Group Blog
 
 
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
20 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
เมื่อ...ผีเสื้อขยับปีก บทเรียนที่ 2 ขบวนการมาสค์ไรเดอร์







วันแรกของชีวิตนักศึกษาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและวุ่นวายจากการที่ถูกรุ่นพี่รหัสจับพวกเราไปลงทะเบียนจนพากลับหอพัก พร้อมกำชับให้ไปถึงคณะให้ตรงเวลา เพราะวันนี้จะเป็นวันแรกที่พวกเราทุกคนจะได้พบกับรุ่นพี่ครบทุกคนไล่มาตั้งแต่ตั้งแต่ปีห้าหรือเกินกว่า และที่สำคัญกว่านั้นคือ พี่ๆรุ่นหนึ่งที่ถือว่าเป็นรุ่นบุกเบิกจะเข้ามาทำความรู้จักพวกเราตามธรรมเนียมของคณะ

เมื่อพวกเราเดินเรียงแถวไปที่บันไดคณะ รุ่นพี่ทุกคนยืนเรียงเป็นกรอบให้พวกเราอยู่ตรงกลาง พี่นาวินที่เป็นหัวหน้าสโมสรคณะที่คอยดูแลพวกเราตั้งแต่แรก ก้าวออกมาพูดนิ่งๆดังกังวาน

“วันนี้ถือเป็นวันแรกที่พวกคุณจะได้พบกับรุ่นพี่ทุกคน พวกคุณในฐานะน้องใหม่มีหน้าที่ที่จะทำให้พวกเรารุ่นพี่จดจำพวกคุณ พวกคุณแต่ละคนต้องออกมาพรีเซ็นต์ตัวเองแล้วหลังจากนั้นรุ่นพี่ปีสองจะเป็นคนตั้งชื่อใหม่ให้พวกคุณ”

พี่นาวินกวาดสายตามองอย่างช้าๆ “เราจะแบ่งพวกคุณออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละห้าคน เราจะให้เวลาพวกคุณไปปรึกษากัน จะพรีเซ็นต์เป็นกลุ่มหรือแยกทีละคนก็ตามใจ ที่สำคัญก็คือ คุณได้ก้าวเข้ามาในคณะนี้ ความเป็นตัวตนถือเป็นเรื่องสำคัญ อย่าทำให้พวกเราผิดหวัง และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ อย่าทำให้ตัวเองผิดหวัง”

พี่กร พี่นวย และพี่สุกรี ออกมาแบ่งกลุ่มจนมาถึงฉัน พี่กรมองหน้าฉันแล้วก้มอ่านหนังสือรุ่นในมือแล้วพูดขึ้นมาดังๆ
“คนขี้เหงาหนึ่งคน ออกมารอคนขี้เหงาอีกคนละกัน”

เราสองคนก้าวออกมาช้าๆพร้อมกัน
พี่กรพูดเสียงปนขำสวนมา “มันรู้ตัวว่ะ”
เสียงหัวเราะรอบวงกองใหญ่ทำให้เราสองคนยิ่งก้มหน้างุด แล้วเพื่อนอีกสามคนที่ถูกเลือกก็ตามมาสมทบ

พวกเราห้าคนเริ่มทำความรู้จักกัน กลุ่มเรามีผู้หญิงสามคนคือฉัน นิ่มและพลอย ครามคือคนขี้เหงาที่ก้าวออกมาพร้อมฉัน ส่วนมินเป็นหนุ่มอารมณ์ดีที่มีรอยยิ้มฉายอยู่บนใบหน้าอยู่ตลอด

ฉันคิดว่าชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ลูกมันยากที่จะบ่งบอกความเป็นตัวตนของเจ้าของชื่อ แต่ก็นั่นล่ะกฎทุกอย่างยังมีข้อละเว้น นิ่มก็ถือเป็นอย่างนั้น นิ่มเป็นเด็กผู้หญิงหน้าใสตัวเล็กกะทัดรัดที่นิ่มนวลไปทั้งกิริยาท่าทางและการพูดจา จนทำให้เพื่อนๆพี่ๆในคณะต่างก็แปลกใจที่พ่อแม่ของนิ่มยอมให้นิ่มเข้ามาเรียนในคณะของเรา พ่อและแม่ของนิ่มจะขึ้นมาเยี่ยมนิ่มเป็นประจำ แรกๆจะแวะมาหาแทบทุกอาทิตย์ อ้อ!ลืมบอกไป นิ่มเป็นเด็กอยุธยานะ เป็นไงล่ะเห็นถึงความห่วงใยของพ่อแม่นิ่มหรือยัง ครั้งแรกที่พ่อกับแม่ของนิ่มก้าวเข้ามาที่คณะ ท่าทางของท่านเต็มไปด้วยความกังวล คำพูดที่ติดปากแม่ของนิ่มเสมอคือ
“ไหวเหรอลูก ถ้าไม่ไหวรอปีหน้าเอ็นท์ใหม่ดีกว่าไหมคะ”
แล้วนิ่มก็จะยิ้มนิ่มๆตอบกลับไปทุกครั้งว่า
“ไหวค่ะ อยู่ที่นี่หนูสนุกมากเลยค่ะ ป๊ากับแม่ไม่ต้องห่วงนะคะ”

