Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
4 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
MudleyGroup

Coding มาอ่าน ไว้คิด

Log in - MudleyGroup ให้ความเห็นที่น่าสนใจดีมากๆ ชวนให้ติดตาม

นอกจากนี้ ยังให้ความรู้เกี่ยวกับ DSM & KZM

อยู่ภายใต้คลับอิสรภาพ ห้องสินธร ... กำลังรวบรวมอยู่

*** ข้อสังเกต ***

ผู้เขียน มีความสามารถและวางแผนเก่งมาก

เรียนรู้จากเค้า แล้วคิดประยุกตืให้เหมาะกับสถานการณ์ของตนเอง

จากนั้น พัฒนาวางแผนของเราต่อ

... ว่าแต่จะคิดได้ อย่างเค้ามั๊ยเนี่ย เหอๆๆๆ ...


5 April 2009





กลยุทธ์การเล่น Day Trade

Source: //topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/09/I7031887/I7031887.html


เห็นน้องๆหลังไมค์สนใจเรื่อง Day Trade กัน 3-4 คน ผมตอบไม่ไหว เลยถือโอกาสตั้งกระทุ้เลยแล้วกันนะครับ จริงๆแล้วผมไม่เก่งเรื่อง Day Trade และก็ Technical มากนัก แต่ก็พอจะเล่นอยู่บ้าง ก็เอามาไกด์ไลน์เป็นแนวทางสำหรับ คนที่รักใน Day Trade แล้วกันนะครับ สำหรับเซียนๆอย่าถือสานะครับหากไม่ตรง concept

Day Trade นั้นเป็นกลยุทธ์เก็งกำไรที่ออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านเวลา หรือการถือ Positions ข้ามคืนนั่นเอง และปัจจุบันนี้มีการแตกยอดออกมาหลายแนวทางจนกลายเป็น Day Trade ต้องเล่นทุกวันเลยก็มี

Day Trade ดังเดิมนั้น ผมชอบสไตล์ Classic มากกว่า คือเนื่องจากเราจะแสวงหาผลประโยชน์จากการเก็งกำไรในวัน เราจึงต้องรอหาวันที่เราได้เปรียบมากที่สุด ดังนั้นข้อได้เปรียบที่เราต้องรอมีดังนี้

1.รอ Event เพื่อกดดัน เนื่องจากเราเล่น Day Trade เราจึงไม่มี Position ฝ่ายไหนในมือเลย ดังนั้นเมื่อมี Event ระดับ Macro ใหญ่ๆมากดดัน ผู้เล่นเดิมในตลาดต้องมีฝ่ายใดหนึ่งพลาดพลั้งแน่ๆ เรารอซ้ำเติมฝ่ายที่พลาดพลั้งนั้น

2. เลือก Product ที่ Event นั้นมีผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะ Big Player ในตลาดจะไม่สามารถฝืนกระแสของ Event นั้นได้นั่นเอง ทำได้อย่างมากแค่ยื้อเวลา เพื่อให้ตัวเองหลุดรอดออกมาได้ ผมจึงไม่ค่อยชอบหุ้นเล็กๆรายตัวเนื่องจากผู้เล่นรายใหญ่สามารถฝืนกระแสของ event ได้ ดังนั้นถ้ามี event กับ Set เราจึงเล่นกับ Set โดยตรง โดยเล่นในสิ่งที่ big player เค้าเล่นกันครับ

3. ดูสัญญาณจากเทคนิค เลือกเทคนิคที่ไมซับซ้อนมาก เอาที่เราเข้าใจลึกซึ้งกับมันจริงๆ ผมยกตัวอย่างการเทรดให้ดู โดยการใช้ Moving Average และ การใช้ price pattern ในการเล่น

4. หากเราเก็บกำไรก้อนใหญ่จาก Event นั้นๆมาแล้ว ให้เลิกเล่นใน Product นั้นทันที แล้วรอ Event ใหม่ๆ

