ใช้ชีวิตให้คุ้ม อิสระในทุกมุมมอง
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
31 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

สะบายดีเมืองลาว

ขอเก็บเป็นความทรงจำล้ำค่า เป็นที่มาของมิตรภาพ น้ำใจ


และ ความงดงามของธรรมชาติและการอนุรักษ์



//topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2008/11/E7162290/E7162290.html



ตอนแรกนัดแนะกับเพื่อนว่าจะไปย่ำตอกกันที่ปักกิ่ง แต่ผะเอินคิดช้า ราคาตั๋วและทัวร์มันขยับขึ้นซะสูงปี๊ด แผนการเตร่ปักกิ่งก้อเลยต้องพับเก็บไปก่อน เพื่อนว่าอยากเที่ยวต่างประเทศ จัดทริปให้หน่อย ด้วยแรงรักเพื่อน เอาใกล้ๆก่อนละกัน ไปมันส์กันแค่สองคน แถวๆชายแดนเราเนี่ยแหละดีที่สุด และแล้ว ทริปลาวเหนือ เวียงจันทน์-วังเวียง-หลวงพระบาง จึงงอกขึ้นในบัดดล....


นัดกันที่ขนส่งหมอชิต2 คืนวันที่ 22 ตค. เพื่อขึ้นรถ VIP 24 ที่นั่ง เที่ยว 20.25 น. ของ บ.รุ่งประเสริฐทัวร์ ที่จองตั๋วออนไลน์กับไทยรูทดอทคอมไว้ล่วงหน้าแล้ว รถออกเลทไปครึ่งชม. เขยิ้นไปได้แผ่บนึง โฮสเตรสก้อมาเสริฟ ข้าวกล่อง ขนม นม น้ำ ประมาณว่ากินให้อิ่ม นอนให้หลับกันบนรถจนถึงที่หมายไปเลย



23 ตค.


ถึงท่ารถหนองคายประมาณ 05.40 ก้อมายืนต่อแถวรอซื้อตั๋วอินเตอร์บัสหนองคาย-เวียงจันทน์ ราคา 55 บาท ออฟฟิศเปิดขายตั๋วตอน 6.00 แต่นอกเวลาทำการ เลยต้องจ่ายเพิ่มอีก 5 บาท พวกเราซื้อตั๋วรถเที่ยวแรก 7.30 ได้ตั๋วเรียบร้อยก้อไปล้างหน้าล้างตา เดินเล่นหามื้อเช้ากินกัน ไปได้อิ่มท้องกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวหม้อดินข้างๆวัดไรก้อไม่รุอ่ะ อิอิ รสชาดโอนะ ลูกค้าแน่นร้านเชียว


อินเตอร์บัสออกออกเดินทางเลทไป 7 นาที ใช้เวลาไม่นานก้อถึงด่านชายแดนหนองคาย รถจอดให้ผู้โดยสารไปจัดการเรื่องผ่านด่าน จากนั้นก้อไปจอดอีกทีที่ด่าน ตม.เข้าเมืองเวียงจันทน์ ที่ด่านนี้เสียเวลามากหน่อยเพราะนักท่องเที่ยวมากันเยอะ ระหว่างต่อคิวยื่นพาสปอร์ต เราก้อจัดการแลกเงินไว้ใช้ซัก 1000 บาท ตอนนั้นได้เรทที่ 1 บาท = 248 กีบ รอจนผู้โดยสารขึ้นรถครบ จึงไปต่อจุดหมายปลายทางที่ตลาดเช้าในนครเวียงจันทน์ และแล้วเรื่องไม่คาดฝันอันดับแรกก้อบังเกิดขึ้น...



เมื่อเปิดท้องรถเอากระเป๋า ปรากฎ...กระเป๋าพี่ไทยที่มาคันนี้ หายนับสิบใบ รวมถึงกระเป๋าเพื่อนโอ๊ตด้วย แต่ของเรายังอยู่แฮะ พี่ไทยเสียงเอะอะดังลั่น เอ๊ะกระเป๋าชั้นหายไปไหน ตำรวจลาวได้ยินเลยปรี่เข้ามาดู ก้อรู้ว่ามีนายเวียดหนุ่มนายหนึ่งท่าทางมีพิรุธ ตำรวจเลยยึดพาสปอร์ต ซักไซ้ได้ความว่า นายเวียดคนนี้ หอบเอากระเป๋าของชาวเราลงไปตั้งแต่ที่ด่านเพราะคิดว่าเป็นกระเป๋าของพรรคพวกตัวเอง(ให้มันจริงเห๊อะ) นายคนนี้เลยบอกว่าจะไปเอามาคืนให้ ขณะที่ตำรวจลาวถามชาวเราว่า ราคาประเมินของกระเป๋านี่เท่าไหร่ เพราะรัฐบาลลาวเค้ายินดีชดใช้ให้ใบละไม่เกิน 500 บาท โอ้ว...แม่จ้าวววววว.... ไรเนี่ย แต่โชคยังดีที่ท้ายที่สุดนายเวียดคนนั้นก้อนำกระเป๋ามาคืนให้ภายในเวลาไม่เท่าไหร่ร้อกกกก แค่เกือบๆ 2 ชม.เอ๊ง เสียเวลาทำมาหากินโม้ดดดด หุหุ


เอาละ หมดทุกข์หมดโศก...โอ๊ะโอ...ว่าเข้านั่นแฮะ! พวกเราก้อแยกย้ายกับกรุ๊ปพี่ไทยที่เป๋าหนีไปเที่ยวมาด้วยกัน กรุ๊ปนั้นเค้ามุ่งวังเวียงเลย แต่พวกเราขออยู่เที่ยวเวียงจันทน์ก่อน กะว่าจะสตาร์ทจากเวียงจันทน์ประมาณบ่ายแก่ๆ ถึงวังเวียงตอนหัวค่ำ เนื่องจากจองที่พักไว้เรียบร้อยแล้วก้อเลยไม่ต้องเผื่อเวลาเดินหาที่พักกันอีก พวกเราเรียกตุ๊กๆ ถามราคาพาเที่ยวไฮไลท์ของเมืองหลวง เค้าคิดคนละ 200 บาท เข้าใจว่าเป็นราคามาตราฐาน ณ ปัจจุบัน เพราะลองๆถามอยู่ 2-3 เจ้า ก้อได้ราคานี้ แต่เราต่อรองได้เหลือ 2 คน 300 ตั้งแต่ 10 โมงกว่าๆ ถึงบ่ายสามครึ่ง



