Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
วิจารณ์ภาพยนตร์ : TRANSFORMERS (จาก popcornmag)

เอามาจาก //www.popcornmag.com/bbs/index.php?showtopic=4370

... คุณยังจำสมัยเด็กๆได้มั๊ยครับ ตอนเรายังเล็กๆอยู่มีการ์ตูนมากมายให้เราได้ดูแบบไม่ซ้ำรูปแบบเลย และพวกช่องโทรทัศน์หลายที่ต่างก็ขยันซื้อการ์ตูนมันเจ๋งๆหลายเรื่องมาให้เราได้ดูการ์ตูน แต่การ์ตูนประเภทนึงที่ผมคิดว่าสมัยเด็กๆคงได้เห็นกันบ่อยแน่ๆ ก็คงประเภทที่สร้างมาให้กับพวกเด็กผู้ชายดู "ถ้าไม่แอ็คชั่นล้ำจินตรนาการ ก็คงเป็น***พวกชบวนการหุ่นยนตร์แปลงร่างและไล่กระทืบกันเองแหละ" แน่นอนครับใครที่โตมาในช่วงปลาย 80's หรือ ต้นๆ 90's แบบผม ก็คงจะคุ้น***พวกการ์ตูน He-Man หรือไม่ก็ Thundercats แน่ๆ รวมถึง***พวกขบวนการแปลงร่างคาคูเรนเจอร์หรือพาวเวอร์เรนเจอร์ ที่ดูกันเอาอ๊วกแตกอ๊วกแตนไปข้างนึงเลย ซึ่งความจริงแล้วสร้างมามันก็ดีอยู่หรอก เพียงแต่เห็นการ์ตูนแล้วมันก็อยากจะเห็นพวกหนังเรื่องใหญ่ๆ แอ็คชั่นตระการตาไล่กระทืบกันไม่หยุด แน่นอนว่าสมัยเด็กๆ ผมก็ได้ดู Transformers ที่เคยฉายช่อง 3 เมื่อ 16 ปีก่อน (จนปัจจุบันทาง True Vison เอานำกลับมาฉายทางช่อง Sparks) สิ่งที่ผมอยากเห็นก็คือ ผมอยากเห็น Transformers มาโลดแล่นแบบบนจอภาพยนตร์ จนกลายเป็นหนังที่สุดยอด SFX ที่เจ๋งในโลก อยากให้พวกหุ่นยนตร์มีชีวิตจิตใจเปรียบเสมือนมนุษย์แบบที่การ์ตูนเป็น และก็อยากเห็นฉาก Action ที่ยิ่งใหญ่ จนสามารถทำให้ผมพูดได้ว่า "นี่คือ Action ที่เจ๋งที่สุด นับตั้งแต่ True Lies และ Terminator II: Judgement Day" และแล้วเรื่องที่ฝันเฟื่องไว้ตั้งแต่สมัยเด็ก ในตอนนี้มันกลายเป็นจริงขึ้นมา!

.... ตั้งแต่ที่เขาประกาศจะสร้าง Transformers ตั้งแต่ปี 1999 ชื่อแรกที่เข้ามาในโปรเจคก็เห็นจะเป็น 2 คนนี้ Tom DeSanto และ Steven Spielberg (แล้วถ้าผมจำได้ว่า แรกๆ Spielberg เคยให้สัมภาษณ์ด้วยว่าจะกำกับเรื่องนี้ด้วย แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นสงสัยท่าทางงานจะเยอะเห็นช่วงนั้นต้องกำกับ A.I., Minority Report และ Catch me If You Can ด้วยนิ! ก็เลยกลายไปเป็น ผู้อำนวยการสร้างไปแทน) ซึ่งพวกเขาก็ได้พัฒนาโครงการที่มาเป็นหนังหลายปีมาก และก็ไม่รู้ว่าจะหาใครมากำกับเรื่องนี้ดี จนกระทั่งปี 2004 ทั้ง 2 คนเลือก Michael Bay ซึ่ง Bay เอง ตอนนั้นพึ่งแยกตัวกับ Jerry Bruckheimer เพื่อไปหาประสบการณ์จากที่อื่นดูบ้าง! (ซึ่งเพราะฤทธิ์ของพิษรายได้เรื่อง Bad Boys II ทำให้ Bay คิดจะแยกตัวจาก JB!) ซึ่งพอ Bay ไปอยู่อ้อมอกของ Spielberg ก็ได้ถูกเลือกมาทำ Transformers เลยทันทีโดนทีไม่ได้ลังเลเลยว่า จะมีอะไรตามมารึเปล่า? ซึ่งตอนนั้น Bay กำลังทำ The Island ให้กับทาง Dreamworks เลยได้งานต่อเป็น Transformers เลยทันที! แน่นอน เมื่อ The Island เป็นผลงานของ Bay ที่เขาเองพยายามจะแสดงให้คนดูทั่วไปได้เห็นว่า เขาก็ไม่ได้ทำหนังเน้นแค่ฉาก Action มันส์ๆ (อย่างที่ The Rock, Armageddon และ Bad Boys II เป็น) หรือทำเรื่องราวได้โคตรจพโหลยโถ่ย (แบบที่เน่ามาแล้วใน Pearl Harbor) อย่างเดียวเท่านั้น แต่เขาเองสามารถทำหนัง Action ที่มีเนื้อที่ดีได้ ซึ่งแน่นอนใน The Island คุณจะไม่ได้เห็นฉาก Action มันส์ๆอย่างเดียว แต่คุณจะค้นพบเรื่องราวดีๆที่อยู่ข้างในหนัง แน่นอนครับ หนังดันไม่ทำเงินในประเทศ แต่กลับไปทำเงินต่างประเทศ ซึ่งก็ไม่ได้แห้วแบบคว้าน้ำเหลวซะทีเดียว แต่ทว่าคงเป็นการประชาสัมพันธ์ต่างหากที่มันไม่ค่อยเอาอ่าวเลย จึงทำให้ The Island กลายเป็นหนัง Action ที่มีเนื้อหาดีๆ แต่ดันไม่ทำเงินเสียเลย ฉนั้น Spielberg จึงเปิดทางสำรองให้กับ Bay อีกครั้ง กับ Transformers ซึ่งถ้า Bay ยังแห้วกับหนังเรื่องใหม่นี้อีก มีสิทธิ์ได้ถูกส่งกลับไปโรงเรียนเก่า หรือ JB แน่ๆ!

