เช้าวันที่ 4 ของการเดินทาง เราตื่นกันเกือบ 10 โมง คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเรื่อยจากการเดินทางในวันที่ผ่านๆมาวันนี้เรามีแผนที่จะเดินทางไปเมืองมะละกาอันเป็นเมืองที่อยู่ทางใต้ลงไปอีกจาก KL.อีกประมาณ 144 KM นั่นหมายความว่าเรากำลังเดินทางออกห่างประเทศไทยไปเรื่อยๆ นั่นเองเราซื้อตั๋วรถบัสไปมะละกาจากสถานีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่พักโดยรถออกประมาณบ่ายโมง เราจึงใช้เวลาช่วงเช้าเก็บของลงเป้และเผื่อเวลาสำหรับอาหารมื้อสาย (มาก) ซึ่งก็ไม่พ้นโรตีกับแกงพรานต้าและชาเย็นอีก 1 แก้ว จากนั้นจะส่ง Post Card กลับไปให้เพื่อนๆ ที่กรุงเทพแต่ปรากฏว่าที่ทำการไปรษณีย์ปิดเนื่องจากเป็นวันเสาร์ เอาเป็นว่าเก็บเอาไว้ส่งที่มะละกาก็แล้วกัน
เราใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จึงเดินทางมาถึงมะละกา โดยเราลงรถที่สถานีขนส่งมะละกาประมาณบ่าย 3 โมงสถานีขนส่งของมะละกามีสภาพดีมาก สะอาด และดูทันสมัยผิดกับสถานีขนส่งตามต่างจังหวัดของประเทศไทยพอลงรถเสร็จก่อนที่เราจะเข้าเมือง เราต้องไปจองตั๋วรถบัสสำหรับการไปสิงคโปร์ในวันพรุ่งนี้เสียก่อน โดยเราได้ตั๋วรถบัสแบบ Super V.I.P โดยรถจะออกมะละกาบ่าย 3 โมง เท่ากับว่าเรามีเวลาอยู่มะละกา 24 ชั่วโมงพอดีหลังจากที่ได้ตั๋วรถเรียบร้อยแล้ว เราจึงนั่งรถเมล์เข้าไปในเมืองโดยมีจุดหมายอยู่ที่ย่านไชน่าทาวน์ เพื่อจะหาที่พักตามที่หนังสือ Lonely Planet ได้แนะนำเอาไว้Traveller Lordge เป็นหนึ่งในที่พักที่เราหมายตาเอาไว้เพราะเราอ่านพบใน Lonly Planet และยังบอกด้วยว่าเป็น..........สะอาด เป็นกันเองแถมยังราคาไม่แพงอีกด้วยแล้วเราก็ไม่ผิดหวังจริงๆ กับ Traveller Lordge เพราะที่พักที่นี่ดีจริงสมกับที่ Lonly Planet ได้แนะนำไว้แถมยังมีที่นั่งเล่นบนชั้นดาดฟ้าที่จัดเป็นสวนหย่อมที่มีบรรยากาศดีมาก และมีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ทีมานั่งชมวิวพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางที่ผ่านมาช่วยให้เกสต์เฮาส์แห่งนี้ดูมีเสน่ห์สมกับเป็นบ้านพักของนักเดินทางจริงๆ และที่สำคัญที่นี่ยังมีที่ซักผ้าและราวตากผ้าให้ด้วย คราวนี้ผมได้ซักเสื้อและกางเกงที่ใส่ซ้ำไปซ้ำมาจนเริ่มส่งกลิ่นแปลกเสียทีหลังจากที่เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงซักเสื้อและกางเกง รวมถึงการล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นเรียบร้อยแล้วเราก็เริ่มออกเดินทางไปสำรวจเมืองมะละกาทันทีเมืองมะละกามีจุดเด่นอยู่ที่เป็นเมืองเก่าแก่ และมีการอนุรักษ์อาคารบ้านเรือนแบบสมัยโคโลเนียล มีการทาสีตึกและอาคารต่างๆ ทั่วทั้งเมืองให้มีสีสันที่สวยงาม และยังมีโบสถ์คริสต์ ที่สวยงามและมีชื่อเสียงอีกหลายแห่งซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมตะวันตกที่เคยเข้ามาปกครองและค้าขายกับเมืองมะละกา ทุกวันนี้มะละกาจึงจัดว่าเป็นเมืองทีมีชื่อเสียง และมีคนจำนวนมากเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงที่เรามาเยี่ยมเยียนเมืองมะละกานี้ ซึ่งตรงกับวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ จึงทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเป็นพิเศษโดยมีทั้งชาวมาเลย์เองและนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาวสิงคโปร์ที่ข้ามประเทศมาเที่ยวในวันหยุด ที่มีทั้งขับรถยนต์ข้ามมาเองและมากับทัวร์เราใช้เวลาเดินจากที่พักประมาณ 