แล้วพวกเราอีกสี่คนที่เดินตามมาเป็นขบวนก็จะส่งเสียงสนับสนุน และบอกว่าพวกเราจะคอยดูแลนิ่มเอง ป๊ากับแม่ไม่ต้องกังวล จนผ่านปีหนึ่งไปนั่นล่ะที่แม่ถึงได้หมดกังวล แล้วป๊าและแม่ของนิ่มก็มีลูกชายลูกสาวเพิ่มขึ้นมาอีกสี่หน่อที่พอเวลาปิดภาคเรียนทีไรเราต้องยกขบวนไปที่บ้านสวนริมแม่น้ำของนิ่มซึ่งกลายเป็นที่พักใจของพวกเราเสมอมา


ส่วนพลอยสาวกรุงเทพฯที่ทั้งสวยทั้งมั่นใจ ผมสีดำขลับยาวสลวยถึงกลางหลังสะดุดสายตาทุกคนตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน พลอยจากต่างนิ่มเรียกว่าคนละขั้ว ทุกคำพูดของพลอยตรงและชัดเจน พลอยเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ประเภทที่พลอยนิยามตัวเองเอาไว้ว่า “ผู้หญิงอย่างชั้นผู้ชายทั้งชอบและกลัวว่ะ แบบว่าสวยก็สวยดีหรอก...” พูดประโยคนี้แล้วพลอยมันจะขยิบตาเป็นทำนองบอกว่าเห็นถึงความมั่นของฉันไหมล่ะ แล้วพวกเราจะหัวเราะพร้อมกันแล้วพยักหน้าหงึกหงักทำเป็นเห็นด้วยทุกครั้งไป

มินบอกว่า “ไม่รู้จะเอาอะไรไปเถียงว่ะ มันก็สวยของมันจริงๆซะด้วย”

“...สวยก็สวยจริง แต่เขาก็ว่าอยู่ๆไปชั้นไม่เป็นแค่แฟนแต่จะกลายร่างเป็นแม่เขาแถมมาอีกอย่าง ก็เลยพากันถอยกรูด ชั้นเลยต้องค้างเติ่งอยู่กับพวกแกอยู่อย่างงี้เนี่ยไง” แล้วชะงักไปนิดก่อนพูดต่อ

“แต่ถ้าฉันจะเอาจริง แค่ดีดนิ้ว...แต่นี่เห็นใจพวกแกหรอกนะ ขืนไม่มีชั้นพวกแกจะอยู่ยังไง้” พลอยพูดราวเป็นบุญเป็นคุณเท่าไรแล้วที่มันยังคบกับพวกเราอยู่ไม่หนีหายไปไหนต่อไหน

“แต่ก็อย่างว่าล่ะ ผู้ชายใจปลาซิวแบบนั้นชั้นก็ไม่แลให้เสียจริตหรอกว่ะ คนอย่างชั้นคุณค่าที่คู่ควรโว้ย” พร้อมกับทำเป็นเงยหน้ามองฟ้า ทำตากลอกไปกลอกมาแล้วชี้ให้ดูเหมือนจะบอกว่าชั้นกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลอยู่นะพวกแกเห็นไหม

แล้วพวกเราจะทยอยเข้ามาปรบไหล่พลอยเบาๆราวกับแสดงความเห็นใจ เสียงหัวเราะกึกกักที่แกล้งทำเป็นกั๊กไว้ก็ประสานเสียงอย่างสุดกลั้นพร้อมกัน

กับมิน มินเป็นผู้ชายแบบที่เพื่อนอยากคบเป็นเพื่อน ความมองโลกในแง่ดี ไม่มีเหลี่ยมมุมทำให้ทุกคนที่ได้รู้จักกับมินสบายใจที่ได้พูดคุยด้วย ประโยคติดปากของมินที่หลังๆจะกลายเป็นประโยคที่พวกเราเอาไว้ปลอบใจตัวเองเวลาเจอเรื่องแย่ๆ แต่ประโยคนี้ใครพูดก็ไม่ได้อารมณ์เท่ามินพูด

