เคยอ่านหนังสือท่องเที่ยวแล้วเกิดความรู้สึกว่า อิจฉาคนที่ได้ไปเที่ยวไหม ?จากนั้นก็จะเกิดความรู้สึกว่าอยากไปบ้างจัง..... !แต่ถ้าหากมีคำถามตามมาว่า ทำไมถึงอยากไป.... ? มีคำตอบมากมายเกิดขึ้นในสมองที่มักจะถนัดในการหาข้ออ้างแบบข้างๆคูๆไม่ว่าจะเป็นเพราะว่ามีเวลาว่างมากเหลือเกิน หรือว่า ได้เห็นคนอื่นเค้าเที่ยวกันแล้วมักจะกลับมาเล่าให้เกิดความอิจฉา หรืออาจจะเป็นเพราะว่า อยากจะไปที่ชอบๆ เหมือนที่ ศุ บุญเลี้ยง เคยบอกไว้ในหนังสือ หนุ่มนักโบกกับ สาวขี้บ่นแต่เหตุผลที่ฟังดูแล้วรู้สึกว่าเข้าท่ามากที่สุดน่าจะเป็นเพราะรู้สึกว่า ประเทศไทยของเราที่ว่ากว้างใหญ่แล้ว แต่เมื่อไปเปิดแผนที่โลกดูแล้วจะรู้สึกได้ทันทีว่า ทำไมมันเล็กจังหรือว่าโลกใหญ่เกินไป แล้วเกิดมาทั้งทีจะอยู่แค่จุดจุดเดียวบนโลกหรือ ?... แล้วอีกด้านของโลกมันจะเป็นยังไง ?... อยากไปดู........อยากพบเจออะไรที่มันแตกต่างจากสิ่งได้พบเห็นทุกวัน.... ถ้าอยากรู้อยากเห็นมากนักก็คงต้องลองออกเดินทางไปดูเอง แล้วจะได้รู้เสียทีว่าจะได้พบอะไรที่มันน่าตื่นเต้นเหมือนกับที่เคยอ่านเจอหนังสือหรือเปล่า... จะได้เลิกอิจฉาเค้าซะที มันไม่ดีต่อสุขภาพจิต.......
หลังจากหาแหตุผลมาสนับสนุนการที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะไม่มัวนั่งอิจฉาชาวบ้านเค้าอีกต่อไป ก็ต้องเริ่มคิดกันเสียทีว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี.... ?งบมีจำกัด !จะไปกับใคร !ใช้เวลาเท่าไหร่ดี !จะไปยังไงดี ?ต้องนั่งคิดอยู่นาน จึงสรุปได้ว่าในการเดินทางครั้งแรกนี้ ขอไปดูโลกกว้างๆ แบบใกล้ๆก่อนก็แล้วกัน มาเลเซียกับสิงคโปร์ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ค่าใช้จ่าย ค่าครองชีพ น่าจะใกล้เคียงกับบ้านเรา แถมยังมี ตั๋วเครื่องบินราคาถูกอีกต่างหาก และคิดว่าน่าจะเหมาะสมกับประสบการณ์ และงบประมาณที่มีอยู่อย่างละนิดอย่างละหน่อย...
หนุ่ย คือ ผู้โชคดี(หรือโชคร้ายก็ไม่รู้)ที่ได้รับโอกาสให้เป็นผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ หนุ่ยเป็นคนว่าง่าย ถึงไหนถึงกัน ไม่เรื่องมาก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหนุ่ยอยากไปเอง หรือถูกผมบังคับขับกล่อมเชิงจิตวิทยา แต่ในที่สุดหนุ่ยก็ตกลงว่าจะร่วมเดินทางแบบถึงไหนถึงกัน เป็นอันว่าได้เพื่อนร่วมเสี่ยงตายในการเดินทางครั้งนี้จนได้ ยังไงๆสองหัวก็ต้องดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้ว.....
