

ก็สรุปว่าเติมหมึก DURABrite ได้เรียบร้อยดี ใช้งานพิมพ์ไปกว่า 600 หน้า ส่วนใหญ่เป็นเอกสารประกอบการสอนของนักศึกษา พิมพ์สองหน้าอัตโนมัติ  ถ้าอยากให้สวยเหมือนเลเซอร์ก็ต้องพิมพ์แบบ Fine ขึ้นไป ช้าหน่อยแต่ตัวหนังสือคมชัด สวย ถ้าอยากได้ความเร็ว ก็พิมพ์แบบปกติ ต้องยอมรับว่า DURABrite black นี่ดำกว่า Canon pigment black เก่ามากมาย  ส่วนเมื่อเทียบกับ Epson 001 pigment black ซึ่งตอนนี้ใส่เครื่อง L365 อยู่ ดูเหมือน ๆ กับว่า Epson 001 black ดำกว่า DURABrite black แต่พอให้พิมพ์แถบดำมาเทียบกัน บนกระดาษแบบเดียวกัน ปรากฎว่าก็ดำเท่ากัน สรุปว่ามันน่าจะเป็นลักษณะของหัวพิมพ์ Micro TFT บนเครื่อง L365 กับ driver ซึ่งบังคับวิธีพ่นหมึกของเค๊า มันต่างกับ PrecisionCore กับ driver ของ L6190 

สีก็โอเค ใช้ดี ดำเป็นดำ เหลืองเป็นเหลือง แดงเป็นแดง  ถ้าไม่ใช่คนเรื่องมาก ก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม

บังเอิญเป็นคนเรื่องมากเล็กน้อย  ตอนนี้ จัดการทำ color profile ด้วย Colormunki spectrophotometer ครบเรียบร้อยทุกกระดาษที่มีใช้งานรวมทั้งกระดาษ plain paper ด้วย  

เราพบว่าหมึก pigment นั้นเหมาะสำหรับพิมพ์สองหน้ามากกว่าหมึก dye เป็นอย่างยิ่งเนื่องจากหมึกเกาะอยู่บนผิวกระดาษไม่ซึมและบลีดลงไปในเนื้อกระดาษ  ส่วนกระดาษที่เหมาะกับเครื่องพิมพ์ inkjet เพื่อให้ได้คุณภาพดีที่สุดก็ต้องเป็นพวกกระดาษเคลือบ ถ้าเป็นเอกสารก็เอาแบบเคลือบด้านหรือ Inkjet matte paper ถ้าจะพิมพ์สองหน้าก็ต้องหาแบบ double-side coated ซึ่งมักจะหนาเกินไป (ที่หาเจอแบบบางที่สุดคือ 120 gm) และที่สำคัญราคาแพงเกินกว่าจะมาพิมพ์เป็นชีทแจกนักศึกษา (ตกราคาแผ่นละ 4-5 บาท) แบบ 120 gm เคลือบสองหน้าหายากกว่ากระดาษเคลือบด้านสองหน้า 170 gm แต่จะเป็น 120 gm หรือ 170 gm ก็ต้นทุนสูงเกินเหตุสำหรับเอกสารประกอบการสอน

เราค้นพบว่าต่างประเทศนั้นมี Epson BrightWhite paper 90 gm ซึ่งไม่ใช่กระดาษเคลือบพิเศษ แต่โม้ว่ามีความเหมาะสมกับการพิมพ์สองหน้าและงานพิมพ์สวยใช้ได้ ราคาที่ต่างประเทศนั้นไม่แพงเลย แต่เจอค่าส่งแล้วต้องร้องเจี๊ยก หาซื้อได้แถว ๆ ยุโรป อังกฤษ เพราะทางฝั่งเมกาเค๊าไม่ใช้กระดาษ A4 เค๊าใช้กระดาษ Letter ซึ่งอ้วนกว่าหน่อยนึง เตี้ยกว่าหน่อยนึง เคยจะฝากเจ๊โป่งซึ่งชอบเดินทางไปลอนดอนเยี่ยมลูกสาวหิ้วมาให้รีมนึง (500 แผ่น)  นางค้อนให้ขวับนึง "เธอไปหิ้วมาเอง ชั้นหิ้วแต่เครื่องสำอางค์"

สรุปเราลงทุนซื้อ Epson BrightWhite paper มาทั้งหมด 3 รีมจากอีเบย์ เสียค่าส่งไปมาก ค่ากระดาษนั้นไม่เท่าไหร่  โชคดีอยู่นิสนึงตรงที่รีมสุดท้ายมันส่งมาไม่ห่อให้ดี ห่อพลาสติกมันแตก พอเราส่งรูปถ่ายร้องเรียนไปที่อีเบย์ เธอ refund ให้เราครบหมดเลย ทำให้เท่ากับว่าเราจ่ายเงินซื้อแค่ สองรีมแรก และได้รีมสุดท้าย (มีมุมเยิน ๆ นิดหน่อย) มาฟรี เมื่อหารค่าส่งค่าของของสองรีมแรก แต่ได้รีมที่สามฟรี ทำให้ค่ากระดาษ Epson Bright White paper สามรีมที่เราได้มา ราคาเหลือแผ่นละ 1.27 THB  พิมพ์งานสองหน้าเอกสารได้เป็นที่พอใจ สวยเลอค่า ทนน้ำ นักศึกษาจะป้าย highlight อย่างไรหมึกก็ไม่ซึมออกมา

