Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
8 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Kasimasi

(เจอในเวปเทมเปิ้ลบ็อกซิ่ง ...ครับ)

คำถาม.....ติดหุ้นทำไงดี .....
คำตอบ...."ถ้าปัญหานั้นแก้ได้คุณจะวิตกไปทำไม (ก็แก้ไปสิว่ะ) ถ้าปัญหานั้นแก้ไขไม่ได้คุณจะวิตกไปทำไม (ก็มันแก้ไม่ได้นี้ว้า)"


นอกจากนี้ "เสี่ยยักษ์" ยังมีเคล็ดไม่ลับ ที่อยากฝากแฟนๆ "ถนนนักลงทุน" อีก 5 ข้อ

"คำพูดที่ผมอยากจะฝากไว้ จำเอาไว้เลยนะ..."

1.อย่าตามหลังมวลชน

2.จุดที่มั่นใจที่สุด คือ จุดที่อันตรายที่สุด

3.จุดที่อันตรายที่สุด คือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด นั่นคือ ประมาณ "ตี 5" ถึง "ตี 5 ครึ่ง" (ก่อนฟ้าสาง)

4.อย่าคิดคนเดียว อย่าตอบคำถามคนเดียว อย่าเล่นหุ้นคนเดียว และ

5.คนเล่นหุ้นให้ชนะ ต้องเลิกนิสัย "ถามเอง-ตอบเอง-เออเอง" สุดท้าย "เจ๊งลูกเดียว"



(อ่านเจอในเวปไทยวีไอครับ) คำพูดของ คุณเสริมสิน สมะลาภา

"ในตลาดหุ้นไม่มีใครโง่ ทุกคนที่เล่นหุ้นฉลาด แต่ว่าความกลัวกับความกล้าของคนเราไม่เท่ากัน เรารู้ดีว่าในช่วงที่คนกล้าเราต้องระวัง

คนโง่ไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย คนปานกลางเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง คนฉลาดเรียนรู้ความผิดพลาดของคนอื่น"

Link: //www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=2528

จากคุณ : kasimasi - [ 13 ต.ค. 51 04:46:25 ]





หลักสังเกตหุ้น Boom หรือ Bottom


Link 1: //www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I7071009/I7071009.html#5
Link 2: //www.stock2morrow.com/forums/showthread.php?p=4026

การศึกษาพฤติกรรมหุ้นในช่วงดัชนีตอนอยู่ ณ จุดสูงสุด (Peak) และ ต่ำสุด (Bottom) จะช่วยให้นักลงทุนขายในช่วงจังหวะสูงสุด (Peak) หรือ เข้าซื้อในช่วงจังหวะต่ำสุดได้

BOOM .....เมื่อดัชนี Peak (สูดสุด) ? ต้องขาย

1. นักลงทุนสถาบันและรายย่อย จะมีอัตราส่วนเงินสดต่อหุ้นในอัตราส่วนที่ต่ำ ในภาวะการลงทุนที่จุดสูงสุดนี้ นักลงทุนทุกท่านจะมีแนวความคิดที่ว่า การถือครองเงินสดในมือจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำ
หรือ Cash in trash (เงินสดเป็นขยะ) สำหรับในบ้านเรา ภาวะความคิดเช่นนี้เกิดขึ้น เมื่อตอน SET index อยู่แถว 780-790
คือต้นปี 2549 เงินสดในมือของ Hedged Funds จะอยู่ในภาวะลงทุนเต็มกำลังเช่นกัน (Fully invested)

2. เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend Yield) ของ SET โดยเฉลี่ย จะต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี

3. สัญญาณทางเทคนิคจะเป็นในลักษณะ head and shoulder, double tops, triangles and wedges สิ่งที่น่าสนใจ คือ การวัด Momentum จะพบว่าประมาณ 75% ของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จะอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว

4. อัตราดอกเบี้ยกำลังจะปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง

5. ตัวเลขฐานเงิน (Board Money supply) กำลังจะหดตัวลง

6. นักวิเคราะห์มีมุมมองเป็นบวกสุดๆ

7. หุ้นเพิ่ม ทุน อาจจะเป็น right issues หรือหุ้นใหม่ตลอดจนหุ้นที่กำลังเสนอขายแก่ประชาชน (Initial Public Offering)
มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากๆ

8. ถ้ามีข่าวดี จะไม่ทำให้หุ้นตอบสองในทางบวกได้เช่น การประกาศผลกำไรที่ดีมากๆ กลับไม่สามารถทำให้หุ้นขึ้นได้
แสดงว่าหุ้นเริ่มชินชากับข่าวดีนี้

9. หุ้นประเภทวัฏจักร (Cycle) จะได้รับความนิยมสูง และมีการเก็งกำไร

10. ในวงสังคม ร้านอาหาร และคนส่วนใหญ่จะพูดคุยเรื่องหุ้น

---------------------------------------------------------------------------

BOTTOM .....เมื่อดัชนี Bottom (ต่ำสุด) ? ต้องซื้อ

1. เมื่อดัชนีอยู่ในจุดต่ำสุด นักลงทุนมักจะถือเงินสดในมือมาก
ความคิดจะเปลี่ยนไปเป็นเงินคือ พระราชา (Cash in King)

2. เงินปันผลต่อหุ้น (Dividend Yields) ของ SET โดยเฉลี่ยจะสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี มาก

3. สัญญาณทางเทคนิค จะเป็นในลักษณะ head and shoulder หัวกลับ, Double bottoms
และจำนวนของหุ้นที่ราคาเริ่มยืนเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนอย่างน้อย 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

4. อัตราดอกเบี้ยที่อยู่สูงมาก และเตรียมตัวจะลง

5. ตัวเลขฐานเงิน (Board Money Supply) กำลังขยายตัวเพิ่มขึ้น

6. นักวิเคราะห์มีมุมมองเป็นลบสุดๆ

7. แทบจะไม่มีหุ้นเพิ่มทุนเลย

8. ข่าวร้ายไม่ทำให้หุ้นลง (Failures of shares to fall on bad news)

9. หุ้นประเภท unpopularity หรือนานๆ จึงจะซื้อขาย จะถูกนำมาลงทุน
ในขณะที่หุ้นมีการเติบโตสูง (Growth stock) จะมีราคาถูกมาก ๆ

10. ไม่มีใครพูดถึงเรื่องหุ้นเลย

จากคุณ : kasimasi - [ วันเกิด PANTIP.COM 05:10:49 ]




ถ้าฟองสบู่อเมริกาแตก DJI ต้องร่วงอย่างน้อย 4,200 จุดแล้วดัชนีหุ้นไทยล่ะ


Link: //www.oknation.net/blog/banyong/2008/01/13/entry-1

ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยเขียนบทความลงตีพิมพ์ในนสพ.กรุงเทพธุรกิจ หลายปีก่อนว่า

ข้อสังเกตเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ไม่ว่าจะเกิดในประเทศไหนก็ตาม จะมีลักษณะบางอย่างร่วมกันดังนี้

(1) โดยปกติของวัฏจักรราคาสินทรัพย์แล้ว ถ้าอยู่ในช่วงขาขึ้นมักจะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่หากต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ราคาในช่วงขาลงมักจะลดลงรวดเร็วและรุนแรง

(2) มีโอกาสราว 25-30% ที่การเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของดัชนีราคาหุ้น จะตามมาด้วยการลดลงรุนแรง ขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสถึง 40-50% ที่การปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจะตามมาด้วยการปรับตัวอย่างรุนแรง

(3) ในกรณีที่ราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวรุนแรง ดัชนีราคาหุ้นจะลดลง 45-50% โดยเฉลี่ย ส่วนราคาอสังหาริมทรัพย์ อัตราการปรับลดลงจะอยู่ที่ 25-30%โดยเฉลี่ย

ถ้าเกิดวันนี้เศรษฐกิจของสหรัฐมาถึงจุดเปราะบาง และฟองสบู่จะต้องแตกลง (ข่าวล่าสุดแจ้งว่า นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานเฟด ออกมายอมรับว่าสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว)จุดสูงสุดที่ดัชนีดาวน์โจนส์ได้ทำไว้คือราว 14,200 จุด หากดัชนีต้องลดลงถึง 50 % คือต้องร่วงลงมาถึง 7,000 จุด ลงไปอยุ่บริเวณ 7,200 จุด แต่ผมเองเชื่อว่าน่าจะร่วงลงสัก 30%เป็นอย่างน้อย หรือลงมาประมาณ 4,200 จุด มาอยู่แถวๆ 10,000 จุด ถึงแนวรับพอดี ที่ซึ่งดัชนีเคยย่ำอยู่ 2ปี ในช่วงปี 2004-2005 ถ้าเป็นอย่างที่คาด ดัชนีหุ้นไทยจะลงไปถึงไหน (ปัจจุบันดัชนีดาวน์โจนส์อยู่ที่ 12,606 จุด ส่วนดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 796 จุด ข้อมูล ณ วันที่ 13 มค.2551)

