space
space
space
<<
มีนาคม 2564
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
29 มีนาคม 2564
space
space
space

Epson L15160 review, รีวิว Epson L15160
Mar 29, 2021

และแล้วก็มีวันนี้

วันที่ปริ๊นเตอร์ที่บ้าน 2 ตัวไม่มีตัวไหนทำงานครบถ้วนอีกต่อไป (อันนั้นประมาณช่วงเดือน ธ.ค. 2563)

Epson R3000 ป่วยหนัก จวนเจียน เกือบจะได้โยนทิ้ง (ตอนนี้รักษาหายแล้ว) เด้วจะเขียนบล็อกอีกอันนึง เอาเป็นว่า ณ ตอนนั้น (ช่วงปลายปี) มันมีปัญหางอแง มาก สีฟ้า สีชมพู ไม่ออก  สรุปว่าปริ๊นท์ไม่ได้อย่างใจ

ส่วนเจ้า Canon imageclass MF8350 Cdn ที่เป็น color laser printer ราคา 39,420 บาท ซื้อไว้ตั้งแต่ Mar 21, 2010  ที่บ้านเหมือนกันก็งี่เง่ากะเรามานาน มีปัญหาเรื่อง driver support เวิ้คมั่งไม่เวิ้คมั่ง แสกนได้บ้าง ไม่ได้บ้าง หาความไว้วางใจอะไรไม่ได้ งานพิมพ์ก็ไม่ได้เรื่อง สีออกจะซีด แถมยังมีแถบดำ ๆ เป็นทางในแนวตั้ง พิมพ์ๆ อยู่บางทีก็จะดับวูบไปแล้วรีสตาร์ทใหม่  

สรุปว่าเจ๊งทั้งสองตัวนั่นแหละ

เราก็เริ่มคิดว่าต้องมีไหม ปริ๊นเตอร์ที่บ้านเนี่ย  คำตอบคือ เอา ต้องมี ไม่มีทำงานไม่ได้ บางทีเราก็ต้องปริ๊นท์นู่นนี่นั่น แสกนนู่นนี่ ช่วงที่ Canon multifunction มันแสกนได้มั่งไม่ได้มั่งก็เดือดร้อนพอควร

หลังจากถามเองตอบเองได้คำตอบแล้วก็เริ่มช็อปปิ้ง ก็ไปเจอปริ๊นเตอร์ถูกใจได้แก่ Epson L15150/15160 เป็นปริ๊นเตอร์ออกใหม่แล้วก็ถูกใจเราตรงที่เป็นระบบ ink tank แบบใช้หมึก pigment ink เย้ ในที่สุด สิ่งที่เราเรียกร้อง (ในใจ) มานานก็เป็นจริง

ปริ๊นเตอร์ทั้ง 2 ตัวนี้เป็น A3 multifunction printer ใช้รหัสเดียวกับประเทศทางยุโรป แต่ถ้าทางเมกาจะเรียกว่า EcoTank Pro ET-16600/16650 โดยที่หน้าตาภายนอกของทั้งสองรุ่นจะเหมือนกัน (ที่เมกา สีเบจ  ที่ยุโรปสีดำ) ส่วนของพี่ไทยนี่ รุ่นถูก (L15150) จะสีดำ ส่วนรุ่นแพง (L15160) สีเบจ รุ่นที่ตัวเลขมากกว่าแพงกว่าเพราะหัวพิมพ์มี 800 nozzles ทั้งสีดำและหัวพิมพ์สีอีก 3 อัน (ชมพู เหลือง ฟ้า) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือมีหัวพิมพ์ทั้งหมด 800 x 4 = 3200 nozzles ทำให้งานพิมพ์ออกมาเร็วกว่า (A4 32 หน้า/นาที ทั้งขาว-ดำ และสี)  ส่วนถ้าเป็นรุ่นถูกจะได้ 32 หน้า/นาทีเฉพาะงานพิมพ์ขาว-ดำ  ถ้าพิมพ์สีเหลือ 22 หน้าต่อนาที  ที่งงน่าจะเป็นความเร็วกับจำนวนหัวพิมพ์ที่อ้างเนื่องจากเครื่อง L6190 ที่เราซื้อไว้ที่ทำงานเมื่อ 2+ ปีก่อนบอกว่ามีหัวพิมพ์ 400 (ดำ) 128 (สี) nozzles ยังพิมพ์ A4 ได้ตั้ง 33/22 หน้าต่อนาที (ขาว-ดำ/สี)  เอ๊ะ ยังไง ทำไมตอนนี้มีมากกว่าสองเท่าแต่ความเร็วยังพอ ๆ เดิม  แสดงว่ามาตรฐานการวัดความเร็วมีปัญหา

อย่างไรก็ตามเนื่องจากเราเป็นคนไม่ชอบสีดำ คนที่บ้านบอกว่าเรามีนิสัยชอบซื้อของตัวท๊อป อันนี้ตัดสินใจไม่ยากเลย ต้องสอย L15160 อยู่แล้ว  เร็วกว่าตั้ง 8 หน้าต่อนาที ใครจะไปรอ เรื่องอย่างนี้เราไม่ compromise อยู่แล้ว ความประหยัดไม่ใช่ปัญหา  สำหรับราคาที่เมืองไทยถ้าเป็น L15150 สีดำจะขายกันอยู่ที่ 25,900-26,900  ส่วนรุ่นแพงกว่าสีเบจ L15160 ขายกันอยู่ที่ 39,990 และหาซื้อยากกว่ามากเนื่องจากไม่ค่อยมีคนขาย คงจะเป็นเพราะก็ไม่ค่อยมีคนเลือกซื้อเท่าไหร่เหมือนกัน ผู้บริโภคที่ฉลาด ๆ หน่อยเค้าจะรู้ว่าเรื่องอะไรจะจ่ายเพิ่มอีกตั้งหมื่นกว่าบาทเพื่อความเร็วไม่กี่หน้า มีแต่ผู้บริโภคที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ อยากได้สีขาว แล้วก็บ้าตัวท็อปเท่านั้น  ขนาดคนที่บ้านยังตกใจ จะจ่ายแพงกว่า 10,000 กว่าบาทไปทำไม แทบไม่ต่างกันสักหน่อย