.... ซึ่งแรกๆที่ผมได้ยินข่าวเกี่ยวกับ Transformers ที่เปิดตัวที่งาน Comic-Con เมื่อปี 2004 นั้น ผมเองก็คิดว่า มันคงต้องมีอะไรดีแหงๆงานนี้! เพราะว่าจากเดิมที่หนังจะฉายปี 2006 เปลี่ยนมาเป็นปี 2007 ทางสตูดิโอก็เลยโปรโมทเป็นเว็บเล็กๆ (ชื่ออะไรจำไม่ได้) เป็นเว็บที่อัพเดทแต่เรื่อง Transformers ตั้งแต่เปิดตัว ผมคิดว่าหนังไม่น่าทำให้ผิดหวังแน่ๆ แถมมี Spielberg มาการันตีซะอีกว่า "นี่จะเป็นหนังแอ็คชั่นที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน!"

user posted image

รู้มั๊ย! .... ผมเองเป็นคนนึงที่ไม่ค่อยห่วงการกำกับของ Michael Bay ใน Transformers จริงๆ เพราะว่า "เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ" ซึ่งแน่ล่ะ เราคงได้เห็นใช้กึ๋นเยอะในงานชิ้นนี้แหละ ผมเองก็ไม่ค่อยผิดหวังกับผลงานของ Michael Bay ซักเท่าไหร่ซะด้วยซิ (ซึ่งหนังบางเรื่องผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า ทำไมนักวิจารณ์ต้องด่าเขาขนาดหนักด้วยอ่ะ โดยเฉพาะ Armageddon กับ Bad Boys II ที่มันก็ดีกว่านักวิจารณ์ด่าเสียอีก) ตั้งแต่แรกเลยที่กำกับหนังคงเป็น Bad Boys มันเป็นแอ็คชั่นที่ทุนไม่สูงนะ แต่ดูเอามันส์หลุดจริงๆ ก็ไม่ใช่ผลงานที่เยี่ยมที่สุดของเขา แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของเขา

.... The Rock เป็นหนัง Action ที่หลายๆคนชื่นชมพอสมควร ซึ่งคนในยุคนั้นคงพึ่งจะเห็นหนังแอ็คชั่นสไตล์แปลกจากเขาคนนี้ ก็เป็นครั้งนี้นี่แหละ

.... พอมาใน Armageddon ก็โดนนักวิจารณ์ด่าหนักพอสมควร แต่กลับเป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆคนแบบคงไม่ต้องปฏิเสธ ที่ดีก็คือมันเป็นหนังบันเทิงของ Bay ที่เต็มรูปแบบจริงๆ แถมยังมีครบทุกรสเสียด้วย (ถ้าพูดจริงๆ มองอีกมุมนึงของผมนะ ผมกลับชอบ Armageddon มากกว่า The Rock เสียอีก)

user posted image

.... แต่พอเขามาทำ Pearl Harbor ดันเละสิ้นดีเลย มันกลายเป็นผลงานที่แย่และเน่าที่ในการทำงานกำกับของเขาเลยล่ะครับ หนังไม่ถึงกับเป็นขยะแต่พอดูจบแล้ว ก็ยังคิดๆว่า Bay มาทำ Pearl Harbor เพื่ออะไร??? เพราะหนังมันน้ำเน่ารันทดมากๆ แถมหนังค่อนข้างนอกประเด็นพอสมควร ผมจึงเห็นด้วยกับ***เพลง "Pearl Harbor S*CK and I Miss You" ของหนังเรื่อง Team America (และผมรู้สึกอายแทน Bay และ JB เรื่องนึงเกี่ยวกับการโปรโมทหนังของพวกเขาหลายๆต่อหลายเรื่อง ในตอนมาฉายในไทย ที่ชอบโปรโมทประมาณว่า "จากผู้สร้าง Pearl Harbor" ไม่ค่อยเข้าจริงๆทำไปเพื่ออะไรอ่ะ ในเมื่อหนังมันห่วยยังจะไปส่งเสริมอีก!)

.... หลังจากที่ได้รับบทเรียนอย่างแสนสาหัสไปแล้วใน Pearl Harbor เขาก็ทำ Bad Boys II มาให้ได้ดูกันอีก ซึ่งก็โดนนักวิจารณ์ด่าอีกแหละครับ (แต่ไม่เท่าตอน Pearl Harbor อ่ะครับ) ซึ่งความจริง Bad Boys II ถือว่าเป็นหนังแอ็คชั่นระห่ำจัดจ้านได้ดีทีเดียว เพียงแต่ว่ามันเป็นหนังที่ดูแล้วจบเลยเท่านั้นอ่ะครับ ซึ่งถ้าดูโดยรวมแล้ว Bad Boys II สู้ภาคแรกได้ แต่กลับไปสู้ The Rock และ Armageddon ไม่ได้เลยซักนิด

.... พอมาถึงเวลาที่ Bay ขอแยกตัวจาก JB ไป เพื่อเปลี่ยนไปทำงานกับ Spielberg บ้าง? Bay ก็ได้ทำ The Island ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเรื่องนี้ Bay เขาไม่ได้เล่นของความมันส์อย่างเดียว แต่เขายังใส่เนื้อหาอะไรดีๆที่น่าจดจำไว้เข้าไปด้วย แถมยังมีปรัชญาแฝงที่น่าโดนใจในหนังเรื่องนี้ ซึ่งมีอยู่น้อยคนมากที่จะชอบหนังเรื่องนี้แบบสุดๆ (แบบที่ผมชอบ) แต่ถ้าพูดจริงๆแล้ว The Island เป็นก้าวการพัฒนาที่ดีมากๆของ Bay อย่างแท้จริง เพราะว่าเขาก็พิสูจน์ได้แล้วว่า หนังของเขาก็ไม่ได้ไร้สาระแทบทุกเรื่อง สิ่งเดียวที่โกรธมากๆก็คือ Dreamworks ไม่โปรโมทหนังเรื่องนี้ที่อเมริกาได้ดีซะเท่าไหร่ เพราะเมื่อโปรโมทชุ้ยๆ หนังก็แห้วที่รายได้อ่ะดิ! มันพาลทำให้ DVD ของหนังเรื่องนี้ออกมาในรูปแบบที่ไม่ค่อยน่ารับประทานซะเท่าไหร่ด้วยซิ! จึงเสียดายหนังเรื่องนี้มากๆ ถึงแม้มันจะทำเงินในต่างประเทศและมีเนื้อเรื่องที่ดีก็ตาม แต่มันก็ไม่น่าจะเป็นหนังที่แห้วขนาดนี้อ่ะครับ!

และเมื่อ Spielberg ได้เปิดโอกาสกับ Bay อีกครั้งใน Transformers แรกๆผมคิดว่าคราวนี้เขาจะใช้กึ๋นและพรสวรรค์ของเขาแบบเต็มที่ซะที ผมอยากจะเห็น Bay ทำอะไรที่มันเหนือจินตรนาการ แบบที่หนังทั่วไปเกินจะทำได้ หรืออย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรก ผมอยากเห็นการ์ตูนเรื่องโปรดตั้งแต่สมัยเด็ก มีชีวิตชีวาแบบอยู่ในโลกความเป็นจริงได้เลย ประมาณว่าจะเพ้อหนักมากแค่ไหน แต่ให้มันเหมือนอยู่ในสถานการณ์คล้ายใกล้เคียงกับเหตุปัจจุบันมากขึ้น

user posted image

แล้วยังไงล่ะครับ Transformers กลับทำได้ทุกๆอย่างแบบที่ผมหวังไว้จริงๆ นี่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นที่มันกระคู้หู้อย่างเดียว แต่มันทำให้ฝันในวัยเด็กของผมกลับมาเป็นจริงอีกครั้ง มันทำให้ผมได้ลืมเลือนทุกๆอย่างที่เป็นพวกละครญี่ปุ่นรถแปลงร่างเป็นหุ่นยนตร์หลายต่อหลายเรื่องจนสำเร็จ ผมลืมไปเลยว่าพวกนั้นต้องใช้แปลงร่างนานขนาดไหนหลังจากดู Transformers ฉบับ Michael Bay จบ ฉนั้น Transformers มันทำให้คำๆนึงที่อยู่เคียงกับโ,กภาพยนตร์มานานแสนนานแล้วเป็นจริงซะที "Movie is A Magic!" เนี๊ยแหละคือของหนังที่คู่ควรคำศัพท์ประโยคอย่างแท้จริง

