|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
วัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น เริ่มต้นแล้ว
ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำตั้งแต่วันศุกร์ที่ 30 พ.ค. 2551 ที่ผ่านมา เป็นการเกิดขึ้นพร้อมกับการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม และถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ครั้งแรก นับตั้งแต่ปลายปี 2547 เป็นต้นมา หลังจากนี้คาดว่าคงจะมีธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งอื่นๆ ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สะท้อนว่าวัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ถึงแม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังไม่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 3.25% ก็ตาม - การรักษาฐานลูกค้าเงินฝาก และส่วนแบ่งตลาด เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไทยได้แข่งขันระดมเงินฝากตั้งแต่ต้นปี 2551 ท่ามกลางการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อแนวโน้มการขยายสินเชื่อในปีนี้ ดังนั้น จึงทำให้มีการออกโครงการเงินฝากพิเศษจำนวนมาก และผลิตภัณฑ์การลงทุนประเภทอื่นๆ อาทิ ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ ส่งผลตามมาให้มีการโยกย้ายเงินฝากระหว่างธนาคาร - สินทรัพย์สภาพคล่องลดลง ค่าเฉลี่ยของสินทรัพย์สภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่ง คือ ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย และกสิกรไทย ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2551 อยู่ที่ 3.42 แสนล้านบาท ก็ลดลงค่อนข้างชัดเจนจากค่าเฉลี่ยของสินทรัพย์สภาพคล่องในปี 2550 ที่ระดับ 3.89 แสนล้านบาท ทั้งนี้ การลดลงของสินทรัพย์สภาพคล่องดังกล่าว เป็นผลจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อที่เร่งขึ้นเหนือเงินฝาก ขณะที่การ ที่ธนาคารพาณิชย์ไทยเลือกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำเป็นการทั่วไปใน ครั้งนี้ แทนที่จะเป็นการเลือกออกโครงการ หรือผลิตภัณฑ์เงินฝากแบบพิเศษ ซึ่งเอื้อให้สามารถกำหนดต้นทุนได้ดีกว่านั้น สะท้อนการคาดการณ์ของธนาคารพาณิชย์เหล่านั้นว่าแนวโน้มสภาพคล่องน่าจะปรับลดลงชัดเจนขึ้นในอนาคต และอัตราดอกเบี้ย ในประเทศคงจะใกล้ถึงจุดต่ำสุดเต็มทีแล้ว ดังนั้น จึงน่าจะเป็นจังหวะที่สามารถล็อกเงินฝากต้นทุนต่ำที่สุดได้ในช่วงนี้ - การเตรียมพร้อมรับมือกับการครบกำหนดของผลิตภัณฑ์เงินฝากแบบพิเศษและตั๋วแลกเงิน ที่ได้ทยอยออกมาเป็นจำนวนมากในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษระยะ 4 เดือน ที่ออกมาในช่วงปลายเดือน ม.ค.ถึงปลายเดือน ก.พ. อันมีส่วนทำให้เงินฝากของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในเดือน ก.พ.เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าถึงกว่า 1 แสนล้านบาท สำหรับในช่วงของวัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้นำโดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ก็มีสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในครั้งก่อนหน้า นั่นคืออัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น 6.2% ในเดือน เม.ย. และ 7.6% ในเดือน พ.ค. หลังจากที่มีค่าเฉลี่ยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ที่ 5% อันเป็นผลจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ การพิจารณา สภาพเศรษฐกิจ ที่วัดจากจีดีพี ในช่วง 1 ปีก่อนหน้าที่จะเข้าสู่วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยในแต่ละช่วงนั้น พบว่า ในวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในครั้งก่อนหน้านั้น เริ่มจากภาวะเศรษฐกิจที่เคยขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยรายไตรมาสของจีดีพีที่ 7% เพราะได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าของรัฐบาลที่ดำรงตำแหน่งในสมัยนั้นๆ ก่อนที่จะชะลอตัวลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 5% ในช่วงวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สำหรับวัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ เศรษฐกิจไทยเพิ่งผ่านพ้นช่วงปี 2550 ที่ประเทศอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง ทำให้มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเฉลี่ยรายไตรมาสที่ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 4.7% ดังนั้น แม้ว่าจีดีพีไตรมาสแรกของปี 2551 จะขยายตัวสูงถึง 6% แต่ก็มีความเปราะบางต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อและปัญหาการเมือง ดังจะเห็นได้จากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดในเดือน เม.