10 นาที ก็มาถึงโบสถ์เก่าแก่แห่งหนึ่งที่มีการทาสีแดงทั้งหลัง โดยบริเวณรอบโบสถ์มีการจัดเป็นแผงขายของที่ระลึกนานาชนิด มีนักท่องเที่ยวเดินเลือกซื้อของกันขวักไขว่จากโบสถ์นี้เราสามารถเดินเที่ยวชมตึกหรืออาคารทรงโบราณต่างๆ ที่อยู่โดยรอบ และเมื่อเดินขึ้นไปบนเนินเขาด้านหลังโบสถ์ก็จะพบกับซากโบสถ์โบราณอีกแห่งหนึ่งที่มีรูปแกะสลักของนักบวชองค์หนึ่งที่สังเกตเห็นได้ว่าที่รูปแกะสลักจะไม่มีมือข้างขวา โดยรูปแกะสลักของนักบวชองค์นี้ เมื่อตอนแรกได้มีการแกะสลักให้มีมือครบทั้งสองข้าง ต่อมาได้มีฟ้าผ่าลงมาทำให้มือข้างขวาหักออกบริเวณข้อมือพอดี ซึ่งทำให้รูปแกะสลักดังกล่าวมีลักษณะเหมือนกับตัวจริงของนักบวชเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ที่ไม่มือข้างขวา !!!เมื่อมองจากโบสถ์ที่ตั้งอยู่บนยอดเนินนี้ไปทางทิศตะวันตก เราจะพบภาพของพระอาทิตย์ดวงกลมสีส้มที่กำลังจะลับขอบฟ้าลงไปในผืนน้ำทะเลที่กำลังสะท้อนแสงอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ จนกลายเป็นผืนน้ำสีส้มที่ประดับไปด้วยประกายแสงสีทองระยับตา
เมื่อสิ้นแสงจางจากดวงอาทิตย์ที่หมายต่อไปของเราก็คือ night market อันเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยร้านขายของนานาชนิดทั้งของเล่น ของที่ระลึก และร้านอาหารนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นขนนจีบ ปอเปี๊ยะทอด ก๋วยเตี๋ยว และอาหารอื่นๆ อีกมากมายnight market จะถูกจัดเป็นถนนสำหรับการเดินช๊อปปิ้งโดยเฉพาะ เราเดินเลือกชมสินค้าและบรรยากาศของถนนที่ขนาบข้างไปด้วยตึกแถวที่มีศิลปะแบบโคโลเนียลทาสีสดใสและประดับไปด้วยแสงไฟหลากสีจากหลอดไฟดวงเล็กนับร้อยดวงที่พาดผ่านสองฟากถนนตลอดความยาวของตลาดด้วยความตื่นตา และเลือกซื้อของที่ระลึกถึงค่ำคืนที่สวยงามในเมืองมะละกาแห่งนี้เราเดินทางกลับมาถึงที่พักประมาณ 3 ทุ่ม หลังจากที่อาบน้ำเรียบร้อยผมกับหนุ่ยจึงชักชวนกันขึ้นไปนั่งเล่นบนดาดฟ้า บรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองมะละกาแห่งนี้จะมีลมพัดเอื่อยๆ โชยมาไม่ขาดสายสมกับเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลและที่เมืองมะละกาแห่งนี้นี่เองก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกสำนึกถึงความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษอันน้อยนิดของผมคือ หลังจากที่ชื่นชมบรรยากาศบนดาดฟ้าของ Traveller Lordge ได้สักชั่วโมงผมกับหนุ่ยก็ออกไปเดินบริเวณใกล้ที่พักเพื่อที่จะหาซื้อของและน้ำดื่มก่อนเข้านอน เราเดินไปพบร้าน 7 11 จึงเข้าไปเลือกซื้อหาของที่ต้องการและเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นตอนคืนเงินนั่นเอง คือพนักงานคิดตังค์ที่เป็นแขกหนุ่มรูปร่างค่อนข้างท้วมก็คิดตังค์และเราก็จ่ายกันตามปกติ แต่พอจ่ายเสร็จแล้วแขกหนุ่มก็ได้พูดถามอะไรผมบางอย่างเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงแขกมาเลย์ ด้วยความสามารถด้านการฟังที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องผมจึงต้องเดาแล้วตอบทันทีว่า NO แขกหนุ่มก็ไม่ว่าอะไรและหันไปคิดเงินลูกค้าคนอื่นต่อไป แต่ว่าไม่ยอมเอาของที่ซื้อใส่ถุงพลาสติกให้ผม ผมจึงยืนรอสักพักจนหนุ่ยถามว่ารออะไร ผมก็บอกว่ารอใส่ถุงพลาสติก หนุ่ยเลยบอกว่าก็เมื่อกี้เขาถามว่าจะใส่ถุงหรือเปล่าแล้วผมก็ตอบว่า NO เป็นอันว่าผมต้องหอบของที่ซื้อกลับโดยไม่มีถุงใส่ ก็ตอนเค้าถามผมดันเดาว่า จะรับซาลาเปาเพิ่มมั๊ยครับ !!