ที่แรกที่แวะคือ ทาดหลวง และ อนุสาวรีย์พระไชยเชษฐาธิราช




แวะประตูชัย ถ่ายรูปกันด้านล่าง ไม่ได้ขึ้นไปชมวิวจากข้างบน เพราะงกไม่อยากเสียกีบอ่ะ อิอิ





จบจากประตูชัย ติดเที่ยงพอดี สถานที่ต้องเสียกีบเข้าชม เค้าปิดตอนเที่ยงกัน เลยได้แวะวัดที่ไม่ต้องเสียกีบไปพลางๆก่อน




บ่ายโมงตรงเผง มาเริ่มเดินกันต่อที่วัดศีรษะเกศ เป็นวัดเดียวในเวียงจันทน์ที่ไม่ถูกเผาโดยกองทัพไทย วัดนี้เค้าห้ามถ่ายรูปด้านใน เลยได้แต่เก็บภาพด้านนอกมาเป็นของฝากเท่านั้น



มาจบด้วยหอพระแก้ว ที่เคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ก่อนอัญเชิญมายังกรุงธนบุรีโดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ที่นี่ก้อเป็นอีกที่ ที่ห้ามถ่ายภาพ เลยได้แต่จดไว้ในความทรงจำ


จากนั้นคนขับตุ๊กๆ ก้อพาไปซื้อตั๋วรถไปวังเวียง เสียไปคนละ 240 เป็นรถ Minivan ออกจากเวียงจันทน์ตอนบ่ายสามครึ่ง ยังพอมีเวลา ตุ๊กๆเลยพาไปกินมื้อเที่ยง(ที่ไหนไม่รุ) อาหารก้อหร่อยดีนะ เปิปไป 3 อย่าง กับน้ำ 1 ขวดใหญ่ จ่ายไป 540 บาทค่ะ มิใช่กีบ ขนหน้าแข็งงี้ร่วงแทบเกลี้ยงแน่ะ โห...ไมแพงจังฟระ รุงิหากินเองดีฝ่า เฮ้อ...โดนไปซะแว้ว 1 ดอก



Minivan รับผู้โดยสารไปวังเวียงแค่ 4 คน มีพวกเรา 2 คน กับ คู่สามีภรรยาอีก 1 คู่ มารุทีหลังว่า เจ้าของรถเป็นคนวังเวียงที่หล่อ เซอร์ เข้ม(เป็คอ่ะ อิอิ) รถแวะจอดให้เข้าห้องน้ำที่บ้านน้ำลิก พวกเรารีบจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ วิ่งจ้ำอ้าวไปเก็บภาพสะพานข้ามแม่น้ำลิก พลันชายตาดูว่า มีสายตาประณามจากผู้ใดส่งมาให้ป่าว ปรากฏ...โล่งปลอดโปร่งค่ะ


ณ ที่แห่งนี้ ที่เรา และ Mr.VV ได้เริ่มบทสนทนากัน และก้อ ประทับจิตประทับใจจนถึงวังเวียง เพราะหลังจากส่งพวกเราลงที่สายซองเกสเฮาส์แล้ว (อันที่จริงจองไว้ที่เฮือนพักพูบานแต่เกิดผิดพลาดทางเทคนิคเล็กน้อย) คุณพี่ Mr.VV ร่ำลาตบท้ายว่า มีไรโทรมา พรุ่งนี้อยากเที่ยวไหนโทรมา พี่พาเที่ยวฟรี! อืม...จะว่าไปนับว่าเป็นข้อเสนอที่แจ่มมาก แต่เราไม่ขอรับข้อเสนอเค้าหรอกนะ ไม่ใช่กลัวเค้าพาไปต้มยำทำแกงหรอก แต่กลัวใจตัวเองมากกว่า เกิดหลงเสน่ห์วังเวียงเมื่อใด อาจมีอดไปหลวงพระบางน่ะสิ แงๆๆๆๆ


หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ก้อไปหามื้อค่ำกินกัน ที่สุดได้โรตีอันละ 40 บาท แพงอ่ะแถมไม่หร่อยด้วยจิ จากนั้นหาซื้อตั๋วรถไปหลวงพระบางวันมะรืนเรียบร้อย สนนราคาอยู่ที่คนละ 480 บาท พวกเราเลือกไปรถ Minivan เพราะมีเที่ยว 9 โมงเช้า จะได้ถึงหลวงพระบางไม่เย็นนัก แต่ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องเวลา ไปบัส VIP ราคาตั๋วถูกกว่า ซื้อตาม บ.ทัวร์ อาจแพงกว่าไปซื้อที่ท่ารถเอง แต่มันก้อสะดวกกว่า สำหรับเรา เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า คำณวนดูแล้ว เค้าก้อบวกเพิ่มไม่เท่าไหร่หรอก อันนี้ก้อแล้วแต่ความพอใจของแต่ละคนอ่ะนะ เดินเก็บบรรยากาศที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ แล้วอยู่ดีๆฝนก้อเทลงมา เป็นอันต้องกลับที่พักอย่างจำใจ


24 ตค.


ตื่นแต่เช้า เพื่อมาเก็บวิวริมน้ำซองที่เมื่อคืนไม่มีโอกาสได้ยลความงาม แล้วความประทับใจก้อบังเกิดอีกครั้ง โอ้ว...ว้าววววว ช่างงามจริงๆ














เมื่อชื่นชมความงดงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ดั่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ปานอย่างเต็มอิ่มแล้ว ก้อไปเช่าจักรยาน แพลนว่าจะปั่นเที่ยวถ้ำปูคำ เล่นน้ำที่บลูลากูนกัน สนนราคาค่าเช่า สำหรับจักรยานแบบมีเกียร์ 80 บาท/คัน/วัน จากนั้นก้อไปเปิปเฝอเป็นมื้อเช้า แซ่บหลายเจ้า แล้วก้อซื้อข้าวผัด 2 กล่อง ติดไปเป็นมื้อเที่ยงกินกลางทาง พร้อมทั้งพาหนะและเสบียงก้อเริ่มสองแรงแข็งขันปั่นคนละคันสู่จุดหมายปลายทาง