Transformers กับชีวิตวัยเด็กของผม นี่อยู่คู่ขนานกันตลอด เพราะมันเป็นการ์ตูนที่สร้างมาให้เด็กดูอย่างแท้จริง คือประมาณว่ามันไม่เหมือน***พวกขบวนการแปลงร่าง คาคูเรนเจอร์ หรือ***พาวเวอร์เรนเจอร์อะไรนั้นหรอก เพราะว่ารถหรือพาหะนะมันแปลงร่างเอง และมันก็มีชีวิตจิตรใจด้วยตัวของมันอีกด้วย มันรู้ว่าอะไรผิดหรือถูกก็จริง แต่นั่นเป็นเรื่องระหว่าง หุ่น 2 ฝ่ายที่ต่อสู้ตั้งแต่ก่อนที่จะมาบนโลกนี้ซะแล้ว Autobot เปรียบเสมือนเป็นผู้พิทักษ์หรือพวกที่มาปกป้องความปลอดภัยแก่มนุษย์ชาติอย่างแท้จริง เปรียบเสมือนหุ่นฮีโร่ที่จะพิทักษ์ไม่ให้มนุษย์เกิดภัยร้ายอะไรได้ และก็ผดุงความยุติธรรมอย่างแท้จริง Decepticons คือเผด็จการ พวกที่รักความรุนแรงและการทำลายล้างอย่างเห็นได้ชัด พยายามที่จะสร้างอาณาเขตของตัวเอง เพื่อปกครองทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นของพวกตัวเอง สร้างสิ่งชั่วร้าย และกระหายที่จะทำลายล้าง ซึ่งนั่นแหละเป็นต้นเหตุของเรื่อง เมื่อมี "ผู้ปกป้อง" และ "ผู้ทำลายล้าง" มันก็ต้องวัตถุบางอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดทั้งฝ่ายนี้ขึ้น นั่นคือ "The Cube"

user posted image

"The Cube" วัตถุสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ที่สามารถทำให้สิ่งที่เป็นอีเล็คโทรนิคทั้งหลายกลายมามีชีวิตได้นี้ก็ตกมาลงบนโลก แล้ว Megatron หัวหน้าของพวก Decepticons ก็ไปตามมาบนโลกเพื่อที่จะเอา The Cube ไปสร้างดวงดาของพวกมันเอง แต่แล้วก็หนาวแข็งก่อนที่จะได้ The Cube แต่เมื่อโดนแช่แข็งหนัดขนาดนั้นหลายต่อหลายปี ก็มีพวกมนุษย์ไปค้นพบ Megatron และ The Cube จึงทำให้มีความลับระดับสุดยอดที่พวกมนุษย์ได้รับมา พวกมนุษย์จึงตั้งหน่วยงานลับสุดยอดที่ชื่อว่า Sector 7 เพื่อเก็บข้อมูล เรื่องที่เกี่ยวกับวัตถุอีเล็คโทรนิคแปลกๆที่เคลื่อนที่หรือมีชีวิตได้ จะถูกจับวิเคราะห์และเปิดคดีอย่างลับๆเอาไว้ ซึ่ง Sector 7 ก็เปิดมาเป็นเวลาหลายต่อหลายปีแล้วก็จำทำเรื่องที่เกี่ยวข้องแบบนี้ต่อไป

จนกระทั่งในปัจจุบัน เริ่มมีพวก Decepticons แอบเข้ามาบนโลกบางกลุ่มและมันก็แฝงกายมาเป็นเครื่องพาหะนะหลากหลายรูปแบบ เพื่อที่จะหาทางตามหา The Cube พวกมันก็เข้าไปแฮ็คระบบของรัฐบาลหลายๆต่อครั้งไม่ว่าจะทางไหนก็ได้! แน่นอนล่ะ พวก Autobot ก็มีพวกมาบนโลกแล้วเหมือนกัน แต่มีแค่ตัวเดียว นี่คือ Bumblebee เพราะว่ามันถูกส่งให้มาตามหา เด็กหนุ่มที่ชื่อว่า Sam Witwicky ซึ่งเด็กคนนี้ได้ถือชะตากรรมของพวกมันแบบรู้เลยว่า มันอาจจะก่อเรื่อง จะไม่สามารถจะมีชีวิตเดิมๆได้อีกครั้ง!

user posted image

โชคดีของ Bumblebee วันที่ Sam ได้ A- พรีเซนท์รายงานของตัวเองที่หน้าชั้นเรียนห้องที่ตัวเองอยู่ พ่อของ Sam ก็จะซื้อรถให้ Sam ไป จนกระทั่ง Sam เจอ Chevrolet Camaro 1975 (รถรุ่นที่ Bumblebee เป็นอยู่) ก็ถูกใจจึงเลือกรถคันนี้ไปในที่สุด ส่วนชีวิต Sam เองนั้นก็ไม่ค่อยต่างจากวัยรุ่นทั่วไปซักเท่าไหร่ เป็นพวกที่สนใจในเรื่องผู้หญิงและรถ และรู้สึกเบื่อหน่ายโรงเรียน แต่นั่นก็คือจุดที่ความคล้ายคลึงสิ้นสุดลง เพราะหลังจากที่ตัวเองได้ Chevrolet Camaro 1975 เมื่อกับตัวเองจะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และ***ความที่เป็นกระต่ายตื่นตูมก็เหมือนจะลดหายไปในระดับนึงแล้ว ซึ่งแน่นอนแหละในโรงเรียนเดียวกันเองนี้ ก็คงต้องแอบชอบใครซักคนนึงแน่นอน สาวผู้โชคดีคนนั้นก็คือ Mikaela Banes สมัยก่อนเขาได้แต่อั้มๆอึ้งๆเธอคนนี้ตั้งแต่ป.1 จนกระทั่งเมื่อเขามี Chevrolet Camaro 1975 คู่ใจคันนี้ มันก็ทำให้เขาคิดว่าถึงเวลาเป็นตัวของตัวเองและเผชิญหน้ากับความกลัวให้ได้เสียที วันที่ Mikaela เดินกลับบ้านคนเดียว Sam ได้เอ่ยขอพาเธอไปส่งที่บ้าน ซึ่งแรกๆ Mikaela ก็คิดว่า Sam คงเป็นแค่เจ้าเด็กเนิร์ดธรรมดาต๊องๆคนนึงแน่นอน แต่ความจริงเธอได้รู้จักอะไรเขามากขึ้น และเขาก็ได้มีเวลาอยู่ร่วมกับเธอนานกว่าที่เขาปรารถนาเอาไว้ ต้องขอบคุณเจ้า Bumblebee ที่รถเสียกลางทางทำให้คนคู่นี้ได้รู้จักกันมากขึ้น

