Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
22 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
ความรัก - ความเหงา

penguin2004
ความรักกับความเหงา

มีน้องสองคนมาชักชวนให้ร่วมเขียนเรื่องสำหรับส่งไปลงในธรรมะใกล้ตัว คนแรกให้หัว ข้อความรัก คนถัดมาให้หัวข้อเรื่องความเหงา ผมบอกคนหลังว่าสำหรับผมแล้ว ทั้งสองเรื่องนี้เป็น เรื่องเดียวกันที่พูดออกมาจากสองมุมนั่นเอง ลองมาดูกันครับ ว่าสองอย่างนี้เป็นเรื่องเดียวกันไหม
และอย่างไร ตลอดจนมีความเกี่ยวโยงกับพระพุทธศาสนาอย่างไร

ขอเข้าเรื่องด้วยการยกสิ่งที่สังเกตได้ล่าสุดจากเว็บแห่งหนึ่งที่ผมแวะไปบ่อยๆมาประ มาณ 4 ปี เห็นได้ชัดเจนว่า ปีแรกที่เข้าไป คือราวปี 2545 ชื่อกระทู้ช่วงนั้นไม่มีคำประเภท "เหงา" "เหงาจัง" "อกหัก" "แฟนทิ้ง" "เป็นโสด" ปะปนอยู่ในชื่อกระทู้ให้เห็นเลย แต่มาในช่วงปี 2549 ที่
ผ่านมา เปิดทีไรเป็นต้องเจอกระทู้ที่มีคำว่าเหงาปรากฏให้เห็นในหน้าแรกของเว็บ บางครั้งมีสาม กระทู้ในหน้าแรก ซึ่งสิ่งที่ผมมักจะทำทันทีถ้าขณะนั้นพอมีเวลาก็คือ เข้าไปออกความคิดเห็นสั้นๆ ทันทีว่า ให้ไปหาคำตอบได้ที่ //www.dungtrin.com/watha_love ซึ่งเท่าที่ติดตามอ่านดู เจ้าของ กระทู้ก็มักจะหายเงียบไปเลย จนไม่ได้ข้อมูลต่อเนื่องว่าเมื่อไปอ่านแล้วเขาเหงามากขึ้นหรือน้อยลง กันแน่ :-)

เคยตั้งใจค้นหาคำตอบกันบ้างไหมครับ ว่าความรักคืออะไร และความเหงาคืออะไร ความ รักเกี่ยวข้องกับความเหงาอย่างไร ทำไมจึงเหงา เหงามากขึ้นเมื่อไหร่ เหงาน้อยลงเมื่อไหร่ หายเหงาเมื่อไหร่ มีใครบ้างที่ไม่เหงา มีใครบ้างไม่ต้องการความรัก ที่ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน ตั้งใจสร้าง
ฐานะ หาเงินทอง หาคนรัก ไปเรียนหลักสูตรพัฒนาบุคลิกภาพ เรียนการแต่งตัวดีให้คนชื่นชม ทำผม แต่งหน้า หรือผ่าตัดเสริมหล่อเสริมสวยไม่ว่าส่วนใดในร่างกาย เกี่ยวข้องกับความเหงาหรือไม่อย่างไร

จากที่เห็นและมีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งกับตัวเองและคนรอบๆตัวมาหลายร้อยกรณีเป็นเวลาหลายปี สรุปได้ว่า คนที่กำลังเหงา ถ้าได้รับความรักแล้วจะหายเหงา ส่วนคนที่ไม่เหงา ก็ไม่ค่อยเห็นว่าความรักจะสำคัญถึงขนาดขาดไม่ได้เหมือนคนที่กำลังเหงาจับจิต

อารัมภบทมาพอแก่การระลึกถึงความเหงาของผู้อ่านแล้ว คราวนี้ขอแจกแจงสิ่งที่ผมได้ เรียนรู้มาจากทั้งครูบาอาจารย์ และจากสิ่งที่ประสบมาว่า ความเหงาคือความอยากรู้ว่าเรามี ตัวตนครับ และวิธีดับความเหงา มีสองวิธี