ข้ามขั๋ว(สะพาน) แบบนี้ต้องเสียกีบด้วยนะจ๊ะ คน 4000 รถถีบ 6000 รถเครื่อง 10000



แม้จะร้อน จนเหงื่อหยด เหนื่อยมิใช่น้อย เพราะระยะทาง 6 กม. ทางลูกรังสูงๆต่ำๆ ตลอดเส้นทาง แต่วิวทิวทัศน์สองข้างทางนี่ได้ใจอย่างแรง



มีหยุดพักเหนื่อยเล็กน้อยระหว่างทาง หมู่เฮาซิค่อยเฮ็ดแบบ ซิวซิวเด้อ



ถึงบลูลากูน สมาชิกขาว BP กลุ่มนึงมาทัก แต่เราก้อดันเมมน้อย ลืมซักไซ้ชื่อเสียงเรียงนามซะงั้น เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนๆที่เจอกันได้เข้ามาอ่านล่ะก้อ เคาะบอกด้วยนะคะ หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการปั่นจักรยานมา 6 กม. ก้อหิวตามระเบียบสิคะ เลยนั่งพักฟาดมื้อเที่ยงที่หนีบมาด้วย 1 กล่อง จากนั้นนั่งเขียนโปสการ์ดถึงเพื่อนๆ ก่อนที่จะง่วงจนต้องผลอยหลับซะก่อน พวกเราตกลงใจไปปีนถ้ำกัน ทางขึ้นเนี่ยไม่สบายเลยนะ แต่ยังไม่เท่าไหร่ ไอ้ที่เล่นเอาซะสาหัสเลยนี่ คือตัวถ้ำเลย เพราะทั้งชื้นทั้งแฉะ และเราก้ออุตริใส่แตะมาปีนถ้ำด้วยดิ ก้อตอนแรกกะว่าใส่แตะเล่นน้ำน่ะ ผ้าใบมันไม่ถนัดน่ะ



ในถ้ำมืดมาก ยังดีที่ไม่คิดทำแมนเกินพิกัด เช่าไฟฉายมาด้วย ปีนๆป่ายๆมันไม่ง่าย ไอ้เรานี่ถอดใจไปหลายๆๆๆๆๆรอบแล้ว เพราะรองเท้าลื่นมาก ในถ้ำมีเหวด้วย กลัวเอาชีวิตมาทิ้งเพราะพลัดตกดิ่งเหวถ้ำอ่ะ แต่เพื่อนโอ๊ตเชียร์ให้สู้ๆ ไอ้เราก้อเลย เออ...เอาก้อเอาวะ เพราะขาปั่นจักรยานมา เพื่อนก้อสู้ๆมากะเรา ข้างในถ้ำมีพระพุทธรูปนอนประดิษฐานอยู่ ถ้ำหินปูนลึก 400 เมตร ทางเข้าออกทางเดียว ลึกเข้าไปข้างในจะมีหินงอกหินย้อยจากการตกผลึกของแคลเซียมคาร์บอเนต ไม่มากมายแต่ได้ความดิบตามธรรมชาติเต็มๆ เพราะยังไม่ผ่านการซ่อมสร้างเพื่อการท่องเที่ยวอย่างถ้ำจัง ภายในถ้ำเป็นที่อยู่ของแบทแมนด้วยล่ะ เพราะความมืดเลยถ่ายรูปไม่ติดแต่เห็นได้ด้วยตาเปล่า นอกจากแบทแมนแล้ว เอาละหว่ายังมีสไปเดอร์แมนด้วยนะ คราวนี้ไม่พลาดเพราะเกาะอยู่ผนังถ้ำต่ำๆ



ออกจากถ้ำได้ นึกในใจ รอดแล้วตรู(หุหุ) เลยมานั่งพักเหนื่อยที่บลูลากูนอีกแผ่บนึง ระหว่างเดินเก็บภาพเด็กฝาหรั่งเล่นน้ำ ก้อมีผู้บ่าวลาว ซื่อน้อย มาขอเป็นเพื่อน ตอนแรกนึกว่าจะมาขายทริปอะไร ไอ้เราจะไม่เอาท่าเดียว ขัดใจบ่าวน้อยอย่างแฮง บ่าวเลยถามว่า ข้อยเว่าเนี่ย เจ้าเข้าใจบ่ ข้อยซิอยากได้เพื่อน ฮ่วย! เราก้อเหวอ...เอ๋อ...เหรอ เลยอ่ะดิ เอ้า! เอาก้อเอา เพื่อนก้อเพื่อน เออ..ก้อได้ ก้อเว่ากันอยู่พักใหญ่ เราเลยขอตัว บอกจะกลับแล้วจ้า ระหว่างทางกลับ แดดล่มลมตก ยังได้ชื่นใจกับวิวสองข้างทาง มนต์เสน่ห์แห่งวังเวียงมันช่างทิ่มแทงอารมณ์เสียจริงๆ


 




ออกจากถ้ำปูคำบ่ายแก่ๆ เลยต้องบายถ้ำจัง เพื่อจะได้เอาจักรยานมาคืนทันหกโมง แล้วก้อไปหามื้อค่ำกินกัน พวกเราเลือกร้านเวียงจำปา สั่งอาหารลาว อาทิ ข้าวเหนียว-ส้มตำ ลาบไก่(ที่เหมือนกระเพราแห้งๆ ไร้รสชาดเลยต้องบีบมะนาวปรุงรสเพิ่มเอง) นั่งดูการ์ตูนที่ร้านเปิดเอาใจลูกค้าฝาหรั่งจนถึงสามทุ่มครึ่งถึงได้ฤกษ์กลับที่พัก ระหว่างทางไม่ลืมเก็บบรรยากาศยามค่ำคืน ที่วันนี้นักท่องเที่ยวดูบางตาไปเยอะ แต่ขาประจำก้อยังอยู่ให้ดูไม่เงียบเหงานัก



สมกับเป็นเมืองยอดนิยมของฝาหรั่งตาน้ำข้าวจริงๆ สีสันค่ำคืน ไฮเทค และแพง


25 ตค.


