June Lee
เพิ่งรู้ว่า Log in - june_lee ขอคืนการเป็นสมาชิกพันทิป เสียดายจัง....
หลายเดือนที่ผ่านมานี้ รู้สึกเช่นกันว่า
เซียน เทพ สมาชิกห้องสินธรหลายคน หายไป
Web board ที่จริงก็ข้อความความเห็นนั่นแหละ
มีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก จนบางครั้ง รับไม่ได้
เลยเลือก ตัดสินใจ ที่จะไป.....
... เข้าใจ เพราะกำลังรู้สึก
... เพียงแต่ กำลังปรับตัว
... ด้วยว่า ไม่อยากจะรู้สึกไปมากกว่านั้น
5 April 2009
คาถาเล่นหุ้นยามนี้
Source: //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I6981867/I6981867.html
- ขึ้นน้อย ขายน้อย - ขึ้นเยอะ ขายเยอะ - ลงน้อย ไม่ซื้อ - ลงเยอะ ซื้อ
จากคุณ : june_lee - [ 9 ก.ย. 51 21:04:50 ]
การเล่นหุ้นเปรียบเสมือนการเล่นเกมจิตวิทยา? Source: //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I7045117/I7045117.html
ทุกประเทศในโลกนี้โดยส่วนใหญ่มีคนจนและคนชั้นกลางมากกว่าคนรวย แต่ทรัพย์สินของคนรวยรวมกันกลับมีมากกว่าคนจนและคนชั้นกลางรวมกัน
ตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน
คนที่ได้เงินจากตลาดหุ้นเป็นคนส่วนน้อย คนที่เสียเงินในตลาดหุ้นกลับเป็นคนส่วนใหญ่
เมื่อใดที่คนส่วนใหญ่มองว่าหุ้นไม่น่าจะขึ้นต่อแล้ว มันกลับขึ้นไปได้เรื่อยๆ เมื่อใดที่คนส่วนใหญ่มองว่าหุ้นน่าจะขึ้นต่อ มันกลับไม่ขึ้น แถมยังลงมาอีกต่างหาก
เมื่อใดที่คนส่วนใหญ่มองว่าหุ้นควรจะต่ำสุดแล้ว มันกลับลงไปต่ำกว่านั้นอีก และเมื่อใดที่คนส่วนใหญ่มองว่าหุ้นน่าจะต่ำลงกว่านั้นอีก มันกลับไม่ลง แถมยังขึ้นไปอีกต่างหาก
ผู้ที่เล่นชนะในเกมนี้มาโดยตลอด คือ....คนส่วนน้อย ผู้ที่เล่นแพ้ในเกมนี้มาโดยตลอด คือ.....คนส่วนใหญ่
ถ้าเราอยากเป็นผู้ชนะ ก็คือการเป็น......."คนส่วนน้อย"
จากคุณ : june_lee - [ 29 ก.ย. 51 15:34:56 ]
Source: //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I7067882/I7067882.html#6
มุมมองของนักลงทุนที่ต่างกัน
ก่อให้เกิดการซื้อ ขายหุ้นเกิดขึ้น
คนที่ซื้อก็เพราะมองว่าราคาหุ้นลงมาเยอะ จาก 500+ บาท
คนที่ขายก็เพราะมองว่าราคาหุ้นยังจะลงไปได้อีก หรืออาจจากการถูก force sell, หรือจากการยืมหุ้นมาขาย
คนที่ยังไม่ซื้อก็เพราะมองว่าราคาหุ้นยังน่าจะถูกกว่านี้
คนที่ยังไม่ขายก็เพราะมองว่าราคาที่จะขายนี้ถูกเกินไป
อาจยังมีหลายเหตุผลนอกเหนือจากที่กล่าว
สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธของนักลงทุนแต่ละท่าน
จากคุณ : ด้วยความปรารถนาดี (june_lee) - [ 6 ต.ค. 51 12:16:43 ]
เมื่อลูกบอลตกกระแทกพื้นอย่างแรง อะไรจะเกิดขึ้น? Source: //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I7074524/I7074524.html
ใครที่เคยอยู่ตลาดหุ้นมานาน ย่อมทราบดีว่าตลาดหุ้นมีทั้งภาวะกระทิงและภาวะหมี
ภาวะกระทิง ราคาหุ้นมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้นไประยะหนึ่งก็จะมีการปรับฐานตามมา
ขณะที่มีการปรับฐาน จุดต่ำสุดของราคาหุ้นจะสูงขึ้นกว่าจุดต่ำเดิม
หลังจากการปรับฐานแล้ว ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นไปใหม่ และราคาหุ้นมีโอกาสที่จะสูงกว่าจุดสูงสุดเดิม
พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ภาวะกระทิง...ราคาหุ้น ทรงกับขึ้น
นักลงทุนโดยทั่วไปชอบลงทุนในภาวะกระทิง เพราะถือหุ้นแล้วสบายใจ
ติดหุ้นไม่นาน ก็มักจะมีโอกาสหลุด และขายหุ้นได้กำไร ...............................................................................
