บันทึกของนักดำน้ำ-Marsa Alam
เดินทางไปดำน้ำทริปนี้ออกจะแตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมาหน่อยครับ เพราะไปคนเดียว ทุกทีจะต้องมีbuddyไปด้วย แต่คราวนี้อยากลองไปคนเดียวมั่ง (ประกอบกับที่ทำงานล้อว่าเป็นคู่เกย์กับเพื่อนทีไปด้วยครั้งที่แล้วหรือเปล่า..เอาเข้าไป ) ถ้าตามอ่านบล๊อกมาจะรู้ว่าจขบไม่ได้ไปดำมา8เดือนกว่าแล้ว ความอยากพุ่งทะยาน ก่อนไปเลยลงทุนซื้อกล้อง Nikon D80 (เพราะมีเลนส์ที่ใช้กะF100อยู่แล้ว) Housing Sea&sea Dx-d80 Strobeสองตัว Dome Port Flat port แขนสองข้าง พร้อมDual Sync Cord ซะ ได้กล้องใหม่มาพร้อม ก็ต้องหาที่ดำที่คู่ควรกะของใหม่ ได้รับรายงานจากวงในว่ามีฝูงฉลามวาฟที่ประเทศDjibouti (อ่านว่าจิโบติ) เลยตัดสินใจว่าไปที่นี่แหละ ขนาดSnorkelยังดูได้เลย แต่ดูไปมามีแต่Liveaboardราคาประมาณ 70,000-140,000 แพงจิบ เลยลองหาประเทศใกล้เคียงที่พอจะเทียบได้ ประกอบกับผมหลงรักแอฟริกาอยู่แล้ว ไม่รู้ทำไมแต่ชอบทวีปนี้มากๆครับ หลังจากหาข้อมูลอยู่นานจึงรู้ว่าประเทศไหนไปได้บ้าง หลักการง่ายๆขั้นต่อมาในการเลือกประเทศที่จะไปดำน้ำก็คือเปิดGoogle Mapเลือกจุดหมายไปเลย ที่ลงสีแดงคือประเทศที่มีสงครามหรือมีการลักพาตัวชาวต่างชาติ สีเขียวคือประเทศที่มีพื้นที่ส่วนมากเป็นเขตปลอดภัย ทีแรกยืนกรานจะไปซูดานให้ได้แต่เพื่อนๆห้ามไว้ เดี๋ยวได้ออกทีวี โดนโชว์ตัดหัว เลยลองลากเส้นรัศมีระยะทางที่ใกล้เคียงกันจากลอนดอน ซึ่งอยู่ในระยะการบินประมาณ5-6ชม ด้านตะวันตกของทวีป เล็งCape Verdeกับกีนี ไว้แต่ทะเลฝั่งแอตแลนติกยังไงก็ไม่สวยเท่าทะเลแดง Kenya กับ Mozambiqueก็เป็นอีกสองที่ๆเล็งไว้ แต่ไกลไปหน่อย นี่มันเกินพักร้อน1อาทิตย์ไปซะแล้ว เลยลองดูทางใต้ของอียิปต์ที่ติดกับชายแดนของซูดานแทนครับ ที่แน่ๆ ต้องไม่ไปพักโรงแรมและไม่ไปกับทัวร์ ข้อเสียของการไปดำน้ำคือสัมภาระเยอะและหนัก ซึ่งเวลาไปที่ๆยังไม่โดนบุกเบิกจะเสียความคล่องตัวอย่างมากครับ จะขอติดรถ โดดขึ้นท้ายไปก็ไม่ได้ ต้องใช้สองมือลากกระเป๋า แต่ขนาดนน.