Lonely Planet หนังสือนำเที่ยวที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดคัมภีร์ของนักเดินทาง หลายคนน่าจะเคยได้ยิน แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ลองใช้ดูก็คงจะไม่รู้ว่าเป็นสุดยอดได้อย่างไรว่าแล้วก็ตรงไปตรอกข้างสารทันที เพื่อค้นหาร้านหนังสือมือสอง จริงๆ แล้วตามร้านหนังสือทั่วไปก็มีขายเพียงแต่ว่าราคาจะอยู่ที่เกือบๆ 1000 บาท หนังสือมือสองจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม อาจจะเก่าไปบ้างแต่หนังสือก็ยังคงเป็นหนังสืออยู่ดี.... หลังจากที่เดินค้นหาสักพัก ก็มาพบ Lonely Planet ฉบับ Malaysia Singapore Bruni เล่มหนึ่ง หน้าปกสีเหลืองสด ในสภาพค่อนข้างดี แม้จะมีรอยยับอยู่บ้าง เพราะการใช้งานมาแล้ว เป็นฉบับปี 2001 ซึ่งตอนนี้มีการออกฉบับปี 2003 มาแล้วก็ไม่เป็นไร ค่อยหาข้อมูลอัพเดตจาก Internet เอาก็แล้วกันหนังสือมือสองแต่ละเล่มจะมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะหนังสือ Lonely Planet เล่มนี้ เมื่อได้อ่านสำรวจอย่างคร่าวๆแล้วพบว่า เจ้าของคนก่อนเป็นชาวออสเตรเลียที่ท่องเที่ยวขึ้นมาจาก สิงคโปร์ ผ่านมาเลเซีย เมื่อมาถึงประเทศไทยจึงขายทิ้งไว้ที่ตรอกข้าวสาร แล้วคาดว่าน่าจะซื้อ Lonely Planet ฉบับประเทศไทย เพื่อใช้เป็นไกด์นำทางสู่โลกกว้างของประเทศไทยต่อไปแล้วจากนี้เราก็จะได้ใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อเป็นไกด์นำเราเดินทางย้อนรอยสู่สถานที่ต่างๆที่มันเคยนำเจ้าของคนเก่าไปพบกับความสวยงามและมหัศจรรย์ในดินแดนของประเทศมาเลเซียและประเทศสิงคโปร์ ซึ่งผมคิดว่ามันน่าจะดีใจที่ได้มีโอกาสทำหน้าที่อันซื่อสัตย์ของมันอีกครั้ง.....
แหล่งข้อมูลที่ทันสมัยและสดใหม่สามารถหาดูได้จากใน internet จะได้มากหรือน้อยก็แล้วแต่จะขยันมากหรือน้อย ผมใช้เวลาว่างจากการทำงานมาค้นหาดูว่า แต่ละประเทศนั้นเค้าไปเที่ยวอะไรกันบ้าง โดยดูจากโปรแกรมทัวร์ของบริษัทต่างๆ แล้วก็หาข้อมูลที่ลงตาม Webbord ต่างๆ ของคนที่ไปเที่ยวมาแล้ว บางคนจะบอกถึงที่พัก ค่าใช้จ่าย ค่ารถ เรียกได้ว่าเกือบครบถ้วนเลยทีเดียว .....ผมคิดว่าการที่เรามีข้อมูลของที่เที่ยวต่างๆมากๆ มันก็ดี แต่ว่าถ้าหากมีข้อมูลต่างๆที่มากเกินไปมันก็คงจะไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่เวลาที่เราได้ไปเจอกับสถานที่นั้นจริงๆ.....