 



จริงๆอยากนอนตื่นซักเจ็ดโมงครึ่ง แต่ความอยากซึมซับบรรยากาศสายน้ำซองยามต้องแสงอรุณแรกของวันมันดันมีมากกว่า ก้อเลยตื่นมันซะตี 5 เศษๆ แพ็คกระเป๋าพร้อมแล้วเดินไปเก็บภาพริมน้ำซอง แต่เช้านี้ขอเปลี่ยนมุมถ่ายรูปซักนิดนึง เดินข้ามสะพานไปฝั่งที่มีบาร์หลายๆๆๆๆร้าน ภาพที่เห็นเบื้องหน้า มันแจ่มแหล่มไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ามุมของเมื่อวานเล้ยจริงๆ ให้ตายสิ







ภาระกิจสุดท้ายก่อนลาจากวังเวียงคือ ส่งโปสการ์ดค่ะ



Minivan คันนี้แหละ ที่สองสาวต้องฝากสังขารไปด้วย


รถจอดให้พักสองจุด จุดแรกที่ ต.กะสี และจุดที่สองที่ ต.กิ่วกะจำ ทั้งสองที่มีร้านขายอาหารและห้องน้ำให้ปลดทุกข์ (แต่ไม่ฟรีนะคะ คนละ 2000 กีบค่ะ) วิวทิวทัศน์ที่ผ่านภูผาและหมู่บ้านชาวเขา ตามเส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวลด มันช่างสะกดจิตสะกิดวิญญาณให้นั่งเบิ่งภาพเบื้องหน้า ลดกระจกสูดอากาศแสนจะบริสุทธิ์ให้ชุ่มปอดทีเดียวเชียวล่ะ


Minivan พาเรามาถึงหลวงพระบางประมาณ 4 โมงเย็นเห็นจะได้ พอลงรถปุ๊ปก้อเจอรุมด้วยคนขับตุ๊กๆและเด็กเชียร์เฮือนพักที่มาพร้อมนามบัตรโบรชัวร์รูปถ่ายห้องพักพร้อมบอกราคาเสร็จสรรพ ใครใคร่ไปเฮือนไหนก้อไป ตรงนี้เองที่นักท่องเที่ยวต้องเสียค่ารถคนละ 10000 กีบเข้าตัวเมือง พวกนี้เค้าทำงานเป็นทีมนะจ๊ะ อย่างเช่น ใครจะไปเฮือนพักเดียวกัน เค้าก้อจะส่งขึ้นตุ๊กๆคันเดียวกัน อัดคนจนเต็มแล้วถึงออกรถ แหม...รายได้งามเชียว ส่วนแบ็คแพ็คเกอร์ที่เชี่ยวและเคี่ยวหน่อย ก้อจะออกไปเรียกตุ๊กๆด้านนอกท่ารถ เราว่าราคาอาจไม่แตกต่างแต่คงสบายกว่าตรงที่ไม่ต้องนั่งเบียดกับใครเค้าน่ะ


รถตุ๊กๆ มาจอดให้พวกเรา(และนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ) ที่ถ.สีสุพัน ซึ่งละแวกนั้นมีเฮือนพักอยู่หลายๆที่ แต่ละคนก้อกระจายไปดูห้องหับกันคนละทิศละทาง ส่วนพวกเราได้ห้องพัดลมคืนละ 200 บาทที่เฮือนพักจิดลัดดา หลังจากเช็คอินเรียบร้อย ก้อไปแลกเงินที่ร้านขายทองในตลาดดารา ซึ่งให้เรทดีกว่าสำนักงานแลกเปลี่ยนเงินตราหรือธนาคารในหลวงพระบาง



ใกล้มืดแล้ว สถานที่เดียวที่เปิดให้เข้าชมคือพระธาตุจอมพูสี เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกและวิวแบบพานอรามาของหลวงพระบาง ค่าเข้าคนละ 20000 กีบ ซื้อบัตรเย็นนี้ เย็นวันถัดไปเอาบัตรเดิมมายื่นซ้ำได้อีกด้วย



ลงจากพระธาตุจอมพูสี ก้อมาเดินซื้อของฝากกันที่ Night market ที่ดูๆไปเหมือนถนนคนเดินที่เชียงใหม่ เชียงราย ยังไงยังงั้น แต่จะว่าไป ของที่ขายก้อใช่ว่าจะถูกนะ บางอย่างต่อแล้วต่ออีกก้อลงไม่ได้เยอะหรอก เราซื้อเสื้อยืดคอกลม 13 ตัว+ของเพื่อนอีก 2 ตัว ได้ในราคาตัวละ 60 บาททุกไซส์ จำพวกเครื่องเงินแม่ค้าคงบอกราคาสูงไว้ก่อน เพราะต่อรองได้เยอะพอสมควร เหนื่อยกับการซื้อของฝากก้อเริ่มหิวแล้วล่ะ พากันเดินไปกินมื้อค่ำเป็นร้านริมน้ำโขง มีให้เลือกหลายๆร้าน เมนูนี่ดูๆไปก้อไม่แตกต่าง ราคาก้อประมาณกัน อันนี้ต้องลองเสี่ยงดวงเอาจะโป๊ะเชะเจอแม่ครัวทำอาหารรสชาดถูกปากป่าว มื้อนี้ของพวกเราไม่เลวเลยล่ะ บรรยากาศเย็นสบาย อาหารหร่อยใช้ได้ เสียดายที่ลืมจำชื่อร้านมา อิ่มท้องแล้วก้อเดินย่อยกลับที่พัก เดินเล่นๆประมาณ 3 กม.เอ๊ง


26 ตค.


ตื่นแต่เช้ามืดเพราะนัดแนะกับพนักงานที่เฮือนพัก จะไปเอาข้าวเหนียวฝากซื้อเอาไว้ล่วงหน้า 80 บาท ได้ 2 โลกว่าๆ ตีห้าครึ่งยังแต่งตัวไม่เสร็จดี ผู้บ่าวพนักงานเฮือนพักมาเคาะประตูเรียกว่า พระมาแล้ว เราก้อรีบวิ่งหน้าตั้งคว้าขัน(พาน) ข้าวเหนียว ออกไปก้อเห็นพระกำลังเดินผ่านมาอีกฟากถนนพอดี เช้าๆอย่างนี้ เห็นมีแม่หญิงลาวปูเสื่อรอใส่บาตรอยู่นางเดียว เราก้อไปนั่งคุกเข่าข้างๆเสื่อเค้า แม่หญิง เรียกให้มานั่งร่วมเสื่อเดียวกัน แล้วบอกวิธีปั้นข้าวเหนียว แม่หญิงเจ้าช่างน้ำใจงาม แต่ข้อยสิฮ่อนนิ้วหลายๆ สิบอกไห่ ที่ถนนหน้าเฮือนพักนี้ เพื่อนตื่นมาถ่ายรูปให้ไม่ทัน พระที่ออกมาบิณฑบาตรเส้นทางนี้ก้อไม่กี่รูป เราใส่ครบทุกรูป ยังเหลือข้าวเหนียวอื้อเลย แม่หญิงคนเดิมแนะนำให้เดินไปที่ถนนสี่แยกใจกลางเมือง เพราะจะมีพระจากหลายวัดผ่านเส้นทางนั้น