user posted image

แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดเกี่ยวกับ Sam ก็เกิดขึ้นเมื่อจู่ๆ Chevrolet คู่ใจของตัวเองได้หนีไปอย่างดื้อๆ ทำให้เขาสติและหัวเสียหนักมากๆ แต่เรื่องที่ทำให้เขาประสาทเสียสุดก็คงเป็น เมื่อเขารู้ว่า รถคู่ใจของเขานั้น แปลงร่างเป็นหุ่นยนตร์! ทำให้เขาเริ่มกลัวรถของตัวเองทันที และเมื่อรถของเขาได้กลับมาหาเขา เขากลัวและเผ่นให้ห่างจากรถของเขาให้ได้ ซึ่งมันทำให้เขากลัวสุดขีดแบบที่ไม่เคยเป็นมาในชีวิตนี้! และการที่เขาเจอตำรวจหลังจากหนีรถของเขา เขานึกว่าเรื่องจะจบแล้ว ปรากฏว่ามีเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวหนักกว่าเดิมก็คือ รถตำรวจคันนั้นดันแปลงร่างได้ และถามหา***สิ่งที่ Sam ครอบครองเขาจึงหนีสุดขีดหนีระห่ำ จนเจอ Mikaela ที่เธอเองกำลังสงสัยความบ้าบอของเขาอยู่พอดี แต่เมื่อเธอเห็นหุ่นยักษ์ที่แปลงกายมาจากตำรวจเธอก็สติไม่อยู่กับตัวอีกแหละ จนเมื่อ Bumblebee ได้พาเขาและเธอหลบหนีจากหุ่นยักษ์สุดแปลกตัวนี้มาได้ ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่ารถที่เขาซื้อมา เป็นผู้พิทักษ์ชีวิตเขาอย่างแท้จริง ซึ่ง Mikaela ก็อยู่ในช่วงที่งงงวย ไม่สามารถอยู่แบบมีสติได้ แต่เมื่อ ทั้งคู่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับ Bumblebee และรู้ว่ากำลังจะมีหุ่นยนตร์พวก Autobot หล่นมาบนโลกอีกพวกนึง ทำให้ทั้ง Sam และ Mikaela ได้ใกล้ชิดกันและกันมากขึ้น

user posted image

ไม่ใช่เรื่องราวของ Sam และ Mikaela เท่านั้นที่มีปัญหา แต่ทว่าทหารกลุ่มที่พึ่งรอดตายจากกองทัพอเมริกาที่ไปตั้งอยู่ Qatar ที่นำโดย ผู้กอง Lennox และ ผู้กอง Epps ก็ยังไม่รู้ตัวเองโดยพวกไหนกันแน่ที่จู่โจมพวกเขาอยู่! ขณะเดียวกันเรื่องมันก็ถึงหัว เลขาธิการกระทรวงกลาโหม John Keller ที่พยายามให้กลุ่มเก่งคอมทั้งหลาย ให้ดูสัญญาณลึกลับที่ถูกส่งขณะที่กองทัพ Qatar โดยทำลายล้าง 1 ในนั้นมี นักวิเคราะห์ Maggie Madsen ที่รู้ว่ามีคนๆเดียวที่เก่งการเจาะสัญญาณจึงให้ Glen Whitmann แฮ็คเกอร์ปากมากจัดการเรื่องนี้ แต่ทว่า ทั้ง Maggie กับ Glen ก็โดนทางหน่วยงานจับตัวไปด้วย

เมื่อ Octimus Prime และพรรคพวกได้มาเยือนบนโลก พวกเขาก็ได้บอกสารให้กับ Sam และ Mikaela ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้น! และ Sam ก็ได้รู้แล้วว่าตัวเขาเองนั้นมีอะไรบางอย่างที่พวก Decepticons ต้องการ ซึ่งนั่นก็คือแว่นของปู่ทวดตัวเอง ที่มีแผนที่ซ่อนอยู่ในเลนส์! เมื่อ Sam ได้ของเสร็จ เรื่องมันก็ยังไม่เสร็จโดยดีเพราะว่า ทาง Sector 7 รู้ว่า Sam รู้เห็นอะไรบางอย่างเกี่ยวกับวัตถุอีเล็คโทรนิคเคลื่อนที่ พวกเขาจึงส่ง Agent Simmon มาสอบสวนและพาทั้ง Sam กับ Mikaela ไปด้วย พร้อมกับยังจับ Bumblebee ไปด้วย ซึ่งพวก Autobot ก็รู้แหละว่าจะต้องไปช่วยทั้ง Bumblebee และ Sam ให้ได้จึงจำใจต้องไปช่วย!

ทีนี้ในเมื่อหนังมีตัวละครที่ค่อนจะเยอะมากๆ ฉนั้นตอนนี้หนังก็ได้ร่วมตัวละครที่หนังพูดถึงบ่อย มาไว้ในที่ๆเดียวกันซะที เพื่อไม่ให้เป็นการสับสนพวกเขาจึงส่งคนจาก Sector 7 ไปหา ผู้กอง Lennox, ผู้กอง Epps, เลขาธิการกระทรวงกลาโหม John Keller, Maggie Madsen , Glen Whitmann รวมถึง Sam และ Mikaela ที่ถูกมาดูสิ่งที่ลับสุดยอดที่ทาง Sector 7 เก็บมาได้ นั่นคือ Megatron และ The Cube ที่ถูกจับแช่แข็งอยู่นั่นเอง แต่แล้ว Decepticons ก็ได้ส่งสายสืบมาแล้วก็รู้แล้วว่า Sector 7 อยู่ที่ไหนจึงได้ส่งสัญญาณพวกที่เหลือให้มาจัดการเอา The Cube และปลดปล่อย Megatron แน่ล่ะเมื่อพวก Decepticons เข้ามาทำลายก็เกิดเหตุการณ์อลวนตะลาปัด ทำให้พวก Sector 7 ต้องอพยพคนออกมาให้หมด แต่ Sam เองรู้ว่า มี Bubblebee ที่สามารถย่อส่วนของ The Cube ได้ เขาจึงขอร่วมแรงร่วมใจจากทุกๆคนช่วยกันสู้กับ Decepticons จึงแยกกันเป็น 2 ส่วน Sam, Mikaela, Lennox, Epps และ Bumblebee ช่วยกันปกป้อง The Cube ส่วนที่เหลือก็สู้ตายอยู่ใน Sector 7 ซึ่งเมื่อโดน Decepticons จู่โจ่ม ทำให้ Megatron ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แต่พวก Autobot ก็เร่งมาปกป้องทันจนได้!

.... Michael Bay ต้องชื่นชมเลยว่าเขาคือสุดยอดผกก.หนังแอ็คชั่นของวงการจากที่สุดถึงที่สุดแล้ว ทำให้ผกก.อย่าง James Cameron ชิดซ้ายได้เลย ช่างเป็นความที่เจ๋งจริงๆที่ Transformers เป็นฝีมือของ Michael Bay เพราะว่าเขาคนนี้นี่แหละที่เก่งการให้ความบันเทิงคนดูอย่างที่สุด หนังเรื่องนี้ยังคงเน้นความมันส์ไม่ต่างจากผลงานเรื่องก่อนๆของเขา แต่ทว่าเล่นเอาให้มันส์สุดๆสะท้านโลกไปได้เลย เรียกได้ว่าลืมความมันส์เก่าๆของเขาหลายต่อหลายเรื่องก็เป็นได้ แต่ที่แน่ๆหนังเรื่องนี้ทำให้คนดูลืมความงี่เง่าที่โคตรห่วยสุดเบ๊าะอย่าง Pearl Harbor ได้เลย! แถมที่เจ๋งก็คือว่า ถึงแม้นี่จะเป็นหนังของ Bay ที่ด้อยในเนื้อเรื่องของมันส์มากๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นหนังที่ห่วย เพราะด้วยฉาก Action ที่มีกันให้ดูแบบไม่ต้องหยุดหายใจ กับความสนุกของหนังเรื่องนี้ กลับกลบส่วนด้อยๆของหนังมิดได้อย่างเต็มที่เลย และยังไม่หมดเท่านั้นตัวละคร ทุกๆตัวละครในหนังต่างก็สร้างาานสูสีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการเรียกเสียงฮาจากคนดูเนี๊ย ต้องปรบมือได้เลยทำได้ผสมผสานและมีจังหวะเข้ากับตัวหนังมากๆ ถ้าสังเหตุดีๆหนัง Bay หลายๆเรื่อง จะมีส่วนผสมระหว่าง Action กับ Comedy ได้อย่างเต็มที่และจริงจังหลายต่อหลายเรื่อง แต่สำหรับ Transformers ควรจะถูกเชิดชูได้รับเกียรติว่า สุดยอด!!!!!! แล้วด้วย SFX ของหนังเนี๊ย ผมคงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเลยสำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะทำได้แจ๋วและมีกึ๋นจริงๆ