เกินที่กำหนดในตั๋วไป5กก เปิดกระเป๋ามามีเสื้อยืดแค่5ตัวเอง ที่เหลือเป็นอุปกรณ์ดำน้ำกะกล้องหมด ไปหาเจอที่พักเป็นแคมป์กลางทะเลทรายครับ เห็นว่าห่างไกลความเจริญมากจนต้องใช้โทรศัพท์ดาวเทียมเลยตัดสินใจ เอาที่นี่แหละ บริษัทติดต่อไม่ได้แน่ๆ วะฮ่าๆ (ทีหลังมารู้ว่าเป็นอีกแคมป์ที่อยู่ใต้กว่า แคมป์นี้มีสัญญาณ) ซื้อตั๋วเครื่องบินได้ วีซ่าผ่าน แล้วก็ไปเลย-จริงๆช่วงเตรียมตัวมันนานกว่านี้ แต่ขอรวบรัดหน่อย วันเดินทางได้เพื่อนร่วมเดินทางเป็นคนอียิปต์ตั้งแต่เครื่องยังไม่ออก มาชวนคุยตลอดทาง พอบินไปถึงจุดหมายที่Hurghada เหตุผลที่เขามาตีสนิทก็เริ่มชัดเจน เขาขอร้องให้ช่วยถือของออกผ่านศุลกากรให้หน่อย ด้วยเหตุผลที่ว่าคนอียิปต์จะโดนตรวจและต้องจ่ายภาษีทุกคน อันนี้ไม่มีทางครับ เกิดมียาเสพติดตูไม่โดนประหารเรอะ แถมที่สนามบินก็มีพวกขอเงินเต็มไปหมด เข้าห้องน้ำ เอารถเข็น ทีละปอนต์2ปอนต์ เกลียดเมืองนี้จริงๆ อยากรีบออกแต่สายพานกระเป๋าก็หยุดนิ่ง เห็นคนอียิปต์ที่ปฏิเสธความช่วยเหลือไปคุยๆกับพนักงานเลยเริ่มโรคจิต สายพานหยุดนานขนาดนี้อาจจะมีคนเอาของมายัดกระเป๋าได้เลย (นี่คือการระวังตัวเวลาไปเที่ยวคนเดียวครับ) พอได้กระเป๋าเลยลองเช๊คช่องซิปทุกช่อง เห็นล๊อกกระเป๋ายังปิดอยู่เลยพอใจชื้นขึ้นหน่อย เอากระเป๋าเสร็จยังไม่รู้เลยว่าจะมีคนมารับหรือเปล่า ตามคาด ไม่มีจริงๆ เอาไงล่ะ เพราะบริษัทแม่ส่งe-mailไปบอกผู้จัดการแคมป์ แต่ที่แคมป์ไม่มีe-mail เจริญล่ะ โชคดีพกlistเลขโทรศัพท์ของทุกบริษัทไว้ โทรไปบอกที่แคมป์ซักพักก็มีคนมารับ จากนี้ต้องนั่งรถลงใต้ไปอีก4ชั่วโมง โดดขึ้นไปนั่งกะคนขับกับลูกที่พูดอังกฤษไม่ได้ซักคำ แต่อารมณ์คลาสิกมากครับ เปลี่ยนสีเปลี่ยนโลโก้ในรูปหน่อย นั่งรถไปซักพักมานึกขึ้นได้ว่ากระเป๋าที่ลุงคนขับเอาขึ้นไปผูกไว้บนหลังคารถนั่นมันมีทั้ง เลนส์ Housingทั้งชุด, Reg, เงินสด, ตั๋วเครื่องบิน นี่หว่า แถมมีขับๆไปจอดแล้วลงรถไปดูทางข้างหลังเหมือนว่ามีกระเป๋าตกอีก เป็น4ชั่วโมงไซโคว์จริงๆครับ ของจะตกไหมวะ, รูปซิปปิดกระเป๋าหรือเปล่า เกิดเงินปลิวออกไปล่ะ นั่งรถไปกลางทะเลทรายที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีเมือง ไม่มีทุ่ง แม่น้ำ ต้นไม้ นานๆทีก็จะมีสิ่งก่อสร้างเป็นหย่อมๆ ตอนที่ถ่ายนี่รู้สึกเหมือนเป็นนักข่าวมาทำสารคดีในประเทศกันดารมากครับ ตามทางหลวงก็จะมีCheckpointเป็นระยะๆ เป็นด่านกันถนนถาวร ทหารหน้าถมึงถือAK47 มีกำแพงคอนกรีต Spikestriptไว้เจาะยาง ถ้าเกิดยกกล้องขึ้นถ่ายแล้วเขาไม่ชอบจะยิงสวนมาไหมนะ อันนี้เป็นหอยิงปืน แท๊งค์น้ำ มาถึงครึ่งทางก็มีเมืองชื่อ El Quseir เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางใต้นี่ละ แต่ดูสภาพเอาเองครับ กลางวันร้อนมาก คนเลยไม่ค่อยออกมาเดิน พอตกเย็นหน่อยจะเริ่มคึกคัก เต็มไปด้วยตลาดและแผงขายของ ทั้งเมืองไม่มีอารยธรรมตะวันตกเลย มีแต่ร้านขายของชำ หลายๆเมืองในบ้านเรายังใหญ่ซะกว่าเลย บังเอิญผมชอบแบบนี้ซะมากกว่าอยากเห็นStarbucksหรือ Burger king ขึ้นเป็นดอกเห็นนะ หวังว่าจะเป็นแบบนี้ตลอดไป หลับไปหลายตลบ ตื่นขึ้นมาก็ยังอยู่บนถนน ไม่ถึงซะที กลางทะเลทรายแบบนี้ไฟถนนไม่มีเลย มีแต่แสงจันทร์ คนขับก็เปิดไฟสูงตลอด สังเกตุว่าพอคนขับรถสวนกัน เขาก็จะลดไฟสูงลง แต่ระหว่างที่สวนนั้นก็จะผลัดกันกระฟริบไฟสูงแยงตากับเหมือนกับการขอบคุณที่ลดไฟสูงให้ อีกฝ่ายก็ขอบคุณกลับ สลับกันขอบคุณไปมาหลายครั้งจนรถสวนกันในที่สุด เพื่ออะไร! ไม่เข้าใจ แต่อดขำไม่ได้ครับ ในที่สุดก็ถึงแคมป์ 4ทุ่มกว่า เหนื่อยเหลือเกินเพราะคืนก่อนก็จัดกระเป๋าจนเช้า ไม่ได้หลับเลย เข้ากระท่อมแล้วยังต้องประกอบhousingเตรียมสำหรับพรุ่งนี้ ทำความสะอาดo-ringอีก กว่าจะได้นอน ลืมบอกว่าที่นี่เรียกแคมป์เพราะมีแต่กระท่อมอิฐกับเต้นท์ครับ ไม่มีทีวี โทรศัพท์ หรือแอร์ รอบๆแคมป์ก็ไม่มีอะไรเลยครับ มีแต่ทรายกับอุฐ บังเอิญกระท่อมที่ผมจองแบบใช้ห้องน้ำรวมมันเต็ม เลยได้upgrade ฟรี เป็นแบบมีห้องน้ำในตัว เอาฟะ เสียบรรยากาศดิบๆนิดหน่อย แต่ทำความสะอาดกล้องได้ง่ายขึ้น ไม่มีแสงไฟนอกจากที่แคมป์แถมกลางทะเลทรายแบบนี้ไม่มีความชื้นในบรรยากกาศ ตลอด1อาทิตย์ที่ไปดำน้ำไม่ได้เห็นเมฆเลยซักก้อนเดียว ดาวเยอะมากๆครับ พระจันทร์เต็มดวงแบบนี้กระแสน้ำแรงแน่ๆ ได้เวลาแกะเอาhousingมาประกอบละ เอาขึ้นเครื่องมาด้วยพร้อมRegเลย เพราะของแบบนี้โหลดลงใต้ท้องอาจจะเป็นชิ้นๆได้ แอบมองคนนั่งหน้าจอx-rayที่สนามบิน เห็นคิ้วขมวด คงเห็นแท่งโลหะ สายระโยงระยาง แต่ดันไม่ตรวจวุ้ย โชคดี ทีแรกจะจะซื้อกระเป๋าของLoweproใส่ซะ แต่มีแค่รุ่นสองรุ่นที่จุได้ทุกอย่างและขนาดไม่ใหญ่เกินที่จะเอาขึ้นเครื่อง เลยต้องดัดแปลงกระเป๋าที่มีอยู่ให้ใส่ทุกอย่างได้โดยที่ของไม่กลิ้งไปๆมาๆ ทับกันเอง ครือใช้bubble wrapเยอะๆนั่นแหละครับ ติดตามต่อตอนหน้าครับ ลองกล้องครั้งแรกกะเริ่มดำน้ำกะบัดดี้บ้าบิ่น
Create Date : 15 พฤศจิกายน 2550
32 comments
Last Update : 14 พฤษภาคม 2551 4:47:57 น.
Counter : 2667 Pageviews.