ส่วนภาวะหมี ราคาหุ้นจะมีแนวโน้มลงมากกว่าขึ้น แต่เมื่อลงมามากๆก็จะมีการกลับตัวขึ้นมาเป็นระยะๆ
ขณะที่การปรับตัวสูงขึ้นนั้น ราคาหุ้นจะไม่สูงกว่าราคาสูงเดิม
หลังจากปรับตัวขึ้นมาได้ระยะหนึ่ง ราคาหุ้นก็จะปรับลดลงไปใหม่ โดยที่ราคาหุ้นมีโอกาสที่จะต่ำกว่าจุดต่ำเดิม
พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ภาวะหมี...ราคาหุ้น ทรงกับทรุด
นักลงทุนโดยทั่วไปไม่ชอบลงทุนในภาวะหมี เพราะเล่นยากกว่ามาก
ถ้าติดหุ้นแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จึงจะหลุด แล้วขายหุ้นได้กำไร ...........................................................................
กล่าวโดยสรุป
ภาวะกระทิง ก็มีคลื่นย่อยของขาลง
ภาวะหมี ก็มีคลื่นย่อยของขาขึ้น
ถ้าเป็นนักเก็งกำไร และถ้าสามารถจับแนวโน้มการขึ้นลงของตลาดหุ้นได้
ก็สามารถที่จะเก็งกำไรไปตามแนวโน้มการขึ้นลงของตลาดหุ้น ไม่ว่าหุ้นจะอยู่ในภาวะกระทิงหรือหมีก็ตาม
ในภาวะกระทิง
แรกๆราคาหุ้นจะค่อยๆขยับตัวสูงขึ้นอย่างช้าๆ แต่เมื่อขึ้นมาระยะหนึ้ง
ราคาหุ้นจะมีการปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในอัตราเร่งและความชันที่สูงขึ้น
หลังจากนั้นก็จะตามมาด้วยการปรับฐาน
ในภาวะหมี กลับตรงกันข้าม
ในระยะแรกๆ ราคาหุ้นมักจะลดลงมาอย่างช้าๆ
ต่อจากนั้นราคาหุ้นก็มักจะมีการปรับลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ในอัตราเร่งและความชันที่สูงขึ้น
หลังจากนั้นก็จะตามมาด้วยการปรับตัวสูงขึ้น ...........................................................................
ตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าอยู่ในภาวะหมี
ตลาดหุ้นไทยมีการตกต่ำต่อเนื่องประมาณสามเดือนเศษ และ set index มีการลดต่ำลงมาแล้วประมาณสามร้อยกว่าจุด
มีการคาดการณ์ว่า set index มีโอกาสลดต่ำลงไปกว่านี้อีกพอสมควร
ตลาดหุ้นไทยหลังจากสิ้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากผ่านเทศกาล window dressing
set index มีการลดต่ำลงมาอย่างช้าๆประมาณสามวัน
แต่สองวันที่ผ่านมามีการลดต่ำลงของ set index อย่างรวดเร็ว ประมาณ 60 จุด
อัตราเร่งที่สูงขึ้นของการลดลงของ set index เปรียบเสมือนลูกบอลที่ตกกระแทกพื้นอย่างแรง
เรามาตามดูว่าหลังจากลูกบอลตกกระแทกพื้นอย่างแรงแล้ว
จะมีการกระเด้งของลูกบอลเหมือนในอดีตที่ผ่านมาหรือไม่ ?
หรือจะนอนแผ่กองอยู่กับพื้น ?
จากคุณ : june_lee - [ วันเกิด PANTIP.COM 21:38:13 ]
ตลาดหุ้นไทยจะล่มสลายหรือไม่? Link: //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I7070980/I7070980.html
หมายเหตุ: ผู้เขียนไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์หรือนักวิเคราะห์ การเขียนเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นของแมงเม่าปีกทองตัวน้อยๆ ในตลาดหลักทรัพย์คนหนึ่งเท่านั้น กรุณามีดุลยพินิจในการอ่านและรับข้อมูล ยินดีน้อมรับฟังทุกความคิดเห็น คำแนะนำ และคำติชมทุกประการ กระทู้นี้ไม่มีผลประโยชน์ใดๆแอบแฝง ต้องกราบขออภัยถ้ามีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นจากการด้อยความรู้และประสบการณ์ของผู้เขียน..................................................................................
