space
space
space
<<
สิงหาคม 2561
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
24 สิงหาคม 2561
space
space
space

Epson Stylus Photo R3000 and CIS (ink tank)



สัญญาไว้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับ R3000 อายุ 5 ขวบบ้าง


Epson R3000 เครื่องนี้ซื้อจากอเมริกาทางเว็บไซต์ชื่อ https://www.atlex.com ในราคา $779 เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2556 เจอค่าส่งข้ามทวีปไป  THB 11,270 ทำให้ราคารวมทั้งหมดหลังแปลงค่าเงินแล้วคิดเป็นประมาณ THB 34,640 (จริง ๆ แล้วก็คิดยากอยู่เพราะ $779 นั้นมันซื้อด้วยเงินดอลล่าร์ที่เราได้เงินเดือนมาสมัยอยู่เมกา มันก็เลยยากไม่รู้จะคูณตัวเลขไหน)  ตอนนั้นราคาในเมืองไทยคือ THB 52,300  ถึงตอนนี้ก็ตกรุ่นซะแล้วล่ะครับ รุ่นทดแทนได้แก่ Epson Sure Color P600 ราคา $799 ที่เมกา (มีรีเบท $250 - หมายถึงว่าจ่ายตังค์ไปก่อน เอปสันจะคืนเงินให้ทีหลัง) ถ้าได้รีเบทจริงจะทำให้ราคาเหลือแค่ $549 หรือประมาณ 18,117  สำหรับที่เมืองไทยน่าจะเป็น Epson SC-P607 ราคาลิสต์ไว้ THB 28,000 ซึ่งถือว่าถูกอย่างไม่น่าเชื่อ ชวนให้สงสัยว่าน่าจะกำลังจะตกรุ่น ก้อแพงกว่าแค่ 10,000 เดียว ถือเป็นค่าส่ง ค่าศุลกากร ก็น่าจะพอดี พอดีกัน

ตอนนู้นเหตุผลที่ตัดสินใจซื้อเครื่องหิ้วอีกอัน (นอกจากราคาถูกกว่า รวมค่าส่งก็ยังถูกกว่า) ก็คือเรื่องตลับหมึก  จนถึงป่านนี้ ยังไม่รู้ว่าที่ไหนในเมืองไทยขายตลับหมึกรุ่นนี้บ้าง ราคาเท่าไหร่ ตลับหมึกที่โน่นหาง่ายและราคาถูกกว่าพอสมควร (ถ้าไม่นับค่าส่ง -ฝากคนหิ้ว) เคยซื้อตั้งแต่ราคาตลับละ $26.5 จนกระทั่งปัจจุบันราคาตลับละ $31.5

เครื่องนี้น่าจะเป็นเครื่องพิมพ์หน้ากว้าง 13 นิ้วเครื่องที่ 4 ที่เคยเป็นเจ้าของถัดจาก Epson R1280 (dye ink), Epson R2200 (pigment inks) ถัดมาเป็น Epson R1800 (pigment inks) และในที่สุด R3000



สรุปว่าชีวิตนี้ที่ผ่านมา เราขาดเครื่องพิมพ์ A3+ ไม่ได้ ต้องมีตลอด เป็นส่วนสำคัญ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีวิชาชีพใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ photography เลย



เอาเป็นว่าเครื่อง R3000 นี้มา คุณภาพกินขาด เทียบงานพิมพ์แล้ว เตะ R1800 ทิ้งไปไกล สมัยเป็น R1800 ตลับหมึกเล็กมาก จำได้ว่าเติมครั้งละ 13-14 mL สมัยนู้นเราเติมหมึกเองโดยใช้หมึก Epson ของแท้นั่นแหละ แต่ซื้อตลับใหญ่มา (สำหรับเครื่องตั้งพื้น) แล้วมาเติมใส่ตลับแท้ที่หมดแล้ว รีเซ็ทชิป แล้วก็ใช้ได้ ไม่ได้ทำ CIS (continuous ink system) เนื่องจากเราเคยทำ CIS แบบ homemade (ยุคนั้นยังไม่เคยมี commercial CIS made ขายเท่าไหร่) ในเครื่อง R1280 เครื่องเก่าที่เมกาแล้วไม่ค่อยประทับใจ ตอนนู้นไม่แน่ใจว่า CIS ไม่ดีต่อเครื่องรึเปล่า คือพื้นฐานดั้งเดิมเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรนอกคอกที่ผู้ผลิตเค๊าไม่ได้แนะนำ (เชื่อหรือไม่)  นอกจากเติมหมึกเองเนี่ย  สรุปว่า R1800 ของเราหลังจากใช้งานมาได้ประมาณ 5-6 ปี ก็ตายจาก รู้สึกเหมือนกับว่าส่งคุณมานพซ่อมหลายรอบ  แปลงระบบไฟเป็น 220V ให้ด้วยทีนึง  สุดท้ายก็เหมือนกับแจ้งมาว่าซ่อมได้แค่นี้  ก็เลยได้จูบลาสมใจในที่สุดแล้วได้ R3000 นี้มาแทนในปี 2013

สมัยเป็น R1800 เค๊าใช้ Ultrachrome ink set เหมือนกันแต่มีหมึกสีประหลาด 2 สีได้แก่ สีน้ำเงิน (blue) กับสีแดง (Red) และมีแล็กเกอร์พ่นที่เรียก Gloss optimizer (GO) อันนี้ใช้สำหรับพ่นเวลาพิมพ์บนกระดาษมัน (Glossy, semigloss, luster) เท่านั้น หมึกสีอื่น ๆ ได้แก่ Yellow, matte black, photo black, magenta, cyan เค๊าไม่มี light cyan ไม่มี light magenta แล้วก็ไม่มี light black, light light black