ฉากที่ตลกที่ผมว่าโดนใจผมมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นตอนที่พวก Autobot หลบพ่อแม่ Sam ผมรู้สึกว่าฉากนี้ในหนังเนี๊ย ให้อารมณ์คล้ายๆกับตอนที่ดู The Iron Giant ฉากที่มือหุ่นยนตร์มาเล่นซุกซนในบ้านพระเอก ผทว่าอารมณ์มันคล้ายๆกันมาก ที่จริงก็มีฉากชวนฮาฉากอื่นๆเหมือนกัน ***ฉากเครดิตการ์ดนี่ก็ชวนก๊ากเป็นพิเศษเขาจะเป็นจะตายกันอยู่แล้ว ***เนี๊ยถามถึงเครดิตต้องชมคนเขียนบทเลยว่า "แหมเพ่! คิดได้ไงเนี๊ย" ฉากที่ Agent Simmon โผล่มาก็เรียกเสียงฮาแบบไม่หยุดไม่หย่อนจริงๆ ประมาณว่า "ทำไมวะ ก็คนมันกร่านอ่ะ!" ซึ่งการแสดงของ John Turturro ในส่วนนี้แย่งความเด่นไปจากหนังพอสมควร (ถ้าคุณยังจำบทที่เขาเคยเล่นเป็นคนใช้ใน Mr.deeds คุณจะรู้สึกว่าบทของเขาในเรื่องนี้มีอะไรที่คล้ายๆกัน) อีกฉากที่ผมว่ากวนบาทาโคตรๆ ก็คงจะเป็น***ฉากที่ Agent ขู่ว่าถ้าไม่เอาปืนลงจะนับ 1 - 5 แต่ ผู้กอง Lennox สวนกลับไปว่า "งั้นฉันจะนับถึง 3" เอาทีนี้ใครยังจะซ่าอีกรึเปล่า??? รวมถึง***มุขที่ไปสงเสริมคนญี่ปุ่นด้วยอ่ะครับ ยอมรับว่าผู้เขียนบทเรื่องนี้อาจจะดีที่เนื้อเรื่องไม่ค่อยได้ แต่กลับไปเอาดีเรื่องความฮาได้นี่ ก็ถือว่าน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

แต่ที่สำคัญมันไม่ใช่ที่ มันส์-สะใจ-สนุก-ฮา อย่างเดียว แต่มันดันมีฉากล้อเลียนการเมืองได้อย่างเจ็บแสบของแท้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พูดถึงประธานาธิบดีโดยที่ไม่ให้เราหน้าซักกะฉาก เช่นฉากถุงเท้าแดงและขนมดิ๊งดอ่งนี่แสดงการเสียดสีต่อ Bush จริงๆ รวมถึง***ช่วงเครดิทหนังเนี๊ย มันเสียดสีได้ถึงกึ๋นจริงๆ ซึ่งเพราะส่วนนี้ด้วยล่ะจึงทำให้ Transformers เป็นหนังของ Bay ที่ไม่ธรรมดาเหลือเกิน! ความจริงหนังของ Bay หลายๆเรื่องก็ค่อนข้างจะแอบวิจารณ์เยอะหลายเรื่องนะ แต่สำหรับ Transformers ค่อนข้างโจ่งแจ้งกว่าใครเพื่อน ฉนั้นจะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเรื่องนี้ถึงบทพูดที่ชวนเสียดสีเกี่ยวกับการเมืองและเรื่องเชื้อชาติค่อนข้างเยอะพอควร!

ผมว่าการที่ Michael Bay ได้แยกกับ JB นั้น ถือว่าเป็นข้อดีอย่างนึง ที่เราจะได้เห็นพัฒนาของเขามากขึ้นมากกว่าที่เราเห็นในหนังก่อนๆของเขา แน่นอนเราได้เห็นส่วนนี้ไปแล้วใน The Island แต่กลับ Transformers อันนี้ท่าทางจะย้ำเป็นพิเศษเลยล่ะครับ คือ "KU ไม่พึ่ง Meung แล้วเว๊ย!" จะเห็นได้ชัดกับฉากแอ็คชั่นหลายๆฉากของหนังที่ดันทำได้มันส์กว่า The Rock, Armageddon และ Bad Boys II จนลืม Pearl Harbors ซะด้วยซ้ำ ที่สำคัญเรื่องนี้ Bay ได้พยายามจะเน้นเรื่องราวทางเพศให้น้อยลง กว่าหนังเรื่องก่อนๆของเขา เพื่อที่จะสามารถเป็นหนังที่ดูได้ทั้งครอบครัว โดยเพิ่มช่วงหรือบทตลกมากขึ้น กว่าหนังเรื่องก่อนๆของเขาซะเยอะ ซึ่งถ้าลองสังเหตุดูสมัยตอนที่ Bay ยังอยู่กับ JB หนังของเขาเอง จะต้องมีเรื่องราวส่วนน้ำเน่าเกี่ยวข้องด้วย ก็ตั้งแต่ Bad Boys, The Rock (ก็มีด้วยนะ อย่านึกว่ามันไม่มีอะไร), Armageddon, Pearl Harbors (อันนี้ยอมรับว่า เกือบทั้งเรื่อง) และ Bad Boys II รวมถึงเรื่องก่อนของเขาเช่นกัน The Island ซึ่งหลายๆคนอาจจะเอาความน้ำเน่าในหนังของเขา ไปเปรียบกับละครน้ำเน่าไทยก็มีเยอะอยู่เหมือนกัน ฉนั้นจึงไม่แน่แปลกถ้าหากว่า Transformers จะไม่มีเรื่องราวน้ำเน่าอยู่ในหนังแม้แต่นิดเสียเลย สังเหตุดีๆนะครับ เรื่องราวระหว่าง Sam และ Mikaela เป็น Love Story อันนี้จริงอยู่! แต่ถามว่าเน่ามั๊ย ผมว่าไม่ แต่กลับซึ้งใจกว่า แล้วเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง Sam และ Bumblebee นี่ก็ซึ้งแบบมิตรภาพระหว่างเพื่อนจริงๆ หลายๆคนอาจจะบอกว่า Transformers ไม่ซึ้งเท่ากับหนังก่อนๆของ Bay แต่ผมขอยืนยันเลย ไม่ก็ซึ้งไปคนละแบบแหละ! แถมมันไม่เน่าและจำเจแบบที่เคยเป็นใน Pearl Harbors เพราะ Transformers ทำให้ผมลืมสิ่งเน่าเฟ๊ะจาก Bay ไปเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่ง Pearl Harbors ยังลืมไปเลยว่าเนี๊ยเป็นหนังของเขา