คนรวยที่มีเงินเย็นๆในเมืองไทยยังมีอีกเยอะมากๆ
คนกลุ่มนี้เคยผ่านวิกฤติการต้มยำกุ้งที่หนักหนาสาหัสมาแล้ว ตอนนั้น set index ลดลงจาก 1700+ เหลือ 200+ จุด ในระยะเวลาสี่ปี
คนกลุ่มนี้แสวงหาการลงทุนทุกรูปแบบ มีการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจมีขึ้นทุกขณะ
คนกลุ่มนี้ถ้าเล่นหุ้น จะไม่มานั่งเฝ้าหุ้นหน้าจอ ไม่ซื้อขายหุ้นบ่อยๆ
นานทีปีหนจึงจะมีการซื้อขายหุ้นครั้งหนึ่ง บางครั้งอาจเว้นไปนานเป็นปี ซึ่ง broker ไม่ชอบ
คนกลุ่มนี้จะเข้ามาซื้อหุ้นก็ต่อเมื่อราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ
และขายหุ้นเมื่อราคาหุ้นสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็น
ในวันที่มีการประกาศ capital control เมื่อ 19/12/2006 และ set index ลดลงไป 100+ จุด
เป็นที่คาดว่าน่าจะเป็นการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนกลุ่มนี้ ซึ่งวันนั้น volume ตลาดพองโตมากกว่าสามหมื่นล้านบาท
ถามว่านักลงทุนกลุ่มนี้จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกหรือไม่ ?
ตอบได้เลยว่ามาแน่นอน เมื่อราคาหุ้นสมเหตุสมผล และราคาหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆ
รอบนี้ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมาเป็นระยะเวลาประมาณสามเดือนกว่า
และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงมาสามร้อยกว่าจุด
สาเหตุหลักเป็นผลกระทบจาก hamburger crisis ซึ่งมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
foreign มีความจำเป็นที่จะต้องขายสินทรัพย์ที่มีการลงทุนไปทั่วโลกเพื่อนำเงินกลับประเทศ
และไม่มีใครทราบได้ว่าผลกระทบนี้จะกินระยะเวลานานเท่าใด ?
ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ดีกว่าสมัยวิกฤติการต้มยำกุ้งมาก
ตลาดหุ้นไทยไม่ล่มสลายแน่นอน !
เพราะฉะนั้นโปรดมีสติ และมีวิจารณญานในการลงทุน !
ขอให้ทุกท่านโชคดีและประสบความสำเร็จในการลงทุน ! ...............................................................................................
...คะแนน give ของผู้เขียนแจกไปเยอะมากจนใกล้หมดแล้ว...ต้องกราบขออภัยถ้าไม่แจกคะแนนคืนให้แก่ท่านผู้อ่าน ผู้ให้ความคิดเห็น คำแนะนำ และคำติชมทุกท่าน...
แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 51 03:53:04 จากคุณ : june_lee - [ วันเกิด PANTIP.COM 03:47:49 ]
เมื่อเศรษฐีหุ้นกลายเป็นยาจกชั่วคราว และพ่อค้ารับซื้อของเก่าจะเป็นเศรษฐี?
Link: //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I7087252/I7087252.html ตลาดหุ้นผ่านวิกฤติมาหลายครั้ง ครั้งที่รุนแรงที่สุดคือวิกฤติการต้มยำกุ้ง ในปี 1994 วิกฤติการครั้งนั้นส่งผลรุนแรงถึงขั้นมีการปิดสถาบันการเงินหลายแห่ง set index มีการลดลงอย่างต่อเนื่องจากจุดสูงสุดที่ 1700+ จุด ลงมาเหลือ 200+ จุดโดยใช้ระยะเวลาสี่ปี
หลังจากนั้น set index มีการไต่ระดับขึ้นมาใหม่ถีง 900+ จุด โดยใช้ระยะเวลาเก้าปี วิกฤติการครั้งนั้นส่งผลให้เศรษฐีกลายเป็นยาจกไปหลายคน หลายๆคนเลิกเล่นหุ้นไปเลยก็มี หลายๆคนเอาใบหุ้นที่ไม่มีค่าแปะไว้ข้างฝาเป็น wallpaper เป็นข้อเตือนใจ...การลงทุนมีความเสี่ยง
หลายๆคนสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติการครั้งนั้นได้ และสามารถกลับมาได้อย่างยิ่งใหญ่ หุ้นหลายๆตัวในตลาดหลักทรัพย์ก็สามารถกลับมาที่เดิม บางตัวสูงกว่าเดิมด้วยซ้ำ เสน่ห์ของตลาดหุ้นอยู่ตรงนี้ หลายๆคนแอบหวังลึกๆอยู่ในใจ ต้องการให้ตัวเองประสบความสำเร็จอย่างนั้นบ้าง !!