คุณภาพงานพิมพ์สู้ R3000 ไม่ได้หรอกครับ  งานพิมพ์จาก R1800 ขนาดต่อให้มีพ่น GO ก็ยังออกเหลือบ ๆ (metamerism) แถมพื้นที่ที่เป็นสีเข้ม เช่น สีดำ จะเป็นปื้น ๆ เวลาส่องแสงเฉียง ๆ จะเห็นเป็นปื้น ๆ เข้ม ๆ ชัดมาก ในปัจจุบัน เอปสันก็ยังอุตส่าห์มีร่างทรงของ R1800 เช่น Epson SC-P400 (ที่เมกา) หรือ SC-P407 (เอเซีย) ซึ่งใช้หมึก inkset คล้าย ๆ กับ R1800 มี GO แต่ไม่มีสีน้ำเงิน กลายเป็นหมึกแดง หมึกส้มแทน ประหลาดแท้ ๆ ดูแล้วไม่แน่ใจว่าจุดขายคืออะไร เพราะยังไงก็คงพิมพ์ไม่สวยเท่า inkset ultrachrome K3 ที่แน่ๆ คือราคาเครื่องถูกกว่า 3000 บาท ตลับหมึกถูกกว่า (แต่ก็ได้ปริมาณน้ำหมึกน้อยกว่าสองเท่า) ในเครื่องพิมพ์รุ่นใหญ่ ๆ หน้ากว้างตั้งแต่ 17 นิ้วยันไปถึงรุ่นตั้งโต๊ะ ไม่มีใครใช้ inkset นี้และ GO สักรุ่น 

ตอนเราเริ่มใช้ R3000 ใหม่ๆ ไม่ได้มีคิดจะเติมหมึกเองหรือใช้ CIS เลย เนื่องจาก หมึกของ R3000 เป็นรุ่น Ultrachrome K3 คือมีหมึกดำ 3 ระดับ ได้แก่ light light black (LLK), light black (LK) และ Photo black (PK)/Matte black (MK)  จริง ๆ แล้วเรายังมีพอจะมีหมึกบางสีจากตลับใหญ่ของเก่าที่เหลือมาจากที่ใช้เติมตลับ R1800 แต่ปัญหาคือถ้าจะเติมตลับหมึก R3000 จริง ๆ ก็ต้องซื้อสีอื่น ๆ เพิ่ม ซึ่งเป็นการลงทุนที่เยอะอยู่ อีกปัญหาคือเรื่อง Reset chip  จนถึงป่านนี้ ก็ยังไม่มีใครทำ chip resetter สำหรับตลับหมึก R3000 ออกมาขาย   ชิปที่มากับตลับ R3000 มันมี pin เพิ่มขึ้นมาอีกเป็น 9 pin จากเดิมที่มีแค่ 7 pin ไม่แน่ใจว่า Epson ทำยังไงกับชิป ถึงไม่สามารถที่จะ reset ให้มันอ่านเต็มได้อีก  นายแน่มาก พวกคนจีนเค๊าขายชิปปลอมให้ไปใส่แทนที่จะขายเครื่องรีเซ็ทชิปของเอปสัน มีคนบอกว่าชิปรุ่นใหม่มันมีฟิวส์หรืออะไรทำนองนั้น ประเภทว่าพออ่านหมดแล้ว ขาดเลย รีเซ็ทไม่ได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ

สรุปว่าการใช้งาน R3000 ของเราที่ผ่านมาก็ใช้ตลับหมึกของแท้มาตลอด ซึ่งปริมาณการพิมพ์ไม่ได้เยอะเลย จวบจนถึงวันนี้ เราได้ผลาญตลับหมึกไปแล้ว 44 ตลับ มีตลับใหม่ยังไม่ได้เปิด (หรือเปิดแล้วไม่ยอมอ่าน) อีก 5 ตลับ รวมตลับแท้ทั้งหมดที่ซื้อมา 49 ตลับ  คิดเป็นค่าหมึกทั้งหมดประมาณ 1,551 USD หรือประมาณ 2 เท่าของค่าเครื่องพิมพ์ 

เรื่องคุณภาพงานพิมพ์ไม่มีปัญหา สวย ดี สีแม่นยำ เห็นบนจอยังไง ก็ออกมายังงั้น คุณภาพเป็นที่พอใจทุกครั้งด้วย profile ที่เอปสันให้มา ไม่เคยต้องทำ profile เอง เครื่องมามีปัญหาครั้งแรกเมื่อเดือน ธ.ค. 2014 (อายุ 1 ขวบ)  อาการเท่าที่จำได้คือหมึกดำ ไม่ออก ออกไม่ครบ ทำท่าเหมือนกับหัวพิมพ์ตัน  แต่เราชักสงสัยว่าจริงแล้วมันไม่ตัน  ตอนนั้นที่จำได้ คือมีการไป mod เครื่อง (ไหนว่าไม่ชอบทำนอกคอก) เราไปอ่านจากใครบนเว็บมาก็จำไม่ได้ว่า สามารถ bypass หมึกทิ้งผ่านสายมาลงขวดได้จะได้ไม่ต้องมีหมึกทิ้งที่เครื่องพ่นทิ้งลงไปในซับหมึกในเครื่อง ตอนนั้นก็เลยต่อออกมา ง่ายจริง ๆ ด้วย แกะฝานิดหน่อย ต่อสาย 2 เส้น ต่อลงขวดลงถุง ใช้อยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือนก็เกิดปัญหาเนี้ย หมึกดำพ่นไม่ครบ ตอนนู้นก็จัดแจงเปิดฝาต่อท่อน้ำหมึกทิ้งคืนกลับไปเหมือนเดิม ยกไปให้คุณมานพซ่อม ไม่ได้บอกเค๊าว่าเราไปบายพาสหมึกทิ้งออกมาข้างนอก (ก็เค๊าไม่ได้ถาม)  จำไม่ได้ว่าคุณมานพแจ้งว่าอะไรเสีย รู้แต่ว่า จดไว้ว่าเสียค่าซ่อมไป 1500 บาท แล้วก็ไม่กล้าต่อหมึกเสียออกมานอกเครื่องอีกเลย

หลังจากนั้นมาก็ใช้มาเรื่อย ๆ ถือว่าพิมพ์งานน้อยมาก ๆ ถ้าเทียบกับเครื่องที่ทำงานเอาเป็นว่าปีนึง ปีนึงจะได้เปลี่ยนตลับสักชุดนึง นาน ๆ จะได้หาเรื่องพิมพ์สักทีนึง ส่วนใหญ่ก็พิมพ์เอกสารขำ ๆ บ้าง พิมพ์รูปไร้ขอบลง 4x6 บ้าง(อันนี้น่าจะเป็นส่วนใหญ่)  ณ บางช่วงเวลาก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจะมี A3+ printer ไปทำไรฟระ ถ้าจะนับจำนวนหน้า super A3 (13 x 19 นิ้ว) ที่พิมพ์ไปทั้งหมด ไม่น่าจะเกิน 25 แผ่น