“โลกมันยุ่งอยู่แล้ว อย่าทำให้ชีวิตมันยากขึ้นโว้ย”

ถ้ามินมีข้อเสีย ข้อเสียอย่างเดียวของมินก็คือ เป็นโรคหลงรักคนได้ง่ายดายจนเกินไป แค่มีสาวยิ้มให้ มินก็แทบจะเพ้อพกเดินตามเขาต้อยๆ หลงรักไปทั่วตั้งแต่พี่น้องร่วมคณะไปจนสาวต่างคณะโดยเฉพาะพี่สาวฝั่งสวนดอก ที่เมื่อมองดูระดับผู้หญิงที่มันไปหลงรักแล้ว ก็ยากที่เขาจะเอามัน คู่แข่งแต่ละคนไม่หนุ่มวิศวะเท่โก้ ก็หนุ่มมาดนุ่มคุณชายพจน์จากคณะแพทย์ศาสตร์ มินถึงได้มีโรคประจำตัวตลอดห้าปีที่เรียนมาก็คือ โรคอกเดาะเป็นระยะ แต่ความเป็นคนมองโลกในแง่ดีของมินทำให้มินไม่เคยจมอยู่ในห้วงอกหักของตัวเองนานนัก ก็มินหลงรักคนง่าย หัวใจของมินเลยพร้อมเป็นวินาทีที่จะก่อความรักครั้งใหม่ขึ้นมาเสมอ

ส่วนคราม เพื่อนสนิทที่สุดของฉัน ครามเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดแต่ความเป็นหนุ่มบุคลิกดีของครามจึงเป็นที่ดึงดูดสายตาของสาวๆให้เวียนจ้องมองเป็นระยะไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ไหนก็ตาม เวลาสาวๆเวียนเข้ามาทักทายต่างก็พ่ายออกไปด้วยความเป็นคนพูดน้อยของคราม ครามมักพูดแค่ “ ครับ ไม่ครับ ขอบคุณครับ” นี่คือคัมภีร์คำพูดของครามเวลาโดนสาวๆมาจีบ

ถ้าเอาคารมของมินมาโขลกรวมกับบุคลิกของคราม มินคงไม่มีวันอกหักและครามคงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาเสียที

ฉันกับครามเราต่างชอบดูภาพยนตร์ ดูกันได้ทุกแนวแต่ภาพยนตร์ที่เราหลงรักเป็นภาพยนตร์แบบที่พลอยบอกศาลา พลอยโบกมือลาหลังจากครั้งแรกที่หลวมตัวนั่งดู “Dreams” ของคุโรซาว่าพร้อมกันแถมบอกว่า

“ชั้นเอาเวลาไปท่องชื่อกระดูกทีละท่อนดีกว่าว่ะ ตอนนั่งดูก็ไม่รู้เรื่องแล้ว ดูจบไปแล้วถามตัวเองว่าดูอะไรมาวะเนี่ย ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ขอบายเหอะ วันหน้าวันหลังกรุณาอย่าชวน ขืนชวนมีเคือง”

เราสองคนเลยมีโลกส่วนตัวที่เพื่อนๆต่างเข้าใจคือการตระเวนหาเช่าวีดีโอหนังอาร์ตเก่าๆ บางครั้งถึงกับลงไปกรุงเทพฯเมื่อได้ข่าวหนังที่เราอยากดูมานาน

มินชอบแซวว่าถ้าจับเราสองคนไปใส่จอทีวี ต้องมีคำเตือนขึ้นที่หน้าจอว่า ทีวีบ้านท่านระบบเสียงมิได้ชำรุดและสองคนที่ท่านเห็นนี้ไม่ได้เป็นหุ่นยนต์ ทำเอาพลอยปรบมือชอบใจและนิ่มนั่งยิ้มสนับสนุน

ในกลุ่มพวกเราคนที่เป็นปากเป็นเสียงคือมินและพลอย ส่วนนิ่มพูดอย่างเพียงพอ แล้วฉันและครามเป็นโรคขี้เกียจพูด นี่คือคำนิยามกลุ่มพวกเราจากพลอย


วันแรกที่เรารวมกลุ่มกัน รอยยิ้มของนิ่มทำให้ความแปลกหน้าระหว่างพวกเราลดลง ในขณะที่มินทรุดตัวกุมศีรษะร้องโอดครวญ