หลังจากนั้นเราก็ไปพบ DoubleA COLOR PRINT paper ซึ่งเป็นกระดาษ 90 gram สำหรับจ็อบเดียวกันขายราคารีมละ 113 บาท รู้สึกโง่แดกเล็กน้อย เพราะเท่ากับต้นทุนกระดาษเหลือแผ่นละ 0.226 บาท

กระดาษ DoubleA COLOR PRINT หาซื้อได้ง่ายพอควร มีทั้งออนไลน์ โลตัส B2S และ บนพารากอน เยอะแยะ ราคาไม่แพง ผลิตในประเทศ ไม่ต้องสะเหร่อไปหาซื้อ Epson BrightWhite มิน่า เอปสันประเทศไทยถึงไม่สู้ตลาด เพราะเอา Epson BrightWhite เข้ามา ราคาก็คงแพงกว่า DoubleA COLOR PRINT แน่นอน  เท่าที่เปรียบเทียบกันพบว่า DBA CLP จะออกฟ้า ๆ ออกแนว cool daylight และมีความหนาที่สังเกตได้แตกต่างจากกระดาษ 80 gram ทั่วไปชัดเจน  ส่วน EBW เค๊าจะออกเหลืองนิด ๆ แนว warm daylight และเกือบจะบอกไม่ได้ว่าเนี่ยเหรอ 90 gram คือมันดูเหมือน 85 gram มากกว่า หรือพูดง่าย ๆ ว่าดูบางกว่า DBA CLP   แต่สำหรับตอนนี้ ถ้าบวกเรื่องราคา เรื่อง logistic เรื่องค่าเชื้อเพลิง fossil fuels ที่จะต้องขนกระดาษ A4 ข้ามทวีปมาพิมพ์ชีทให้นักศึกษา เรื่องสนับสนุนอาชีพคนไทย เรื่องค่าโง่หน้าแตก  นี่คงจะเป็น Epson BrightWhite 3 รีมสุดท้ายที่ผมจะใช้ต่อไปจนหมด

สรุปเรื่องต้นทุนนิดนุงครับ

L6190 จ่ายไป 11,585 บาท เรทไว้ที่ 50,000 หน้า
Maintenance tank ราคาขาย 400 บาท (ป่านนี้ยังหาซื้อไม่ได้) เรทไว้ที่ 40,000 หน้า
ถ้าใช้ได้ครบ 40,000 - 50,000 หน้าตามที่โม้ไว้จริง ไม่เจ๊งไปซะก่อน เท่ากับต้นทุนค่าเครื่องพิมพ์ตกหน้าละ 0.23 บาท

ค่าหมึก เราซื้อ DURABrite จากอีเบย์ไปหลายรอบมาก เจอคนถูกกว่าคนที่แล้วสองสามรอบ สรุปตอนนี้เรามีน้ำหมึกตุนไว้ทั้งหมด 556 mL(ดำ)  313 mL(ฟ้า)  206 mL (ชมพู) และ 313 (เหลือง) คาดว่าจะใช้ได้จนกระทั่งเกษียณอายุ  และถึงตอนนี้ มีความมั่นใจว่า ปริ๊นเตอร์ในท้องตลาดจะเป็นอิงค์แท๊งค์และหมึกเติมจะเป็นหมึก pigment อาจจะมี หมึกพิเศษอื่น ๆ เช่น หมึกยูวี หมึกสำหรับ garment transfer, etc

สรุปต้นทุนหมึก DURABrite เราจ่ายไปทั้งหมด คิดเป็นต้นทุนสำหรับงานพิมพ์สีโดยมีสีดำเป็นส่วนใหญ่ (text) เฉลี่ยหน้าละ 1.03 บาท

ดังนั้นถ้าพิมพ์งานบน Epson BrightWhite paper = 0.23+1.03+1.27 = 2.53 บาท ต่อหน้า ถ้าพิมพ์งาน auto-duplex = 0.23+0.23+1.03+1.03+1.27 = 3.79 บาท ต่อแผ่น (พิมพ์งานหน้า-หลัง)

ถ้าพิมพ์งานบน DoubleA CLP = 0.23+1.03+0.23 = 1.49 บาท ต่อหน้า พิมพ์หน้า-หลัง = 2.75 บาท ต่อแผ่น (พิมพ์งานหน้า-หลัง)

ราคาขนาดนี้ ป๋ารับได้  นักศึกษาดูมีความพึงพอใจสูง เราก็พอใจ ทุกคนล้วนมีความสุข

ถ้าอยากลดต้นทุนกว่านี้ ก็ต้องพยายามลดราคาต้นทุนหมึก  ที่จะทำได้ง่าย ๆ ก็คือ ใช้ หมึก 001 ซึ่งขายอยู่ที่ 375 บาท มี 127 mL (เว็บไซท์ลาซาด้า เขียนว่า 70 mL แต่จริง ๆ แล้วขวดมันอ้วนกว่าหมึกสีน่าจะมี 127 mL เหมือนขวดดั้งเดิมที่มากับปริ๊นเตอร์น่ะครับ ถ้ามี 70 mL จริง ๆ ก็แปลว่ารูปมันผิด มันต้องไม่เป็นขวดอ้วน) และพยายามหาหมึก DURABrite ที่ราคาถูกกว่านี้

ท้ายทีสุด ถ้าเติมหมึก DURABrite ตามเงื่อนไขบริษัทก็ไม่รับประกันนะครับ ดังนั้นถ้าเครื่องเสีย ก็จงต้องยินดีจ่ายค่าซ่อมเครื่องเอาเองหรือซื้อเครื่องใหม่ ฮี่ ๆ   




 

Create Date : 03 เมษายน 2561
0 comments
Last Update : 4 ตุลาคม 2561 21:19:30 น.
Counter : 1229 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space