ในปี 2559 เราซื้อ Epson L365 มาใช้ที่ทำงาน ไม่นานก็ถอย Canon G3000 มาอีกในเวลาไล่เลี่ยกัน (ไปอ่านในบล็อกคนบ้า printer) จากการที่เราเห็น Epson ออก ink tank ของตัวเอง ถือเป็นการยอมรับโดยผู้ผลิตเองว่า printer ใช้ระบบ ink tank ไม่ผิดตรงไหน จะว่าไป ตัว Epson R3000 เองหรือ printer ตัวใหญ่กว่านี้ ก็ทำตัวเหมือนเป็น ink tank อยู่แล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือตลับหมึกอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ขยับ แต่มีท่อนำหมึกจากตลับไปยังหัวพิมพ์ซึ่งเคลื่อนไหวไปมา  ซึ่งอันนี้ก็คือหลักการของ ink tank ดี ๆ นี่เอง ขึ้นกับว่าตลับหมึกใหญ่แค่ไหน จะเรียกเป็นแท๊งค์ได้รึเปล่า  กรณีตลับหมึกของ R3000 เขาบอกว่า 25.9 mL ซึ่งก็ถือว่าเยอะกว่าตลับของ R1800 (13 mL) เกือบสองเท่า (แต่แม่มก็ขายแพงกว่า 2 เท่าด้วยนิ)

R3000 ของเรามาออกอาการผิดปกติอีกทีตอนเดือน ธ.ค. 2017  จะว่าไป พอย้อนกลับมาดู มันต้องมีเรื่องเดือนธ.ค.ทุกทีเลย ตอนนี้อายุ 4 ขวบ อาการคือหมึกชมพูไม่อยากออก  ออกบ้างไม่ออกบ้าง ล้างบ่อย ล้างบ่อย ๆ ปล่อยข้ามคืน ก็ไม่ออก จากประสบการณ์เรากับ Epson ที่ผ่านมา ทำให้เรารู้ว่าไอ้อาการอย่างเนี้ย มันไม่ใช่หัวพิมพ์ตันแระ  คนอื่นเค๊าออกกันครบดี ของแกไม่ออกไม่ครบอยู่สีเดียว หมึกชมพู (vivid magenta) ซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางพอดี  ช่วงนั้นเราล้างบ่อยมาก ก็มีอันต้องให้ซื้อหมึกเพิ่ม ปรากฎมีภาวะแทรกซ้อนอีกอย่างซึ่งทำให้รู้สึกไม่พอใจมาก ก็คือ มีตลับหมึกซึ่งไม่ recognized ตลับแท้ ๆ เนี่ย ซื้อจากอมาซอนดอทคอม แน่นอนว่าตุนตลับไว้เยอะพอควร วันที่ใส่ตลับก็เลยวันหมดอายุมาแล้ว แต่ทุกทีเรื่องตลับหมึกเลยวันหมดอายุ มันไม่เคยเป็นปัญหา  ท่านจะรู้สึกอย่างไรหากตลับหมึกแท้ ๆ ราคา $31.5 ใส่ลงไปแล้ว เครื่องพิมพ์มันบอกว่าไม่รู้จัก หมึกอาราย ไม่ทำงานต่อ

ตอนนั้นยกหูโทรข้ามทวีป (skype) ไปโวยเอปสันอเมริกา เค๊าก็ใจดีส่งตลับหมึกใหม่มาให้ (ต้องที่อยู่ที่อเมริกานะ ตอนนั้นเค๊าไม่ได้ถามเยอะแยะ เราบอก serial number เค๊าไป บอกอาการเค๊าไป) เค๊าก็ส่งตลับใหม่มาให้ เราก็ให้ส่งไปบ้านรุ่นพี่ที่รู้จักที่เมกา

อีกอาทิตย์นึงให้หลังตลับสีฟ้าหมดอีก (ล้างเยอะไง เจ้าหมึกชมพูไม่ยอมออกดี ๆ) ปรากฎเป็นอีกแระ ใส่ตลับใหม่ลงไป unrecognized  คราวนี้รู้สึกเคืองมาก ๆ ใช้มาตั้ง 3-4 ปีไม่เคยมีปรากฎการณ์อย่างนี้ พอเจอที เจอติด ๆ กันสองครั้ง เอาวะ โทรไปอีกที่เมกา  ปรากฎยัยรัสเซียคนนี้เค๊าถามเยอะ ว่าเครื่องอยู่ที่ไหน  บังเอิญโกหกไม่เก่งก็บอกว่าอยู่เมืองไทย หิ้วกลับมา เท่านั้นแหละ นางบอกว่าประกันให้เฉพาะเครื่องที่ใช้ในแผ่นดินทรัมป์เท่านั้น รู้สึกเคืองพอสมควร จำได้ว่าตอนนั้นถึงขั้นแอบ ๆสาบานกะตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่ใช้เอปสันอีก

มีตลับหมึกแท้ ๆ เป็น ๆ หมึกเต็มตลับเลย แต่ใช้ไม่ได้เพราะเครื่องไม่รู้จัก ได้คืนมาหนึ่งตลับแต่อีกตลับไม่ได้ แถมยังมีในสต็อกอีกประมาณ 1-2 ชุด ไม่รู้จะ unrecognized อีกกี่ตลับ