นี่เป็นตัวอย่างคร่าวๆหวังว่าพอเป็นไอเดียให้เพื่อนๆทุกคนนะครับ ท้ายนี้ผมยกตัวอย่างการเทรดจริง ของ T-Bond มาเป็นไกด์ เมื่อเจอเหตุการณ์แผนช่วยเหลือฉุกเฉินแบบนี้ผมถือเป็น big event เลย แบบนี้ไม่เล่นไม่ได้ เหตุการณ์นี้ต้องกดดันราคาพันธบัตรของอเมริกาอย่างแน่นอนแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ :)

ท้ายนี้ถือโอกาสลำลาชั่วคราวครับ เนื่องจาก fund ผมจะมี Product ใหม่ คงต้องหายไป 2 เดือน แล้วเจอกันใหม่อีก 2เดือนครับ ขอให้เพื่อนๆในpantipทุกท่านประสบความสำเร็จ และมีความสุข ครับ

MudleyGroup - [ 25 ก.ย. 51 09:16:01 ]







Link: //topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3108092/I3108092.html

จากคุณ : MudleyGroup - [ 7 พ.ย. 47 21:31:05 ]


ก่อนอื่นต้องขอคารวะผู้รู้หลายท่านในห้องนี้ก่อนนะครับ เนื่องด้วยประสบการณ์ของผมอาจจะไม่มากเพียงพอ ถ้ายังไงก็อย่าถือสาหากมีข้อด้อยนะครับ

อืม..ถ้าท้าวความประวัติผมเอาคร่าวๆดีกว่านะครับ ส่วนแนวความคิดของผมเองผมอาจจะพูดมากหน่อย ผมได้เรียนรู้เรื่องหุ้นเพิ่มขึ้นมากมายก็เนื่องมาจากผมชนะเลิศแข่งหุ้นแล้วมีนักลงทุนฝรั่งมาสนใจจึงได้ศึกกษาและทำงานกับเค้าบ้าง แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกใช่มั้ยครับ ผมว่าเอาเป็นผมได้เรียนรู้อะไรมาบ้างดีกว่า มาให้กำลังใจคนที่พยามครับ จะได้มีกำลังใจ
ความสามารถในการซื้อ-ขายหุ้น เราสามารถฝึกฝนได้ครับ เพราะเมื่อก่อนผมเป็นยิ่งกว่าแมงเม่าอีก เพราะยังไม่ทันบินเข้ากองไฟก็ตายเสียแล้ว อิอิ

เรื่องขาดทุนเป็นเรื่องปกติครับเพียงแต่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มหรือเปล่าจากการขาดทุนครั้งนั้นๆ หากเราไม่เรียนรู้อะไรแล้วเอาแต่โทษสภาวะแวดล้อมรอบด้าน เช่น รัฐบาล ฝรั่ง การก่อการร้าย ราคาน้ำมัน เฮดจ์ฟัน กลต.(อิอิ) นั่นก็แสดงว่าเราไม่ได้มีความพร้อมอะไรเลยที่จะเข้ามาในสนามแห่งนี้ เพราะการกำไรขาดทุนจริงๆแล้วการตัดสินใจมันเริ่มอยู่ที่ตัวเราเองก่อนทั้งนั้นครับ ซึ่งเป็นธรรมดาถ้าเราไม่ได้เตรียมการอะไรเลยหากเกิดเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยเข้ามาผลกระทบก็ย่อมเกิดขึ้นกับตัวเราเต็มๆครับ เกริ่นมานานแล้วเข้าเรื่องเลยดีกว่าเนอะ สำหรับความพร้อมที่ผมคิดว่าต้องมีก่อนเข้าสู่เกมการเงินแบบนี้ นั้นมีแนวความคิดคร่าวๆดังนี้ครับ