วิธีที่ 1 นั้นเป็นการดับแบบชั่วคราว คือหาสิ่งกระทบประสาทสัมผัส (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ที่แสดงว่าเรามีตัวตน โดยเฉพาะการที่มีคนอื่นมาให้ความสำคัญกับเรา ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกกัน ว่าความรัก คำบอกรัก อาการแสดงความรักไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำจากคนรักนั่นเอง ซึ่งวิธี
พื้นๆก็เช่น การกิน ดื่ม ดูหนัง สูบบุหรี่ อ่านหนังสือ กระหน่ำทำงาน นี่ก็เพื่อให้เรารู้สึกว่าเรามีตัวตน ซึ่งจะช่วยดับความเหงาลงได้

และวิธีที่ 2 ที่นำไปสู่การดับความเหงาอย่างถาวร คือการเฝ้ารู้ เฝ้าดูสิ่งใดก็ตามที่แสดง ถึงความเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นของเรา เพื่อทำความรู้จักกับมันอย่างชัดเจน และถ่องแท้ว่ามัน เป็นเรา เป็นของเราได้ตลอดไปโดยไม่สูญหายจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงความเข้าใจผิด ยึดถือผิด
ของเราเองโดยไม่ยอมเปิดใจรับความเป็นจริง และสุดท้าย เฝ้าดูไปจนกว่าจะรู้ว่า ความเป็นตัวเป็น ตน ความยึดว่าเป็นของเรานั้น โดยแท้จริงแล้วนั้น นำมาซึ่งสุขหรือทุกข์กันแน่

คนที่เหงา แม้อยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นในคอนเสิร์ต แต่ไม่มีใครสนใจหรือใส่ใจเขา ก็เหงาได้ ในทางตรงกันข้าม การอยู่กับคนที่มั่นใจ เชื่อใจจากความเห็นชัดแล้วว่า รักเขาอย่างไม่มีวันเปลี่ยน แปลง เพียงสองคนกลางป่าลึก แม้คนรักนั้นจะออกไปหาอาหาร วันสองวันก็ไม่รู้สึกเหงา เพราะรู้สึก ถึงความรักนั้นอยู่ เรียกว่าใจมีเครื่องอยู่อันเป็นความรักความเมตตาจากคนรักของเขานั่นเอง

คนที่เหงา เมื่อได้รับความรักความใส่ใจ จะมีความสุขความสดชื่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่คนที่ไม่เหงา หรือคนที่ได้รับความรักมากอยู่แล้ว แม้จะได้รับความรักเพิ่มขึ้น ก็ไม่รู้สึก อะไรเป็นพิเศษ และอาจจะรำคาญเสียด้วยซ้ำที่ไปยุ่งกับเขามากเกินไป กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงใจ
ของคนเหงาอันเป็นใจซึ่งไม่มีที่อยู่ จึงแสวงหาที่อยู่ที่พักใจ กับอีกใจหนึ่งซึ่งมีที่อยู่อยู่แล้ว จึงไม่ได้ แสวงหา แม้จะมีที่อยู่ใหม่มาเสนอให้ ก็ไม่ได้ดีใจเพราะไม่ได้แสวงหา ไม่เหมือนกับใจที่ยังเหงา ยัง แสวงหาที่อยู่ที่พัก ที่เมื่อได้รู้ว่าจะได้ที่อยู่ที่พักใจ ก็ย่อมจะสงบลงไปได้เพราะใจหยุดแสวงหา และ ความสงบลงนั้นเองที่เป็นเหตุของความสุข

ใจที่สงบลงจากความหวังว่าจะได้ที่อยู่ที่พักซึ่งหมายถึงการมีคนมาจีบอันนำให้เกิความหวัง ว่าจะได้ที่พัก หรือนำไปสู่ความเห็นว่าตนเองมีความสำคัญ คือมีตัวตนขึ้นมา จึงสงบลงเพราะการ หยุดแสวงหาชั่วคราวนั้น เป็นลักษณะของการสงบลงจากความหวัง ยังไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง และแม้
จะได้ตกลงเป็นแฟนกันจริงๆไปแล้ว ก็เป็นการสมมุติว่าเป็นแฟนกัน ตั้งอยู่บนสัจจะและความซื่อตรงของคู่สัญญาที่ทำความตกลงกันนั้น ซึ่งทั้งหมดนั้น ก็ยังตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน เพราะคนที่ทำความตกลงนั้น ยังสามารถเปลี่ยนใจได้ หรืออาจจะล้มหายตายจากกันไปเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะไม่มีใครสามารถระบุหรือกำหนดวันตายของตนเอง และคนรอบตัวได้ ซึ่งทุกคนก็รู้แน่ว่าตนเอง และทุกคนรอบๆตัวจะต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง

กลับมาเรื่องความรักกันบ้าง อันที่จริงในพุทธศาสนาไม่ได้นิยามเรื่องความรัก แต่ที่ใกล้เคียงที่สุดกับความรักก็คือพรหมวิหารธรรมอันประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งในความเมตตานั้นก็จำเป็นจะต้องมีอุเบกขา จึงจะเป็นเมตตาที่แท้จริง ถ้าไม่มีอุเบกขา ก็ไม่ใช่เมตตา เพราะพร้อมจะพลิกไปกลายเป็นเหตุแห่งทุกข์ของผู้นั้นได้เสมอ

เมื่ออ้างอิงถึงเมตตา ก็ควรลงรายละเอียดสักเล็กน้อย ว่าเมตตานั้น หมายถึงเจตนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข คือเป็นบวก ซึ่งต่างจากกรุณาอันหมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ คือจากติดลบเป็นศูนย์ ส่วนมุทิตานั้นหมายถึงความพลอยยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี ซึ่งผู้ที่มีมุทิตา ย่อมมี
ความสุขแม้เพียงได้เห็นหรือได้รับทราบว่ามีผู้ใดเป็นสุข

เขียนมาถึงตรงนี้ เกิดระลึกถึงใจความส่วนหนึ่งของข้อความในนิยายจีนกำลังภายในที่เคยผ่านตามาคือ "ฤทธิ์มีดสั้น" ผู้แต่งคือโกวเล้ง ส่วนผู้แปลคือน.นพรัตน์ว่าคนที่อยากตายนั้น จะไม่อยากตายอีกต่อไปเมื่อรู้ว่าตนเองเป็นประโยชน์กับคนอื่น และคนจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ ก็ด้วยการทุ่มเทช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งคนเช่นนั้นจะไม่รู้สึกอยากตายเลย ซึ่งพอแปลได้ว่า คนที่ฆ่าตัวตายหรืออยากตายนั้น ต้องไม่ใช่คนที่ทุ่มเททำประโยชน์กับส่วนรวมด้วยเจตนาเพื่อให้ แต่เป็นผู้ที่มีนิสัยเรียกร้อง พูดสั้นๆคือเสพมากกว่าสร้างนั่นเอง

ย่อหน้าข้างบน เชื่อมโยงกันกับคำพูดที่พูดต่อๆกันมาให้ได้ยินเสมอๆไม่ว่าจะชาติใดภาษาใด ที่ว่า ต้องรักตนเองเป็นเสียก่อน จึงจะสามารถรักผู้อื่นเป็น สิ่งที่ขอเสริมในประเด็นนี้ก็คือ คนจะรักตนเองเป็นนั้น จะต้องเป็นผู้ที่ทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น คือรู้จักการให้ด้วยพรหมวิหาร ธรรม คือให้หรือทำสิ่งต่างๆให้ด้วยเจตนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข พ้นทุกข์ รวมทั้งเป็นผู้ที่พลอยยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีเท่านั้น ซึ่งผู้ที่มีพรหมวิหารธรรมเท่านั้น จึงจะสามารถรักผู้อื่นเป็น คือรักโดยไม่ก่อทุกข์กับตนเองและไม่ก่อทุกข์กับผู้อื่นด้วย