พวกหุ่นยนตร์ทำได้ดีมากๆ ดัดแปลงจากความเป็นการ์ตูนต้นฉบับได้ดี พูดจริงๆไม่ผิดหวังเลยซักนิด เพราะสิ่งที่ผมจินตรการนั้น ไม่ค่อยต่างจากที่ Bay ทำเลยซักนิด เช่น Optimus Prime ในการ์ตูนและในหนังก็ไม่ได้ต่างอะไรเลยซักนิด Megatron ในหนังก็ทำได้ดีกว่าในการ์ตูนหลายๆเท่า แถมยังทำเหมือนว่าจะน่ากลัวกว่าฉบับการ์ตูนซะกด้วยซิ! Bumblebee เป็นตัวละครที่อาจจะคล้ายๆกับการ์ตูนเกือบเป๊ะๆหน่อย แต่หลับหลายเป็นตัวละครหุ่มยนตร์ที่คนดูรู้สึกผูกพันธ์ Star Scream, Blackout, Devastator, Barricade, Frenzy, Bonecrusher กับ Scorponok แจ๋วกว่าในการ์ตูนเสียอีก Ironhide กับ Ratche ไม่ค่อยเด่นเท่าในการ์ตูน แต่พอเมื่อเวลาแปลงร่างหรือตอนต่อสู้ทำได้เท่ห์และเจ๋งไม่เบาเหมือนกัน และก็ Jazz บทบาทไม่ค่อยกับการ์ตูน หรืออาจจะแจ๋วน้อยกว่าตัวละครอื่นในหนัง แต่ก่อนตายนี่แจ๋วมากๆ "เอ็งทำได้แค่นี้เหรอวะ แค่นี้เองเหรอวะ" ที่ดีก็คือฉากแปลงร่างจากพาหะนะกลายเป็นหุ่นขนาดยักษ์นั้น ทำเอาคนดูขนลุกสั่นๆไปทั้งตัวเลยล่ะครับ รวมถึงฉากที่ Bumblebee อัพเกรดเป็น Chevrolet ก็ทำเอาคนดูทึ่งไปตามๆกัน ฉากแอ็คชั่นนี่ผมว่าคนดูอินกับมันวุดๆ แล้วคนดูก็คงจะขำกับฉากพวก Autobot กำลังหาทางหลบพ่อแม่ของ Sam ชัวร์ๆล่ะครับ นี่ถือว่าเป็นหนังหุ่นยนตร์ทำได้ดีไม่แพ้กัน (หนังหุ่นยนตร์สนุกจริงๆก็คงเป็น I'Robot แต่ยอมรับว่า Transformers ดันสนุกกว่าอีก)

นักแสดงของหนังพูดจริงๆนะ แสดงได้ดีแทบทุกๆคนจริงๆ ไม่มีคนไหนที่แสดงด้อยกว่าใครเลย เริ่มจาก Shia LaBouf คนนี้ผมคงยกให้เป็นนักแสดงดาวรุ่งประจำปีนี้เลยล่ะครับ เพราะว่าใครๆก็พยายามจะดันให้เขาดังในที่สุด จนตอนนี้ใครๆก็จำชื่อและหน้าของเขาได้อย่างเรียบร้อยแล้ว เขาเป็นนักแสดงที่เล่นได้ธรรมชาติมากๆ และบทส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายที่มีความมั่นใจ แต่ออกแนวเชยๆหลายต่อหลายเรื่องนะ ซึ่งถึงแม้เราอาจจะได้เห็นบทแนวเดิมของเขา ค่อนข้างซ้ำเยอะแล้ว แต่ความจริงเรากลับไม่เบื่อของเขาเลยซักนิด รวมถึงบท Sam ใน Transformers ด้วย ผมรู้สึกว่าถ้าไม่ให้***หมอนี่เล่นไม่รู้ว่าจะให้ใครเล่นได้สมบทเท่าเขาอีกแล้ว! (เหมือนกับพากย์ไทย ใครอ่ะเสียงได้เข้ากับหน้ามากๆเลย!) ผมว่าหมอนี่เล่นได้ออกแนวปั้มๆเป๋อๆกว่านักแสดงในวัยเดียวกับเขาหลายๆคนเลยนะ แต่ที่สำคัญถึงแม้เราจะได้พิสูจน์บทบาทของเขาจากหนังเรื่องนี้ เราก็ยังรอ (รอแล้วรอเล่า) ที่จะพิสูจน์บทบาทของเขาใน Disturbia และ รอพิสูจน์บทบาทที่จะเปลี่ยนแปลงลุคเขาตลอดไป กับบทผู้ช่วยของ Indianna Joens ในภาค 4 อีกด้วย ผมคิดว่าจากนี้ ถ้าใครไม่รู้จักชื่อ SHia LaBouf คงจะเชยโคตรๆแล้วล่ะครับ! (ความจริงแล้ว Sam ก็เป็นคนเดียวกับ Spike ในฉบับการ์ตูนแหละครับ ถ้าแฟนๆ Transformers จำได้!)

Megan Fox อิๆๆๆ หลายๆคนอาจจะพึ่งรู้จักเธอในหนังเรื่องนี้ แต่ความจริงแล้วผมรู้จักเธอนานแล้วแหละ ถ้าใครติดซีรี่ส์หลายเรื่องแบบที่ผมดู ก็น่าจะคุ้นๆหน้าเธอแหละ โดยเฉพาะถ้าใครได้ดู Hope & Faith (ซึ่ง Canceled ไปเรียบร้อยแล้ว) คงจะคุ้นหน้าเธอคนนี้ดีแหละครับ เพราะเรื่องนั้นเธอเล่นเป็นลูกกสาวคนโตของ Faith ซึ่งเธอก็น่ารักซะด้วย และยังติดใจความน่ารักในสมัยตอนที่เธอเล่นอยู่ รวมถึง เธอคนนี้ยังเคยเป็นตัวร้ายเรื่อง Confession of A Teenage Drama Queen ซึ่งเรื่องนั้นเธอก็ได้มาดร้ายเต็มๆ พอมาใน บท Mikaela ว้าวๆๆๆ อิ่มตาจริงๆครับ เธอสวยและเซ็กซี่ขึ้นกว่าเดิม (ซึ่งก็โตขึ้นขนาดนี้ ไม่ให้โตขึ้นก็บ้าแล้วแหละ) เรื่องนี้เธอโตเต็มตัวมากๆ หุ่นแบบนางแบบได้เลย ประมาณว่านางแบบ Victoria Secret ได้เลย ซึ่งผมก็คิดๆว่าหลังๆฮอลลี่วู๊ดชักจะเริ่มนิยมนางเอกที่เป็นสีแทนๆแบบนี้หลายเรื่องพอสมควรแล้ว นับตั้งแต่ Jessica Alba พอมา Megan Fox ก็ถือว่าสอบผ่านล่ะครับ ไหนๆก็หนังแอ็คชั่นแล้ว ถ้านางเอกไม่ฮอตขนาดนี้ แหม .... คุณจะให้นางเอกเป็นแบบไหนล่ะครับ????