1. การเข้ามาในตลาดหุ้น อย่าหวังเพียงเพื่อเป็นการเข้ามาหาเงินง่ายหรือเป็นการสร้างความร่ำรวยทางลัด หรือจะเรียกว่าอิสระทางการเงินอะไรก็แล้วแต่ปัจจุบันจะสรรหาคำพูดมา เพราะ เป้าล่อเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งดึงดูดเม็ดเงินของบรรดาเหล่านักล่า(ไม่พูดนะครับว่านักล่าเป็นพวกไหนบ้างละไว้แล้วกัน) ถ้าไม่มีผู้เล่นเข้ามามันจะล่าใครล่ะครับ ล่ากันเองนี่เหนื่อยนะครับ อย่างงนะครับว่าอ้าวถ้าไม่เข้ามาหาตังค์หรือทำเงินแล้วจะเข้ามาทำ....อะไร จริงๆแล้วที่ผมพูดมันมีผลทางจิตวิทยากับสมองหรือระบบความคิดของเรานะครับ

เพราะ ยกตัวอย่างเช่นถ้าเรามุ่งแต่จะทำเงินอย่างเดียวสิ่งที่สมองเรามองหาก็คือการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในรูปแบบต่างๆที่จะทำเงินให้เราได้ เสร็จนักล่าล่ะครับ มันก็ทำรูปแบบต่างๆให้ดูว่าราคาหุ้นที่คุณจะซื้อดูทุกอย่างดี ข่าวก็เยี่ยม เทคนิคสวย(เรื่องเทคนิคเป็นเรื่องสำคัญ ไว้จะมาคุยต่อทีหลังนะครับ) ----> สรุปก็คือการมองแต่จะทำเงินอย่างเดียวมันกลับทำให้ระบบความคิดของสมองเราถูกจำกัดให้แคบลง เพราะเราเป็นคนไปโปรแกรมสมองมันเองว่าเป้าหมายจะทำเงิน

ดังนั้น ระบบสมองซึ่งรับฟังคำสั่งโปรแกรมของเราก็จะมองอยู่ในกรอบเท่าที่เราโปรแกรมไว้ครับ ทำให้เราสงสัยว่าปัญหาเดิมๆทำไมเกิดขึ้นกับเราตลอดเช่น ขายขาดทุนปุ๊บขึ้นปั๊บ เป็นต้น ---> สำหรับผมเลยโปรแกรมสอมงมันใหม่ว่าเข้ามาเพื่ออยากจะดวลสมองหรือเล่ห์เหลี่ยม อ่านเกม กับคนเก่งๆหลายๆท่านในตลาด แล้วฝีมือของผมก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างสังเกตุได้ครับ(เมื่อก่อนเคยคิดเหมือนกันว่าฝีมือระดับนี้คงพอแล้วตอนชนะเลิศหุ้น แต่พอได้เรียนรู้จากนักลงทุนฝรั่งทำให้รู้ว่าขีดความสามารถในการเทรดของคนเรานี่มันน่ากลัวจริงๆ จริงเป็นพวกมืออาชีพระดับตลาดอินเตอร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ให้ลองจินตนาการว่าผมเป็นแค่นักกีฬาชนะเลิศของจังหวัด แต่ ต้องเจอกับนักกีฬาโอลิมปิกอย่างนี้เป็นต้น (บางทีเราเวลาเราดูกีฬาระดับโลกเรายอมรับเพราะเห็นว่าระดับความแตกต่างของฝีมือมันมากเหลือเกิน แต่เวลาเกมตลาดเงินเรามักคิดเองว่าพวกนี้ไม่เท่าไร เห็นได้จากการไปดวลต่อสู้ต่างๆในเกมการเงินระดับนานาชาติที่เรามักต้องแบกรับความเจ็บปวดกลับมา แต่ไม่ใช่ว่าเราจะสู้เค้าไม่ได้นะครับ ถ้าเราพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ผมเคยเห็นคนไทยในระดับนานาชาติเก่งๆเยอะเหมือนกัน)--->หลังๆนี่นอกเรื่องไปเยอะเอาเป็นว่าอย่ามุ่งแค่จะเอาเงินเค้านะครับ เดี๋ยวมาต่อนะครัพอดีเมื่อย ไม่เคยพิมพ์เยอะขนาดนี้