เรากับเพื่อนก้อน้อมทำตามคำแนะนำอย่างเต็มใจ ส่วนแม่หญิงขอตัวบอกจะไปทำสำรับไปถวายที่วัดต่อ เดินมาเจอพี่คนไทยที่รอใส่บาตรเหมือนกัน พี่ก้อเลยชวนมานั่งรอใส่บาตรด้วยกัน หลังจากใส่บาตรเสร็จก้ออยู่สนทนากับพี่เค้าซักพัก เค้าแนะนำให้ไปถ้ำติ่งกับน้ำตกกวางสี เราก้อเลยปิ๊งไอเดีย รีบกลับเฮือนพักแล้วติดต่อน้องเพ็งซึ่งเป็นพนักงานประจำที่นั่น ให้ช่วยจองรถไปสองที่ในวันเดียว ราคาคนละ 500 บาท



เมื่อจัดการเรื่องโปรแกรมเที่ยวเรียบร้อยแล้ว ก้อไปกินโจ๊กกันที่ร้านจำชื่อไม่ได้แต่อยู่หัวมุมถ.สีสุพันตัดกับถ.เสดถาทิลาด อร่อยนะขอบอก กาแฟลาวก้อรสชาดดีใช้ได้ ยังไม่อิ่มท้องต่อด้วยเฝอ 1 ชาม หาร 2 และแล้วก้อได้เวลาเดินทางไปท่าเรือ







ช่วงเช้าไปถ้ำติ่ง-บ้านปากอู แวะหมู่บ้านซ่างไหก่อน มีรถตุ๊กๆมารับที่เฮือนพักแล้วไปส่งที่ท่าเรือ อืม...ถ้าถามเรา เอาตามที่คิดนะ เราเฉยๆกับถ้ำติ่งอ่ะ ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปหลากหลาย แต่ก้อไม่ได้มีไรมากไปกว่านั้น แต่ที่ชอบคือตอนนั่งเรือได้ชมวิถีชีวิตริมน้ำโขงและทิวทัศน์เทือกเขาที่อยู่เบื้องหน้าก้อทำให้จิตใจอิ่มเอมได้มากแล้ว



ช่วงบ่ายไปน้ำตกกวางสี ด้วยรถ Minivan โชเฟอร์ชื่อ อ้ายจัน รถดีนั่งสบาย แอร์เย็นฉ่ำ สำหรับน้ำตกกวางสีนี่ ไม่ผิดหวังเลย เพราะใหญ่และสวยดี เห็นกิจกรรมที่ฝาหรั่งเค้านิยมชมชอบคือ กระโดดน้ำล่ะ ได้เก็บภาพมาบ้างเล็กๆน้อยๆ พักผ่อนชื่นชมความสวยงามของน้ำตกถึง 4 โมงครึ่ง ก้อได้เวลากลับกันซะที ขากลับอ้ายจันใจดี มีหยุดรถบนเขาให้ถ่ายภาพเมืองหลวงพระบางยามเย็นด้วยล่ะ อ้ายจันจอดรถส่งผู้โดยสารที่หัวมุม ถ.อุ่นเฮือน เราแกล้งแหย่ๆว่าส่งถึงที่พักไม่ได้หรอ อ้ายจันใจดีมิมีปฏิเสธให้ต้องน้อยอกน้อยใจ ไปส่งถึงที่หมายสบายผิดกัน โฮ๊ะๆๆๆๆ


กลับถึงห้องพัก ฝนก้อเทลงมา พวกเราเลยนั่งเขียนโปสการ์ดรอฝนหยุดจะได้ไปกินมื้อค่ำกัน ระหว่างนั้นก้อเปิดมือถือเช็คเห็นมี miss call เป็นเบอร์มือถือลาว จำได้ในบัดดลว่าเป็นเบอร์ผู้ใด ดีใจจนอยากลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้นแน่ะ อิอิ แต่กลัวเสียลุ้ค(นิดนึง) เลยเก็บอาการไว้ แล้วก้อพายามส่ง sms กลับไป แต่มันส่งไม่ได้ ไม่รุเพราะไรเหมือนกัน "เซ็งเป็ด" เลยเรา