เอาเถอะ เงินตรู

จริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้รีบร้อนในการซื้อเลย หลังจากเราตรวจสอบเสป็คแล้ว เราเชื่อว่ามันเป็นปริ๊นเตอร์เปอร์เฟ็คในฝันของเรา ที่อยากได้ A3 ไม่เอา A4 เพราะตอนนั้นตัว R3000 กำลังงอแงมาก แล้วเราก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ทิ้งมันรึเปล่า มันเหลืออยู่คุณสมบัติเดียวที่เรายังหาไม่เจอก็คือเราไม่รู้ว่าเค้าปริ๊นท์ไร้ขอบบนกระดาษขนาดอื่นนอกเหนือจาก A4 ได้หรือไม่ (เค้าเขียนในโบรชัวร์ว่าปริ๊นท์ไร้ขอบบน A4 ได้)  หลังจากค้นหาบนเน็ต ซึ่งไม่มีข้อมูลเพราะดูเหมือนไม่มีใครแคร์นอกจากเรา อ่านดู manual ทุกหน้าแล้วก็ไม่พบ เราก็เลยตัดสินใจโทรไปถาม epson Thailand ซะเลย หลังจากนางอึ้งไป 1 วันก็กลับมายืนยันว่าได้บนวินโดวส์ เราก็แจ้งไปว่าเราใช้ยี่ห้อผลไม้ ก็อึ้งไปอีก 1 วันแล้วก็กลับมายืนยันว่าได้   ได้ก็ซื้อสิคับ

ไม่มีของค่ะ ตอนนี้ของขาด จะเข้าอีกทีปีหน้า (ตอนนั้นมันปลายเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว) ไม่เป็นไรคับ ไม่รีบ พอจะมีร้านขายแนะนำให้ไหมคับ มีค่ะ  แล้วก็ให้เบอร์มา เป็นร้านเราไม่รู้จัก แล้วเราก็ไม่ได้โทรไปเพราะไม่ได้รีบร้อนอะไร (ช่วงนั้น จะเข้าปีใหม่ รู้สึกนู่นนี่นั่นเยอะไปหมด อยากจะเคลียร์พื้นที่ก่อน ต้องเก็บ Canon ตัวเก่า เอาไปให้คุณชมพู่ ต้องเก็บบ้าน งานยุ่งวุ่นวายจิปาถะ ในเมื่อของยังไม่มี ก็ยังไม่โทร)  แต่ร้านนั้นเค้าก็โทรมาหาเรา ก็แจ้งเหมือนกันว่าของเข้าต้นปีหน้า เราก็บอกไปว่าไม่รีบคับ

อีท่าไหนไม่ทราบ ต้นปีประมาณกลางเดือน ม.ค. ก็โทรมาบอกของมาแล้ว นี่ไม่ได้รีบเลยนะ ราคามันไม่ได้ถูกเท่าไหร่ เราก็ยังไมได้เคลียร์พื้นที่ ยังไม่ได้เก็บบ้าน ที่สำคัญคือยังไม่ได้ทำใจ (ราคาไม่ได้ถูกมากนะฮะ) แต่ก็คงเอาล่ะ ก็เลยบอกว่าพร้อมส่งแล้วบอก ... พรุ่งนี้ก็ส่งได้เลยครับ คราวนี้ไม่รู้จะอ้างอะไรละ สรุปว่าของมาส่งวันที่ 12 ม.ค. จ่ายไป 35,000 บาท  ราคานี้ก็คิดว่าน่าจะถูกสุดเท่าที่เราจะหาได้เพราะบนช๊อปปี้ก็มีคนขายที่ 39,990  อีกร้านที่เป็นร้านขายปริ๊นเตอร์หน้ากว้างโดยเฉพาะร้าน uprintershop ก็ขายไม่ถูกเท่าไหร่ ลิสต์ราคาขายไว้เท่ากัน 39,990 บาท ไม่มีโปรฯอะไรพิเศษ มีแต่ส่งให้ฟรีในเขตกทม.

ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัว ตอนมาส่งปริ๊นเตอร์ก็ชา ๆ อยู่ ก็เลยถึงตอนนี้ ผ่านมาเกือบ 3 เดือน ก็เพิ่งจะได้มีโอกาสมาเขียนรีวิว พอดีมัวแต่ยุ่ง ๆ นั่งซ่อม Epson R3000 ด้วย  เอาเป็นว่า

เครื่องมาส่งเรียบร้อยดี เครื่องผลิตในอินโดนีเซีย (เหมือนเครื่อง Epson R3000 ของเรา แต่ Epson L6190 ที่ทำงานผลิตในฟิลิปปินส์) ขนาดเครื่องถือว่าค่อนข้างกะทัดรัดสำหรับ printer A3 เรียกว่า foot print ไม่ได้ใหญ่กว่าขนาดกระดาษเท่าไหร่ อันนี้ลักษณะการออกแบบคล้าย ๆ กับ L6190 คือเข้าใช้วิธีให้กระดาษดึงจากข้างล่างขึ้นไปตีลังกาตลบแล้วปริ๊นท์ออกมา  ข้อดีกว่าก็คือมีถาดสำหรับให้ใส่กระดาษจากด้านบนและป้อนกระดาษแบบมาตรง ๆ ไม่ต้องตีลังกา อันนี้เหมาะกับการใช้กับกระดาษใช้แล้วหน้าเดียว ซึ่งสภาพอาจจะเยิน ๆ ไม่สมบูรณ์แบบ

