ฮ่องกง ครั้งที่ร้อยของใครไม่รู้ แต่ครั้งแรกของหนูฮ่า
ต๊ายตาย เวลาผ่านไปสองเดือนแล้ว (ตั้งแต่เปิดหน้าแรกไว้) หรือนี่ สงสัยต้องวางมือจากงานมาเขียนถึงทริปนี้สักหน่อยท่าจะดี ไม่งั้นคงจะลืมเสียหมด
เทรลวัฒนธรรมลวงโลก อืมม์ ถ้าเป็นคนอื่นเขาก็ไปฮ่องกงกันเพื่อไปกินไปช็อป แต่เมื่อเราไม่ (อยาก) เน้นทั้งสองอย่าง จึงต้องขวนขวายหากิจกรรมอื่นทำ จากเอกสารแจกมากมายที่ได้รับมา เทรลวัฒนธรรมก็ดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ อย่ากระนั้นเลย เราก็เริ่มกันที่เส้นทางแห่งปัญญาบนเกาะลันเตาก่อนเลย
หลังจากขึ้นไปเดินวนรอบพระใหญ่บนเขาจนร้อนได้ที่ ก็สมควรแก่เวลาที่จะไปเดินชมต้นชาและป้ายแห่งปัญญาตามที่เอกสารแจกแนะนำ แต่ว่าทางเข้ามันอยู่ที่ไหนกันล่ะ เริ่มต้นก็แหม่งๆเสียแล้ว พอดีว่าช่วงนั้น บริเวณข้างๆวัดมีการก่อสร้าง (มั้ง) ป้ายเป้ยก็เลยหลุดหลวมหรือหายไปบ้าง ต้องอาศัยการคาดเดาและเดินตามคนอื่นๆ (ซึ่งก็บังเอิญเสียเหลือเกินว่า ตอนนั้นไม่มีใครอยากไปบริหารขาและบริหารสมองเอาเลย)
ทางเดินก็เย็นดีแหละนะ แต่ว่าต้นชาที่มีอยู่แห่งเดียวในฮ่องกงเนี่ย เอ่อ...ลืมไปก็ได้นะเคอะ ส่วนป้ายแห่่งปัญญาก็แหม พังไปซะหลายป้าย มีนั่งร้านล้อมรอบโดยไม่มีคนซ่อมแซม ไม่รู็ว่าซ่อมค้างไว้หรือว่าไม่กลับมาแล้ว แต่ก็เอาเถอะ เพราะถ้าเดินออกนอกทาง (ตามรอยทางที่คนอื่นเดินไว้ก่อนแล้ว) ขึ้นไปถึงยอด ก็ยังพอมองเห็นวิวสวยๆ ทั้งพระใหญ่และอ่าวที่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูก ถือว่าอภัยได้ เอ่อ (อีกที) ถ้าอากาศเเป็นใจน่ะนะ
ถ้าไปลันเตาแล้ว คนส่วนใหญ่ก็จะต่อไปหมู่บ้านชาวประมงมุ่ย-โอด้วย เพราะว่ามันอยู่ใกล้ๆกัน แถมถ้าเลือกขึ้นรถเมล์ (แทนรถกระเช้า) ก็มีโปรโมชั่น วัน-เดย์ พาสให้เลือก (ซึ่งขอบอกว่าไม่ได้ลดราคาอะไรน่าตื่นเต้นหรอก อาจจะลดซัก 50 เซนต์กระมัง) คำเตือนสำหรับคนที่ไปเองก็คือ พอขึ้นไปถึงพระใหญ่แล้ว โปรดไปเช็คเวลารถเมล์ก่อน รถสายที่จะไปมุ่ย-โอจากลานพระใหญ่มีระยะห่างประมาณชั่วโมงนึงน่ะสิ ถ้ามัวแต่เอ้อระเหย ก็จะเสียแผนทั้งขาไปขากลับ พึงระวังให้จงหนัก
จริงๆหมู่บ้านเขาก็มีมุมสวยๆหลายแห่งเหมือนกันแหละนะ แต่โดยรวมๆ มันก็ออกแนวงั้นๆ หรือว่าฉันจะเป็นพวกลูกทะเล มีบ้านคุณยายอยู่ปากแม่น้ำที่ออกทะเลเหมือนกัน เคยชินกับฉากชีวิตและกลิ่นเค็มเสียจนไม่เห็นแปลกเสียก็ไม่รู้ ต่อมประทับใจก็เลยไม่ค่อยทำงาน