2. ต่อนะครับ หลังจากที่เราโปรแกรมสมองแล้ว ขั้นต่อมาคือ จิตใจครับ เพราะอะไรเรื่องนี้ถึงสำคัญ ก็ธรรมชาติของมนุษย์เองนั้นพออยู่ในสภาวะที่อารมณ์สุดโต่งเข้าครอบงำ (อารมณ์สุดโต่งคือภาวะที่อารมณ์ไม่ปกติหรือไม่สมดุล เช่นเวลาโกรธส่วนของอารมณ์ดีใจเราก็จะน้อยหรือแทบไม่มีเลย จะเรียกว่าเสียสมดุล หยิน-หยางก็ได้) ช่วงนี้เองที่สมองส่วนตรรกะจะหยุดทันงานทันที ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราเจอหมี เราเกิดอารมณ์กลัวและตกใจสุดๆ สมองส่วนสัญชาติญาณจะเริ่มทำงานทันที และหลั่งสารบางอย่าง

แต่ถ้าจะให้เราคำนวนแคลคูลัสตอนนั้นคงจะยากมากครับเพราะสมองส่วนตรรกะและเหตุผลจะหยุดใช้ชั่วคราว ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่เวลาเราซื้อเรามานั่งนึกทีหลังว่ากดซื้อไปทำไมว่าตอนนั้น เนื่องจากตอนนั้นเราคาหุ้นที่เราเห็นอาจจะกำลังไหลสุดๆจนเราเกิดอารมณ์โลภหรืออยากจนเสียสมดุล จนเราตัดสินใจซื้อตามเข้าไป จนพอสภาวะอารมณ์ปกติเราถึงจะมานั่งนึกว่าเราทำไมตัดสินใจซื้อไปได้ไงน้า ..

วิธีการฝึกจิตใจนั้นต้องแล้วแต่คนนะครับ เพราะตัวเราจะรู้ข้อเสียของตัวเราเองดีที่สุดว่าเป็นแบบไหน ยกตัวอย่างผมใช้วิธีนั่งสมาธิทุกวัน และเปิดเพลง rock , classic , hiphop เวลาเทรด เป็นต้น

3. เมื่อเราอยู่ในสภาวะไร้จิตใจย่อมๆแล้ว เราก็เหมือนโมเดลเทรดที่มีระบบประมวลผลที่ซับซอนกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป(จากที่ผมไปศึกษางานมาพวกฝรั่งมันนิยมใช้โมเดลในการเทรดครับ เพราะเพื่อเป็นการตัดปัญหาด้านอารมณ์สำหรับพวกเทรดเดอร์ที่ประสบการณ์ยังไม่มาก หรือ มันไม่รู้จักวิธีนั่งสมาธิก็ไม่รู้อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับ) คราวนี้หล่ะจุดสำคัญที่เราจะต้องตัดสินใจว่าเราจะซื้อขายหุ้นโดยกลยุทธ์ไหน

อืม...เกือบลืมบอกไว้ก่อน ผมเล่นหุ้นสไตล์ไหนก็ไม่รู้นะครับ เก็งกำไรก็ได้ รายนาที รายวัน ถือยาวก็ได้ ขึ้นอยู่กับโอกาสมากกว่า เรียกว่านักลงทุนสไตล์ฉวยโอกาสแล้วกันครับ ---> สรุปพอเราได้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเราเราก็เทรดตามกลยุทธ์นั้นไปเรื่อยๆ โดยเมื่อเราอยู่ในสภาวะไร้จิตใจ หากกลยุทธ์หรือรูปแบบเทคนิคที่เรา set ไว้มี%ผิดพลาดน้อย เราก็จะเทรดไปได้เรื่อยๆโดยไม่กังวลหากเกิดความผิดพลาด ซึ่งทำให้โมเดลเราต่อเนื่องโอกาสทำกำไรหรือประสบความสำเร็จก็มีสูงแล้วล่ะครับ อิอิ เอาไว้มาเทคนิคคัล พรุ่งนี้นะครับพอดีต้องไปทำอย่างอื่นต่อแล้วล่ะครับ เอ.มันเยอะไปหรือปล่าวหรือพอแค่นี้ครับ