การติดตั้งก็ง่ายเป็นปอกกล้วยเข้าปาก แค่ทำตามขั้นตอนในรูป แกะวัสดุหุ้ม เทป โฟม ออก เทหมึกลงตามช่อง (เทดี ๆ ล่ะ อย่าเทสลับกัน มันน่าสะพรึงตรงนี้) หมึกที่ให้มาเป็นหมึก pigment inks จริง ๆ (ดูไม่ยาก โดยเฉพาะสีเหลือง หมึก pigment เค้าจะออกแนวสีเหลืองเป็นสีเหลือง  ถ้าเป็นหมึก dye หมึกเหลืองจะดูเข้ม ๆ สีส้มๆเหลือง ๆ เป็นน้ำ ๆ) แต่ที่ขวดหมึกเขียนว่า made in Indonesia เราไม่แน่ใจว่ามีการเปลี่ยนแปลงสูตรน้ำหมึกรึเปล่า สมัยก่อนหมึก pigment ที่เป็นตลับของเครื่องแพง ๆ หรือแม้แต่ตลับเล็ก (27 mL ของ R3000 ของเรา) เค้าจะบอกให้เขย่าก่อนใช้ อันนี้เป็นขวด ไม่ต้องเขย่า ห้ามเขย่าด้วย เขียนไว้ชัดเจน สำหรับปริมาตรที่ให้มา หมึกดำจะมี 127 mL, หมึกสีมีแค่ 70 mL การ prime ครั้งแรก หมึกจะถูกสูบไปเติมระบบ หายไปในสาย ทำให้ระดับหมึกเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง (ถ้าใครปริ๊นท์เยอะ ก็เตรียมซื้อหมึกชุดถัดไปได้เลย) แอบเช็คราคาหมึก 008 รู้สึกจะราคาสูงกว่าหมึกรุ่นอื่นอยู่ ตอนนี้มีคนขายอยู่ 1 ชุด 4 ขวด (ปริมาตรรวม 337 mL) ราคา 2000 บาท คิดเป็นราคาซีซีละ 5.93 บาท ซึ่งถ้าเทียบกับหมึก pigment ตลับแบบอื่นของ Epson  ราคาต่อซีซีของขวด 008 นี้ถือว่าถูกมากแล้ว แต่ถ้าเราแอบเปรียบเทียบหมึก 008 นี้กับหมึกสำหรับ Epson L6190 เรียก หมึก 001  ภายในร้านค้าเดียวกัน เช่น ร้าน printersale ในช็อปปี้ เค้าขายหมึก 001 (BK/colors ราคา 365/255 บาท) พอเป็นหมึก 008 เค้าขาย (BK/Colors ราคา 575/475 บาท) จะเห็นว่าเบิ้ลราคาเพิ่มเกือบสองเท่า  สำหรับหมึกสีก็อาจจะพอเข้าใจว่าเป็น pigment ink รึเปล่า ราคาเลยแพงกว่า แต่หมึกดำของ 001 เค้าก็เป็นหมึก pigment เหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าทำไม 008 ถึงได้ขายแพงกว่าตั้ง 210 บาท เราเองก็ไม่มีเครื่องมือจะทดสอบว่าน้ำหมึกดำ 001 กับ 008 ซึ่งเป็นหมึก pigment เหมือนกันจะต่างกันแค่ไหน แต่ถ้าราคาต่างกันขนาดนี้ มันก็น่าสนอยู่ว่างั้นเราก็เติมหมึกดำ 001 แทน ถูกกว่าขวดละ 210 บาท (ยังคิดไม่ออก เพราะกลัวว่างานพิมพ์สีจะเพี้ยน)