แต่ยังไม่เข็ด เราให้โอกาสเทรลวัฒนธรรมบนเกาะฮ่องกงและฝั่งเกาลูนได้แก้ตัวบ้าง เลือกผิงชานละกัน เพราะไหนๆก็จะไปเที่ยวเว็ตแลนด์พาร์กอยู่แล้ว ปรากฏว่าแค่หาจุดเริ่มต้นก็หลงจนเหนื่อย ไม่รู้ว่าแผนที่มันห่วยขนาดหนักหรือว่าคนเดินมันบรมโง่
จากศาลเจ้าที่ปากซอย แผนที่บอกให้เดินเข้าซอยไป ไม่ไกลก็จะเจอจุดที่สอง เอ้า เดินรอบที่หนึ่ง เข้าไปสักพัก ทำไมมีก่อกำแพงเตี้ยๆ (ประมาณเอว) กั้นวะ ดูหน้าตาเหมือนซอยตัน หรือจะเดินทางดินเข้าไปดี เอ้า ไปก็ไป...ยังไม่ได้ถึงสิบเก้าเลย ร็อดไวเลอร์สี่ตัวเห่าเกรียวมาจากบ้านข้างในที่ไม่มีรั้ว พระเจ้า ไม่เห่าเปล่า เฉือกวิ่งออกมาด้วย หัวใจเต้นเป็นจังหวะดิสโก้ สวิงกิ้งจนแทบจะหลุดออกมาทางปาก ข่าวร็อดไวเลอร์ (ตัวเดียว) ขย้ำเด็กเสียชีวิตยังติดตา แล้วนี้มากันเป็นฝูง บรึ๊ยยยยย...นึกว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งในซอยเปลี่ยวของฮ่องกงซะแล้ว
เอาละ เด้งกลับออกมาโดยไม่เป็นอะไร แต่เราจะยอมแพ้ง่ายๆเรอะ ไม่มีทาง เราต้องหาต่อไป อืมม์ หมดปัญญาแล้วล่ะ เราต้องพึ่งความช่วยเหลือจากคนท้องถิ่น พอดีเจอสองแม่ลูกกำลังเข็นโซฟาไปทิ้ง เขาบอกว่าทางเดียวกัน มาๆ ตามมาเลยจ้า คุณพระคุณเจ้าช่วย มันไม่ได้เดินเข้าซอยเลยสักนิด มันเดินตามถนนสายหลักออกไปตั้งไกล แล้วถึงจะไปเข้าอีกซอยนึง แมร่งเอ๊ย แบบนี้พรุ่งนี้กรูจะไปถึงไหมเนี่ย
กำเสี่ยสองแม่ลูกเสร็จก็เดินไปตามทาง แอบยิ้มอย่างมั่นใจว่าคงจะไม่หลงแล้ว เพราะเจอป้ายสีชมพูที่แสนเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวเป็นระยะๆ แต่ให้ตายเถอะ ได้ของเก่าแก่ที่ชักชวนให้เรามาดูนี่มันช่างแสนจะธรรมดาสามัญ ประเภทบ่อน้ำแห่งแรกของหมู่บ้าน ที่ดูเหมือนท่อน้ำทิ้งแต่มีลูกกรงกันตก ศาลเจ้าที่ดูละม้ายคล้ายโรงงานร้าง เอาล่ะ กลั้นใจเดินไปจนจบเทรล (เพื่อจะไปต่อรถไลต์เรลน่ะสิ) แล้วก็บอกศาลา เป็นเทรลวัฒนธรรมที่หาความประทับใจไม่ได้จริงๆ พับผ่าเถอะ
้