วิกฤติการต้มยำกุ้งครั้งนั้นต้นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย และส่งผลกระทบเฉพาะตลาดหุ้นเอเชียเท่านั้น ทางตลาดหุ้นยุโรปและ USA หาได้รับผลกระทบไม่ หนำซ้ำ DJIA กลับเดินหน้า จาก 3000+ จุด ไปสูงสุดที่ 14000+ จุด โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 14 ปี
Hamburger crisis รอบนี้ต้นกำเนิดอยู่ที่ USA หลังจากนั้นมีการส่งผลกระทบกระเทือนไปทั่วโลก ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเล็ก ถึงแม้จะมีการสรุปบทเรียนจากวิกฤตการต้มยำกุ้งครั้งนั้น และมีการระมัดระวัง ป้องกันตัวอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้ได้
ไม่มีใครสามารถประเมินผลกระทบรอบนี้ได้ว่าจะมีผลกระทบมากมาย และจะใช้ระยะเวลานานเพียงใด? set index รอบนี้ลดลงจาก 900+ จุด เหลือ 450+ จุด โดยใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่งปี
ไม่มีใครตอบได้ว่าจุดต่ำสุดของ set index อยู่ที่ใด ? ไม่มีใครตอบได้ว่าตลาดหุ้นจะฟี้นตัวเมื่อใด ? ไม่มีใครตอบได้ว่า set index สามารถกลับไปที่เดิมได้อีกหรือไม่และเมื่อใด ? ไม่มีใครตอบได้ว่าหุ้นแต่ละตัวจุดต่ำสุดอยู่ที่ใด จะสามารถกลับไปที่เดิมได้อีกหรือไม่ และเมื่อใด ?
...ใครที่ติดหุ้นอยู่จะเป็นแค่ยาจกชั่วคราวหรือไม่ ?
...ใครที่ตั้งรับซื้อหุ้นราคาถูกๆอย่างใจเย็น เปรียบเสมือนพ่อค้ารับซื้อของเก่า หรือของเลหลังราคาถูกๆ จะกลายเป็นเศรษฐีในอนาคตได้หรือไม่ ?
...เหตุการณ์ในอนาคตจะเดินซ้ำรอยเดิมเหมือนอดีตอีกหรือไม่ ?
....เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์.....
....ขอเป็นกำลังใจแด่เศรษฐีที่กลายเป็นยาจกชั่วคราว และพ่อค้ารับซื้อของเก่าที่อาจจะกลายเป็นเศรษฐี...
จากคุณ : june_lee - [ 10 ต.ค. 51 19:51:37 ]
" cash is king" คืออะไร?
Link: //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I7091487/I7091487.html
กระทู้นี้น่าจะไร้สาระ post ผิดห้อง แม้แต่เด็กประถมยังตอบได้ ไม่น่าถาม
" cash is king " = เงินสดคือพระเจ้า
นักลงทุนบางส่วนอาจเข้าใจความหมายของคำนี้เพียงแค่ผิวเผิน
นักลงทุนที่ผ่านเหตุการณ์ Black Monday, ซัดดัมบุกคูเวต, เหตุการณ์ 911 จะเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น
นักลงทุนที่ผ่านเหตุการณ์วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 1994 ซึ่ง set index ลดลงจาก 1700+ จุดเหลือ 200+ จุด ภายในระยะเวลาสี่ปี ...จะเข้าใจความหมายของคำนี้ลึกซึ้งที่สุด !!
เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีการสั่งปิดสถาบันการเงินหลายแห่ง ผู้ที่มีเงินฝากในสถาบันการเงินเหล่านั้นไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ผู้ที่ไปถอนเงินสดหนึ่งล้านบาทหน้าเคาน์เตอร์ของธนาคารถือว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ของธนาคาร ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่อย่างมาก ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศต้องหาพันธมิตรต่างชาติเข้ามาร่วมทุน เพื่อเสริมสภาพคล่อง และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธนาคาร ธุรกิจหลายแห่งขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง การค้าบางแห่งต้องใช้เงินสดเท่านั้น ไม่รับเช็ค ธุรกิจหลายแห่งต้องปิดกิจการลง พนักงานถูกลอยแพ ที่ดินแถวรังสิต ราคาตลาดหนึ่งล้านบาทต่อไร่ ถูกกดราคารับซื้อเหลือเพียงไร่ละสามถึงสี่แสนบาท
...นักลงทุนที่ผ่านวิกฤติการมาหลายครั้งรู้ว่าถ้าเมื่อใดมีวิกฤติการร้ายแรงเกิดขึ้นอีก คาถาที่ต้องท่องไว้จนขึ้นสมอง " cash is king "
" Hamburger crisis " รอบนี้เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่ามีต้นตอมาจากฟองสบู่แตกของเศรษฐกิจ USA หลังจากนั้นก็เกิดผลกระทบกระเทือนไปทั่วโลก บริษัทต่างๆใน USA ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จึงเป็นที่มาของการขายสินทรัพย์ที่มีการลงทุนไปทั่วโลก เพื่อดึงเงินกลับไปอุดรูรั่วในบ้านของตัวเองที่มีเต็มไปหมดอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยถึงแม้พื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจแข็งแกร่งกว่าปี 1994 มาก ยังไม่มีภาวะฟองสบู่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังไม่มีปัญหาของการขาดสภาพคล่องทางด้านการเงิน แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบครั้งนี้ได้ !!
เมื่อยักษ์เป็นหวัด คนแคระที่อยู่รอบข้างก็ต้องติดเชื้อ มีอาการปวดหัวตัวร้อน ไอจาม น้ำมูกไหลบ้าง คนแคระที่อยู่ใกล้ อ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ ก็ได้รับผลกระทบเยอะหน่อย คนแคระที่อยู่ห่างออกมา แข็งแรง ภูมิต้านทานดี ก็ได้รับผลกระทบน้อยหน่อย
ตลาดหุ้นไทยรอบนี้ set index ลดลงจาก 900+ จุดเหลือ 450 จุดภายในระยะเวลาหนึ่งปี
...ไม่มีใครสามารถประเมินได้ว่าจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นอยู่ที่ใด และจะฟื้นตัวอย่างจริงจังเมื่อใด ?
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I7061124/I7061124.html
...หุ้นพื้นฐานดีราคาถูกๆ ปันผลดี อนาคตยังมีการเติบโต มีเกลื่อนเต็มตลาดหุ้น
ถึงเวลาของการเข้าไปรับซื้อของเก่า ของเลหลังราคาถูกๆแล้วหรือยัง ?
//www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I7087252/I7087252.html
...คาถา "cash is king " ควรจะนำมาใช้หรือเก็บไว้ในลิ้นชัก ?
คุณต้องวางแผนทางด้านการเงิน กำหนดกลยุทธการลงทุนและเส้นทางชีวิตของคุณเอง !!
ขอเป็นกำลังใจให้นักลงทุนทุกท่านสามารถเอาตัวรอดจากผลกระทบของ " Hamburger crisis " ครั้งนี้ และประสบความสำเร็จในการลงทุน
หมายเหตุ - ผู้เขียนไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงินการธนาคาร หรือนักวิเคราะห์ การเขียนเป็นเพียงต้องการสื่อให้เห็นถึงความหมายที่ลึกซึ้งของคำว่า "cash is king" เท่านั้น - กรุณามีดุลยพินิจในการอ่านและรับข้อมูล - กระทู้นี้ไม่มีผลประโยชน์ใดๆแอบแฝง - กระทู้นี้ไม่ได้ต้องการให้เกิดความตื่นตระหนก ชี้แนะ ชี้นำ หรือชักจูงให้มีการลงทุนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง - ยินดีน้อมรับฟังทุกความคิดเห็น คำแนะนำ และคำติชมทุกประการ
ต้องกราบขออภัยถ้ามีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้นจากการด้อยความรู้และประสบการณ์ของผู้เขียน
แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 51 09:52:30 แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 51 05:08:54 จากคุณ : june_lee - [ 12 ต.ค. 51 05:07:41 ]
Create Date : 30 กันยายน 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 2 มกราคม 2553 15:58:20 น. |
Counter : 742 Pageviews. |
|
|
|