ที่กล่าวมาก่อนหน้า เป็นเรื่องของความรักที่เชื่อมโยงกับเรื่องทางธรรม อธิบายด้วยธรรมถัดจากนั้น สิ่งที่ควรแก่การกล่าวถึงก็ควรจะเป็นความรัก และการอยู่ร่วมกันเป็นคู่ ซึ่งสิ่งที่จะนำเสนอในที่นี้ก็คือ ความรัก และการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งดูจะเป็นความปรารถนาของคนในโลกแทบทุกคน ซึ่งปัจจัยสำคัญของการอยู่ร่วมกันของคนสองคนอย่างยั่งยืนนั้นก็คือความสมดุลย์ในความสัมพันธ์ ซึ่งความสมดุลย์นี้ หมายถึงการที่ทั้งสองฝ่ายทำสิ่งต่างๆเท่าๆกันโดยไม่ปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแบกอยู่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งปัญหาหลักระหว่างคนสองคนที่จะมาอยู่ร่วมกันนั้น ไม่ได้อยู่ที่ความสุขที่เกิดจากการอยู่ร่วม หากแต่เกิดจากความขัดแย้ง ซึ่งเมื่อความขัดแย้งเกิด สิ่งที่จะต้องเกิดตามมาเพื่อสะสางความขัดแย้ง ก็คือการปรับตัวเข้าหากัน ซึ่งการปรับตัวเข้าหากันนี่เอง ที่เป็นสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องช่วยกันรักษาให้เกิดความสมดุลย์ กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ทั้งสองฝ่ายจะต้องปรับตัวคนละครึ่ง และต้องไม่ปล่อยปละละเลยต่อการรักษาให้การปรับตัวของทั้งสองฝ่ายอยู่ในสภาพ ฉันครึ่ง เธอครึ่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ปล่อยหรือเรียกร้องให้อีกฝ่ายปรับโดยที่ตนเองไม่ยอมปรับเลย

การปรับอยู่เพียงฝ่ายเดียว รวมไปถึงการยอมปรับอยู่เพียงฝ่ายเดียวนั้น เป็นความไม่สมดุลย์ และความไม่สมดุลย์ที่เกิด จะนำไปสู่ความแตกแยกในที่สุด อันเป็นความแตกแยกจากความไม่เสมอภาค เพราะฝ่ายที่ยอมปรับตัวนั้น คือฝ่ายที่เปลี่ยนแปลงตนเอง ซึ่งเมื่อเปลี่ยนแปลงไปมากเข้า จากเดิมที่เหมาะสมกันอยู่ ก็จะค่อยๆกลายเป็นไม่เหมาะสมกันทีละเล็กละน้อย จนในที่สุด เมื่อความเหมาะสมกันหมดลง ความรู้สึกรักใคร่ใยดีก็จะหมดลงไปด้วย เพราะความรักใคร่ใยดีระหว่างกันนั้นเกิดจากความสมกันหรือเสมอกันของ 4 ปัจจัยคือ ศีลเสมอกัน ศรัทธาเสมอกัน ปัญญาเสมอกันและจาคะเสมอกัน โดยผู้ที่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองเพียงฝ่ายเดียวนั้น คือผู้ที่จะได้พัฒนาจาคะ และ ปัญญาของตนให้มากขึ้นทุกครั้งไปนั่นเอง ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้พัฒนาหรือได้พัฒนาน้อยมาก เพราะไม่ยอมวาง และไม่ยอมพิจารณาเหตุของความขัดแย้งนั่นเอง

ถัดจากนั้นขอแจกแจงความหมายของศีล ศรัทธา ปัญญา และจาคะว่า ศีล หมายถึงเจตนา จะละเว้นการละเมิดผู้อื่น ศรัทธา หมายถึงความเชื่อโดยปราศจากการพิสูจน์ ปัญญา หมายถึงระดับ ความรู้ชัด รู้แจ้งในสิ่งต่างๆทั้งภายในภายนอก และสุดท้าย จาคะ คือความสามารถในการสละออก ปล่อยวาง ยอม ละทิ้ง และทั้งสี่ปัจจัยนี้ เป็นธรรมที่ผู้ที่จะอยู่ร่วมกันต้องมีเสมอกัน ซึ่งเมื่อมีเสมอกัน
จึงเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกรักใคร่ใยดีจากใจจริงต่อกันนั่นเอง