4.เข้ามาต่อนะครับหลังจากสภาพของตัวเรามีความพร้อมที่จะเข้ามาทำการซื้อขายหุ้นแล้ว สิ่งที่สำคัญต่อมาก็คือเราจะตัดสินใจซื้อหรือขายตามขั้นตอนหรือหลักการอะไรดี ในที่นี้ผมจะยกตัวอย่างโมเดลที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมและง่ายๆ แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้โมเดลรูปแบบอื่นๆครับ นั่นก็คือโมเดลการตัดสินใจซื้อขายตามหลักการของเทคนิคคัล

หลักการของเทคนิคคัลที่ผมได้ไปเรียนรู้มานั้น มันไม่เพียงใช่เป็นแค่เรื่องของกราฟ หรือการตัดกันของเส้นต่างๆ (อันนี้ก็ถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของเทคนิคเหมือนกัน เหมือน การแตกสาขาของศาสตร์ต่างๆเลยครับ เช่น วิศวกรคอมพิวเตอร์ วิศวกรโยธา เครื่องกล เป็นต้น ) มาเข้าเรื่องต่อเลยนะครับ ที่เราพบบ่อยที่สุดในบ้านเรามักจะเป็น นักเทคนิค แบบ การทำนายอนาคต จาก รูปแบบ(patternต่างๆ) โดยมีการสร้าง indicator(ดัชนีชี้นำต่างๆแล้วแต่ความถนัดมาช่วย) วิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีแต่ผู้ใช้จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในตลาดมาช่วย

สังเกตว่าเด็กใหม่ๆมักจะใช้วิธีกราฟเทรดสู้รุ่นเก๋าๆที่มีประสบการณ์ไม่ค่อยได้ ถ้าว่ากันตามหลัก ทฤษฏีแล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อไรที่เราจะพยามทำนายอนาคตมันจะมีปัจจัย(factor)หลายๆอย่างทั้งที่เราคาดการณ์ได้และคาดการณ์ไม่ได้ มาเป็นตัวประกอบทำให้เกิดค่าคลาดเคลื่อน(eror) ดังนั้นคนที่มีประสบการณ์เค้าจึงสามารถรับบรู้ได้โดยทันทีว่า รูปแบบเช่นนี้มันไม่ชอบมาพากล หรือไม่เป็นดังที่เค้าคิด จึงทำให้เค้าสามารถเอาตัวรอดได้ทันครับ

เทคนิคคัลนั้นตามหลักการแล้ว มันเป็นตัวช่วยให้เราเห็นภาพความคิดของผู้คนในตลาด ดังนั้นผมจึงหันมาสนใจศาสตร์เทคนิคคัลฉบับอ่านปัจจุบันมากขึ้น มากกว่าฉบับอ่านอนาคต แต่ก็ไม่ทิ้งนะครับเพราะเมื่อนำมารวมกันเราจะได้โมเดลที่เยี่ยมเลย เดี่ยวไว้ค่อยมาต่อเทคนิคเรื่อยๆนะครับว่าจะไปข้างนอกนิดนึงครับ






Create Date : 04 ตุลาคม 2551
Last Update : 14 สิงหาคม 2553 2:49:27 น. 0 comments
Counter : 661 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

P^_^
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝึกเขียน เล่าเรื่อง สบายๆ ปนเพ้อเจ้อ...

มีใครสักคน แวะมาอ่านก็ดีใจแล้ว ...จริงๆ นะ

ยิ่งทักทายด้วย ยิ่งปลื้มเข้าไปอีก ...เน๊ะ

เขียนอะไร คุยอะไรมาก็ได้ ...อ่านทั้งน๊านจ้า...

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ ^_^

Photobucket

แวะมาแล้ว ฝากให้อาหารปลาด้วยจ้า...
^_^ click ที่ภาพได้เลยค่ะ

Friends' blogs
[Add P^_^'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.