“พรีเซนต์อะไรว้า” แล้วเงยหน้ามองกราดทำตางงๆ “พรีเซนต์นี่มันแปลว่าอะไร ช่วยแปลให้ผมเข้าใจทีเถอะครับ ที่พี่เค้าพูดออกมาผมเข้าใจไม่ถึงครึ่ง”

“นี่!นายโง่จริงหรือแกล้งโง่ห๊า”คนที่แหวสวนมาแน่นอนต้องเป็นพลอย ทำให้นิ่มถึงกับสะดุ้งแล้วพูดเสียงอ่อยๆแย้งออกมา

“เอ่อ...เราก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ ฟังแล้วก็ยังงงอยู่เหมือนกัน”

“อ้าว! งั้นเหรอ งั้นก็...มันคือ...จะอธิบายยังไงดีว้า” พลอยทำสีหน้ายุ่งยากใจ

“คือการนำเสนอตัวเอง จะเป็นท่าทาง คำพูดตามแต่ที่อยากเป็นอยากทำ อะไรก็ได้ ส่วนมากก็ทำให้บ้าที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นล่ะ” คำพูดเรียบๆของครามทำให้การประชุมกลุ่มของเราเริ่มต้นขึ้นได้สักที


มินกับพลอยเถียงกันสองคนไปมาระหว่างเสนอความคิดเห็น จนกระทั่งมาจบกันที่ความคิดของมินที่ทำให้พลอยถึงกับยิ้มกว้างพยักเพยิดเห็นด้วย แต่ทำให้นิ่มนั่งหน้าเหวอ ส่วนเราสองคนที่เหลือได้แต่นั่งนิ่งอย่างยอมจำนน


ในขณะที่พวกเรารอให้นิ่มและพลอยไปหาอุปกรณ์การแต่งตัว มินก็หันมาถาม

“หว่อง กา ไว...นี่มันคืออะไรเหรอ ผมอ่านที่คุณสองคนเขียนนะ อ่านแล้วก็มึนตึ้บ แต่ก็ดีนะทำให้ผมจำคุณสองคนได้ก่อนเพื่อนเลย แล้วตกลงคุณสองคนเป็นเพื่อนกันมาก่อนใช่เปล่า?”

ฉันกับครามหันมามองหน้ากันพร้อมส่ายหน้า “เราเพิ่งรู้จักกัน”

“อ้าว!แล้วทำไม...” มินมองหน้าเราสองคนสลับไปมา ปล่อยความเงียบทิ้งช่วงเวลารอคำตอบอย่างเห็นได้ชัด ครามเลยตัดสินใจเป็นคนทลายความเงียบ

“ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะเจอคนชอบหนังของหว่อง กา ไวในแบบเดียวกับที่ผมชอบ” ฉันพยักหน้ารับก่อนหันไปอธิบายเพิ่มเติมก่อนที่มินจะทำหน้างงมากไปกว่าเดิม

“คือหว่อง กา ไว เค้าเป็นผู้กำกับหนังฮ่องกงแต่ไม่ใช่หนังฮ่องกงแบบที่เรารู้จักอย่างโหด เลว ดี หรือผู้หญิงข้าใครอย่าแตะหรอกนะ จะเป็นหนังอาร์ตที่เล่นเรื่องความเหงาของคนที่โหยหาความรักน่ะ หนังของเค้าจะมีเรื่องการเล่นกับสัญลักษณ์ที่แฝงมากับตัวหนังแล้วก็มุมกล้องของดอยล์...”

ครามทอดรอยยิ้มทั้งปากและแววตา “ใช่...การกำกับภาพของดอยล์มันทำให้หนังของหว่อง กาไว สมบูรณ์แบบ เกิดเป็นความเหงาที่แสนจะโรแมนติก”

...เราสองคนเป็นคนประเภทเดียวกันจริงๆด้วย

“เหงานี่มันโรแมนติกได้ด้วยเหรอเนี่ย...” มินครางออกมาอย่างไม่เข้าใจ

“ต้องดู Chungking Express แล้วจะรู้...” ครามกับฉันพูดสวนขึ้นมาพร้อมกัน ทำเอามินยกมือชี้หน้าเราสองคน เสียงหัวเราะก็ปลดปล่อยความแปลกหน้าอีกครั้ง

“คุณสองคนเล่นเอาผมอยากดูเลยนะ” มินพูดขึ้นมาอย่างจริงจังทั้งคำพูดและแววตา จนเราต้องให้สัญญาว่าจะหาวีดีโอมานั่งดูด้วยกัน


