Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
11 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

อาหนิว

Coding มาอ่าน ไว้คิด

ตอนนี้ผู้โพสท์ ในนาม log in อาหนิว หายไปอีกรายแล้วมั๊งง

หาย้อนหลังได้แค่เดือนกันยายน 2551

... เกิดอะไรขึ้นจริงๆ อ่ะ กับห้องสินธร ...


5 April 2009




หุ้นตก...ทำไมผมจึงไม่เครียด...


Link: //topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/10/I7088376/I7088376.html

สวัสดีครับ วันนี้จะมา ปล่อยไก่ ให้ เพื่อน ๆ ฟัง
ต้องบอกก่อนว่า ผม ไม่ได้เป็นเซียนหุ้นมาจากไหน
ผมก็เป็นเพียง แมงเม่า นักลงทุน เหมือนทุก ๆ คน
ตลาดหุ้นตกแบบนี้ ผมเองก็ขาดทุนครับ แต่ไม่เครียด
เพราะผมเชื่อว่า วอเรน บัฟเฟต ก็ขาดทุน
ดร. นิเวศน์ ก็ขาดทุน
ผู้บริหารจัดการกองทุน ก็ขาดทุน
...รับรองว่า แมงเม่า อย่างเรา ๆ มีเพื่อนขาดทุนเพียบครับ

บทความก่อนหน้านี้ [อ่านได้ที่ตอนท้าย ตัวหนังสือสีน้ำเงิน]
//topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/08/I6892043/I6892043.html
เป็นคำแนะนำการคัทลอสอย่างง่าย ๆ

และ //topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/09/I7011472/I7011472.html

ถือเป็นบทเกริ่นนำ ก่อนหน้านี้
เป็นจุดกำเนิด ทำให้ผมตัดสินใจ ขยายความ จนเกิดกระทู้นี้

จากคุณ : อาหนิว - [ 11 ต.ค. 51 02:04:16 ]




..............ทำไม ผมจึงไม่เครียด..............


เหตุเพราะ ผมคัทลอส มาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ สองเดือนที่แล้ว จนเหลือหุ้นเพียง 20% ของพอร์ต

จากนั้นผมก็ใช้ 20% นี้ นำมาเล่น ชอร์ต ซื้อเข้า ขายออก ไป ๆ มา ๆ แต่มีกฎว่า ทุกครั้งที่ซื้อเข้า หรือ ขายออก ผมต้องมีกำไร ทุกครั้ง

เช่นว่า ผมมีหุ้น ABC อยู่ 10,000 หุ้น ราคาปิดวานนี้ ที่ 15 บาท
ผมวางแผนไว้เลยว่า ถ้าราคาวันนี้ ลงไปที่ 14.50 ผมจะต้องขาย 5000 หุ้น
แต่ถ้าราคาวันนี้ วิ่งขึ้นไป สมมุติไปที่ 15.3 ราคาขาย ผมจะเลื่อน ขึ้นไปเป็น 14.80 บาท 5000 หุ้น

เมื่อผมขายไปแล้ว สมมุติขายที่ราคา 14.50 บาท ผมจะต้องขายจุดต่อไปที่ 14 บาท จุดซื้อกลับคือ สมมุติว่า ผมขายไปที่ 14 บาท แล้วผมจะต้องซื้อกลับ หากราคาวิ่งกลับมาที่ 14.30 ซึ่งจะเป็นล็อตที่ ขายออกที่ 14.50 บาท ตรงนี้ ผมจะได้กำไร 0.20 บาท

แต่ถ้าหากว่า ผมขายไปแล้ว เกิดราคาหุ้นลงไปที่ 13.8 จุดซื้อกลับของผมจะอยู่ที่ 14.10 ซึ่งจะทำให้ผมได้กำไร 0.40 บาท ผมจะทำซ้ำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เงินส่วนต่างมาจำนวนหนึ่ง ผมก็นำไปซื้อหุ้นเพิ่ม ไปเรื่อยๆ .... บางคนอาจสงสัยว่า งั้นคัทออกไปหมด แล้วออกจากตลาดไปเลยดีกว่ามั๊ย แล้วค่อยไปรอซื้อที่ 300 220 จุด อะไรนั่น