กลับมาเรื่องหมึกชมพูไม่ออก ยกไปให้คุณมานพซ่อมประมาณ 2-3 ครั้ง รอบแรกเธอเก็บเฉพาะค่าแรง 550 บาท (ไม่เห็นทำไร) บอกไม่เจ๊งหรอก ไม่ตัน ให้ใช้ไปเรื่อย ๆ แนะนำมาว่าเวลาตลับหมึกอื่น ๆ ใกล้หมด ให้เปลี่ยนเลยไม่ต้องรอจนหมดทีละสี ทีละสี (เอ้า สนับสนุนให้เปลืองตลับนี่นา สมกับเป็นช่างเอปสัน)  จำได้ว่าตอนยกกลับมารอบแรก อาการมันก็ยังเป็นอยู่ คือ nozzle check สีชมพูออกไม่ครบ ต้องล้าง ต้องรอข้ามคืน  แบบว่าคนเรา เวลามันดี ๆ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิมพ์เท่าไหร่  แต่พอมันไม่ดี nozzle check ออกไม่ครบ นี่มันเดือดร้อนมาก  กลับบ้านมาทุกวัน มานั่งเช็ค nozzle งานพิมพ์น่ะไม่มีหรอก แต่ถ้าฉันเช็ค nozzle ต้องออกครบ  พอไม่ครบเป็นเดือดเป็นร้อน ตอนนั้นจำได้ว่าเซ็งมาก เพราะพอทำให้มันออกครบได้ อีก 1-2 วันมันก็เป็นอีก ออกไม่ครบ บางทีหายไปทั้งแถบ  something wrong แน่นอน

เราก็โทรไปหาเค๊า เค๊าก็บอกให้ยกมาให้ดูอีก แหม ปริ้นเตอร์ A3 นี่มันก็ไม่ใช่เบา ๆ นะ ไม่เล็กด้วย จะให้ขนไปขนมานี่มันก็ลำบากนะ  งานก็ยุ่ง จะหาเวลาว่างก็ยาก ตอนช่วงนั้นเป็นช่วงทบทวนตัวเองว่าตกลงนี่เรายังมีความจำเป็นต้องมี A3 printer ไหมเนี่ย  มันเอาไว้ปริ้นท์อะไรกันแน่ (ตกลงที่ได้พิมพ์ A3 ไปหลัง ๆ เนี่ยจะเป็นป้ายติดโน่นนี่ ที่ทำงานเป็นส่วนใหญ่) ที่เหลือก็ปริ็นท์แค่ 4x6, A4 เป็นส่วนใหญ่ หลัง ๆ นี่ CD/DVD ไม่เคยได้ปริ๊นท์กะเค๊าเลย มีแผ่นเหลือเป็นกะตั๊ก ไม่รู้จะ burn อะไร เค๊า stream กันหมดแล้ว

ยิ่งตอนช่วงที่เคือง ๆ เอปสันเรื่องตลับหมึกไม่อ่าน ตอนนั้นถึงขึ้นลงมือช็อปปิ้ง A3 photo printer ยี่ห้ออื่น ซึ่งบังเอิญตัวเลือกมีเหลือแค่ Canon เพราะ HP ไม่เห็นจะสู้ตลาด Brother น้องใหม่ก็ยังไม่เกิดในวงการ photo printer เท่าไหร่ตัวที่เตะตามากคือ Canon imagePROGRAF Pro-500 (ในเมกาคือ Pro-1000) ตัวนี้บังเอิญเป็น A2  -หน้ากว้าง 17 นิ้ว ตัว 13 นิ้วของ Canon ดูแล้วก็ไม่ชอบ  ตัวนี้แหละน่าจะเหนือกว่า R3000 ของเราหลายขุม แถมเราได้ทำตามที่แอบสาบานไว้คือ เลิกใช้เอปสัน

Canon Pro-500 ราคาแพงเอาการอยู่ (THB 52,900) ยิ่งราคาตลับหมึก อู้ อ้วกแตก (THB 2,100) ยิ่งหลายตลับ (12 ตลับ) ยิ่งหมดตูด อะไรเนี่ย เรามันก็แค่ข้าราชการจน ๆ จะไปถอย A2 photo printer ครึ่งแสนมาทำไม ตลับหมึกอีกตลับละสองพันกว่า ซื้อครบ 12 ตลับก็ปาไปครึ่งนึงของค่าเครื่อง จะบ้าไปแล้ว และอย่างหนึ่งที่เรายังทำใจไม่ค่อยได้คือข้อจำกัดเรื่อง media เช่นไม่รับกระดาษม้วน ความยาวงานพิมพ์จำกัดอยู่ที่ 25 นิ้ว ทำให้พิมพ์ภาพพานอรามายาว ๆ ไม่ได้ ไม่รับกระดาษหนา ๆ ไม่รับถาด CD/DVD (อันนี้ไม่แคร์เท่าไหร่) และที่ยังรู้สึกแปลก ๆ ก็คือ ราคาตลับ Chroma Optimizer (CO) ซึ่งเทียบเท่ากับ GO (Gloss Optimizer) ของ Epson นั้น Canon เมืองไทยขายราคา 2,100 บาท เท่ากับเด๊ะกับหมึกสีอื่น ๆ ในขณะที่ของ Epson นั้นขายราคาเท่าหมึกสี แต่ให้มาสองตลับนะจ๊ะ  CO หรือ GO นี่เวลาใช้งานจะเปลืองมาก หมดก่อนคนอื่น เพราะมันจะสเปรย์พ่นไปทั้งหน้า ในขณะที่หมึกอื่น ๆ ก็จะผสมผเสไป  ดังนั้นในความรู้สึกเราการขาย CO ราคาเท่าหมึกสี นี่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างน่าเกลียดเกินไป 

สรุปว่าในเมื่อ R3000 มันพิการ เราไปค้นบนเว็บมีคนแนะนำให้ลองใช้น้ำยา windex หรือ ammonia ใส่ syringe ดันลงไปที่ข้อต่อรับหมึกจากตลับโดยตรง (ไม่แนะนำให้ทำเด็ดขาดนะครับ อ่านต่อแล้วเดี๋ยวจะรู้)  แต่ในเมื่อตอนนั้นมันไม่มีอะไรจะเสีย ก็เลยตัดสินใจลองทำ นั่นแหละครับ หมึกชมพูที่พิมพ์ไม่ออก มันไหลรินเละมานองกันอยู่ตรงข้างล่างถาดที่อยู่ใต้ที่ใส่ตลับหมึก  หน้าซีดไปเลย รู้แระว่าทำไม มันมีจุดรั่วสิครับ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเดิมมันรั่วอยู่แล้วนิดหน่อยรึเปล่า มันเลยทำให้หมึกชมพูไม่ออกที่กระดาษ (มาออกอยู่ข้างล่างแทน) พอเราไปดันน้ำยาบ้าบอเข้า มันเลยรั่วใหญ่ให้เห็นชัด ๆ หลังจากซับเหงื่อโง่แห้งแล้วเราก็ปลอบตัวเองว่า อย่างน้อยก็ทำให้วินิจฉัยโรคได้ ถ้าไม่ทำป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่าทำไม