หมึก pigment ดีอย่างไร อันนี้ถ้าใครยังไม่เคยอ่านที่เคยบ่นในบล็อกก่อน ๆ ที่ผ่านมา จะเล่าให้ฟังสั้น ๆ อีกที หมึก pigment มีคุณสมบัติในการกันน้ำดีกว่าหมึก dye ที่สำคัญกว่าคืองานพิมพ์มีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อม หมายความว่าสีไม่จาง ไม่เพี้ยน ไม่เกิด color shift ซึ่งปัญหาของสีจาง เพี้ยน color shift มันเกิดขึ้นเวลาพิมพ์งานลงกระดาษพิเศษทั้งหลาย เช่น พวกกระดาษมัน photo glossy, semigloss, luster, etc  ซึ่งปัญหาสีเพี้ยนนี้มันไม่ค่อยเจอในกระดาษ plain paper ปกติ หรือไม่ก็คือเราโยนงานพิมพ์ทิ้งไปก่อนไม่ได้เก็บไว้นาน แต่ถ้าเป็นงานพิมพ์รูปภาพ พวก photo ถ้าเราใส่กรอบไว้ ก็อาจจะโอเค อันที่ไม่ใส่กรอบ รับประกันว่าไม่ถึงปี เพี้ยนแน่นอน  ในอดีต Epson เคยออกกระดาษพิเศษสำหรับหมึก dye เพื่อป้องกันอาการนี้โดยเฉพาะ แต่เข้าใจว่าหลัง ๆ เทคโนโลยีพัฒนาสูตรหมึกพิมพ์ดีขึ้นมากจนคนที่พิมพ์งานรูปภาพก็หันไปใช้ pigment inks กันหมด กระดาษดังกลาวก็เลยไม่ค่อยมีใครรู้จัก  ปัญหาของ pigment inks คือ color gamut จะค่อนข้างแคบ งานพิมพ์จะสวยสู้หมึก dye ไม่ค่อยได้ เป็นสาเหตุอย่างหนึ่งว่าทำไมปริ๊นเตอร์สำหรับรูปภาพรุ่นตัวท็อปของ Epson ถึงต้องมีหมึกตั้ง 8-9 ตลับ เพื่อที่จะให้คุณภาพงานพิมพ์ดีกว่าหรือสู้กับหมึก dye ได้ และก็เข้าทาง Epson กำไรอยู่ที่การขายหมึกเยอะพอสมควร  ปัญหาของ pigment inks อีกอย่างคือเรื่อง formulation มีแนวโน้มที่จะตกตะกอน เป็น sludge อุดตัน ราคาสูงกว่าเพราะเทคโนโลยีการผลิตต้องเคลือบ resin ,etc รายละเอียดเกินมนุษย์ปุถุชนธรรมดาสมควรจะรับรู้หรือเป็นความลับที่ Epson ไม่อยากจะแชร์กับใคร (เดิมหมึกพวกนี้ made in Japan ทั้งนั้นเลย เริ่มมีหลัง ๆ เห็น made in China มั่ง Indonesia มั่ง)  ในระยะหลัง ๆ Epson ก็ทำหมึก pigment version สำหรับใช้กับเครื่องพิมพ์สำนักงานหรือเป็นแบบ 4 สี (ดำ เหลือง ชมพู ฟ้า) ที่เรียก durabrite inks ส่วนใหญ่ใช้กับ non-inktank เครื่องพิมพ์สำนักงานกลุ่มรุ่นพวก workforce ทั้งหลายซึ่งราคาตลับหมึกค่อนข้างสูง ยกเว้นรุ่นตัวใหญ่ตั้งพื้นที่หมึกเป็นถุงใหญ่ ๆ เลย (ราคาถุงละ หลาย ๆ พัน แต่คิดราคาต่อ ซีซี ถูกกว่าแบบตลับเยอะ)  สำหรับ Epson Ecotank L15160/15150 นี่เป็นครั้งแรกที่มีการนำหมึก pigment ทั้ง 4 สีมาใช้กับเครื่อง ink tank ในขณะที่ L6190 เมื่อ 3 ปีก่อนเป็น ink tank ที่ใช้หมึกดำเป็น pigment อย่างเดียว (แต่ของเราก็ใช้ durabrite inks เติมลงไป หมึก dye ที่มากะเครื่องเอาไปยกให้ชาวบ้าน)

ที่เมกา เค้าขายเครื่อง ET-16650 ราคา ($1,129) โดยให้ reimburse ค่าหมึกฟรีไม่มีจำกัดในระยะเวลา 2 ปีแรกหลักซื้อเครื่อง (ประเทศไทยให้ประกัน 2 ปี แต่ไม่แถมหมึก)  ถ้าคิดค่าเงิน $1,129 x 33 = 37,257 บาท เราซื้อถูกกว่าประมาณ 2000 บาท ก็เท่ากับหมึกอีกแค่ชุดเดียว ถ้าดูบน amazon ก็จะพบว่า out of stock ซึ่งเป็นไปได้ 2 อย่างคือ ขายดีมาก volume ที่ผลิตมาไม่พอขายหรือ ที่เมกาก็ไม่มีใครโง่ซื้อรุ่นตัว top เหมือนกัน เค้าไปซื้อรุ่น ET-16660 กันหมด อันนี้ก็ยากที่จะทราบได้ 