ฝนหยุดแล้ว ก้อเตรียมไปหม่ำกัน คว้าเป้จะสะพายกล้อง แต่เอ...กล้องมันอยู่ไหนหว่า หาไปหามา หามาหาไป มันไม่มีอ่ะ ก้มๆเงยๆ มองบนเตียงก้อแล้ว ใต้เตียงก้อแล้ว ไม่เจออ่ะ ตายล่ะ คิดสิ คิดๆๆๆๆ นึกๆๆๆๆ สงสัยทำหล่นแน่ๆเลย แต่ที่ไหนล่ะ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ใช้กล้องคือ ถ่ายวิวหลวงพระบางบนเขาจากในรถขากลับจากกวางสี แล้วรถก้อมาส่งที่เฮือนพักเลย ฉะนั้น มั่นใจว่ามันต้องตกอยู่ในรถ ไม่ได้การละ ตอนนี้ใจแป้วเลย จะว่าไปกล้องหายน่ะ ไม่เท่าไหร่ แต่เมมหายนี่สิ โอย...เครียด โอย...ปวดหมอง โอย...แย่แล้ว รีบเลยค่ะ รีบวิ่งลงมาข้างล่าง บอกน้องมื๊ดให้ช่วยตามหาอ้ายจันที ยังดีที่จำทะเบียนรถได้ 2889 น้องมื๊ดสุดแสนจะน่ารัก กุลีกุจอโทรหาบริษัท ขอเบอร์ติดต่ออ้ายจันจนได้ แล้วโทรเจอตัวด้วย อ้ายจันว่า ทางบริษัทโทรมาถามแล้ว อ้ายจันเลยเดินไปดูที่รถ ปรากฏเจอกล้อง ตอนนั้นอ้ายจันนั่งซดเบียร์อยู่ร้านอาหารริมน้ำคาน น้องมื๊ดบอก จะขี่รถเครื่องไปเอาให้ เราเลยขอซ้อนท้ายไปด้วยจะไปขอบคุณอ้ายจันเค้าด้วยตัวเอง ไปถึงเจออ้ายจันตาเยิ้มเชียว เดินไปหยิบกล้องมาคืนให้ แล้วชวนเรานั่งซดเบียร์ด้วย อ้ายจันว่าเค้าบอกเพื่อนๆร่วมโต๊ะ(จำได้ว่า ชาย3 หญิง 2) ว่าจะมีเพื่อนคนไทย(ซึ่งหมายถึงเรา) มานั่งดื่มเบียร์ด้วย แต่เราคิดจริงๆว่ามันไม่สมควร เลยขอตัว บอกอ้ายจันว่า เพื่อนรอกินข้าวอยู่ แล้วก้อเลยขอเลี้ยงเบียร์อ้ายจัน 1 ขวด สำหรับน้องมี๊ด เราก้อถามว่ากินเบียร์ป่าว เด๋วเลี้ยง น้องมี๊ดว่าถ้าเรากินเค้าก้อกิน เราก้อ เฮ้อ... พี่ไม่กินจ้ะ ว่าแล้วเลยเปลี่ยนเป็นชวนไปกินข้าวด้วย แต่น้องมี๊ดว่าไม่เป็นไร เกรงใจ เราก้อเลยกะว่า เด๋วค่อยทิปให้ตอนเช็คเอาท์ละกัน สรุปคืนนั้นได้กล้องคืน เพราะความน่ารัก และน้ำใจงามของผู้บ่าวลาวทั้งสอง ขอบใจเด้อ...



กินข้าวเสร็จ เดินเก็บบรรยากาศค่ำคืนที่หลวงพระบาง ดูซิว่าจะแตกต่างจากค่ำคืนที่วังเวียงมั้ย แวะซื้อเค้กกิน 1 ชิ้น อีกชิ้นเอาฝากน้องเพ็งผู้น่ารัก


27 ตค.


เช้านี้งดใส่บาตรเพราะนิ้วยังบวมไม่หาย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก้อไปบอกน้องมื๊ดให้ช่วยจองรถ VIP เที่ยว ทุ่มครึ่งกลับเวียงจันทน์ ค่ารถ VIP + ตุ๊กๆมารับที่เฮือนพักไปท่ารถ จ่ายไปคนละ 560 บาท



เช้านี้ไม่มีพลาด โปรแกรมสำคัญ คือไปกินกาแฟดังร้านปะซานิยม ที่ใครๆว่า มาหลวงพระบางไม่มาปะซานิยม ถือว่ายังมาไม่ถึงหลวงพระบาง อ่ะ พวกเราก้อเอากะเค้าหน่อย ฝากข้อความประทับใจในไดอารี่ด้วย



จากนั้นไปเช่าจักรยานจะได้ตระเวนเที่ยววัดและพิพิธภัณฑ์ในหลวงพระบางซักหน่อย เมื่อวานลองเดินๆชิมลางตอนเที่ยงแล้ว คาดว่าให้เดินตากแดดหัวแดงเพื่อเข้าๆออกๆวัด เห็นท่าจะหน้าซีดขาสั่นเพราะแพ้แดดอ่ะจิ but สนนราคาค่าเช่าจักรยานมันแพงฉิบเลย ยิ่งกว่าที่วังเวียงอีก ที่วังเวียงแบบธรรมดามีตะกร้าคันละ 10000 กีบ/วัน มีเกียร์ 20000 กีบ/วัน แต่ที่หลวงพระบาง มีแบบเดียวคือธรรมดามีตะกร้า คันละ 40000 กีบ/วัน เราต่อได้แค่ 30000 กีบ เลยเอาคันเดียว ได้คันที่มีเบาะนั่งซ้อน มีอยู่คันเดียวด้วย(สงสัยเจ้าของร้านลืมถอดเบาะออก ได้ทีเอาคันนี้อ่ะ)



กลับมาเก็บสัมภาระและเช็คเอ้าท์แต่ฝากของไว้ที่เคาเตอร์ ถึงค่อยไปตะลอนกันต่อ สถานที่แรก อ๊ะ! แน่นอน จะเป็นที่อื่นเสียไม่ได้ ต้องที่นี่เลย หอพิพิธภัณฑ์หลวงพระบาง อนุสาวรีย์พระเจ้าศรีสว่างวงศ์ และหอพระบาง ค่าบัตรแพงมั่กๆๆๆตั้ง 30000 กีบแน่ะ แถมถ่ายรูปได้แค่เฉพาะด้านนอก ข้างใน No photography allowed จ้า



ณ พิพิธภัณฑ์หลวงพระบางนี้ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้รับความเอื้อเฟื้อจากผู้บ่าวลาว คราวนี้เป็นเจ้าหน้าที่แต่งชุดเขียวน่ะ ซื่อเดือน อ้ายเดือนพาเดินชมและให้ข้อมูลในแต่ละห้อง เสมือนจ้างมัคคุเทศส่วนตัวยังไงยังงั้น อ้ายเดือนอาสาพาเที่ยวชนบทหลวงพระบาง(อย่างที่เราแสนจะอยากไป)ด้วย แต่น่าเสียดายที่เราเจอกันช้าไป เพราะกำลังจะกลับเวียงจันทน์ค่ำนี้แล้ว



ถัดมาคือ วัดเชียงทอง ตั้งอยู่หัวมุมที่น้ำคานไหลมาบรรจบกับน้ำโขง เป็นศิลปแบบล้านช้างขนานแท้ และเป็นวัดเดียวในหลวงพระบางที่ไม่ถูกเผาทำลายโดยจีนฮ่อเมื่อครั้งทำสงคราม เนื่องจากเป็นสถานที่ตั้งค่ายทหารของทัพฮ่อนั่นเอง ที่วัดนี้ตั้งเสียค่าเข้าชมคนละ 20000 กีบ



วัดแสนสุขาราม ชาวหลวงพระบางเรียกสั้นๆว่า วัดแสน ที่วัดนี้ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม ด้านนอกกำแพงวัดฝั่งถ.สักกะลิน ตรงข้ามวัดแสนด้านที่มีเกสเฮ้าส์เยอะๆ จะมีร้านเฝอรสชาดดี ที่พวกเรากินรองท้องมื้อเที่ยง