......ขอบอกว่า ถ้าท่านอ่านแนวโน้ม รู้แจ้งเห็นจริงขนาดนั้น ขอให้ท่านหยุดอ่านเถอะครับ เพราะท่านเก่งกว่าผมแน่นอน และท่านอ่านสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไป ก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไร ..... เพราะที่ผมเขียนนี้ ผมเขียนให้ เพื่อน ๆ ที่ ตอนนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรกับพอร์ตตัวเอง ได้เกิดความคิด ที่จะนำสินทรัพย์ที่มี ให้เกิดประโยชน์สูงสุด .......

จากคุณ : อาหนิว - [ 11 ต.ค. 51 02:06:22 ]




หลักการนี้มาจาก ผมมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้น เหมือน เปิดโรงงาน ครับ
ทำโรงงาน คุณต้องลงทุนเครื่องจักร ซึ่งนำมาผลิตสินค้าออกไปขาย นำกำไรกลับมา หมุนเวียนต่อไป

คงไม่มีใครซื้อเครื่องจักรมา เพื่อนำมาเก็งกำไรเครื่องจักร ถูกมั๊ยครับ
เพราะฉะนั้น หุ้นทุกตัว ในพอร์ตผม คือ เครื่องจักร ผลิตเงิน เพื่อนำเงินที่ได้มา ซื้อเครื่องจักรเพิ่มต่อไป
....................................

ส่วนเงินที่เหลือ อีก 80% ของพอร์ต ผมจะเข้าซื้อตอนไหน
ผมก็จะเข้าซื้อ ตอนที่ ตลาดหุ้นมันดีดกลับมาจากจุดต่ำสุด ขึ้นมา ซัก 10%
ผมไม่เคยคิดเสียดายที่ไม่ได้ซื้อที่ราคาต่ำ แต่ผมเสียดายที่ ผมไม่ได้ขายที่ราคาสูงมากกว่า

อย่างวันนี้ ผมขายที่ราคาเปิดในตอนเช้า ออกไปครึ่งนึง ผมก็เฉย ๆ แม้รู้ว่าจะเป็นราคาขายที่ต่ำสุดของวัน

จากนั้นผมก็จะกำหนดจุดซื้อ กลับ 20% ของพอร์ตที่ราคา 10% จากจุดต่ำสุด แต่ต้องไม่เกินราคาที่เคยขายออกไป

เช่นผมมีเงินลงทุน หุ้น ABC 1 ล้านบาท ผมนำเงินมาหมุนแล้ว 200000 บาท
วันนี้ผมขายที่ราคาเปิดที่จุดต่ำสุด 12.40 บาท ผมเหลือหุ้น 7000 หุ้น
ผมจะซื้อหุ้นเพิ่มอีก 200000 บาท ที่ราคา 13.60 บาท ได้อีก 14700 หุ้น

จากนั้นผมก็จะทำซ้ำแผนเดิม โดยที่ จุด คัทจุดต่อไป คือ 13.10 บาท ออกไป 10500 หุ้น และที่เหลือ ที่ 12.60 บาท ตามลำดับ

พอจะนึกภาพตามได้นะครับ ทั้งนี้ ทั้งนั้น คุณต้องลงบัญชีไว้ ตลอด ทุกราคา ที่ซื้อ ขาย เพื่อที่จะได้ไม่สับสน เมื่อเวลาผ่านพ้นไป เช่น หุ้นลงรอบนี้ ผมได้ ซื้อคืน ล๊อตที่ผมเคยขาย ไว้เมื่อ 2 ปี ที่แล้ว กลับคืนมา

จากคุณ : อาหนิว - [ 11 ต.ค. 51 02:09:26 ]