ยกไปหาคุณมานพอีกรอบ แจ้งอาการและวินิจฉัยให้ด้วย เค๊าถามว่ารู้ได้ไง ก็เลยเอาไฟฉายส่องให้ดูว่าเห็นมะ หมึกชมพู (กับน้ำยาเราที่มันหกอยู่ใต้พื้นที่ใส่ตลับหมึก ให้เห็นจะ ๆ เนี่ย) คุณมานพบอกต้องสั่งอะไหล่ ยกไปมี.ค. รอสั่งอะไหล่ กว่าจะซ่อมเสร็จ ได้เครื่องกลับมาวันที่ 14 ก.ค. 2561 รอนานกว่า 3 เดือน เสียค่าซ่อมไปทั้งหมด 5,350 บาท เป็นค่า ink supply unit (คุณมานพพูดว่าปั้ม) 4,800 บาท ค่าแรง 550 บาท

ความที่รอซ่อมนานมาก ระหว่างช่วงรอ ก็ได้แต่คิดทบทวนข้อบ่งชี้ของการมี printer A3 ที่บ้าน ในระหว่างนี้เป็นช่วงที่เราสอย Epson L6190 มาใช้ที่ทำงาน (ขนาดแอบลั่นวาจาว่าจะไม่คบเอปสัน)  เรายก Epson L365 ตัวเก่าสองปีที่แล้วซึ่งฟื้นคืนชีพมาได้ด้วยหมึก pigment ของ Epson (DuraBrite ultra + Ultrachrome เก่า ๆ ปี 2008) มาใช้ที่บ้านไปก่อน จริง ๆ แล้วเราก็พบว่า ไม่มี A3 printer ก็โอเคนะ ก็อยู่ได้ หายใจออก ไม่ตายนะ แต่ปริ๊นท์ A3 ไม่ได้แค่นั้น

แต่ความที่ L365 และ L6190 ซึ่งเป็น ink tank printer ทั้งคู่ และเราใช้หมึก durabrite เติมแท๊งก์ซึ่งก็เวิ๊คดี  ประกอบกับระยะหลังเราเกิดมีจิตสำนึกเรื่องสิ่งแวดล้อมมากมาก ทำให้เราเกิดความคิดว่า เอาแบบนี้เลย ต่อไปนี้เราจะไม่ใช้ปริ๊นเตอร์ที่ใช้ตลับหมึกอีก (ยกเว้น Pro-500 ถ้าซื้อ)  เราคิดว่าตลับหมึกนี่มันช่างไม่อนุรักษ์ซะเลย ปริ๊นเตอร์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมต้องเป็น ink tank เท่านั้น

ตอนนั้นก็เลยแอบเมียงมอง A3 ink tank ซึ่งแน่นอน มีแต่เอปสันเท่านั้นที่บ้าพอจะทำมาขาย มีอยู่สองรุ่นได้แก่ L1300 และ L1800  หากถามคนที่เคยใช้ R3000 มา ก็คงต้องเลือก L1800 แน่นอน กระนั้นเอง L1800 ก็ยังมีข้อด้อยกว่า R3000 ในหลาย ๆ ด้าน  ทั้ง L1300 และ L1800 ถูกผลิตมาให้เติม dye ink แต่ถ้าเราถอยมา เราก็คงเติม Epson pigment ink อยู่แล้ว (มิมีวันหวนกลับไปใช้ dye ink อีกเด็ดขาด) ปัญหาคือเรื่องของการพิมพ์งานขาวดำ คงสู้ R3000 ไม่ได้ ไม่มีปริ๊นท์ CD/DVD (ไม่สนอยู่แล้ว) ไม่สามารถปริ๊นท์กระดาษม้วนได้ (panorama) อันนี้แคร์อะ  อยากได้  แต่เอาเถอะ แอบภาวนาเล็ก ๆ ว่า ระหว่างนี้ที่รอคอย R3000 เอปสันอาจจะออก A3 inktank ตัวใหม่ ใช้ pigment (ฝันไปเยอะหน่อย) ตอนนั้นก็กะว่าถ้ายังไง ยังไงคุณมานพซ่อมไม่ได้หรือไม่เวิ๊ค  เราก็ค่อยถอย L1800 ราคา 19,900 มาเติมหมึก ultrachrome ละกัน

ระหว่างนี้ก็เลยเกิดอาการช็อปปิ้งหมึก ultrachrome มีปัญหาว่าหมึก ultrachrome นี่มันมีหลายรุ่นมาก ตั้งแต่ Ultrachrome เฉย ๆ, Ultrachrome K3, Ultrachrome HD, Ultrachrome HDR, Ultrachrome HDX มีการโม้เพิ่มเรื่อย ๆ ว่าหมึกรุ่นใหม่ย่อมดีกว่ารุ่นเก่า color gamut กว้างกว่า ค่า D Max (ไม่ใช่กระบะอีซุซุ) หรือความดำดำกว่าอะไรเป็นต้น คงต้องยอมรับว่าความแตกต่างพวกนี้คงจะวัดด้วยสายตามนุษย์ปกติไม่ได้ แค่ถามความแตกต่างระหว่างสี Epson DuraBrite Ultra -สีชมพู Magenta กับ สีชมพู Vivid Magenta ของ Epson Ultrachrome HDR ก็ยังบอกไม่ได้ ความสับสนนำไปสู่การช็อปปิ้งอีเบย์  ตอนนั้นจำได้ว่าเราคว่านซื้อหมึก DuraBrite มาครบ 4 สี (สำหรับสองเครื่องที่ทำงาน) ได้ปริมาณสาแก่ใจละ  ตอนนี้ก็เลยมาคว้านหาซื้อหมึก Ultrachrome บนอีเบย์แทน  แน่นอนว่าเราก็ต้องอยากได้ Ultrachrome HDR หรือ HDX สิ ใครจะไปอยากได้ ultrachrome บ้าน ๆ