สำหรับการใช้งานจริง ผ่านไปเกือบ 3 เดือน ขอรีวิวดังนี้ ข้อดีคือ
1) ขนาดกะทัดรัดเมื่อเทียบกับงานกระดาษขนาดใหญ่สุดที่พิมพ์ได้คือ A3 น้ำหนักถือว่าไม่หนักมาก ยกคนเดียวก็ยังพอไหว
2) ถาดใส่กระดาษค่อนข้างหลากหลาย เราสามารถโหลดกระดาษ A3 ไว้ถาดล่างสุด (มีฝาปิดให้ งงอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าให้มาทำไม) โหลดกระดาษ A4 ไว้ถาดบน รับได้ถาดละ 250 แผ่น ส่วนด้านหลังสามารถเปิดออกและโหลดกระดาษได้อีก 50 แผ่น ซึ่งอันนี้เราเอาไว้ใช้งานกรณีพิมพ์กระดาษใช้แล้ว 1 หน้า ซึ่งมักจะเป็นกระดาษที่ไม่ perfect อาจจะทำให้เกิด paper jam ได้ง่าย feed ถาดบนน่ะดีแล้ว
3) หน้าจอใหญ่ สี touch screen อ่านง่าย กดง่าย แสดงผลชัดเจน
4) กินไฟน้อย เปิดทิ้งไว้โหมดแสตนด์บายกินไฟไม่ถึง 1 W  ขณะพิมพ์ก็กินไฟน้อย (ไม่ถึง 50W) เนื่องจากไม่ได้ใช้ความร้อนในการพิมพ์ อันนี้เป็นจุดขายของเค้า โม้ไว้
5) พิมพ์ text ดำ ได้คมชัด เกือบเท่า laser อันนี้เราว่าดีกว่า L6190 ของเราและดีกว่ารุ่นเก่า ๆ มาก แต่ถ้าไปเทียบกับ HP เราว่า HP คมกว่า
6) พิมพ์ได้เร็วมาก อันนี้เป็น printer inkjet ที่พิมพ์ได้เร็วที่สุดที่เราเคยมีมา ต้องขอบคุณหัวพิมพ์ 800 nozzles X4  ดังนั้น งานพิมพ์ไม่ว่าขาวดำหรือพิมพ์สี พิมพ์เร็วเท่ากัน ถ้าพิมพ์แบบ normal นี่เร็วมาก เกือบจะเรียกได้ว่าถุยออกมา  แต่อีกแระ ถ้าไปเทียบกับ HP pagewide โฮ่ ๆ อันนู้นเร็วกว่านี้อีกอะนะ แต่อันนู้นไม่ใช่ ink tank   ถ้าใครอยากประหยัดเงินอีก 10,000 กว่าบาทและไม่ต้องการเร็วมาก ไม่รังเกียจปริ๊นเตอร์สีดำ ก็สอย L15150 มา ซื้อหมึกได้อีก 5 ชุด ของเราโง่ไปแล้ว ได้ความเร็วสะใจ
7) พิมพ์ได้กระดาษหลากหลายขนาดและ print ไร้ขอบได้จริงทดสอบแล้ว 3 ขนาด A4, A3 และ 10x15 หรือ 4x6 นิ้ว (รูปถ่ายโปสการ์ด)
8) พิมพ์งานแบบหน้า-หลังได้อัตโนมัติ (auto-duplex) ซึ่งคุณลักษณะนี้ หลัง ๆ เราสังเกตว่าค่อนข้างเป็นมาตรฐานสำหรับกลุ่มเครื่องพิมพ์สำนักงาน auto-duplex นี้ใช้ได้กับทั้ง A3 และ A4 ส่วนขนาดอื่น ๆ ยังไม่เคยทดสอบหรือไม่มีธุระจะต้องพิมพ์ 2 หน้าก็เลยไม่ทราบ
9) แสกนงานแผ่นใหญ่ได้ถึง 11x17 นิ้ว น่าเสียดายที่แสกน 13x19 นิ้วไม่ได้ เกรงว่าถ้าจะให้แสกน 13 x19 เท่ากับขนาดใหญ่สุดที่เค้าพิมพ์ได้ สงสัย dimension ของเครื่องคงต้องปูดออกมาอีกด้านละ 2 นิ้ว (ไม่มีที่จอดแท่นสแกน) เทคโนโลยีปี 2020 เค้าได้แค่นี้ แต่แค่นี้ก็โอเคสำหรับเราแล้ว แค่เค้ามี auto document feeder ให้ แสกนสองหน้าให้ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปบ่นแระ ใช้เป็นเครื่องถ่ายเอกสารได้เลยด้วยซ้ำ
10) color accuracy อันนี้นี่ทำเราอึ้งไปเลย เกินที่ประเมินไว้ไปมากๆ มาก ๆ มาก... เราไม่คาดคิดว่า printer ออกมาสำหรับสำนักงานใช้หมึก pigment 4 สี จะให้คุณภาพงานพิมพ์สีได้ดีสู้ R3000 ของเราได้   ปรากฎว่าพอลองพิมพ์งานเดียวกันออกมาเทียบ side by side แล้ว ตอนนี้ R3000 ทำท่าจะสู้ไม่ได้ ในแง่ของความละเอียด ความคมและแม้แต่ color gamut เป็นไปได้อย่างไร R3000 เราต้องอัพเกรดแล้วเหรอเนี่ย... (เด้วจะบ่นให้ฟังอีกบล็อกนึง ว่าเกิดอะไรกับ R3000 ช่วงเดือนที่ผ่านมา)
11) Super connectivity  เนื่องจากเป็นปริ๊นเตอร์ตัวใหม่และเป็นรุ่น top ก็เลยมีทางเลือกในการเชื่อมต่อเยอะมาก  คอมฯที่บ้านเรายี่ห้อผลไม้มีรู USB-2.0 แค่ 4 รู ค่อนข้างจำกัด ส่วนสาย LAN ก็เสียบไม่ค่อยดวกมาก ตอนหลังการใช้งานส่วนใหญ่ก็เลยผ่าน wifi ซึ่งก็สะดวกดียกเว้นเวลาสั่งงานพิมพ์ที่ไฟล์ใหญ่หน่อย เค้าจะอึ้ง ๆ น่าหงุดหงิด แล้วก็เวลาแสกนก็จะมีปัญหาอยู่ แต่การพิมพ์ airprint อะไรทั้งหลายแหล่ ไม่มีปัญหา ใช้งานได้หมด สุดยอด