ถามว่า วิธีนี้ ผมได้กำไร หรือ ขาดทุน เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับมูลค่าของพอร์ต ณ จุดสูงสุด ของตลาดหุ้นรอบนี้

เหตุที่ไม่เทียบกับ ทุน เพราะ ผมถือว่า โรงงานของผม เคยมีค่าสูงสุด เท่าไหร่ ขอบอกตามตรง 80% ที่แปลงเป็นเงินสดก่อนหน้านั้น ผมขาดทุน 7% กว่า ส่วนอีก 20% ที่นำมาหมุนเวียน ณ วันนี้ ผมขาดทุนไปแล้ว 23%

รวมแล้ว เป็นประมาณ 10% จากมูลค่า ณ จุดสูงสุด
แต่ หุ้นABC ตอนนี้ มีจำนวนหุ้น เท่ากับตอน ตลาดสูงสุด
และหุ้นตัวอื่น ๆ ในพอร์ต ก็มีจำนวนหุ้น พอ ๆ กันกับเมื่อตอนตลาดสูงสุด

นั่นคือ ผมมีจำนวนหุ้นเพิ่มมาเท่านึง
และหากนำเงินทั้งหมดมาซื้อกลับตอนนี้ ผมจะมีหุ้นเพิ่มมา 10 เท่า

ซึ่งหากผลประกอบการบริษัท ไม่ได้ขาดทุน ยังสามารถจ่ายปันผลได้ ผมจะได้เงินปันผล มากกว่าปีที่ผ่านมา ถึง 10 เท่าด้วยกัน ซึ่งผมพอใจมากครับ

จากคุณ : อาหนิว - [ 11 ต.ค. 51 02:11:10 ]




...............ใครเหมาะกับวิธีนี้.....................


ตอบ คือ ทุกคนที่ตอนนี้ ติดหุ้น ขาดทุน และเหมาะอย่างยิ่ง คือ ผู้ที่กำลัง คิดที่จะซื้อถัวเฉลี่ย

อย่านำเงินก้อนใหม่มาละลายแม่น้ำเลยครับ แต่จงนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเถิด

สำหรับผู้ที่ ติดหุ้น เต็มแม็กซ์ ไปแล้ว ลงทุนในหุ้น เต็มพอร์ต ไปแล้ว
อาจจะดัดแปลงโดยทะยอยขายทีละ 20% แทน เพราะจะทำให้หาก ขายผิด ขายแล้วหุ้นเด้งขึ้น ก็จะยังเหลือ หุ้น 80% ไว้อยู่

วิธีนี้ ไม่ใช่ วิธีที่ดีที่สุด แต่เป็นวิธีที่เหมาะกับตัวผมที่สุด

เพราะผมไม่มีอินไซต์
เพราะผมไม่เชื่อเรื่องแนวรับ แนวต้าน
เพราะผมไม่เชื่อนักวิเคราะห์
เพราะผมเลิกเล่นหุ้นไม่ได้

ขอเพียง บริษัท ยังจ่ายปันผล
ขอเพียง บริษัท ไม่ออกจากตลาด
ขอเพียง ราคา ยังคงเคลื่อนไหว

...เครื่องจักร ในโรงงานผม ยังผลิตสินค้าออกมา ทำกำไรให้ได้เรื่อย ๆ ครับ....

ผมเพียงแต่แนะนำ หลักการ และ แนวคิด เท่านั้น

ส่วนแผน จุดซื้อ จุดขาย นั้น ต้องปรับเปลี่ยนไปตาม สไตล์ ของแต่ละ บุคคลครับ และยังต่างกันไป ในแต่ละตัวหุ้นด้วย

ทดลองทำดู แล้วจะรู้ครับ
ขอให้โชคดี ทุกท่าน

จากคุณ : อาหนิว - [ 11 ต.ค. 51 02:13:03 ]




รู้มั๊ยว่า ทำไมคุณถึงติดหุ้น ติดดอย


ช่วงตลาดหุ้นตกต่ำ มักจะได้ยินคนมาบ่นว่า ขาดทุนหุ้นเท่านั้นเท่านี้

ติดหุ้นตัวนั้น ตัวนี้ ที่ราคา สูงลิบลิ่ว

คำนวณดูแล้ว พบว่า เป็นจำนวนเงินไม่น้อย

บางคนขาดทุน 30%

บ้างขาดทุน 50%

และเกิน 50% ก็มีให้เห็น

...