แต่ถ้าดัชนีดาวน์โจนส์เกิดดิ่งอย่างรุนแรง แสดงภาวะฟองสบู่แตกอย่างชัดเจน ดึงให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกควงสว่านลงมาด้วย อาจได้เห็นดัชนีหุ้นไทยลงมาแถว 625-650 จุด (แนวรับช่วงปฎิบัติการโหด มาตรการสำรอง 30% ของธปท.)

เพราะฉนั้นใครที่คิดว่าจะซื้อหุ้นเพราะเห็นว่าหุ้นไทยลงมามากแล้ว ก็ขอให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี อย่าลืมว่าเวลากองทุนต่างประเทศจะซื้อหุ้น เม็ดเงินของเขาเยอะมาก เช่นเขาอาจจะแบ่งเงินมาลงทุนในไทยสัก 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ฟังดูแล้วนิดเดียว แต่แปลงเป็นเงินไทยได้ถึง 10,000 ล้านบาท กว่าจะค่อยๆซื้อจนหมดอาจต้องใช้เวลา 20-30 วัน เขาอาจจะไล่ซื้อตั้งแต่ดัชนี 600-700 จุด และเริ่มขายที่ดัชนี 900 จุด ขายวันละ500-1,000 ล้านบาท ค่อยๆเทขาย เพราะถ้าขายให้หมดในวันเดียว หุ้นนั้นๆอาจจะร่วงติดฟลอร์เลยก็ได้ เนื่องจากขนาดตลาดหุ้นของไทยเราเล็กมาก

เขาจะเทขายไปเรื่อยๆ แม้บางครั้งดูเหมือนว่าราคาลงมามากแล้ว แต่เขาใช้หลักราคาเฉลี่ย ถ้าเขาพิจารณาแล้วว่าหมดช่วงขาขึ้น ทิศทางกำลังปรับทิศเป็นขาลงในระยะยาวแล้ว จำเป็นต้องล้างพอร์ต เศษหุ้นที่เหลือแม้ขาดทุนก็ขาย กว่าจะขายหมด ดัชนีหุ้นอาจลงมาที่ 750 จุด ซึ่งถ้าเขาใช้ต้นทุนเฉลี่ยมาคิด ซื้อที่แถวๆ 650 จุด แต่ขายเฉลี่ยแถวๆ 820 จุด คิดเป็นกำไรประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ นับว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

โปรดสังเกตว่าเวลาฝรั่งซื้อขายหุ้นจะให้ความสำคัญกับดัชนีดาวน์โจนส์มากกว่า การขึ้นลงของราคาน้ำมัน เราอาจคิดว่าหุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการขึ้นกับราคาน้ำมัน มีส่วนแบ่งตลาดถึง 40%ของมูลค่ารวมของหลักทรัพย์ทั้งหมด ถ้าน้ำมันราคาพุ่งขึ้น SET ต้องวิ่งตาม แต่สถิติที่ผ่านมาพบว่าฝรั่งจะซื้อขายตามดัชนีต่างประเทศมากกว่า แสดงว่าเขาใช้วิธีซื้อขายตามสัดส่วนของพอร์ต

เช่น อาจจะตั้งสัดส่วนไว้ว่าจะซื้อหุ้นไทย 1 % ของพอร์ตรวม ถ้ามูลค่าพอร์ตรวมเพิ่มขึ้นจากการที่หุ้นในตลาดวอลล์สตรีทและตลาดต่างประเทศขึ้น เขาก็จะซื้อในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าตลาดหุ้นรวมลง เขาก็จะขายออกเพื่อเอาเงินไปชดเชยตลาดหุ้นที่อื่น ที่ผู้ถือหน่วยลงทุนของเขาอาจจะมาไถ่ถอนเงินออก ถ้าเราจับทางผิด อาจจะติดยอดดอยในหุ้นกลุ่มน้ำมัน ที่ซึ่งในที่สุดแล้ว ราคาน้ำมันควรจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก จากการที่แหล่งทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกทรุดตัวลง

เว้นแต่ว่า ท่านจะเห็นว่ามีหุ้นบางตัวที่ราคาลดลงมามากแล้ว จนมี margin of safety มากจนน่าจะถือยาวได้ (สำนวนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ หมายถึง ราคาหุ้นถูกกว่าปัจจัยพื้นฐานมากจนมีความเสี่ยงต่ำ) ประเภทเป็นม้านอกสายตา มีโอกาสเติบโตระยะยาว ท่านซื้อเก็บไว้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน

สาเหตุที่ย้ำเตือนมา ก็เพื่อคนที่ชอบเล่นหุ้นตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่ฝรั่งชอบเล่นกัน เดี๋ยวจะว่ายทวนกระแสเงินไหลออกไม่ทัน ทิ้งท่านให้ติดปลายกิ่งไม้ ขอให้ชั่งใจไว้ให้ดี คิดให้รอบคอบก่อนจะซื้อหุ้นรอบนี้

แต่ถ้าท่านคิดว่า ท่านชอบโต้คลื่น หรือเป็นนักวินเซิฟ ก็ตามอัธยาศัยครับ

บางส่วนของบทควมของคุณ บรรยง จากบล็อกโอเคเนชั่น...ครับ

แก้ไขเมื่อ 10 ต.ค. 51 08:14:59
จากคุณ : kasimasi - [ 10 ต.ค. 51 08:06:56 ]




สุดยอดเคล็ดลับ 27 ขั้นตอน สู่ความมั่งคั่ง (หุ้น)
ของ "เสี่ยยักษ์" วิชัย วชิรพงศ์


ความเป็น "สุดยอด" ของนักเล่นหุ้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่ลงทุนจากเงินทุน 2 ล้านบาท แล้วประสบความสำเร็จจนมีเงินนับ "พันล้านบาท" จาก "ต้นกล้า" ฝ่าแดด...ต้านฝน จนเป็น "ไม้ใหญ่" ขอคารวะด้วยจิตศรัทธาว่า "ไม่ธรรมดา"

ก่อนจากลา "ถนนนักลงทุน" ขอรวบรวมคำพูด และวลีเด็ดๆ จากกูรูหุ้นระดับประเทศท่านนี้ ถ่ายทอดเป็น "ยอดวิชา" หวังให้ไป "ผลิบาน" ในความคิดของนักลงทุน เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ สืบสานสร้างความมั่งคั่งเรื่อยไป

ตั้งแต่ตอนที่ 1 ถึง ตอนที่ 27 มี วลีเด็ดๆ ที่น่าสนใจดังนี้


ตอนที่ 1
เงินนี่มันแปลก เงิน 1 ล้านบาท คุณจะเพิ่มให้เป็น 2 ล้านบาท ช่วงนี้จะยากมาก แต่จาก 2 เพิ่มเป็น 4 เริ่มง่าย จาก 4 เพิ่มเป็น 8 ยิ่งง่ายกว่า...นี่เรื่องจริง

ตอนที่ 2
ถ้าในโลกนี้ ใครได้อะไรมาง่ายๆ ก็ยากที่จะรักษาให้มันอยู่กับเราได้อย่างยั่งยืน

ตอนที่ 3
หุ้นจะเป็นขาขึ้น "ราคา" และ "ปริมาณ" จะต้องเคลื่อนไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน

ตอนที่ 4
ถ้าเราเลือกหุ้นพี/อี ต่ำ พื้นฐานดี แต่ซื้อแล้วราคาไม่ขึ้น...มีแต่ลง แสดงว่าความคิดของเรา "ผิด" คุณต้องเปลี่ยน "อย่าดันทุรัง"

ตอนที่ 5
สมัยที่ยังเล่นหุ้นไม่เก่ง วิธีที่ผมใช้...จะลอกข้อสอบคนเก่ง แต่ระหว่างที่เราลอกข้อสอบเขา เราก็ต้องพัฒนาตัวเองตามให้ทัน

ตอนที่ 6
ในการเล่นหุ้นให้ชนะตลาด เราต้องพายเรือตามน้ำ อย่าพายเรือทวนน้ำ เพราะการ "ฝืนกระแส" จะทำให้เรา "เสี่ยงสูง" ที่จะขาดทุน