นักแสดงคนอื่นก็ถือว่าเวิร์คเหมือนกันนะครับ เช่น Josh Duhamel (หลายๆคนน่าจะจำเข้าได้จาก Win A Date With Tad Hammilton และก็บทรปภ.สุดหล่อในซีรี่ส์เรื่อง Vegas) และ Tyrese Gibson ก็ระห่ำในแบบแมนๆฮีโร่อย่างแท้จริง ขนาดฉากหาบัตรเครดิตทั้งคู่ก็ยังไม่เสียฟอร์มเลย Anthony Anderson พูดจริงๆ ผมไม่ได้เห็นเขาคนนี้เล่นบทที่แย่งซีนแบบนี้มานานมากๆแล้ว เพราะหลังๆเราคงได้เห็นเขาในบทสมทบหรือพวกตลกฟืดมากกว่า (ยกเว้นบทเขาใน Scary Movie 4 เล่นเอาผมขี้แตกขี้แตนเลย) แต่กลับใน Transformers คนดูเสร็จเขาตั้งแต่เขาโผล่มาครั้งแรกล่ะครับ ยิ่ง***ตอนโดนจับเนี๊ย เรียกเสียงฮาแบบน่านับถือจริงๆ Rachel Taylor ก็ดูดีกว่าตอนที่เธอเล่น See No Evil ซะอีก Jon Voight บทไม่ค่อยต่างจากงานก่อนๆของเขา (เผลอบทเขาทำให้เรานึกถึงบทใน Pearl Harbors ซะด้วยซ้ำ) แต่ก็น่าพอใจในระดับที่ได้เห็นการแสดงของเขาในหนังเรื่องนี้ และ John Turturro พูดได้เต็มปากเลยล่ะครับว่า นานๆจะได้เห็นเขาเล่นบทแบบกวนบาทาอย่างงี้ซะที เขาเคยเล่นบทแบบนี้ครั้งนึงมาแล้วใน Mr. Deeds และ Anger Managment ซึ่งกวนบาทาได้มากๆ แต่กลับบท Agent Simmon เอิ๊กๆ ลืมไม่ลงของแท้จริงๆ ที่ชอบสุดๆคงเป็น***เสื้อกล้าม Sector 7! (คิดได้ไงวะเนี๊ย) รวมถึงการให้เสียงพากย์อีกครั้งของ Peter Cullen ที่พากย์เป็น Optimus Prime ก็ยังไม่แพ้เท่ากับของเก่าๆ และการให้เสียงพากย์ของ Hugo Weaving ในบท Megatron ก็พากย์ได้ร้ายซะสมใจ

เรื่องนี้ก็ไม่ได้ดีแค่องค์ประกอบที่ผมพูดถึงอย่างเดียว นอกจากสิ่งที่ผมพูดแล้วองค์ประกอบที่ค่อนข้างสำคัญกับหนังเรื่องนี้ ก็คงเป็นดนตรี และ ซาวนด์แทร็คของหนังที่ทำได้เยี่ยมยศมากๆ ไม่ว่าจะดนตรีของ Steve Jablonsky ที่ผมเคยประทับใจเขามาแล้วตอนที่เขาทำ The Island และ Desperate Housewives ซึ่งเป็นผลงานของเขาที่มีพลังเหลือเกิน มาใน Transformers เขาสามารถเข้าสู่อีกระดับนึงได้อย่างสำเร็จจะเห็นได้ชัดว่า เขาเป็นคนประพันธ์ดนตรีที่ยังโนเนมจนกระทั่งตอนนี้เขาได้แจ้งเกิดเต็มตัวในที่สุด คุณจะรู้สึกว่าดนตรีของเขาในหนังเรื่องนี้นั้น เปี่ยมไปด้วยพลังที่ถ่ายโอนคนทำหนังสู่หนังอย่างแท้จริง ฉนั้น Steve ไม่ทำให้เราได้ผิดหวังกับ Transformers อยู่แล้ว รวมถึง Soundtrack ของหนังก็ถูกเข้ามาสอดแทรกได้อย่างดีในแต่ละฉากของหนัง เช่นเพลง Pretty Handsome Awkward ของ The Used ก็ถูกนำมาใช้ในตอนที่ Bumblebee ได้พา Sam และ Mikaela หนี, เพลง Before It's Too Late ของ Goo Goo Dollls ที่เข้ามาในช่วงที่ตอน Sam ขอให้ Mikaela มานั่งบนตักเขา ช่างโรแมนติกมากๆ, เพลง Second To None ของ Styles Of Beyond featuring Mike Shinoda ก็ถูกนำมาใส่ตอนที่ Bumblebee กำลังเต้นอยู่, เพลง Doomsday Clock ของ Smashing Pumpkins ก็ถูกนำมาใส่ตอนที่หลายๆคนน่าจะชอบ "ฉันขับ นายยิงนะ!" และก็สุดท้ายผมแอบหวังไว้ตั้งแต่เห็นตัวอย่างแล้ว หวังไว้ว่าขอให้เป็นเพลงจบของหนัง เพราะผมเองอยากได้ยินเพลงพวกเขาในหนังจริงๆมานานแล้ว นั่นก็คือ What I've Done ของ Linkin Park มาเป็นเพลงจบที่เข้ากับหนังมากๆ และก็ยังเพลงอื่นๆอีกนะครับ แต่คุณต้องไปหาฟังกันเองใน CD Soundtrack นะครับ แถมมันส์ทุกเพลงอีกด้วย ที่ดีก็คือหนังไม่จำเป็นต้องพึ่งเพลง Transformers Theme ซึ่งถือว่าไม่ยึดหลักตามธรรมเนียม Transformers ของจริงครับ

แล้วก็สุดท้ายผมคงจะต้องขอชมการแปลของ ศักดิ์สิทธิ์ แสงพราย ในหนังเรื่องนี้ที่ทำได้เยี่ยมมากๆ เพราะปกติหนังที่แปลจะเล่นการแซวตัวละครค่อนข้างบ่อยมากๆ แต่มาในเรื่องนี้เขาเหมือนได้แปล Star Wars ทำให้การแปลของเขาเองในหนังเรื่องนี้เนี๊ย เปรียบเสมือนเขาเป็นพี่พัชชาคนที่ 2 ก็ว่าได้ คือใน Transformers ก็ยังบทแปลในชาวงแซวบ้าง แต่ผมรู้สึกสำนวนที่เขาใช้หนังหลายครั้งมันลึกซึ้งดี