ลองคำนวณกลับเข้าไปใหม่

คนที่ขาดทุน 30% จะพบว่า หากต้องการทุนคืน ต้องให้หุ้นขึ้นไป 42.8%

คนที่ขาดทุน 50% จะพบว่า หากต้องการทุนคืน ต้องให้หุ้นขึ้นไป 100%

และ คนที่ขาดทุนมากกว่า 50% ต้องให้หุ้นขึ้นไปมากกว่า 150% หรือมากกว่านั้น

.....

คำตอบคือ มันยากมาก มันเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ

และ คนส่วนใหญ่ ก็รู้ ถึงความไม่น่าจะเป็น เหล่านี้ จึงเป็นที่มา ของพฤติกรรม

"ซื้อถัวเฉลี่ย" เพื่อหวังว่า เมื่อหุ้นกลับตัวขึ้น จะได้กำไรกลับคืนมาบ้าง

แต่หลาย ๆ ครั้ง หลาย ๆ หน การซื้อถัวเฉลี่ย จะพบว่า "ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก"

และสุดท้าย บางคนสิ้นหวัง ยอมแพ้ ขายออกไปในราคาต่ำเตี้ยติดติน เป็นอันสิ้นสุดรอบของการลงทุนนั้น ๆ และเดินจากไป โดยมองตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่เลวร้าย พึงหลีกเลี่ยง

................

เมื่อคุณรู้ ผล แล้ว .... คุณควรจะรู้ถึง เหตุ ด้วย ว่าทำไมเหตุการณ์เช่นนี้วนเวียนมาไม่รู้จบ

บางคนถึงขั้นว่า นึกเอาว่า จ้าว เช็คชื่อตัวคุณ เมื่อคุณซื้อ หุ้นจึงตก แต่พอขาย หุ้นกลับขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าขันมาก

................

วันนี้จะมาแนะนำ วิธี เล่นหุ้นอย่างไร ให้ได้กำไร หรือ ขาดทุนน้อยที่สุด ...

ซึ่งอันที่จริงแล้ว เป็นวิธีที่ นักลงทุน นักเล่นหุ้น ทุกคนรู้ดี แต่ลืม....

จากคุณ : อาหนิว - [ 15 ส.ค. 51 03:28:52 ]

ความคิดเห็นที่ 1

...สำหรับ ผู้เล่นเก็งกำไร...

ในที่นี้ หมายถึง ผู้ที่ซื้อหุ้น โดยอ้างอิงจาก การวิเคราะห์ทางเทคนิค(แบบงู ๆ ปลา ๆ และที่น่ากลัวที่สุดคือ พวกคิดว่า ตัวเอง วิเคราะห์เป็น) ข่าว ดวงดาว การเมือง เสียงร้องของจิ้งจก ฟ้าฝน ฯลฯ

...ง่ายที่สุด... คือ การจำกัดการขาดทุน

เช่นว่า คุณซื้อหุ้น ABC มาในราคา 10 บาท จำนวน 10000 หุ้น

คุณคิดว่า คุณจะขายในราคา 10.50 บาท เท่ากับว่า คุณกำไร ประมาณ 4500 บาท

คุณควรจะคิดด้วยว่า หากราคาหุ้นไม่ขึ้น แต่กลับตกลงมา จะทำอย่างไร

วิธีที่ 1 จำกัดขาดทุนให้เท่ากับที่คุณคิดจะกอบโกยกำไร ซึ่งเท่ากับคุณจะต้องขายออกไปที่ราคา 9.60 บาท