สรุปโดยย่อก็คือ ความเหงา เป็นต้นเหตุของการแสวงหา และการแสวงหาหรืออาการทะยานอยาก(ตัณหา) ก็คือเหตุของความทนอยู่ได้ยากหรือทุกข์ทั้งปวง และความเหงา สามารถดับได้ด้วยการเฝ้ารู้เฝ้าดูอยู่ที่ความเป็นตัวเราหรือที่เรียกว่า รู้ตัว หรือสัมปชัญญะไปจนกว่าจะเห็นความจริงว่าโดยแท้แล้ว ความเป็นเรานั้น คือกายนี้หรือไม่ คือเวทนานี้หรือไม่ คือจิตนี้หรือไม่ หรือว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรา คือเราหรือไม่ ซึ่งความเห็นที่ได้จากการเฝ้ารู้เฝ้าดูอยู่ที่ความเป็นเรานี่เอง ที่จะทำให้จิตเริ่มรู้จักการปล่อยวางและรู้จักอุเบกขาซึ่งไม่ใช่การวางเฉยไม่ ลงมือทำ แต่เป็นการกระทำด้วยจิตที่เป็นกลาง ทำด้วยเมตตา ด้วยกรุณาโดยที่ผู้กระทำไม่ทุกข์ไม่ว่าผลจะออกมาตรงกันข้ามกับที่หวัง เมื่อเป็นเมตตา และกรุณาที่มีอุเบกขาแล้ว มุทิตาจะเกิดตามมาเอง และเมื่อมีมุทิตาแล้ว ก็เสมือนหนึ่งมีแหล่งกำเนิดอานิสงค์ภายในโดยไม่ต้องลงมือกระทำนั่นเองเพียงพลอยยินดีกับผู้ได้ดีหรือทำดี ใจก็สงบร่มเย็น และเป็นกุศลโดยไม่ต้องออกแรงเลย ซึ่งถ้าเป็น อย่างนั้นแล้ว ความทุกข์ร้อนจะเกิดได้อย่างไร เมื่อใจมีอุเบกขาเป็นภูมิคุ้มกันทุกข์จากความผิดหวัง มีสัมปชัญญะเป็นสายตาเฝ้าระวังเส้นทาง มีปัญญาเป็นแสงสว่างไม่ให้เดินหลงออกนอกทาง

เจริญในธรรมครับ _/|\_


Create Date : 22 มกราคม 2550
Last Update : 24 มกราคม 2550 14:18:46 น. 25 comments
Counter : 940 Pageviews.

 
มีรักที่ไหนมีเหงาที่นั่น

ไม่ได้เข้ามาเยี่ยมนานเลย

สบายดีนะคะ


โดย: random-4 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:17:08:50 น.  

 
ผมเลิกเหงามาได้พักนึงแล้ว แต่จะเหงาอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้


โดย: 9A วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:18:26:22 น.  

 
คือว่า ไม่เคยมีแฟน

แต่ไม่ใช่ว่าไม่มีความรักนะ

ไม่มีแฟน แต่ไม่เคยเหงา

มีความสุขที่มี พ่อ+แม่ และเพื่อน ๆ อยู่รอบข้าง



โดย: DiamondTom วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:19:22:10 น.  

 
แวะมาอ่านจ้า

ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์

ทุกข์จากความเหงา....

ฝันดีน่ะ...


โดย: Link_conner55 (Link_conner55 ) วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:23:13:49 น.  

 
ดีมากเลยจ๊ะเพราะส่วนตัวแล้วชอบอ่านธรรม เพื่อน้อมนำไปใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และก็มีพี่สาวอยู่คนหนึ่ง เขาก็แนะนำเหมือนกันว่าจงยินดีเมื่อคนอื่นเขาได้ดี อย่าไปอิจฉาริษยาใครเขาเลย ใจเราจะเป็นสุข แล้วสักวันก็เป็นวันของเราเอง แต่มีอยู่คนหนึ่งนะเขาเป็นคนอาฆาตพยาบาทนะ ไม่ยอมปล่อยวางเลย จิตใจเขาก็ไม่เป็นสุข สงสารเขานะแต่เคยแนะนำไปเหมือนกันแหล่ะ แต่อย่างว่าคนเราไม่เหมือนกันนะ ก็คงต้องปล่อยไปตามกรรมใช่ไหม เพราะเราก็ทำดีที่สุดแล้วนี้นา หวังว่าจะเขียนสิ่งที่ดี ๆ อีกนะ จะแวะมาอ่านอีก สวัสดีตอนเช้าจ๊ะ



โดย: kornoi19 (Kornoi19 ) วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:5:25:53 น.  