หวานมันส์ ที่มีรสชาติ rhappy.gif
- Michael Bay ถ้าไม่ได้ผกก.คนนี้มาทำ ผมว่าคงไม่เจ๋งขนาดนี้ล่ะครับ แต่คิดไปคิดมาผมว่าเขาทำได้มันส์กว่า James Cameron ใน True Lies และ T2 ซะอีก
- ความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในหนัง คือฝันที่เป็นจริงที่เคยอยู่ในวัยเด็กของผม
- Shia LaBouf แกลังรอดูทั้ง Surf Up และ Disturbia ผลงานในปีนี้ของเขา แต่ก็ชื่นชมว่า ตอนนี้เขาได้ดังสมใจแล้ว
- ทีมนักแสดงที่ที่ไร้ที่ติจริงๆ รวมถึงความสวยเซ็กซี่ของ Megan Fox ด้วย รวมถึงการแย่งซีนของ John Turturro และ Anthony Anderson ด้วย
- ฉากแอ็คชั่นกับฉากเรียกเสียงฮา นำมาผสมผสานกันได้อย่างดีมากๆ
- ช่วงอารมณ์ที่อินไปกับหนัง แน่นอนเรื่องนี้มีฉากนึงที่ผมอินกับหนัง จนผมร้อง อา....... ไปตามหนัง คงเป็นช่วงเวลาที่ผู้กอง Lennox ขี่มอเตอร์ไซด์ ฉากนั้นแบบว่าอินสุดๆเลย
- ตอนจบของหนังที่เท่ห์มากๆ ยังประทับใจท่าเดินของ ผู้กอง Lennox ที่กลับไปหาลูกเมีย ซึ้งกับความซึ้งระหว่าง Sam และ Mikaela แล้วก็บทพูดของ Optimus Prime ก่อนหนังจบที่ชวนกินใจมากๆ เป็นตอนจบของหนังที่เหมาะเหม็งกับหนังมันเองจริงๆ
- SFX จาก ILM แหงล่ะ .... เจ้านี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว
- ดนตรีของ Steve Jablonsky และซาวนด์แทรคหนัง
- บทบรรยายไทยโดย ศักดิ์แสงพราย และ พากย์ไทยของหนังที่ทำได้เจ๋งมากๆ

หวานมันส์ ที่ยังจืดไป dot_bl_angry.gif
- บทและเนื้อหาหนัง แน่นอนแหละ เพราะหนังสุดยอดขนาดนี้ ทำเอาเราลืมบทไปได้เลย
- บทสรุปช่วงตอนจบ เอาล่ะเรารู้ว่าสุดท้าย Sam และ Mikaela ลงเอยยังไง และผู้กอง Lennox ก็ได้กลับไปอุ้มลูกได้ซะที แต่ที่เหลือ Maggie, Epps, Glenn และ Agent Simmon เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา หนังดันลืมพูดถึงพวกสนิทไปเลย

สรุปแล้ว: Michael Bay คือ James Cameron คนที่ 2 ได้เลย เพราะงานของเขาเรื่องนี้ล้ำจินตรการและเกิดความอัศจรรย์ต้อคนดูอย่างมาก ไม่ใช่เท่านั้น Bay ยังทำให้ความฝันวัยเด็กของผมเป็นจริงขึ้น และคิดในใจขณะที่ดูประมาณว่า "KU อยากให้เห็นแบบนี้มานานแล้วเว๊ย" สมควรได้รับการยกย่องสำหรับ Bay ใน Transformers ที่สำคัญตอนนี้หนังได้ไปอยู่ Top 250 ของ IMDB อันดับที่ 223 เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ (ถึงแม้เว็บมะเขือเทศเท่าให้ไป 60% ก็ตาม) แถมเพื่อนผมตอนนี้ชมรมกระทืบคนเกลียด Transformers ซึ่งแหม .... อะไรมันจะแจ่มขนาดนี้ แต่ที่แน่ๆ Transformers คือผลงานชิ้นเอกของ Michael Bay อย่างแท้จริง พิชิต The Rock และ Armageddon แล้วก็สามารถลืม Pearl Harbor อย่างลงตัวเรียบร้อยแล้วล่ะครับ!

ซึ่งใน Summer ปีนี้เป็นปีที่ผมถูกใจมากๆ เพราะเจอแต่หนังถูกใจหลายต่อหลายเรื่องตั้งแต่ Spider-Man ---> POTC ---> Ocean 13 ---> Die Hard 4.0 แล้วก็มาเรื่องนี้เนี๊ย เป็นซัมเมอร์ที่มีหนังเจ๋งๆต่อกันหลายๆเรื่องจริงๆ ก็คงจะยกให้ Transformers เป็นในดวงใจปีนี้อีก 1 เรื่องแล้วอ่ะครับ ขอยก 10/10 กับหนังเรื่องนี้ไปเลยอ่ะครับ

ปล. Live Free or Die Hard ก็ดูมาแล้ว แต่เสียดายไม่น่าดู Transformers ก่อนเลย ก็เลยรู้สึกป๋า John McClane ในภาคยังไม่ค่อยเท่าที่หวังเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็นหนังภาคต่อที่ดี ซึ่งมันก็แตกต่างจาก Transformers นะ คือ Die Hard 4.0 เป็น Action ในโกแห่งความเป็นจริง แต่ Transformers คือเป็น Action ที่ล้ำจินตรยาการ เพียงแต่ว่าหลายคนคงอาจจะคิดแบบผมถ้าดู 2 เรื่องนี้แล้ว Transformers 3 รอบ ยังมันส์กว่า Live Free or Die Hard หลายๆเท่าตัวเลย!


Create Date : 06 กรกฎาคม 2550
Last Update : 6 กรกฎาคม 2550 9:35:39 น. 3 comments
Counter : 1235 Pageviews.

 
น่าดูครับ


โดย: อู๋ (ฟ้าสีส้ม ) วันที่: 6 กรกฎาคม 2550 เวลา:11:01:58 น.  

 
ไปดูมาแล้ว สนุกจริงๆ เนื้อเรื่องดี หุ่นทุกตัว เนียนมาก แล้วก็พลิ้วด้วย ดูวันแรกเลย คิดว่าน่าจะมีภาคต่อแน่นอน


โดย: PAPERSKY IP: 124.120.36.97 วันที่: 6 กรกฎาคม 2550 เวลา:11:54:00 น.  

 
ไปดูมาแล้ว หลงรักหุ่นยนต์เลยค่า
แม้ร่างกายจะเป็นหุ่นยนต์ แต่เค้าทำให้มันมีชีวิตจริงๆ ดูแล้วน่ารักน่าเอ็นดูจัง อิอิ


โดย: หิ่งห้อย (หิ่งห้อยน้อยคอยรัก ) วันที่: 9 กรกฎาคม 2550 เวลา:17:37:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

psak28
Location :
ภูเก็ต Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]





คนเราเกิดมาจากเหตุปัจจัยจากกรรมที่เราสร้างขึ้น และด้วยอนุสัยที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตกาล ย่อมมีความสุข และความทุกข์เป็นธรรมดา เราก็แค่เป็นเพียงผู้ดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น เปรียบเสมือนการดูละคร ดูแล้วก็ผ่านไป ไม่ต้องไปยึดติดกับมัน เคยสงสัยเหมือนกันว่าคนเราเกิดมาทำไมกัน แล้วทำไมคนเราจึงไม่เหมือนกันเลย ทั้งรูปร่าง หน้าตา กิริยา และการดำเนินชีวิต ที่กล่าวมาล้วนมีกรรมสรรสร้างให้เป็นอย่างนั้น หน้าที่ของเราก็คือ ละเว้นความชั่ว ทำความดีให้ถึงพร้อม และทำจิตใจให้ขาวรอบ


อันนี้ลองดูนะครับ หากใครสนใจหวยหุ้น หวยรัฐบาล นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ ได้มากกว่า ^_^



อันนี้น่าสนใจดีครับ จุ๊บลมยางที่สามารถบอกเราได้ว่าลมยางตอนนี้เป็นเท่าไหร่ และเตือนเราในกรณีลมยางอ่อนได้ ลองดูกันนะครับ




: Users Online

Friends' blogs
[Add psak28's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.