ตอนที่ 7
จากประสบการณ์ 20 ปี จะซื้อหุ้นให้ได้กำไร เราต้องกล้าไปจ่ายตลาด "ตอนประมาณ ตี 5" หรือ อีก 1 ชั่วโมงฟ้าจะสว่าง...ผีไม่มี

ตอนที่ 8
วิธีการเอาตัวรอด ในช่วงที่ต้องเผชิญกับ "วิกฤตการณ์" ทางเดียวที่จะทำให้เรา "รอด" คือ การตัดนิ้ว (Cut Loss) ยอมขาดทุนรักษาชีวิต

ตอนที่ 9
ความลับของเงิน จะเติบโตก็เฉพาะกับคนที่รู้จักใช้มัน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม

ตอนที่ 10
การเล่นหุ้นเพื่อหวังกำไร 3-5% เป็นการลงทุนที่มีโอกาส "ร่ำรวย" ได้ยาก!!! เพราะการตัดสินใจซื้อ-ขายบ่อย โอกาสผิดพลาดจะสูง

ตอนที่ 11
คำศัพท์ของนักเล่นหุ้น เขาบอกว่า "ลูกยังเล็กอยู่" เราจะพลาดไม่ได้ หมายความว่าหุ้นตัวนี้ "อันตราย" เราต้อง Cut Loss ทิ้ง

ตอนที่ 12
ในจังหวะที่หุ้นเป็นขาขึ้น เราต้อง Let the Profit Run ปล่อยให้กำไรวิ่งเต็มสตีม เมื่อไรที่ราคาเริ่มปรับฐานลงมา พร้อมวอลุ่ม เราต้องรีบล้างพอร์ตออกไป

ตอนที่ 13
ท่องเอาไว้เลย "วอลุ่มพีค" คือ "ราคาพีค" และ ถ้าหุ้นปรับฐานแล้ว "รีบาวด์" แต่ไม่ทำ "นิวไฮ" ใหม่..."มันต้องลง"

ตอนที่ 14
ถ้าหุ้นเป็น "ขาลง" แล้ว "วอลุ่มหาย" นี่เป็นตามธรรมชาติ แต่ถ้าหุ้นเป็น "ขาขึ้น" แล้ว "วอลุ่มหาย" นี่มันผิดกฎธรรมชาติ ให้สงสัยไว้ก่อนว่า "มันกำลังจะวิ่ง"

ตอนที่ 15
นิสัยผมถ้าอะไรที่ไม่แน่ใจเต็มร้อย ผมจะเข้าไปลงทุนด้วยเงินก้อนน้อยๆ ก่อน ยิ่งถ้าเป็นหุ้นเก็งกำไร จะเล่นเป็นรอบ จะไม่ทุ่มสุดตัว และไม่ถือยาว

ตอนที่ 16
คำว่า "ข่าวลือ" คุณต้องแอบพูดในที่ "ลับ" ถ้ามากระจายให้มหาชนรับรู้...มาบอกนักข่าว แสดงว่า "จบรอบ" แล้ว...คุณต้องทิ้ง

ตอนที่ 17
ถ้าจะเล่น "หุ้นปั่น" เราต้องซื้อน้อยๆ เกาะตู้เย็น หาค่ากับข้าวได้ แต่อย่าไปเล่นแรง อย่าไปทุ่ม เดี๋ยวเจ้ามือมันจะโยนหุ้นใส่เรา

ตอนที่ 18
กรณีที่หุ้นจะปรับตัว "ลงแรง" วอลุ่มมักจะทำ "พีค" ก่อน ให้สังเกตว่า รายย่อยจะแห่เข้าใส่ แบบไม่ลืมหูลืมตาเวลาที่หุ้นปรับตัว มันจะ "ลงลึก"

ตอนที่ 19
ในช่วงของการสะสมหุ้น ถ้าเป็น "หุ้นดี" ให้สังเกตฝั่ง Bid จะน้อย แต่ฝั่ง Offer จะเยอะ ภาวะอย่างนี้ คือ ช่วงที่ดัชนี SET ประมาณ ตี 4 ตี 5 คนยังเล่นหุ้นไม่เต็มตัว เขาจะรอรับ แต่ไม่ไล่ราคา

ตอนที่ 20
"เฮียประธาน" เขาเป็นเจ้าของคอร์ทแบดมินตัน อยู่แถวถนนบางรัก ฉายาเขา คือ "พญาอินทรี" ถ้าวันไหนที่พวกเรา "เละ" หรือ "เจ๊ง" กันหมด เขาจะบินมาเลย...เขาจะมาซื้อหุ้น