 
อืม อันที่จริงการที่เราแก้ไขแบบวิธีที่สองนี่อยู่ได้ระยะยาวคะ เพราะตั้งแต่เราทำสมาธิมา จิตไม่เคยรู้สึกว่าเหงาเลยคะ

เคยได้ยินมาว่า คนเราหากมีจริตไปทางไหนก็จะพบคนที่มีจริตแนวทางเดียวกัน อันนี้เราเห็นว่าจริงคะ หรือผู้เห็นธรรมจะมองเห็นผู้ที่เห็นธรรมด้วยกัน ระยะหลังๆมักเจอแต่ผู้ที่เข้าหาทางธรรมหรือมีจิตใจดีงามมากกว่าพวกที่มีจิตริษยาคะ

มีเพื่อนเราอยู่คน เป็นคนขี้เหงามาก มีแฟนอยู่แล้ว ล่าสุดมีหนุ่มมาติดพันด้วยว่าคนมันมาใหม่ประกอบกับปากหวาน วาจาดี เทคแคร์ดี แต่แฟนน่ะเป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยพูดไม่เทคแคร์หล่อนเลยเอียงไปทางคนมาใหม่ เราก็เตือน สุดท้ายนายนั่นออกลาย เราก็บอกหากว่าเค้าประพฤติแบบนั้น แล้วเราไม่ชอบ และเค้าก็หายหน้าไปก็ถือซะว่าช่างมัน ให้มันไปซะนี่ไม่ใช่ของจริง เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมในเมื่อแฟนก็มีแล้ว ยังจะแสวงหาของใหม่มาเพื่ออะไรเหรอ เข้าใจยากจัง


โดย: Lilly (supremeking ) วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:14:41:18 น.  

 
มารับสิ่งดีๆ


โดย: tanoy~ตะนอย วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:15:28:20 น.  

 
ความรัก บางทีมันก็มีความไม่เข้าใจ

การขาดคนเข้าใจ

บางทีมันทำให้เหงามากกว่านะคะ


โดย: เจ้าแห่งโชคชะตา วันที่: 23 มกราคม 2550 เวลา:21:49:03 น.  

 
ขอโทษนะวันนี้พอดีเป็นวันว่างของเรานะ พรุ่งนี้เราก็ต้องทำงานอีกแล้วล่ะ เลยไม่ได้คุยกันเท่าไหร่เลย เรื่องทำบล็อกนะเธอต้องสอนเรามากกว่านะ เพราะเราพึ่งเริ่มหัดทำละ ไม่เก่งเลย อยากมีคนสอนทำเหมือนกันนะ วันนี้เราไปดูหนังเรื่อง "ตำนานสมเด็จพระนเรศวร" มานะ ผ่อนคลายความเครียดนะ เราชอบอ่านหนังสือธรรมมะเหมือนกัน เพราะช่วยจิตใจเราได้เย่อะทีเดียวล่ะ บางทีนะบางคนเราไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาสักหน่อย เขาก็ไม่ชอบเรา ทำไมเขาฟังความข้างเดียวแล้วก็คิดว่าเราเป็นคนแบบนั้นก็ไม่รู้ แต่เราก็ไม่โกรธนะ เราแปลกใจมากกว่าและสงสารเขาล่ะ เพราะเขาก็ต้องไม่มีความสุข เราคิดว่าถ้าเขาฟังความข้างเดียวแล้วเชื่ออย่างนั้นก็แล้วแต่ เพราะจิตมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงนะ เธอว่าไหม


โดย: kornoi19 (Kornoi19 ) วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:1:11:54 น.  

