เช้านี้เราตื่นนอนประมาณ 7 โมง แต่ก็ยังอ้อยอิ่งอยู่บนเตียงจนถึง 8 โมง ระหว่างนั้นก็จะได้ยินเสียงของรถเมล์และมอเตอร์ไซค์ที่นานๆ จะวิ่งผ่านหน้าเกสต์เฮาส์ของเรา เมื่อเปิดหน้าต่างบานเกร็ดออกไปก็จะพบกับบรรยากาศภายนอกช่างเงียบสงบและสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายของอากาศยามเช้าที่เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวเช้าวันนี้เรามีโปรแกรมที่จะไปเที่ยววัด 2 แห่งที่อยู่ติดกันคือ วัดไทยกับวัดพม่า เราจึงออกไปรอรถเมล์ที่ถนน Julia แต่หลังจากที่รอเป็นเวลาประมาณ 20 นาที ก็ยังไม่มีวี่แววของสายรถเมล์ที่เราต้องไป ผมจึงถือโอกาสเดินสำรวจตลาดยามเช้าที่อยู่ในซอยใกล้กับป้ายรถเมล์ลักษณะของตลาดจะคล้ายกับบ้านเราที่มีการวางแผงหรือใช้รถเข็นจอดเรียงเป็นแนวยาวตลอดทั้ง 2 ข้างของซอยดังกล่าว บรรยากาศของตลาดยังคึกคักพอสมควรแม้ว่าจะสายมากแล้วก็ตาม (ประมาณ 9 โมง) แต่ก็ยังมีคนจับจ่ายใช้สอยซื้อหาผัก ผลไม้ และเครื่องปรุงอาหารหน้าตาแปลกๆ อยู่พอสมควรหลังจากที่เดินผ่านทะลุตลาดยามเช้าแล้วนั้นเราก็ตัดสินใจที่จะโบกรถแท็กซี่เพื่อที่จะไปวัดพม่า เนื่องจากสายมากแล้วหากไม่รีบก็เกรงว่าจะกลับมาไม่ทันขึ้นรถบัสที่จองไว้ตั้งแต่เมื่อวานที่จะออกจากปีนังเวลาบ่ายโมงแท็กซี่ที่เกาะปีนังเป็นแท็กซี่มิเตอร์ แต่คันที่เราขึ้นไม่ยักกะกดมิเตอร์ แต่คิดค่าโดยสาร 10 RM เข้าใจว่าคงเห็นเราเป็นนักท่องเที่ยว นั่งแท็กซี่ประมาณ 15 นาที เราก็มาถึงวัดพม่า ซึ่งเป็นวัดที่มีรูปแบบของศิลปะพม่าไม่ว่าจะเป็นองค์พระพุทธรูป โบสถ์ ตลอดจนรูปภาพตามพระพุทธประวัติต่างๆ ก็เป็นรูปแบบของพม่าทั้งสิ้น เหมือนกับว่าได้มาเที่ยวพม่าเป็นของแถม ต่อจากชมวัดพม่าเราก็ข้ามถนนไปชมวัดไทยที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันพอดีซึ่งโดยรวมแล้วลักษณะของวัดก็จะคล้ายหรือเหมือนกับวัดโดยทั่วไปที่มีอยู่ในประเทศไทย ภายในโบสถ์ก็จะการประดิษฐานพระพุทธรูปปางนิพพานขนาดใหญ่ และมีรูปพระเกจิอาจารย์ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงของประเทศไทยไว้ให้สักการบูชากันอีกแถมยังมีป้ายและข้อความต่างๆ เป็นภาษาไทยจนทำให้เราเกือบลืมไปว่าเราอยู่บนเกาะปีนังหลังจากที่ได้ไหว้พระขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลต่อการเดินทางท่องเที่ยวของเราแล้ว เมื่อมองดูนาฬิกาก็พบว่าเรายังพอมีเวลาเหลือพอสมควร เราจึงตัดสินใจที่จะเดินชมบรรยากาศของเกาะปีนังที่ส่วนใหญ่จะมีอาคารบ้านเรือนสไตล์โคโลเนียลที่มีอายุเก่าแก่ แต่ได้รับการบูรณะอย่างดีและส่วนใหญ่ก็จะได้รับการทาสีใหม่ให้สวยงาม เป็นการสร้างบรรยากาศของเมืองให้มีความสดใสสวยงามสมกับเป็นเมืองที่มีผู้คนมาเยี่ยมเยือนเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
เมื่อกลับมาถึงที่พักเราก็ทำการเก็บของลงเป้ แล้ว check out ออกจากเกสต์เฮาส์ ก่อนเที่ยงจึงกินบะหมี่เอาแรงแล้วจึงนั่งรถเมล์ไปตึกkomtarเพื่อที่จะเดินทางไปยัง KL.เมืองหลวงของมาเลเซีย โดยการนั่งรถบัสจากปีนังนี้ทำให้เราได้มีโอกาสที่จะขึ้นสะพานที่ยาวเป็นอันดับ 4 ของโลก นั่นก็คือสะพานปีนังโดยมีความยาวถึง 13 กิโลเมตร ระหว่างที่รถกำลังวิ่งผ่านสะพานนั้นเราสามารถมองดูวิวของทั้งเกาะปีนังและเมืองบัทเตอร์เวิรท์รวมถึงเรือเฟอรี่ที่คอยรับส่งผู้คนของทั้ง 2 ฝั่งได้อย่างชัดเจน การเดินทางจากปีนังไปKL.เราใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง โดยระหว่างทางเราจะพบเห็นสวนปาล์มน้ำมันจำนวนมากสลับกับพื้นที่ป่า เนื่องจากพื้นที่ที่ถนนที่เป็นเส้นทางหลักของมาเลเซียตัดผ่านนั้นจะเต็มไปด้วยเนินเขาลูกเล็กลูกใหญ่จำนวนมากจึงมีบางช่วงที่เราต้องผ่านเข้าไปในอุโมงค์ที่เจาะทะลุภูเขาเป็นระยะทางยาวเกือบกิโลทีเดียว สภาพทางหลวงของประเทศมาเลเซียมีสภาพดีพอสมควรเลยทีเดียว (ดีกว่าประเทศไทย) มีการสร้างจุดพักรถเป็นระยะๆ โดยจะมีอาหารขายและห้องน้ำที่สะอาดดีมาก โดยตลอดเส้นทางจะมีด่านเก็บเงินเป็นระยะๆ คล้ายกับ MOTOR WAY บ้านเราแต่ที่นี่รถมอเตอร์ไซค์สามารถเข้าไปใช้ได้ด้วย
รูปเยอะเลยค่ะ ดูรูปเพลินเลย :)