ตอนที่ 21
การอ่านอารมณ์ตลาด ถ้า "รายย่อย" สงบเสงี่ยมเจียมตัว "ฝรั่ง" ไม่เข้า บอกได้เลยว่า เล่นหุ้นไม่ได้ตังค์ ถ้าจะเล่นหุ้นได้กำไร รายย่อยต้องมีจุดมั่นใจ นักเก็งกำไรแห่กันเข้ามาเล่นตามน้ำ ตลาดแบบนี้ "ได้ตังค์"

ตอนที่ 22
ถ้าเราเทรดหุ้นทุกวัน สมองมันไม่มีจุดคิด การตัดสินใจบ่อยมันพลาดได้ง่าย คุณต้องรอจังหวะ รอให้เครื่องมือทางเทคนิคยืนยัน แล้วทุกคนเริ่มกลัวกันหมด ตรงนั้น คือ จุดที่ปลอดภัยที่สุด ซื้อเสร็จก็ใส่ปี๊บเอาไว้

ตอนที่ 23
ถ้าคิดจะ "สร้างราคาหุ้น" แล้วไม่ให้วงแตก มือทำหุ้นที่เป็นมืออาชีพ เขาจะบอกเจ้าของหุ้นว่า คุณต้องโอนหุ้นมาให้ก่อน แล้วต้องเอาเงินมาให้ด้วย...ล้านเปอร์เซ็นต์เลย ถึงจะสำเร็จ !!!

ตอนที่ 24
พูดตรงๆ ผมเคยเล่นหุ้นปั่น วันที่ผมขายหมด บางคนไม่ได้ขาย ผมเสียเพื่อนไปก็หลายคน เสียน้องไปก็หลายคน สุดท้ายมันไม่ได้อะไรขึ้นมา มันไม่คุ้มหรอก...เชื่อผมสิ!!!

ตอนที่ 25
วิธีการลงทุนแบบ "แวลู อินเวสเตอร์" ส่วนตัวมองว่า "มันเสี่ยง" บางทีหุ้นลงก็ต้องถือ เพราะคุณคิดว่าพื้นฐานมันไม่เปลี่ยน เดี๋ยวมันก็ต้องกลับมา แต่เมื่อไรล่ะ!! ถ้าคุณไม่ Cut Loss ตอนหุ้นลง มันเสียโอกาส

ตอนที่ 26
ลักษณะตลาดหุ้นที่แกว่งตัวออกด้านข้าง และไม่มีข่าวดีอะไรใหม่ๆ เข้ามาในตลาด คนที่เล่นหุ้นแล้วได้ตังค์ ต้อง "เล่นรอบ" คือ เล่นหุ้นแบบ "ปิงปอง" จะได้เปรียบ แต่อย่าไปทุ่มเทอะไรกับมันมาก

ตอนที่ 27
วอร์แรนท์ที่ราคาแปลงสภาพ "ต่ำกว่าหุ้นแม่" ยิ่งเหลืออายุน้อย เจ้ามือยิ่งกดรายย่อยให้ปล่อยหุ้นออกมา เพราะเขารู้ว่าไม่มีเงินไปแปลงสภาพแน่ เขาก็บีบซื้อราคาถูกเอาไปแปลงสภาพเอง

รายละเอียดลงลึกในแต่ละขั้นตอน สามารถศึกษาได้จาก
Link: //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=korn09&month=09-2008&date=29&group=6&gblog=28

จากคุณ : kasimasi - [ 13 ต.ค. 51 04:45:45 ]




Create Date : 08 ตุลาคม 2551
Last Update : 2 มกราคม 2553 16:00:52 น. 0 comments
Counter : 621 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

P^_^
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฝึกเขียน เล่าเรื่อง สบายๆ ปนเพ้อเจ้อ...

มีใครสักคน แวะมาอ่านก็ดีใจแล้ว ...จริงๆ นะ

ยิ่งทักทายด้วย ยิ่งปลื้มเข้าไปอีก ...เน๊ะ

เขียนอะไร คุยอะไรมาก็ได้ ...อ่านทั้งน๊านจ้า...

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ ^_^

Photobucket

แวะมาแล้ว ฝากให้อาหารปลาด้วยจ้า...
^_^ click ที่ภาพได้เลยค่ะ

Friends' blogs
[Add P^_^'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.