 
เอเดี๋ยวนี้มีตามไปแซวถึงบ้านเลยนะ

อุอุเราไม่ใช่พวกแม่ยกหรอกคะพวกแม่ยกเนี่ยต้องแบบว่าแก่ รวย สวยไม่สวยไม่สน แต่มีตังค์ อันนี้เห็นโดยทั่วไปในฟิตเนสคะ เราเห็นมากับตา ได้ยินมากับหู โดยมากก็กับพวก trainer นี่ล่ะคะ ถ้าปากหวาน ก็หาแม่ยกง่าย แล้วพวกเนี้ยเค้าก็ขยาย down line เหมือนขาย AMWAY คะ คือจะไปลากเพื่อนๆมาใช้บริการ trainer ด้วย เราเลยเรียกว่าแม่ยกน่ะคะ อิอิ


โดย: Lilly (supremeking ) วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:15:45:53 น.  

 
ลืมบอกไปเรื่องภาพในกล่องเม้นท์ ต้องปรับขนาดเป็น web large หรือ web small คะ เพราะถ้าใหญ่เกินมันจะโหลดไม่ลงคะ


โดย: Lilly (supremeking ) วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:15:58:18 น.  

 
555 งามคะขอบอก ชอบภาพพื้นหลังคะ สวยดี แต่ภาพนาฬิกาน่าจะหาโทนสีที่ใกล้เคียงกันนะคะ แบบว่าออกน้ำตาล ทองๆเงี้ยคะ (อันนี้แค่ความเห็นส่วนตัวนะคะ)

ส่วนเรื่องแม่ยกนี่ขอบายคะ ไม่เอาดีกว่า แค่ตอนนี้เค้ายังมาขอให้ซื้อ Nike ให้เลยคะ เราจะไปเอาตังค์ที่ไหนมาซื้อให้อ่ะ ของตัวเองยังไม่มีปัญญาเลยคะ อุอุ ถ้าจะให้หาแม่ยกให้ก็พอไหวคะ 555


โดย: Lilly (supremeking ) วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:16:28:33 น.  

 


Myspace Layouts

สวัสดีค่ะ

มาเยี่ยมเยียน ค่ะ ได้เวลา

เดินชมบ้านเพื่อน แล้วค่ะ

(@^_^@)

จุ๊ฟๆๆๆ

myspace layouts, myspace codes, glitter graphics




โดย: STAR ALONE (STAR ALONE ) วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:16:31:47 น.  

 
อ๋อไม่เศร้าหรอกคะ ยังสบายดีอยู่เสมอคะ

ขอบคุณที่อวยพรนะคะ เราก็อยู่ดีคะ เศร้าก็เพราะไม่รู้ว่าหลังหมดtrain แล้วจะเจอกันรึเป่าน่ะคะ แต่ปกติก็เจอกันแค่นั้นแหละ เพราะเวลา train ก็เจอกันเฉพาะเวลาที่ train 1 ชม.เท่านั้นเอง เฮ้อ ทำใจ


โดย: Lilly (supremeking ) วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:17:09:58 น.  

 
แวะเข้ามาบอกว่า ฝีมือดีขึ้นมาก ๆ เลยค่ะ วิวสวยจังค่ะ เป็นกำลังใจให้นะค่ะ


โดย: opleee วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:18:00:20 น.  

 
แวะมาเยี่ยมจ้า..


โดย: Link_conner55 (Link_conner55 ) วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:22:24:55 น.  

 
บทความอันนี้
ดีมากๆค่ะ
ขอบคุณนะคะ

ได้เรียนรู้ว่า
เวลาที่ทำตัวให้มีประโยชน์
ทำให้เราไม่เหงาและรู้สึกมีค่า
ในตัวเอง


โดย: prncess วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:13:46:44 น.  

 

ความรัก ต้องไปพร้อมๆกัน
ปรับตัวเข้าหากันครับ


โดย: หลานยายจุล วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:14:12:38 น.  