วัดเชียงม่วน เป็นวัดเล็กๆ ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม วัดนี้มีหน้าบันรูปทรงไข่แสดงถึงอิทธิพลตะวันตก แต่มีสิมแบบเชียงขวาง



วัดมะหาทาด หรือ วัดทาดน้อย สร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ชื่อวัดมาจากเจดีย์องค์ใหญ่ที่เก็บอัฐิของพระนางยอดคำทิพย์(พระมารดา)



วัดทาดหลวง มีทาดใหญ่หลังสิมวัด สร้างในสมัยพระเจ้ามันธาตุราช เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วพระราชทานนามว่า "ธาตุศรีธรรมหายอโศกราช" ที่วัดทาดหลวงนี้ มีเก็บค่าเข้าชมด้วย คนละ 10000 กีบ


วัดทาดหลวงเป็นวัดสุดท้ายที่พวกเราแวะเยี่ยมชม เพราะฝนตกอีกวันแล้วคับทั่น เพื่อนโอ๊ตอาสาปั่นจักรยานให้เราซ้อนหนีฝนจนถึงร้านเช่าจักรยาน คืนจักรยานแล้วมานั่งจิบกาแฟเย็นลาวที่ ริมวังเกสท์เฮาส์ แอนด์ เรสตัวรองท์



แวะซื้อของที่ระลึกจากร้านกบน้อย ซึ่งอยู่ตรงข้ามเฮือนพัก เล็งๆไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงหลวงพระบางแล้ว ชอบการจัดแต่งร้านจัง เจ้าของเป็นคนฝรั่งเศส พนักงานว่า ของทุกชิ้นทำในลาว และรายได้ส่วนหนึ่งเข้าการกุศลไรซักอย่าง พวกเราก้อเลยอุดหนุนกันคนละชิ้นสองชิ้น


หกโมงสี่ห้า รถตุ๊กๆก้อมารับพวกเราที่เฮือนพัก เป็นช่วงเวลาที่เศร้าสะเทือนใจที่ต้องอำลาหลวงพระบางแล้ว โบกมือลากับสองผู้บ่าวลาวที่เดินตามมาส่ง พร้อมคำมั่นสัญญาของเราที่จะมาเยือนหลวงพระบางอีกครั้ง และคำมั่นสัญญาของบ่าวลาวทั้งสองที่จะอาสาพาเที่ยวทุกที่ที่เราอยากไปและตบท้ายด้วยเบียร์ลาว ก้อเอาสิ ในอนาคตอันใกล้คงได้รู้กันว่า น้ำคำของบ่าวลาวนี่เชื่อถือได้ไหมน้อ...



ตุ๊กๆใช้เวลาประมาณ 15 นาทีถึงท่ารถ และเมื่อรู้แน่ชัดว่า VIP ลาวไม่มีเสริฟอาหาร แต่มีแวะพักให้ซื้อกินได้ที่กิ่วกะจำ พวกเราเลยรีบจ้ำอ้าวหาเสบียงเตรียมไว้รองท้อง ซึ่งก้อคือแซนด์วิชที่หาซื้อได้ตามร้านค้าที่ท่ารถ ราคา 10000 กีบ เท่ากับซื้อที่ ถ.พูสี รถออกเลทไปเกือบครึ่งชม.


28 ตค.


ใช้เวลาเดินทาง 11 ชม. ถึงสายใต้เวียงจันทน์ แล้วก้อต้องจ่ายค่าตุ๊กๆอีกคนละ 10000 กีบ เพื่อไปซื้อตั๋วอินเตอร์บัส เวียงจันทน์-อุดรธานี เที่ยว 11.30 ราคา 80 บาท เปิดขายตั๋ว 8 โมงเช้า มีเวลาเหลือ เอาสัมภาระไปฝากป้อมยาม เค้าคิด 40 บาท สำหรับกระเป๋า 4 ใบ จากนั้นไปหามื้อเช้ากินแถวๆ ธาตุดำ แล้วไปเดินเล่นที่ Shopping Mall ตรงข้ามตลาดเช้า เค้าขายแต่ของก๊อปล่ะ ราคาที่บอกผ่านนี่สูงเอาเรื่องเลยนะ จำพวกกระเป๋า รองเท้า ก๊อปมาดูโหลเอามั่กๆๆๆ ดูๆไปก้อไม่มีไรน่าสนใจซักเท่าไหร่



ขากลับเสียเวลากับ ตม.ไม่นานนัก นั่งรถไม่ถึง 2 ชม.ดี ก้อถึง บขส.อุดรแล้ว แล้วก้ออีกทีกับฝั่งไทย ที่ตุ๊กๆมารุมล้อมหน้าล้อมหลัง ถามราคาไปสนามบินเท่าไหร่ เค้าคิดคนละ 80 บาท จริงๆเราก้อไม่รุหรอกว่ามันใกล้ไกลเท่าไหร่ยังไง แต่รุสึกว่า ทำไมถึงคิดราคาต่อหัวล่ะ ฝั่งไทยก้อเอาอย่างฝั่งลาวด้วยหรอ เราก้อเลยไม่ไป ก้อมีที่เดินตามมาแล้วลดราคาลงเรื่อยๆ สุดท้ายมาจบตรงที่ 100 บาท เราต่อเหลือ 80 เค้าบอกไม่ได้จริงๆ ก้อเห็นความพายามเค้า แล้วคิดว่าคงไม่ได้ต่ำกว่านี้ ก้อเลยโอเคที่ 100 บาทถึงสนามบิน เราบินแอร์เอเชีย ไฟลท์ 17.40 ตอนโปรโมชั่น 1290 บาท+50 บาทค่าโหลด 1 กระเป๋า ถึงสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ









 

Create Date : 31 ตุลาคม 2551
16 comments
Last Update : 29 เมษายน 2552 20:47:21 น.
Counter : 2957 Pageviews.

 

ตอนเราไปหลวงพระบาง ผมก้อพักที่ เฮือนจิดลัดดา ผมว่าพนักงานที่นี่เค้าน่ารักดี บริการด้วยใจจริงๆๆ ตอนนี้ไม่ทราบว่า อ้ายคง กะอ้ายฤทธ์ ยังทำงานีท่นั่นรึป่าวครับ

 

โดย: Aof IP: 125.27.197.206 1 พฤศจิกายน 2551 14:29:39 น.  