ขุดกรุของเก่าก็พบว่ายังมีหมึก ultrachrome ปี 2008 สี Light cyan, light magenta, matte black, photo black ซึ่งเคยซื้อมาสำหรับเติมตลับหมึก R1800 อยู่จำนวนหนึ่ง  เนื่องจากสีเหล่านี้เค๊าไม่ใช้ในเครื่อง L6190, L365 ก็คิดหนักอยู่ว่าจะใช้หรือจะทิ้ง ด้วยความงกก็ตัดสินใจว่าใช้เถอะ และจริงๆ แล้วถ้าเราเอา สี Durabrite Magenta, Cyan, Black มาใส่ ก็ครบละ ไม่ต้องซื้อเพิ่ม

คงจะว่างจัด คิดไม่ตก เอ  แต่หัวพิมพ์ L1800 นี่มัน 90 หัวต่อสี (R3000 180 หัวต่อสี)  มันคงจะช้ากว่ากันครึ่งนึง  inkset ก็งั้น ๆ มีแค่ 6 สี เทียบกับ R3000 มีตั้ง 9 สี เอ  จะว่าไป แล้วถ้าคุณมานพซ่อมให้เราได้ แล้วเราทำ CIS (Continuous Ink Tank) กับ R3000 ซะเลย ไหน ๆ เครื่องก็เก่าละ หมดประกันละ และในเมื่อมีปรู๊ฟว่า ink tank ก็เวิ๊ค เอปสันยังทำ ink tank   ตัว R3000 เองก็เหมือนมี ink tank อยู่แล้วเพราะมีท่อหมึกนำหมึกจากตลับที่นั่งเฉย ๆ ไปที่หัวพิมพ์ เราก็แค่ต่อสายจากตลับหมึกออกมาหาขวดหมึกแท็งค์อีกทอดนึง หลักการง่าย ๆ 

ก็เลยเริ่มบานปลายช็อปปิ้งหาสีอื่น ๆ ได้แก่ Light black, Light light black และก็เล็งระบบ CIS ไว้ด้วย (แต่ยังไม่ซื้อหรอกนะ)  ก็รอคุณมานพซ่อม โทรไปทีไรก็บอกว่ารออะไหล่ รอจนลืมไปเลย

ในที่สุด เค๊าก้อซ่อมให้เสร็จ เราก็ไปเอามา คุณมานพจัดการซ่อมอีท่าไหนไม่ทราบ ตลับหมึกเดิมที่เคยใส่ไปให้ในเครื่องซึ่งยังไม่หมด ถูกเปลี่ยนเป็นตลับใหม่หมด (เค๊าให้เราเอาตลับหมึกใหม่เต็ม ๆ ไปให้อีกชุด) ดีที่เค๊าไม่ได้ทิ้งตลับเก่าเราไป แต่ตลับใหม่เราก็ไม่มีละ ไม่ได้ซื้อเพิ่มละ เพราะตัดสินใจว่าซ่อมไม่ได้ก็ต้องทิ้งไปซ่อมได้ก็จะลองติดระบบแท็งค์

R3000 เรากลับมาพร้อม ink supply unit ใหม่ ปริ๊นท์ nozzle check สวยครบราวกับของใหม่ แต่....  มีเงาซ้อน มีเหลือบในภาพ เราก็ไม่ย่อท้อ จัดการ calibrate แนวราบ แนวนอนใหม่ ก็ดีขึ้น แต่ก็ไม่หายขาด  ความเหลือบนี้สังเกตได้ชัดในงานพิมพ์กระดาษมันทั้งหลาย หรือกรณีสั่งพิมพ์แบบ 1440 dpi หรือ hi speed ถ้าสั่งพิมพ์ 5760 dpi ไม่ใช้ hi speed จะดีขึ้น สังเกตได้ยาก แต่ก็ยังเห็นถ้ามองหา โดยเฉพาะบนกระดาษมันทั้งหลาย

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ R3000 คืนมาทำงาน เอาเป็นว่า เรตให้ 95% ก็ดีกว่าตายสนิท  ความที่เรางานยุ่งมาก มีลาทัศนศึกษาช่วงนึง กว่าจะได้สั่ง CIS (สั่งผ่าน aliexpress) ก็เลยมาอีกเดือน กว่าจะว่างพอมีเวลาได้ติดตั้ง ก็ปาเข้าไปเดือนสิงหาคม ทำไปด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะเวิ๊ค แถมตอนโน้นที่คิดว่าตุนสีไว้ครบ 9 สีแล้ว พอเอาเข้าจริง ๆ ขาดสี light black ไป ก็ต้องมาสั่งแล้วรอ  



ปรากฎว่าตลับหมึกแท้ของ R3000 อันเก่า ๆ ที่ผ่านมาที่เราใช้จนเครื่องแจ้งว่าหมดแล้ว เราไม่เคยทิ้งไปสักอัน เก็บไว้รกบ้านเต็มไปหมดกว่า 40 ตลับ เราลองเอา syringe ดูดดู ปรากฎดูดได้เป็นล่ำเป็นสัน ที่แจ้งว่าหมด ไม่มีอันไหนหมดจริง ๆ สักอัน ดูดได้มากบ้างน้อยบ้าง พอรวม ๆ กัน ก็เยอะอยู่ (ดูรูปเลย)

Ink tank system (CIS) เราไปหาบนเว็บ aliexpress.com หาบนอีเบย์แล้วมันมีแต่แบบใส่หมึกมาให้ซึ่งเราไม่ต้องการ เราต้องการแบบแห้ง ๆ เพราะจะเอามาใส่หมึก Epson ซึ่งเว็บฝรั่งที่ดูน่าเชื่อถือได้ เช่น marruttusa.com หรือ inkrepublic นี่ขายแพงกว่าเกือบสองเท่า ซื้อของบน aliexpress ก็ต้องทำใจนิดหน่อย เค๊ายังคนละเกรดกับอีเบย์ เวลามีปัญหากับของบนอีเบย์มักจะได้รับการคืนเงิน  แต่ถ้าเป็น aliexpress ก็ตัวใครตัวมัน ของบน aliexpress มักจะถูกกว่า เสี่ยงกว่า ปลอมกว่าบังเอิญอันนี้ไม่มีทางเลือกมาก แถมราคาที่จ่ายไป ($75.99) ก็ยังถูกกว่า CIS แห้งที่เว็บฝรั่งขาย (marruttusa.com ขาย $124.95, inkrepublic.com ขาย $179.95)    $75.99 จะว่าแพงก็แพงอยู่ แต่ถ้าคิดอีกที มันก็แค่ค่าตลับหมึกแท้ 2 ตลับ ฮ่า ๆ ถูกขึ้นมาทันที