อวยไปพอแระ ต้องหาเรื่องติติงบ้าง ข้อน่ารำคาญมีดังนี้
1) ถาดรับกระดาษที่อยู่เหนือถาดใส่กระดาษอันบน เค้าจะเป็นแบบ motorized ไม่ใช่ manual ข้อดีคือสะดวกเวลาสั่งพิมพ์งานเค้าก็จะเลื่อนออกมาเพื่อรอรับงานพิมพ์ ดู futuristic เดิ้นมาก ปัญหาคือมันไม่ยอมหุบเข้าไปเองเวลาพิมพ์เสร็จและเราเอางานพิมพ์ออกแล้ว ถ้าใครไม่รู้สึกเกะกะก็ปล่อยไว้อย่างนั้นก็ได้ หรืออีกแบบคือเวลา power off printer เค้าถึงจะหุบเข้าไป บังเอิญเป็นคนขี้เกียจเปิดปิดเครื่อง มักจะปล่อยเค้าเข้า standby mode ทำให้ถาดรับงานพิมพ์มันยื่นโด่เด่อยู่แบบนั้น บังเอิญอีกว่าเรามีลิ้นชักของตู้ด้านข้างที่อาจจะเปิดมาชนถาดที่ยื่นนี้ กลายเป็นว่าทุกครั้งที่พิมพ์งาน พอเราหยิบงานพิมพ์ออก ก็ต้องแตะปุ่มหน้าจอให้เค้าหุบถาดเข้าไป เป็นความน่ารำคาญอย่างหนึ่ง
2) เครื่องทำแสนรู้เรื่องกระดาษ ทุกครั้งที่มีการป้อนกระดาษใหม่ เค้าจะถามว่ากระดาษอะไร (เหมือน L6190) ปัญหาไม่ได้อยู่ตอนถาม อยู่ตอนสั่งพิมพ์งาน บังเอิญว่าถ้าสั่งงานพิมพ์มาเป็นกระดาษที่ไม่ตรงกับกระดาษในถาดที่แจ้งไว้ เค้าก็จะไม่ยอมพิมพ์  ทีนี้ถ้าเป็นเครื่อง L6190 เค้าก็จะยอมให้เรากดเลือกว่าเอากระดาษไหน แต่เจ้าเครื่องนี้ไม่ได้  ถ้าสั่งมาไม่ตรง ต้องยกเลิกไปอย่างเดียว แล้วไปสั่งใหม่ อันนี้เป็นความน่ารำคาญอย่างสูงมาก หวังว่าจะมี firmware update ในอนาคต  
3) ไม่ได้แสนรู้จริงเรื่องกระดาษ เวลาสั่งงานพิมพ์เราเลือกกระดาษที่ตรงกับที่แจ้งไว้ที่เครื่องแล้ว หวังว่าเค้าจะรู้ว่าจะดึงกระดาษจากถาดไหน แต่บ่อยครั้งที่เค้าทำเป็นไม่รู้ ทั้งๆที่เราเลือกว่า auto (เธอควรจะเลือกเอง) คราวนี้ก็เหมือนข้อ 2 ไม่รู้ก็ไม่ว่า ยอมให้เรากดเลือกอีกทีก็ได้ที่แป้นเครื่องพิมพ์ (เหมือนเครื่อง L6190) ปรากฎเครื่องนี้ถ้าไม่ถูกใจกันตั้งแต่แรก เค้าก็จะขึ้น errors อยู่อย่างงั้นแล้วก็ไม่ให้เรา override สั่งพิมพ์จากถาดอื่น ๆ ด้วย ต้องกดยกเลิกคำสั่งพิมพ์แล้วสั่งใหม่  ตอนหลังเวลาจะสั่งพิมพ์เลยเชื่อใจ auto ไม่ได้ ต้องบอกไปเลยว่าจะให้พิมพ์จากถาดไหน และต้องเมกชัวร์ด้วยว่าชนิดของกระดาษตรงกับที่แจ้งไว้ที่ปริ๊นเตอร์ ไม่งั้นต้องกดยกเลิกแล้วสั่งใหม่
4) เค้าไม่ยอมพิมพ์ draft ไม่รู้ทำไม ตัวเลือกมันขึ้นมาให้เลือก แต่เวลาเลื่อนไปเลือก draft มันก็จะเด้งกลับมาที่ normal ทุกครั้งไม่ว่าจะพิมพ์งานอะไร สรุปว่ามีตัวเลือก 3 อย่างแต่เอาเข้าจริง ๆ ให้เลือกได้แค่ normal กับ best เท่านั้น  คือจริง ๆ พิมพ์แบบ normal นี่มันก็เร็วมากอยู่แล้ว แต่เรามีงานบางอย่างที่เราต้องการ draft (งกหมึกน่ะ) ถ้าพิมพ์ draft ไม่ได้แล้วไม่ทราบว่ามี option ให้เลือกทำไม ตัวเลือกในการกำหนดคุณภาพงานพิมพ์มีน้อยมากเมื่อเทียบกับกลุ่มปริ๊นเตอร์สำหรับพิมพ์รูปภาพ เค้าไม่ค่อยให้กำหนดอะไรเท่าไหร่ อย่าง R3000 เราจะสามารถเลือก dot size ปรับสีได้ เลือกนู่น นี่ นั่นเต็มไปหมด แต่อันนี้ไม่ให้เลือกมาก draft-normal-best พอ เอ๋อไปเลย
5) เวลาพิมพ์งานแบบ normal ส่วนที่เป็นพื้นสี (เวลาพิมพ์รูป เป็นต้น)จะสังเกตเห็น gap รอยต่อระหว่าง nozzles sweep ค่อนข้างชัด แต่ถ้าเลือกแบบ best จะหายไป ถ้างานพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพก็ต้องเลือก best 
6) ใน driver ที่ให้ลงไม่สามารถเลือก color profile ได้เลย ไม่มีสนับสนุนตรงนี้ เข้าใจว่าออกแบบมาสำหรับสำนักงาน แต่แหม ถ้ามันสามารถกำหนดได้ก็ดีอะนะ
7) ข้อเสียของการพิมพ์เร็ว การดึงกระดาษก็จะเร็วตาม ทีนี้ถ้าใช้กระดาษใหม่ ก็ไม่ค่อยมีปัญหา ปัญหามันไปเกิดกับกระดาษงก ได้แก่พวกกระดาษใช้แล้วหน้าเดียวที่เราเอาอีกหน้ามาใช้งาน ซึ่งพวกนี้มักจะถูกแกะออกมาจาก staple แล้วก็อาจจะมียับๆ เยิน ๆ สมัยเป็น L6190 (เครื่องที่ทำงาน) ก็เคยทำเอาที่ตลบกระดาษพังไปทีนึง เราก็จะไม่ใช้กระดาษหน้าเดียวกับถาดใส่กระดาษที่ตลบตีลังกา 180 อีก เครื่อง L15160 มีถาดป้อนด้านหลังซึ่งการป้อนกระดาษเป็นทางตรง แต่กระนั้นก็ยังมักจะเกิดปัญหาเรื่องกระดาษติด อันนี้เป็นผลรวมของการพิมพ์เร็ว ดึงกระดาษเร็ว แล้วก็คุณภาพกระดาษที่ไม่ดี เนื่องจากเป็นกระดาษใช้แล้ว ก็ต้องทำใจไม่งั้นก็เอาไปสั่งพิมพ์กับ R3000 พิมพ์ช้ามาก การดึงกระดาษเป็นแบบนุ่มนวล (ช้า) ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่มีรายการ paper jam 