กลุ่มคนที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปแถวตรอกข้าวสาร มาดเซอๆ กับเป้ใบยักษ์ เดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศต่างๆ ผมว่ามันเท่มากๆ และเป็นสิ่งที่ฝันมานานแล้วว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็น Backpacker บ้างให้ได้ คราวนี้โอกาสมาถึงแล้ว เป้สีฟ้าสด ใบใหญ่ ที่ซื้อมาเก็บไว้เป็นเวลานานแล้วถึงคราวจะได้ใช้งานจริงๆ เสียทีเป้ใบใหญ่ๆ มีข้อดีหลายอย่าง ไม่ว่าจะใส่ของได้เยอะมากๆ ทนทานใช้งานได้นานตามราคา แต่มีข้อเสียที่สำคัญมากๆก็คือ น้ำหนัก เพราะว่ายิ่งใส่ของได้มากน้ำหนักของเป้ก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน....โดยในช่วงแรกๆจะรู้สึกว่ามันเท่ดียังไม่รู้สึกถึงน้ำหนักซักเท่าไหร่ แต่พอแบกไปได้สักระยะชักจะเริ่มรู้ซึ้งถึงน้ำหนักที่กดลงบนไหล่ทั้ง 2 ข้าง แต่ก็เอาเถอะคนอื่นทำได้เราก็ทำได้ สู้โว้ย !
ด้วยความที่มีงบประมาณจำกัดแต่มีเวลาว่างไม่จำกัด ทำให้เราสามารถเลือกเที่ยวบินที่มีตั๋วในราคาโปรโมชั่น หรือเรียกอีกอย่างก็คือ เราขอซื้อตั๋วเครื่องบินที่ราคาถูกที่สุดไว้ก่อน แต่จะได้บินเที่ยวไหน วันที่เท่าไหร่ กี่โมง เราก็คอยได้ ในที่สุดเราก็ได้ตั๋วเครื่องบินที่ราคาถูกที่สุดโดยเมื่อรวมกับค่าภาษีสนามบินและค่าประกันต่างๆ ก็จะอยู่ที่ราคาเกือบๆ 2 พันบาทต่อคน เป็นตั๋วเครื่องบินสำหรับการเดินทางกลับจากสิงคโปร์มาประเทศไทย ส่วนการเดินทางขาไปนั้นเราจะใช้บริการของการรถไฟแห่งประเทศไทย เราต้องไปที่หัวลำโพงเพื่อซื้อตั๋วรถไฟ กรุงเทพ บัทเตอร์เวิรท์ เป็นรถไฟตู้นอนชั้น 2 ปรับอากาศราคาประมาณ 1,000 1,100 บาท แล้วแต่ว่านอนเตียงบนหรือเตียงล่าง
เรากำหนดแผนการเดินทางไว้อย่างคร่าวๆว่า จะเดินทางออกจากกรุงเทพโดยรถไฟเข้าสู่ประเทศมาเลเซียแล้วลงรถไฟที่ บัทเตอร์เวิรท์ แล้วข้ามฝั่งไปเที่ยวที่เกาะปีนัง แล้วจึงเดินทางต่อไปยัง กรุงกัวลาลัมเปอร์ อันเป็นเมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย แล้วจึงไปเที่ยวต่อยังเมืองมะละกาซึ่งเป็นเมืองเก่าที่มีบรรยากาศของวัฒนธรรมตะวันตกของโปรตุเกสผสมไปกับวัฒนธรรมตะวันออกของชาวจีน ต่อจากนั้นก็จะเดินทางต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ ประเทศที่มีขนาดเล็กแต่เต็มไปด้วยสีสันและความมหัศจรรย์ จากนั้นเราก็จะนั่งเครื่องบินกลับสู่ประเทศไทย...เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นแผนก็มักจะเกิดสิ่งที่เรียกกันว่า ผิดแผน ได้เสมอ แต่สุดท้ายแล้วจะ ตามแผน หรือ ผิดแผน ก็คงต้องติดตามกันต่อไป....
แล้วจะรอดูอ่ะ ว่างานนี้จะพลาดรถไฟหรือว่าผิดแผน...........
/เป็นความคิดที่เราเห็นด้วยนะคะ มองเห็นอะไรกว้าง กว่าที่อยู่แค่บ้านเรา ค่ะ
เป็นแรงกำลังใจให้ไปถึง KL นะคะ