เมื่อความแปลกหน้าเริ่มจางหายทำให้ฉันกล้าที่จะถาม

“คือ...ชั้นก็สงสัยเหมือนกัน คุณกับพลอยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า”

“ อ๋อ...คงแปลกใจล่ะสิที่พลอยมันพูดแรงๆกับผม ผมรู้จักกับมันตอนรับน้องรถไฟไง ตอนเห็นครั้งแรกผมน่ะตะลึงเลย ผู้หญิงอะไรสวยชะมัดยาด นี่...ผมกะจีบเลยนะตอนนั้น” มินพูดกลั้วหัวเราะแล้วส่ายหน้า

“แต่...ไม่ไหวว่ะ ตอนแรกนึกว่าเป็นพรหมลิขิตที่ได้มันมานั่งคู่ผม แต่ไปไปมามาดันกลายเป็นดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้งซะงั้น ผู้หญิงอะไรปากจัดชะมัด นี่..ผมต้องคอยเบรกไม่ให้มันของขึ้นตลอดทาง” มินถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ไอ้ที่กะจีบ เลยต้องติดดิสเบรกตัวโก่งเลย” ถอนหายใจอีกเฮือก “มันก็รู้นะ ชี้หน้าผมแล้วหัวเราะเยาะอีกต่างหาก”

“เฮ้ออออ ผู้หญิงอะไรรู้ทันไปหมด เพื่อนกันน่ะดีแล้ว” มินพูดอย่างเซ็งๆด้วยสีหน้าทะเล้นเรียกรอยยิ้มแห่งความเข้าใจให้เกิดขึ้นระหว่างเรา



เมื่อถึงเวลาที่กลุ่มของเราต้องออกไปพรีเซนต์หลังจากที่เพื่อนกลุ่มอื่นต่างทยอยออกไปแล้วพร้อมถูกรุ่นพี่ตั้งชื่อเล่นให้ใหม่ที่ทั้งแปลกทั้งประหลาดตามคาแรกเตอร์แต่ละคนที่นำเสนอออกมา

กลุ่มเราเปิดตัวด้วยการย่อตัวหันหลังให้รุ่นพี่เรียงตัวเป็นสามเหลี่ยม แต่ละคนก้มหน้าลงเอาผ้าสีต่างๆที่เจาะส่วนลูกนัยน์ตาไว้แล้วมาผูกปิดครึ่งหน้า

มินในฐานะที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มกระโดดหันตัวเป็นคนแรก คาดปิดหน้าด้วยผ้าสีแดงกางสองแขนพร้อมร้องตะโกน

“ไอ้มดแดงเมธิน..ผู้เปี่ยมด้วยความรักล้นใจที่พร้อมจะมอบให้สาวๆทุกคนคร้าบผม”

แถวต่อมาเป็นฉันและคราม...ครามกระโดดหันมาพร้อมยกมือเท้าเอว
“ไอ้มดดำกวินทร์ พิทักษ์โลกด้วยความรัก ”

ฉันกระโดดหันตามมา เท้าเอวกำกับอยู่อีกด้าน

“ไอ้มดเขียวธารา มีเวลาให้กับทุกๆคน”

แถวสุดท้ายตรงกลาง นิ่มหันมาอย่างช้าๆยกมือขวาขึ้นฟ้า พูดด้วยเสียงเบาๆ

“ไอ้มดอเมซอนนิ่มอนงค์ รักเด็กค่ะ”

มาถึงพลอยโพสต์ท่าราวกับนางแบบบนแคทวอร์ค

“ไอ้มดเอ็กซ์พลอยโกเมน สวยเซ็กซี่ที่หนึ่งในปถพีค่า”

“พวกเราขบวนการมาสค์ไรเดอร์!!!”

สิ้นเสียงประสานที่พวกเราพร้อมใจตะโกนข่มความอาย เสียงหัวเราะกระหึ่มดังสะท้อนทั่วทั้งโดม แล้วพวกเราก็ได้ชื่อใหม่เป็นไอ้มดต่างๆที่เราคิดให้ตัวเองไปจนจบปีหนึ่ง


หลังจากนั้นเวลาที่พวกเราเดินรวมกลุ่มไปตามซอกมุมไหนของคณะ มักจะโดนเรียกเหมากลุ่มแม้จากอาจารย์ที่ทำให้ต้องหันกลับไปขานรับโดยธรรมชาติแบบจำยอม

“ไง...ไอ้พวกมาสค์ไรเดอร์”









Create Date : 20 มิถุนายน 2551
Last Update : 5 ธันวาคม 2551 11:05:59 น. 0 comments
Counter : 587 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.