วัสดุ CIS ของเจ้านี้ก็ดูใช้ได้ ขวดใส่หมึกก็ดูไม่น่าเกลียด ลักษณะคล้าย ๆ กล่องเติมหมึกของ L365  ขวดนึงจุได้ประมาณ 85 mL ซึ่งกำลังดี ไม่น้อยหรือไม่มากไป แต่ตอนเติมครั้งแรกอาจจะต้องให้น้ำหมึกเข้าไปในตลับหมึกด้วย น่าจะต้องการประมาณ 120 mL ผู้ผลิตคงออกแบบมาให้เอาขวดหมึกไว้ด้านซ้ายของปริ๊นเตอร์ แต่เราไม่ชอบ เราอยากไว้ด้านขวาของปริ๊นเตอร์ เพราะมันอยู่ใกล้กับตลับหมึกในเครื่องมากกว่าช่วยลดความยาวของท่อหมึก ซึ่งจะส่งผลให้แรงต้านทานในท่อลดลง เมื่อเทียบท่อหมึกของเค๊ากับสายท่อหมึกของ L6190 หรือ L365 ซึ่งเป็น ink tank เอปสันทำเองก็จะพบว่าสายท่อหมึกของเอปสันอ้วนกว่า มีลักษณะเหมือนเป็นท่อซิลิโคน สายของ CIS ที่เราซื้อมาขนาดเล็กกว่า ซึ่งหมายถึงแรงต้านทานที่เพิ่มขึ้นและวัสดุที่ทำท่อนี้ดูไม่ออกว่าเป็นซิลิโคนหรือ polyurethrane



เราตัดสายออกเกือบประมาณ 20 ซม. ย้ายรูเข้าตลับหมึกไปด้านบนเพราะอยากจะปิดฝาตลับหมึก  ถ้าใครไม่เดือดร้อนเรื่องปิดฝาไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ แต่เราชอบทำอะไรให้เหมือน ๆ เดิม ถ้ามันเคยมีฝาปิด ก็อยากให้มีฝาเหมือนเดิม ดังนั้นทางเข้าของหมึกก็เข้าจากด้านข้างโดยยอมเจาะรูเป็นช่องยาว ๆ ขนาดให้สายหมึกสอดเข้าไปได้ตรงส่วนผนังด้านข้างสีเงิน ซึ่งสามารถถอดออกมาได้โดยง่าย การเจาะก็ใช้สว่านเจาะ 2 รู ก่อน ที่เหลือ Dremel ช่วยเจียร์ให้เป็นช่องเหมือนกระปุกออมสิน ปลดสายท่อหมึกเพื่อลอดรูนี้ก่อนแล้วค่อยเติมหมึก



การเติมหมึกก็ไม่ยากมาก เอาหมึกดูดใส่ syringe แล้วเติมลงไปในขวดก่อน เราไล่เติมทีละสีค่อย ๆ ไล่มา ใช้เวลา 2-3 วัน (กลัวเติมผิด เลยค่อย ๆ เติมช้า ๆ ไม่ได้รีบร้อน ก็เลยเติมวันละ 2-3 สี) ขวดแรกที่เติมคือสีเหลือง ตอนแรกใช้ syringe ดูดที่ตลับหมึก ข้อดีคือเร็วดี แต่ข้อเสียคือมีฟองอากาศเยอะ ไม่เนียน สีอื่น ๆ ตอนหลังเลยใช้วิธี passive คือเติมหมึกในขวดก่อน เปิดจุกที่ขวดให้อากาศเข้ามาแทนที่น้ำหมึกได้ หลังจากนั้นก็ยกขึ้นให้สูงกว่าตลับหมึก (ประมาณ 20-30 ซม.) ต้องดึงเปิดจุกอากาศที่ตลับหมึกด้วย เพื่อให้อากาศจากตลับออกได้ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ตอนแรก ๆ เร็วหน่อยได้  พอตอนหลังจะพยายามเติมให้เต็มทุก ๆ ช่องว่างในตลับ ก็เลยต้องค่อย ๆ ช้า ๆ ระวังหมึกล้น ไม่ต้องใช้ syringe ดูดหรือดันเลย กว่าจะทำได้คล่องก็ปาเข้าไปตลับที่ 6-7 แป๊บเดียวก็ครบทุกสี (แป๊บเดียวนี่คือ 3 วัน) ที่อู้ ๆ นี่ส่วนนึงเพราะกลัวมันไม่เวิ๊ค  จำได้ว่าตอนจะเอาไปใส่ยังตุ้ม ๆ ต่อม ๆ อยู่ อย่างมากก็แกะออกฟระ



พอประกอบเสร็จ ตอนแรกเราก็ไม่ได้ปิดฝากล่องหมึก ฝานี้เอาออกง่ายมาก แค่ขยับไปทางซ้ายจิ๊กเดียว ก็แกะออกมาได้ง่ายดาย เอาออกมาเสร็จ ต้องหาคลิปกระดาษหรือแผ่นพลาสติกเล็ก ๆ ยัดไว้ตรงที่มีเป็นตัวรับล็อกของฝาปิดตลับหมึกเดิม ไม่งั้นเครื่องจะฟ้องว่าฝายังเปิดอยู่และไม่ยอมพิมพ์