อย่างไรก็ตาม ที่เราทึ่และประทับใจคือเรื่อง output งานพิมพ์สี คือพอเปรียบเทียบกับ R3000 นี่ งานพิมพ์สี พิมพ์รูปภาพที่ออกมาเรียกว่าสวย สีตรงจอ อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้ง ๆ ที่ใช้หมึกแค่ 4 สี โดยปกติหมึก pigments จะมี color gamut ที่แคบกว่าหมึก dye แต่ของ Epson L15160 นี่ถือว่างานพิมพ์เรียกว่าเอาชนะ R3000 สบาย ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำ color profiles ใด ๆ ทั้งสิ้น  อันนี้ชวนให้เราสงสัยนักเชียวว่าหมึก 008 นี่มันเป็น hybrid รึเปล่าระหว่าง dye + pigment inks คือการดูด้วยตานี่มันดูยากมาก เราลองหยดน้ำหมึกดูเปรียบเทียบกับ Durabrite ก็ไม่เห็นความแตกต่างอะไรที่ชัดเจน สงสัยแค่เรื่องไม่แนะนำให้เขย่าขวด ซึ่งอันนี้ต่างจากหมึก pigment รุ่นก่อน ๆ ที่ต้องเขย่า สรุปว่าเด้วถึงเวลาต้องซื้อหมึกใหม่ สำหรับหมึกสีก็ไม่มีประเด็น คงต้องซื้อหมึก 008 อยู่แล้ว แต่หมึกสีดำนี่สิ อดคิดไม่ได้ว่าซื้อหมึกดำ 001 จะประหยัดตังค์กว่า แต่ก็กลัว color จะไม่ OK ส่วนกล่องซับหมึก ตอนนี้ที่ค้นดูบน shopee มีขายที่ราคา THB 1,490 (Epson C9345/PXMB9) ซึ่งอันนี้ถือว่าแอบแพง เพราะเว็บไซต์ epson.com ที่เมกาลิสต์ราคาขายไว้แค่ $23.99 (x 33 = 792) บน aliexpress ตอนนี้ก็มีขาย (คงจะของไม่แท้ แต่ใช้ได้ก็พอแล้วสำหรับถังทิ้งหมึก) ราคาลิสต์ไว้แค่ $17.25 สำหรับ volume การปริ๊นท์ที่บ้านของเรา คงอีกหลายปีทีเดียวกว่าจะเต็ม


จู่ ๆ ก็โทรมาบอกว่ามีของพร้อมส่ง (คืออยากขายอะ) แถมกระดาษ  A3 ให้รีมเล็ก ๆ 1 รีม จริง ๆ น่าจะแถมหมึกให้ 1 ชุดมากกว่า แต่เค้าคงจะไม่ค่อยมี margin มาก ร้านนี้ชื่อ บริษัท เฟรนส์ โอเอ เซ็นเตอร์ ติดต่อคุณโอม (091) 776-7405 สภาพกล่องเรียบร้อยดี ไม่มีบุบเยิน สินค้าจากบริษัท เอปสัน ไทยแลนด์ รับประกัน 2 ปี (ไม่ได้ใช้หรอก มักจะเจ๊งหรือมีปัญหาหลังหมดระยะประกันทุกที) 



อันนี้เป็นทุกอย่างที่มีมาในกล่อง มีหมึกให้ 1 ชุด หมึกดำ 127 มล. หมึกสี 70 มล. มีสาย USB, สายโทรศัพท์ให้อย่างละเส้นแล้วก็มีคู่มือกับแผ่น CD (จะไปหาไดรฟ์ที่ไหนใส่ดี) โถยุคนี้แล้วให้ดาวน์โหลดเอาก็ได้เนอะ



หมึกดูหน้าตาเป็น pigment inks ดี (สีเหลืองดูง่ายสุด) หมึกน่าจะมาจากโรงงานเดียวกับปริ๊นเตอร์ ที่อินโดนีเซีย เสียดายที่ Epson ไม่มาตั้งโรงงานในประเทศไทย



เทยังไงยังไงก็ไม่หมด จะต้องมีติดขอบเหลืออยู่สัก 0.5-1 ซีซี อยากจะเอาอะไรลงไปดูดขึ้นมา งก ซีซีนึงเกือบ 6 บาทนะเนี่ย