 
อันว่าเราก็มีใจไปทางนายพ่อหมูมากกว่าอยู่แล้วล่ะคะ อิอิ ชอบคนพากินน่ะ ส่วนนัทเนี่ยก็เรื่อยๆคะ ไม่ว่าแบบไหน เราขอเป็นเพื่อนดีกว่ามีคนรักดีกว่ามีคนเกลียดนะคะ


โดย: Lilly (supremeking ) วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:16:07:53 น.  

 
หวัดดีค่ะ
แวะมาหาวิธีการดับเหงาค่ะ
แต่เขาบอกว่าที่ใดไร้รัก ที่นั่นมักจะมีความเหงา.....
มิน่าเปิ้นถึงได้เหงาอย่างนี้ เพราะขาดรักนี่เอง อิอิ


โดย: fonrin วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:16:39:28 น.  

 
นั่นไง ใส่รูปได้แล้ว
ยินดีด้วยจ้า
ขออภัย ที่นอยมาตอบช้ไปหน่อยนะจ๊ะ


โดย: tanoy~ตะนอย วันที่: 25 มกราคม 2550 เวลา:16:48:22 น.  

 
ยาวจังค่ะ
คนอ่านยังเหนื่อย
คนเขียนเมื่อยไหมเนี่ย

แต่ขอชมว่าโยงประเด็นได้ดี
แต่ อ่านแล้วใครจะทำได้แค่ไหน นี่ ตัวใครตัวมัน ใช่มะ

แชร์ความคิดบ้าง

แองจี เหงาน้อยมากค่ะ เพราะเป็นพวก ชอบหาเป้า ทีนี้ก็เลยจะเกาะประเด็นว่า เราทำได้ตามที่เราอยากเป็นอยากทำหรือยัง ซึ่งมันก็มักจะไม่สำเร็จง่ายสักที วันหนึ่งๆเวลาหมดไปเร็วมาก ก็เลยอยากอายุยืนๆ จะได้ทำทุกอย่างที่อยากทำได้สักที

ก็เลยไม่เหงาค่ะ


โดย: angy_11 วันที่: 26 มกราคม 2550 เวลา:10:28:49 น.  

 
สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา

เมื่อใดต่อต้านกฏของความจริง ยึดมั่นก่ะมัน ผลที่สุดก้อคือทุกข์

มาเยี่ยมเยือนครับ

เจริญในธรรมครับ


โดย: พฤติภาพแห่งจิต วันที่: 26 มกราคม 2550 เวลา:12:33:04 น.  

 
...

ขอบคุณสำหรับสาระดีๆครับ



โดย: The Legendary Midfielder วันที่: 26 มกราคม 2550 เวลา:14:54:00 น.  

 
เขียนได้ดีมากมากค่ะ


โดย: anonymus IP: 202.44.4.43 วันที่: 18 เมษายน 2551 เวลา:11:50:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

psak28
Location :
ภูเก็ต Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]





คนเราเกิดมาจากเหตุปัจจัยจากกรรมที่เราสร้างขึ้น และด้วยอนุสัยที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตกาล ย่อมมีความสุข และความทุกข์เป็นธรรมดา เราก็แค่เป็นเพียงผู้ดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เปรียบเสมือนการดูละคร ดูแล้วก็ผ่านไป ไม่ต้องไปยึดติดกับมัน เคยสงสัยเหมือนกันว่าคนเราเกิดมาทำไมกัน แล้วทำไมคนเราจึงไม่เหมือนกันเลย ทั้งรูปร่าง หน้าตา กิริยา และการดำเนินชีวิต ที่กล่าวมาล้วนมีกรรมสรรสร้างให้เป็นอย่างนั้น หน้าที่ของเราก็คือ ละเว้นความชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม และทำจิตใจให้ขาวรอบ


อันนี้ลองดูนะครับ หากใครสนใจหวยหุ้น หวยรัฐบาล นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ ได้มากกว่า ^_^



อันนี้น่าสนใจดีครับ จุ๊บลมยางที่สามารถบอกเราได้ว่าลมยางตอนนี้เป็นเท่าไหร่ และเตือนเราในกรณีลมยางอ่อนได้ ลองดูกันนะครับ




: Users Online

Friends' blogs
[Add psak28's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.