วันสุดท้ายก่อนไปเซินเจิ้น มีเวลาเหลือประมาณครึ่งวัน เพราะโรงแรมที่เซินเจิ้นให้เช็คอินตอนบ่ายแก่ๆ ก็เลยไม่รู้จะไปไหน ตั้งใจไปเฮอริเทจมิวเซียม แต่ว่าแหม พอลงรถใต้ดินแล้ว เดินย้อนไปอีกหน่อยมันมีเทรลวัฒนธรรมชาทินให้เดินนะ จะไม่ไปดูสักหน่อยเหรอ มีหมู่บ้านในกำแพงล้อมด้วยนะ ใจหนึ่งถาม อีกใจหนึ่งก็ยังไม่เชื่อ มรึงยังไม่เข็ดอีกหรือไง ยังเมื่อยไม่พอใช่แมะ เอาละเถียงกันไปเถียงกันมา ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็ (อาจทำให้คน) ฆ่าคนได้ เอ้า ไม่ต้องเถียงกัน ไปดูๆให้เห็นเถอะ
จากสถานีรถใต้ดิน ลากขาเดินไปประมาณสองป้ายรถเพื่อย้อนไปวัด (ที่ก็เป็นวัดน่ะนะ) และเดินกลับมา หลงอีกห้าตลบเพราะพอมาถึงสี่แยก อยู่ๆป้ายสีชมพูก็หายไปเหมือนฟ้าแกล้ง พี่พลเมืองดีคนที่ห้าชี้ให้เดินเลาะสวนผัก ลอดอุโมงค์เข้าไป พระเจ้า ยากขนาดนั้นเลย กว่าจะไปถึงหมู่บ้านในกำแพงล้อม และเยี่ยมหน้าเข้าไปให้รู้สึกอายตัวเอง ว่าดูทีหรือ ทำไมเราถึงงช่างเป็นนักท่องเที่ยว "แฉนเฉือก" อย่างนี้ อยู่ๆก็เข้าไปด้อมๆมองๆในบ้านที่ผู้คนยังคงอยู่อาศัยกันเป็นส่วนตัว ถ้าเป็นบ้านเรา เราคงไล่ตะเพิดไอ้อีพวกนี้แทบไม่ทันไปแล้ว เฮ้ย...ไม่ไหว ไปพิพิํํธภัณฑ์ดีกว่า ไม่น่าหาเรื่องเลยตรู
เอาละ อาจจะฟังดูเลวร้ายเกินจริงไปเล็กน้อย (มองในทางกลับกัน นี่ขนาดเป็นอารมณ์ตอนกลับมาสองเดือนแล้วนะเนี่ย 55) แต่เหล่านี้คือสี่เทรลวัฒนธรรมที่ไปประสบพบเจอ คนอื่นอาจจะโชคดีกว่านี้ มีคนพาไป หรืออย่างน้อยก็ไปอย่างสนุก สบาย ไม่หลง และประทับใจกลับมา อันนั้นก็ไม่ว่ากัน ขอแสดงความดีใจด้วยกับคุณๆนะคะ อิฉันอาจจะแค่ดวงไม่ดี หรืออาจจะแค่ดวงตาเปี่ยมอคติเกินไป แต่บทเรียนที่ฉันได้ก็คือ ในบ้านเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องอะไร เราก็สมควรที่จะไปเสพสิ่งที่ขึ้นชื่อเหล่านั้นมากกว่าจะสะเออะไปหาเรื่องแปลกแหวกแนว เพราะถ้ามันเจ๋ง มันก็คงดังไปแล้ว
ฉะนั้น ถ้ามีคราวหน้า จะไปกินอย่างเดียวจริงๆ รับรองได้
Create Date : 23 พฤษภาคม 2552 |
|
5 comments |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2552 22:33:42 น. |
Counter : 737 Pageviews. |
|
|
|
that are u going
to believe me... the story I
told might sound impossible for u,
so I'm not going to tell it... but I just
want you to try it, to feel the same way I felt
and to reconize the miracal that is the Gift form
"GOD".. as he does done to my life and will also to you
if you welcome him in to yours