วางมันไว้ข้าง ๆ Epson R3000 นั่นแหละ บังเอิญรถที่วางมีลูกล้อแล้วอยู่บนพรมอีกตะหาก เวลาปริ๊นท์งานเค้าจะโยก ๆ หน่อย ไม่ค่อยดี จริง ๆ น่าจะวางบนโต๊ะที่มันเฟิร์มกว่านี้ จะเห็นว่าถาดล่างสามารถใส่กระดาษ A3 ได้เค้าให้ฝาปิดมาด้วย (งงอยู่ตั้งนานว่าเอาไว้ทำอะไร ส่วนถาดบน (ที่มีเลข 1) เราใส่กระดาษ A4 ส่วนถาดรองรับงานพิมพ์เค้าจะเลื่อนออกมาเองเวลามีงานพิมพ์ ด้านบนสำหรับแสกน มี ADF (automatic document feeder) ด้านบนด้านหลังมีถาดให้ป้อนกระดาษแบบมาตรง ๆ เหมาะกับกระดาษเยิน ๆ พวกกระดาษใช้แล้วหน้าเดียว เสี่ยงต่อการเกิด paper jam หน้าจอสีใหญ่ตระการตา



ด้านหลังเครื่องแอบยื่นด้านบนนิดนึง มีช่องเสียบสายไฟ เสียบสาย Lan สาย USB จากเครื่องคอมพ์ และสายโทรศัพท์ (สำหรับ FAX)  ส่วนด้านหน้า (รูปที่แล้ว) มีช่องเสียบ USB thumb drive


หลังจากระบบดูดหมึกไป prime สาย ก็เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง (ยกเว้นสีดำ เกินครึ่งมานิดเดียว) แต่แค่เนี้ยสำหรับเราก็ยังพิมพ์ได้อีกนานเลย



อันนี้เปิดดูในหน้าต่างรายละเอียด เรียก show printer webpage เราไม่คิดว่าในแทงค์หมึกมี sensor รับทราบระดับหมึก เค้าคงจะคำนวณเอา คาดคะเนเอาจากหมึกชุดแรกที่เราเติม ส่วนซับหมึกก็ใช้ชิปคำนวณ/เดาเอาเหมือนกัน 



แสกนผลงานพิมพ์เปรียบเทียบระหว่าง L15160 (บน) พิมพ์แบบ best เทียบกับที่พิมพ์จาก R3000 (ล่าง) ซึ่งมีการปรับแต่ง color profile ด้วย colormunki แล้ว อันนี้ให้กรรมการหลายคนตัดสินแล้ว เค้าก็ให้ L15160 ชนะเลิศ เพราะสีสดกว่า รายละเอียดดีกว่า งานพิมพ์จาก R3000 จะค่อนข้างขาดความคมชัด ตรงส่วนขาวดำค่อนข้างมืดไปหน่อยทำให้เสียรายละเอียด ถึงแม้ตรงขาวดำของ L15160 จะดูออกแดง ๆ นิดนึง



อันนี้เปรียบเทียบผลงานพิมพ์ขาวดำบนกระดาษ matte ซึ่ง R3000 (ซ้ายมือ) ซึ่งควรจะทำได้ดีกว่าเพราะมีหมึกดำทั้งหมด 3 เฉด ได้แก่ matte black, light black and light light black พอเอาเข้าจริง ๆ ก็แทบจะเรียกว่าไม่ได้ดูดีเลิศกว่า L15160 สักเท่าไหร่ เราตรวจดูด้วยตาเปล่านี่แทบจะตัดสินให้ L15160 ดีกว่าด้วยซ้ำเพราะตรงส่วน gray tonality ค่อนข้างเป็นธรรมชาติมากกว่า ของ R3000 ออกจะดูเหลือง ๆ หน่อย และขาดความคมชัด เราไม่แน่ใจเพราะว่าหัวพิมพ์เค้าเริ่มเสื่อม หรือเค้าเก่ากว่ารึเปล่า ยังไง ๆ หัวพิมพ์ก็ไม่ใช่ precision core แน่นอน ถ้าดูรายละเอียดจะเห็นว่าของ R3000 มีเหลือบ ๆ เงา ๆ ตัวหนังสือไม่คมชัดเท่า (จำได้ว่าสมัย R3000 เค้ามาใหม่ ๆ เค้าคมชัดกว่านี้เยอะมาก) มั่นใจว่าถ้าถอย Epson SC-P903 มา งานพิมพ์ทั้งสีและขาวดำคงจะชนะ L15160 อย่างราบคาบ แต่เอาเถอะ ไว้รอให้ SC-P903 พัฒนาเป็นระบบ ink tank ก่อนละกัน 


อยากจะจับผิดว่าหมึก 008 มี dye ผสมรึเปล่า เพราะงานพิมพ์มันสวยเกินเหตุ ลองเอามาหยดกระดาษเปรียบเทียบกับหมึก Durabrite และหมึกของ Epson R3000 ซึ่งตอนนี้เราดูดจากหมึก Ultrachrome HDR inkset ของตลับใหญ่ดู สีของ Ultrachrome อาจจะดูต่างจาก Durabrite แต่พอเทียบ Durabrite กับ 008 pigment inks ก็ไม่เห็นจะต่างอะไรนักหนา สรุปว่าไม่รู้ ได้แต่สงสัย จำได้ว่ามีสถาบันที่เค้าทดสอบความคงทนของ archival print photo จากเครื่องพิมพ์และหมึกพิมพ์กลุ่มนี้ แล้วพวกหมึก ultrachrome inks (pigment ink set สำหรับ professional Epson photo printer) เค้าเรตไว้เกิน 200 ปี (ไม่มีใครอยู่ปานนั้น แต่ลูกหลานเอาไปดูได้) แต่กลุ่มพวก durabrite นี่น่าจะได้แค่ประมาณ 80 ปี 
 


Create Date : 29 มีนาคม 2564
Last Update : 24 เมษายน 2564 20:22:17 น. 0 comments
Counter : 3538 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space