...วิธีนี้ จะทำให้คุณขาดทุนที่ประมาณ 4% ซึ่งคุณสามารถได้ทุนคืนจากการวางเดิมพันครั้งใหม่ได้ เพียงแค่หุ้นขึ้นไป 4.687% ซึ่งเป็นตัวเลข ที่ไม่น่ายากเลย และคุณยังสามารถวางเดิมพันได้เรื่อย ๆ โดยไม่ต้องให้เงินก้อนใหม่

...วิธีนี้ ถ้าคุณวางเดิมพัน 10 ครั้ง คุณผิดเกิน 5 ครั้ง ... แนะนำให้เปลี่ยนเหตุผล การเข้าซื้อหุ้น

..........................
แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 51 04:30:01

จากคุณ : อาหนิว - [ 15 ส.ค. 51 03:50:53 ]



ความคิดเห็นที่ 2

วิธีที่ 2 การจำกัดการขาดทุน และ let profit run

วิธีนี้ คุณจะไม่มีวันขายได้ที่ราคา high และบางที คุณอาจต้องขายที่ราคา low

นั่นคือ คุณตั้งเป้าไว้ว่า "ต้องขาย" หากราคาลงไปกว่า 3% จากราคา high หรือประมาณ 3-4 ช่องสเปรด

...ณ วันที่คุณซื้อที่ราคา 10 บาท คุณต้องขายที่ราคา 9.7 บาท (ซึ่งในความเป็นจริง มักทำใจไม่ได้ เพราะความโลภ เข้าครอบงำ ... และนั่นคือเหตุผลของการติดหุ้น ติดดอย)

หากราคาขึ้นไปที่ 10.10 ให้ขายที่ 9.797 หรือ 9.8
10.2 --- 9.9
10.3 --- 10.00
10.4 --- 10.10
เลื่อนไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ จะทำให้คุณสามารถจำกัดการขาดทุนได้ แต่ได้กำไรไม่จำกัด

ซึ่งวิธีนี้ คุณวางเดิมพัน 10 ครั้ง พลาด 8 ครั้ง สำเร็จ 2 ครั้ง คุณก็สามารถได้กำไรเป็นกอบเป็นกำได้
(แต่หากพลาด 8 ครั้งจริง แนะนำให้ เปลี่ยนเหตุผล การเข้าซื้อหุ้นเช่นกัน)

..................................

จากคุณ : อาหนิว - [ 15 ส.ค. 51 03:51:25 ]

ความคิดเห็นที่ 3

วิธีที่ 3 วางกับดักไว้ 2 ด้าน ด้านขึ้น และ ด้านลง

วิธีนี้ ง่าย และ เหมาะสำหรับ พวกที่ไม่ใช่ เจ้าบุญทุ่ม คือ ค่อย ๆ ทะยอยซื้อ ทะยอยขาย

สมมุติว่า ซื้อแล้วหุ้นลง คุณต้องทะยอยขายออกมาก่อน

เช่นว่า คุณซื้อที่ราคา 10 บาท หากหุ้นลงไปที่ 9.8 บาท หรือ ประมาณ 2%

ให้ขายออกมา ครึ่งนึง ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

ซึ่งหากขายแล้วหุ้นขึ้นไป ก็ถือว่า ยังมีหุ้นอีก ครึ่ง คอยทำกำไร ซึ่งหากจะให้คืนทุนจากจำนวนหุ้นที่เหลือ คุณต้องให้หุ้นขึ้นไปอีก 4%

แต่หากคุณขายที่ 9.8 แล้วหุ้นยังลงต่ออีก 2% ควรจะขายทิ้งไปซะ แล้วไปเริ่มใหม่โอกาสหน้า

หรือถ้าใครเสียดาย ก็อาจจะขายออกไปอีก ครึ่งนึง แต่หากทำเช่นนี้ จะทำให้ต้นทุนเดิม สูงขึ้นถึง 9.5% เลยทีเดียว (ก็แล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคล)

.................................


ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแผนการลงทุน ซึ่งหากวางแผนแล้ว แต่ไม่ทำตามเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ ก็ไม่รู้ว่า จะวางแผนไปไว้ให้ใครมันทำเหมือนกัน

จงจำไว้ให้ดีว่า

นักเล่นหุ้นที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ รู้จัก คัทลอส กันทั้งนั้น

มีแต่ รายย่อย ผู้โง่งม นั่นแหละ ที่คิดว่า ทุกคนในตลาด ไม่เคยขาดทุน ดังนั้น จึงยอมไม่ได้ ที่ตัวเอง จะขายขาดทุน ... อย่างนี้ต้องเรียกว่า "ไอ้หน้าโง่"

....................................

จากคุณ : อาหนิว - [ 15 ส.ค. 51 04:05:57 ]


ความคิดเห็นที่ 4

...อ้าว ลืม วิธี ซื้อเฉลี่ยขาขึ้น เดี๋ยวจะไม่ครบองค์

เอาวิธีซื้อเฉลี่ยขาขึ้นแบบเบสิค ล่ะกัน

คือ ... สมมุติ ซื้อหุ้นมา 10000 หุ้น ที่ราคา 10 บาท
หากหุ้นขึ้นไป 5% ให้ซื้อเพิ่มอีก แต่ไม่ควรเกิน ครึ่งนึง ของครั้งแรก เช่นควรซื้อแค่ 5000 หุ้น เท่านั้น

และจากนั้น ก็ล็อคราคาขายไว้ที่ 2% หากราคากลับลงมา

ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็จะเข้ากฎการซื้อแบบ ปิระมิด ซึ่งกฎนี้

คนส่วนใหญ่ รู้จัก และ ทำได้ ..... แต่ที่ผิดแปลกไป คือ ดันเอามาใช้กับหุ้น ตอนเป็นขาลง คือ ราคาไหล ลงมาเรื่อย ๆ ก็ ซื้อเข้าไปเรื่อย ๆ

จนสุดท้าย เงินหมด ติดหุ้น ติดดอย กันเป็นแถว

ถ้าคุณคิดว่า "เก่งจริง"

คิดว่า "ตรงนี้" คือจุดกลับตัว ...

คุณคงไม่ติดหุ้นที่ราคาสูงหรอก .... จริงมั๊ย

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณติดหุ้น ซื้อแล้วหุ้นลง นั่นแสดงว่า คุณยังไม่ "เก่งพอ"

........................

จากคุณ : อาหนิว - [ 15 ส.ค. 51 04:19:30 ]

ความคิดเห็นที่ 5

ที่กล่าวมา ทั้งหมดนี้ ....

ครั้งแรก ๆ คุณอาจจะพบว่า มันช่างยากเย็น ซะเหลือเกินในการกระทำตามแผนการลงทุน

แต่คุณจะพบว่า หากคุณลองได้ทำซัก 2-3 ครั้งแล้ว ครั้งต่อ ๆ ไป มันจะง่าย และเป็น อัตโนมัติ มากขึ้น

"the best way is the most simple way"

"there is no short cut in stock market"

"anything can be possible in SET"

จากคุณ : อาหนิว - [ 15 ส.ค. 51 04:28:16 ]




 

Create Date : 11 ตุลาคม 2551
0 comments
Last Update : 29 มกราคม 2554 9:48:20 น.
Counter : 526 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


P^_^
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝึกเขียน เล่าเรื่อง สบายๆ ปนเพ้อเจ้อ...

มีใครสักคน แวะมาอ่านก็ดีใจแล้ว ...จริงๆ นะ

ยิ่งทักทายด้วย ยิ่งปลื้มเข้าไปอีก ...เน๊ะ

เขียนอะไร คุยอะไรมาก็ได้ ...อ่านทั้งน๊านจ้า...

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ ^_^

Photobucket

แวะมาแล้ว ฝากให้อาหารปลาด้วยจ้า...
^_^ click ที่ภาพได้เลยค่ะ

Friends' blogs
[Add P^_^'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.