การที่ข้อกำหนดของ Hedge Fund ไม่เข้มงวดมากเหมือนกับกองทุนรวมทั่วไป เนื่องมาจากผู้ที่จะสามารถลงทุนในกองทุนเหล่านี้ ถูกกำหนดให้มีวงเงินลงทุนขั้นต่ำไว้ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เกี่ยวข้องในการลงทุนจำนวนไม่มากนักนั่นเอง
Hedge Fund มีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนประเภทอื่นๆ จริงหรือ
ความเข้าใจผิดที่มักจะเกิดขึ้นกับ Hedge Fund คือการคิดว่ากองทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง หรือมีความผันผวนของผลตอบแทนสูงนั่นเอง โดยเฉพาะข่าวสารที่ออกมาตามสื่อต่างๆ เช่น Quantum Fund ของ จอร์ส โซรอส หรือการล้มละลายของกองทุนประเภทนี้ ทำให้มีการมองไปในแนวทางนั้นได้ แต่ในความเป็นจริง Hedge Fund ที่บริหารในรูปแบบที่มีความผันผวนของผลตอบแทนสูงมีจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 5 ของกองทุนประเภทเดียวกันทั้งหมด โดย Hedge Fund ในกลุ่มนี้จะเน้นการลงทุน โดยใช้กลยุทธ์แบบมองภาพรวมของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจประเทศต่างๆ แล้วเข้าเก็งกำไร ค่าเงิน พันธบัตร หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และทองคำ โดยใช้การกู้ยืมเงินเป็นตัวช่วยในการเพิ่มวงเงินลงทุนด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการที่ Hedge Fund มีความยืดหยุ่นในการลงทุนมากกว่ากองทุนรวมประเภทอื่นๆ จึงทำให้กลยุทธ์การลงทุนของ Hedge Fund มีความหลากหลายและส่วนมากจะมีความเชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านๆ ไปตามความสามารถของผู้บริหารกองทุนนั้นๆ ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงมีกองทุนอีกประเภทหนึ่งเกิดขึ้นคือ กองทุนของ Hedge Fund (Fund of Hedge Fund) โดยกองทุนชนิดนี้จะเข้าไปทำการซื้อหน่วยลงทุนของ Hedge Fund ที่มีกลยุทธ์การบริหารที่แตกต่างกันอีกทอดหนึ่งเพื่อกระจายความเสี่ยง
จากจุดเด่นของ Hedge Fund ในเรื่องความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการและการที่มีเครื่องมือที่จะช่วยบริหารความเสี่ยงได้มาก ทำให้ในช่วงตลาดขาลงสามารถช่วยจำกัดความเสี่ยงให้ลดน้อยลงได้ ตัวอย่างเช่น ในระยะเวลาช่วง 14 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P500 ได้ให้ผลตอบแทนติดลบ 14 ไตรมาสซึ่งเมื่อรวมเฉพาะในช่วงดังกล่าว ผลตอบแทนติดลบถึง 90.82% เทียบกับ VAN US Hedge Fund Index ที่ให้ผลตอบแทนติดลบเพียง 5.6% เท่านั้น ในขณะที่ Morningstar Average Equity Mutual Fund ก็มีผลตอบแทนติดลบ 95.20% ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ดังนั้น Hedge Fund จึงเป็นกองทุนที่ช่วยในการรักษาเงินต้นได้ดี ถ้ามีการบริหารที่ถูกต้องเหมาะสม
Hedge Fund ยังใช้กลยุทธการลงทุนที่สุ่มเสี่ยงได้มากกว่าด้วย ยกตัวอย่างเช่น Hedge Fund สามารถกู้เงินหรือหุ้นเพื่อไปลงทุนเพิ่มขึ้น แม้อาจจะได้กำไรมากขึ้น แต่ถ้าการเปลี่ยน แปลงราคาที่คาดหมายไว้ ไม่เป็นไปตามนั้น การสูญเสียก็สูงมากขึ้นตามไปด้วย หรือ Hedge Fund นั้นๆ อาจประสบการสูญเสียมากจนไม่มีเงินใช้คืน บรรดาผู้ให้กู้ก็จะ พลอยล่มสลายไปด้วยได้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกือบเกิดขึ้นในอเมริกา ในปี 1998 เมื่อ Long Term Capital Management ซึ่งเป็น Hedge Fund ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้นเกือบล้ม และเชื่อกันว่า ถ้าเป็นจริงขึ้นมา ระบบเศรษฐกิจอเมริกาจะประสบภาวะตกต่ำอย่างแน่นอน
แต่เสียงเรียกร้องที่จะให้มีการควบคุม Hedge Fund อย่างใกล้ชิดมากขึ้นนั้น มุ่งความ สนใจไปที่สมรรถนะของ Hedge Fund ในการที่จะปั่นราคา ไม่ว่าจะเป็นราคาหุ้น น้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยนเงิน หรืออะไรก็ตามในตลาด
คุณบิล แมนน์ ที่ปรึกษาการลงทุนของบริษัท Motley Fool กล่าวว่า Hedge Fund มีอิทธิพลเหนือกลไกตลาด และเชื่อว่า Hedge Fund ใช้อิทธิพลนั้นปั่นราคาของจริงๆ ตัวอย่างเช่น ผู้บริหาร Hedge Fund อาจจะอยากซื้อบริษัทธุรกิจสักแห่งหนึ่ง เลยเริ่ม ปล่อยข่าวลือว่า บริษัทที่หมายตาไว้มีปัญหา เพื่อทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนั้นตกลง หรือ Hedge Fund อาจขายหุ้นที่ถือไว้ ทำให้ราคาหุ้นนั้นลดลง และตามไปเก็บซื้อกลับมา ในราคาที่ต่ำลง
แต่ผู้บริหาร Hedge Fund บางรายไม่เห็นด้วยกับคำเรียกร้องเหล่านี้ โดยบอกว่ามีกฎข้อ บังคับเรื่องการฉ้อโกงและการซื้อขายหุ้นโดยอาศัยข้อมูลจากคนข้างในบริษัทอยู่แล้ว นอกจากนี้ การเรียกร้องให้ Hedge Fund เปิดเผยกลยุทธในการซื้อขาย เพื่อจะได้ตรวจ สอบได้นั้น อาจารย์ ฮูมาน ชาดาบ ของมหาวิทยาลัย จอร์ช เมสัน ที่ชานกรุงวอชิงตัน บอกว่า เปรียบเสมือนบังคับให้พ่อครัวเปิดเผยสูตรอาหารจานสำคัญ นักวิชาการผู้นี้บอก ไว้ด้วยว่า Hedge Fund ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดด้วยการเพิ่มจำนวนผู้ซื้อขายหุ้น และสินค้าอื่นๆ