ย. ที่ชี้ว่าความเชื่อมั่นภาคเอกชนเริ่มได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อและปัญหาการเมืองชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ เมื่อประเมินถึงภาวะสภาพคล่องของธนาคารพาณิชย์ไทย เปรียบเทียบระหว่างช่วงวัฏจักรขาขึ้นทั้งสองช่วงแล้ว พบว่า ในวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นครั้งก่อนหน้านั้น ปริมาณสินทรัพย์สภาพคล่องได้ปรับตัวลดลงชัดเจน ขณะเดียวกัน การที่ธนาคารพาณิชย์ไทยสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพียงขาเดียวได้ในช่วงนั้น เป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินทั้งในและนอกประเทศได้ปรับขึ้นไปก่อนแล้ว (ตามการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ซึ่งส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ไทยสามารถนำเงินฝากที่ระดมได้มาลงทุนในตลาดเงินและตลาดพันธบัตร และนำผลตอบแทนที่ได้รับไปชดเชยกับต้นทุนเงินฝากที่เพิ่มขึ้นได้ โดยที่ยัง ไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ตาม สำหรับวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบนี้ แม้ว่าปริมาณสภาพคล่องมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน แต่ด้วยช่องทางของการนำสภาพคล่องไปลงทุนค่อนข้างจำกัด เนื่องจากอัตราผลตอบแทนในตลาดเงินลดลงมาอยู่ในระดับต่ำ (เพราะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก ธปท. ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2550) จึงน่าจะมีส่วนผลักดันให้การตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ เป็นการปรับขึ้นทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืม ผลของการกระทำดังกล่าวทำให้ธนาคารพาณิชย์ไทยยังสามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและการทำกำไรไว้ได้ อย่างน้อยก็ในช่วง 1-2 ไตรมาสข้างหน้า สำหรับความรวดเร็วของการขึ้นดอกเบี้ยในระยะต่อไป ยังคงต้องชั่ง น้ำหนักปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้เพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำและเงินให้กู้ยืม ซึ่งแม้ว่าจะช่วยพยุงให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว แต่ก็ย่อมจะซ้ำเติมความต้องการสินเชื่อจากภาคเอกชน รวมถึงคุณภาพสินเชื่อ ที่ขณะนี้ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากปัญหาอัตราเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนทางการเมือง ดังนั้น จึงคาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ในระยะถัดไป จึงน่าจะขึ้นอยู่กับการปรับตัวของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ที่เป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดว่าลูกค้าสินเชื่อ หรือลูกค้าที่ต้องการกู้เงินจะสามารถรับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมได้มากน้อยเพียงใด ในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ และความเชื่อมั่นของภาคเอกชนในระยะต่อไปยังมีความเปราะบาง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ไทยในรอบนี้อาจจะกินเวลาไม่นานนัก ก็อาจจะถึงจุดสิ้นสุด รวมทั้งอาจจะมีขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่มากนัก เพราะนั่นคือวัฏจักร ขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ คงจะ สั้นกว่าวัฏจักรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ครั้งก่อนหน้าในช่วงระหว่างเดือน พ.ย. 2547 ส.ค. 2549 ซึ่งกินระยะเวลาถึง 1 ปี 10 เดือน และมีขนาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำประเภท 1 ปี ด้วยขนาด 4% สาเหตุเพราะปัญหาเอ็นพีแอลอาจ ทวีความรุนแรงมากขึ้น และสินเชื่ออาจชะลอตัวลง ซึ่งจะทำให้ปริมาณสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ได้ลดลงตามคาด ขณะที่หากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาการเมืองและปัญหาเงินเฟ้อเริ่ม คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น หรือความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล ผ่านการเร่งการใช้จ่าย และการออก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของรัฐบาลสัมฤทธิผล ก็คงจะสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องได้ ทำให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น และสภาพคล่อง ลดลง ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะหนุนส่งให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดำเนินต่อเนื่องได้ยาวนานขึ้น
Create Date : 05 มิถุนายน 2551 |
Last Update : 5 มิถุนายน 2551 14:47:30 น. |
|
6 comments
|
Counter : 770 Pageviews. |
|
|
|
โดย: มิสเตอร์ฮอง วันที่: 5 มิถุนายน 2551 เวลา:16:15:57 น. |
|
|
|
โดย: น่าคิด IP: 221.217.14.58 วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:13:54:36 น. |
|
|
|
โดย: ทนงศักดิ์ กองสุข IP: 125.26.215.47 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:33:35 น. |
|
|
|
โดย: ทนงศักดิ์ กองสุข IP: 125.26.215.47 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:33:35 น. |
|
|
|
โดย: UYOIRTLIU TIGH78UGH IP: 125.26.215.47 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:39:40 น. |
|
|
|
โดย: ... IP: 118.174.7.160 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:9:35:05 น. |
|
|
|
|
|
|
|
แต่ก่อนดอกเบี้ยยังไม่พอค่าธรรมเนียมบัตร ATM เลยครับพี่ศักดิ์