 

เออ เจ๋งดีอะ เสียดาย แต่เห็นแกเที่ยวสนุกก็ดีแล้ว ถ่ายรูปสวยดีใช้กล้องตัวเดิมป่าว

 

โดย: Ultramafia IP: 124.121.205.240 2 พฤศจิกายน 2551 11:53:59 น.  

 

กล้องคอมแพคตัวเดิมนั่นแหละ ยังมะมีปัญญาสอย DSLR หรอกจ้ะเพื่อนเลิฟ


 

โดย: LoveError 3 พฤศจิกายน 2551 13:41:44 น.  

 

คุณ Aof ตอนเราไป ไม่เจอคนชื่ออ้ายฤทธ์ อ้ายคงอ่ะค่ะ อาจยังทำงานอยู่ แต่ไม่เจอกันค่ะ เห็นด้วยกับคุณที่ พนักงานบริการด้วยใจ มีโอกาสเรายังโทรไปคุยกับน้องๆเลยค่ะ แล้วจะลองถามดูค่ะว่า อ้ายทั้งสองของคุณ Aof ยังทำงานที่นั่นป่าว

 

โดย: LoveError 4 พฤศจิกายน 2551 12:36:57 น.  

 

แวะมาทักทายอีกครั้งนะคับคุนน้องๆ ที่น่ารักทั้ง 2 คน

ขอบคุน สำหรับข้อมูลที่เคยให้ไว้ด้วยนะคับ ^^
.. .. .. .. .. ..
เล่าเรื่องลาว ได้ม่วนซื่นหลายๆ นิ.. ถ่ายรูปก็สวย..

แต่แหม แหม.....

จะถ่ายรูปก้อน่าจะบอกกันก่อน เพ่เสือจะได้เก็กหน้าหล่อๆ

ดันถ่ายมาทำไมเห็นแต่ข้างหลัง ก้อไม่รุ -_-"

ชิชิ -*-


 

โดย: พี่เสือ IP: 125.24.188.39 4 พฤศจิกายน 2551 23:55:19 น.  

 

หวัดดีครับ

รูปเยอะดีจังเลย

อยากไปลาวซะแล้วละ

 

โดย: chalawanman 10 พฤศจิกายน 2551 12:01:44 น.  

 

ผมรู้สึกประทับเป็นอย่างมาก ที่ได้เอาวัฒธรรมเมืองลาวมาให้ได้รับรู้ และที่สำคัญรู้สึกว่า คุ้นหน้าเราทั้งสองมาก ไม่รู้เคยเจอกันที่ใหนหรือเปล่า ??? เลยให้email ไว้แล้ว เผื่อว่าครั้งต่อไปจะได้มีคนนำทาง.....เจอกันจ้า

 

โดย: pongpana04@yahoo.com IP: 124.157.176.113 11 พฤศจิกายน 2551 20:11:27 น.  

 

อิอิ สงสัยเราสองคนจะหน้าโหลแฮะ ว่าแต่มั่นใจเร้อคะ จะเป็นผู้นำทาง หุหุ...

 

โดย: LoveError 13 พฤศจิกายน 2551 12:10:02 น.  

 

จะไปต้นปีหน้านี้ล่ะค่ะ

มาอ่านแล้วได้ข้อมูลเยอะดีจังค่ะ รูปก็สวยด้วย

แล้วจะเอารูปมาอวดบ้างนะคะ

 

โดย: จิดึ IP: 203.144.250.210 21 พฤศจิกายน 2551 1:50:38 น.  

 

ขอบคุณกับข้อมูลครับ กำลังจะไปเที่ยวช่วงวันที่ 10 ธค นี้แหละครับ แต่กะว่าจะแวะไปเชียงขวางดูทุ่งไหหินด้วยครับ

 

โดย: ชัยณรงค์ IP: 58.64.116.60 23 พฤศจิกายน 2551 7:18:49 น.  

 

ภาพสวย เรื่องเยี่ยม ว่าจะไปเที่ยวกันช่วงวันหยุดวันเฉลิมฯ นี้อ่ะครับ มีอะไรแนะนำเพิ่มเติมบ้างไหมครับ

 

โดย: Jacky IP: 203.150.221.20 1 ธันวาคม 2551 16:15:08 น.  

 

คุณ Jacky อย่าลืมเสื้อกันหนาวค่ะ อากาศเย็นถึงหนาวตอนกลางคืนค่ะ ไปลาว ง่ายๆ ไปได้แบบ ชิลชิลค่ะ อ้อ! ถ้าจะส่ง Postcard ที่วังเวียง โปรดส่งที่ที่ทำการนะคะ เพราะเราส่งตู้เหลือง จนป่านนี้ ยังมาไม่ถึงเลยค่ะ

 

โดย: LoveError 1 ธันวาคม 2551 17:24:50 น.  

 

ซำบายดีบ่?????
คิดฮอดเด้อ....

 

โดย: pongpana04@yahoo.com IP: 125.26.253.207 13 กันยายน 2552 17:15:33 น.  

 

เปนหยังบ่นี่ เถิงคิดฮอดเฮา (อิอิ)


เฮาสะบายดี เฮ็ดเวียกแลก่ะเที่ยวๆๆๆ ใซ้ชีวิดซื่อๆ ทำมะดา


จำได้ว่าบ่อนหยู่เจ้า อีสานแม่นบ่


ไปไสมาบอกกันบ้างเตี๊ยะ คิดฮอดก่ะเมลมาโลมกันเด๋ย

 

โดย: LoveError 14 กันยายน 2552 12:24:28 น.  

 

เจริญพร.....โยม...
อายุ วัณโณ สุขัง พลัง .....
.....ตอนนี้เป็นบรรพชิตแล้ว...
อาตมาขอเอา พระพุทธ พระธรรม พระสง
ฆ์ เป็นสรณะแล้ว.....

เจริญพร

 

โดย: pongpana04@yahoo.com IP: 113.53.73.96 25 ธันวาคม 2553 10:00:36 น.  

 

ของให้คนไทยรกกันมากๆๆ

 

โดย: นางบัวพันธ์ IP: 10.0.21.120, 182.52.123.53 14 กุมภาพันธ์ 2554 20:25:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


LoveError
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





No title

 

 

 


Friends' blogs
[Add LoveError's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.