หลังทำเสร็จก็ใช้งานได้โอเค  nozzle ออกครบ พิมพ์งานไปสักพัก ก็พบว่าสีจืด ซึ่งอันนี้หลังจากมาทบทวนเหตุการณ์แล้ว คิดว่าเป็นเพราะเราใช้ light magenta จากถุงหมึก epson เก่า ซึ่งรุ่นเดิมเค๊าเป็นแค่ light magenta  ส่วนหมึกรุ่น R3000 เค๊าใช้ vivid light magenta  สีอื่น ๆ ไม่น่าจะเป็นประเด็นเพราะเป็นส่วนผสมของหมึกรุ่นใหม่เยอะ อีกสีนึงที่เราใช้หมึกเก่าเยอะก็คือ light cyan เนื่องจากทั้ง light cyan และ LM มันไม่ใช้ในเครื่องพิมพ์สี่สีที่ทำงาน (L365, L6190) แต่ light cyan เองใน ultrachrome รุ่นใหม่เค๊าก็ยังเรียก LC ไม่ได้เป็น vivid LC ก็เลยกระนี้มังไม่มีผลมากหมึกอื่น ๆ ที่ใช้หมึกเก๋ากึ้กเยอะ ก็ได้แก่ PK กับ MK   อีกนั่นแหละ เนื่องจากสองอันนี้ไม่ได้เอาไปเติมใน L365 หรือ L6190 ถ้าดูในรูปจะเห็นความแตกต่างกันชัดเจนระหว่าง VM ซึ่งเป็นหมึกใหม่เป็นส่วนใหญ่ (เพราะหมึกเก่าเอาไปเติม L365 หมด) VM ในรูปดูมีความ Vivid มากกว่า VLM มาก เพราะ VLM ในแท๊งค์ตอนนี้เป็นหมึกเก่าซึ่งเป็นแค่ LM เท่านั้นเกือบทั้งหมด ดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ ช้ำ ๆ



วิธีแก้ก็ไม่อยาก งัด Colormunki spectrophotometer ออกมาทำ profiles แค่นี้ก็จบ เหลือแต่เวลาพิมพ์โดยตรงจาก smart phone/tablet ซึ่งไม่สามารถสั่ง profile ให้ได้ มันก็จะออกมาจืด ๆ เล็กน้อย (เครื่อง R3000 ไม่มี airprint - แต่พิมพ์ตรงผ่าน wifi ได้ด้วยแอปของ Epson ที่เรียกว่า Epson iprint)

หลังจากปรับสีด้วย color profiles ได้สมใจ เราก็ไปพบปัญหาอีกอันที่อาจจะดูเหมือนเล็กน้อย แต่ก็เป็นประเด็น นั่นคือมันมี band เล็ก ๆ ต้องสังเกตจึงจะเห็น ก็จัดการทำ print head alignment ไป  ซึ่งทำไปทั้งหมด 2 ครั้งละ อาการก็ดีขึ้นแต่ก็ไม่หายสนิท  อันนี้โทรไปสอบถามคุณมานพแล้ว เค๊าบอกว่าทำได้แค่นี้แหละ 

ก็ทำใจ ไม่งั้นก็ต้องถอย P607 หรือ Canon Pro-500 มา  ถ้าถอย P607 ก็ต้องไปซื้อ CIS อันใหม่เพราะอันเก่าคงเอาไปใส่ไม่ได้ น่าจะมีปัญหาตรง chip นี่แหละ  ส่วน Pro-500 นั้น ถ้าซื้อมาก็คือไม่ได้ทำ CIS เพราะตลับหมึกมี 80 mL ซึ่งก็เยอะแล้ว อีกอย่างหมึก pigment lucia ตลับใหญ่ ๆ ของ Canon นี่หายากกว่าหมึก Epson pigment ตลับใหญ่ๆ เยอะ เหมือนไม่ค่อยมีคนไช้เท่าไหร่

ที่ยังมีประเด็นอยู่ตอนนี้คือปุ่มรีเซ็ทระดับหมึก จนถึงป่านนี้เราก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะเวิ๊คดีไหม เพราะเราลองกดเพื่อจะรีเซ็ทให้มันอ่านเต็มไปสองสามที คนละสีกัน มันก็ไม่รีเซ็ทให้ อีเมลไปถามคนขายเค๊าบอกว่าต้องรอจะระดับหมึกฟ้องว่าหมดก่อน แล้วจึงจะกดปุ่มรีเซ็ทได้ อีกนานเลยครับ อาจจะถึงปีกว่าสีใดสีหนึ่งจะ ตอนนี้ก็เลยเร่งพิมพ์นูนนี่เต็มไปหมด ถ้ารีเซ็ทไม่เวิ๊คนี่ล่ะเซ็งแย่เลย

ส่วนเรื่องท่อหมึกทิ้ง อันนี้โทรไปถามคุณมานพตรง ๆ เลยว่าแนะนำให้ทำไหม เค๊าไม่แนะนำ บอกว่าจะมีปัญหาเรื่องแรงดันอะไรไม่ทราบ และตอนที่เครื่องนี้เสียครั้งแรก ก็เป็นหลังจากเราไปทะลึ่งบายพาสหมึกทิ้งออกมานั่นแหละ  ปรากฎว่าคุณมานพเค๊ารีเซ็ทระดับหมึกทิ้งมาให้เราด้วย  มีพวกขาย key สำหรับ reset เครื่องพิมพ์ที่อ่านซับหมึกเต็ม เค๊าคิดค่า key ประมาณ $8.99 ซึ่งเราไม่เคยใช้ ทีนี้เราก็ถามคุณมานพไปว่ามารีเซ็ทให้แบบนี้แล้วสักวันหมึกมันจะล้นออกมาไหมอ่า  เค๊าตอบว่าถ้าเราใช้หมึกแท้จะไม่เป็น เพราะหมึกแท้จะจับตัวเป็นก้อน ๆ ไม่นองเป็นน้ำ  เอาเป็นว่าเรามีซอฟท์แวร์สำหรับเช็คระดับซับหมึก ถ้ามันเต็มขึ้นมาก็ยกเครื่องพร้อมอิงค์แท็งค์ไปให้คุณมานพซ่อมอีก

สรุปว่าตอนนี้เอาไว้แค่นี้ ต้องพอใจในสิ่งที่เรามี ถึงมันจะไม่สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันก็ยังใช้ได้ ทนใช้ไปก่อนนะ ออเจ้า เรื่อง Canon Pro-500 ก็เอาไว้ก่อน มันเปลืองน่ะ








 

Create Date : 24 สิงหาคม 2561
0 comments
Last Update : 4 ตุลาคม 2561 21:57:51 น.
Counter : 1576 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

gollygui
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]






space
space
[Add gollygui's blog to your web]
space
space
space
space
space