รู้เรื่องสุขภาพและอาหารสำหรับผู้หญิง
สุขภาพผู้หญิง / อาหารเสริมและวิตามินผู้หญิง
<<
ตุลาคม 2565
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
6 ตุลาคม 2565
อาหารเสริมสำหรับเด็ก แบบไหนดีที่เหมาะสม
สมองแล่นกับ 8 สารอาหารบำรุงสมอง
คิดกินวิตามินหรืออาหารเสริม
ภาวะหมดไฟในการทำงาน
กินยาคุมกำเนิดแล้วผิวสวย หน้าใสจริงหรือ
วิธีการคุมกำเนิดในปัจจุบัน
เคล็ดลับหน้าเด็กตลอดกาล
อาหารเสริมสำหรับเด็ก แบบไหนดีที่เหมาะสม
สมองแล่นกับ 8 สารอาหารบำรุงสมอง
นี่ฉันอ้วนหรือไม่...เช็คง่าย ๆ ไม่ต้องเดา
ทานอาหารดี ช่วยเพิ่มน้ำหนัก
5 อาหารทานแล้วช่วยเสริมความจำในวัยผู้ใหญ่
เคล็ด(ไม่)ลับ "กินดี" หนีโรคหัวใจ
วิตามินดี 3 เสริมสร้างภูมิที่ไม่ควรมองข้าม!
อาหารเสริมสำหรับเด็ก แบบไหนดีที่เหมาะสม
ขอบคุณภาพจาก
Pinterest
ในความเป็นจริงการประกอบอาหารอย่างพิถีพิถันอาจทำไม่ได้ในทุกมื้อ หรือเด็กอาจมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ปกติ เลือกรับประทานอาหารเฉพาะที่ตนชอบ รับประทานอาหารแปรรูปมากเกินไป หรือ มีปัญหาสุขภาพ เช่น ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร หอบหืด เป็นต้น สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เด็กขาดสารอาหารและจำเป็นต้องได้รับผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมอาหารให้ครบถ้วน
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO และ หน่วยงานด้านสุขภาพแห่งชาติของสหราชอาณาจักร(NHS) ได้แนะนำให้เด็กเล็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ถึง 5 ปี ได้รับวิตามินและเกลือแร่เสริมหากได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะขาดสารอาหาร โดยวิตามิน เกลือแร่ที่มีหลักฐานในการส่งเสริมสุขภาพของเด็กเล็ก ได้แก่ วิตามินเอ ซี และ ดี
วิตามินเอ (เรตินอล)
วิตามินเอเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อสายตา ส่งเสริมการเจริญเติบโต ปกป้องเยื่อบุต่างๆในร่างกาย และส่งเสริมภูมิคุ้มกัน วิตามินเอสามารถพบได้ใน อาหารประเภท ชีส ไข่ น้ำมันปลา นม โยเกิร์ต และยังสามารถได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน โดยร่างกายจะเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของเรตินอล เบต้าแคโรทีนสามารถพบได้ใน ผักหรือผลไม้ที่มีสีเหลือง แดง หรือ สีเขียว เช่น ผักโขม แครอท มะละกอ มันเทศ เป็นต้น หากขาดวิตามินเอ จะทำให้เกิดความผิดปกติทางสายตา เจ็บป่วยและติดเชื้อได้ง่าย เช่น ท้องร่วงหรือหัด ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำต่อวันในเด็กทารกอายุ 7-12 เดือน เท่ากับ 500 ไมโครกรัม(มคก.) หรือ 1,667 IU ต่อวัน เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับในขนาด 300 มคก. หรือ 1,000 IU ต่อวัน เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับขนาด 400 มคก. หรือ 1,333 IU ต่อวัน และขนาด 600 มคก. หรือ 2,000 IU ต่อวัน ในเด็กอายุ 9-13 ปี
วิตามินซี
วิตามินซีมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและระบบภูมิคุ้มกันและยังช่วยร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก อาการขาดวิตามินซี ได้แก่ ผมแห้งแตก เหงือกอักเสบ เลือดออก ผิวแห้งหยาบกร้าน แผลหายช้า ผิวหนังเป็นจ้ำเลือดได้ง่าย เลือดกำเดาไหล และติดเชื้อโรคจากภายนอกได้ง่าย อาการขาดวิตามินซีอย่างรุนแรงจะมีเลือดออกตามไรฟัน หรือเรียกว่า scurvy อาหารที่เป็นแหล่งสำคัญของวิตามินซี ได้แก่ ส้ม ฝรั่ง กีวี สตรอเบอร์รี่ บล๊อคโคลี มะเขือเทศ พริกหยวกเขียวและแดง ปริมาณวิตามินซีที่แนะนำตามช่วงอายุต่อวัน ได้แก่ อายุ 0-6 เดือน ให้ได้รับขนาด 40 มิลลิกรัม (มก.) , อายุ 7-12 เดือน 50 มก., 1-3 ปี 15 มก. 4-8 ปี 25 มก. และ 9-13 ปี 45 มก.
วิตามินดี
วิตามินดีช่วยส่งเสริมกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังช่วยร่างกายดูดซึมแคลเซียม หากได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดความเสียงต่อการเกิดโรค rickets คือกระดูกอ่อนแอและผิดรูป อาหารที่มีวิตามินดีสูง ได้แก่ ปลาไขมันสูง เช่น แซลมอน ซาร์ดีน น้ำมันตับปลา ไข่แดง ชีส ธัญพืช วิตามินดียังสามารถได้รับจากแสงแดดโดยตรง อาจมีการส่งเสริมให้เด็กได้รับแสงอ่อนประมาณ 15-30 นาที โดยเฉพาะช่วงเช้าของวัน ขนาดของวิตามินดีที่ควรได้รับสำหรับเด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน คือ 5-7.5 มคก./วัน หรือ 200-300 IU สำหรับทารกตั้งแต่อายุหกเดือนเป็นต้นไป ควรได้รับในขนาด 10 มคก. หรือ 400 IU ต่อวัน
ขอบคุณข้อมูลจาก >>>
Create Date : 06 ตุลาคม 2565
Last Update : 6 ตุลาคม 2565 18:40:47 น.
0 comments
Counter : 83 Pageviews.
Share
Tweet
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
สมาชิกหมายเลข 5710653
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [
?
]
Webmaster - BlogGang
[Add สมาชิกหมายเลข 5710653's blog to your web]
Bloggang.com