<<
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
16 เมษายน 2550
 

สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา

"... สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา คือ รูป นาม กายใจนี้ จริง ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกธาตุข้างนอก

เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เป็นอนูเล็ก ๆ ของจักรวาลอันหนึ่ง

แต่ความไม่รู้ มันทำให้เราไปโขมยเอามา โขมยธรรมชาติ รูป นาม ส่วนหนึ่งของจักรวาล เรียกว่า ตัวเรา ขึ้นมา มีตัวเค้า ขึ้นมา

แต่พอเราหัดเจริญสติ รู้ลงที่กายรู้ลงที่ใจเรื่อย ๆ วันหนึ่งเห็นกายนี้ใจนี้กับโลกข้างนอกก็อันเดียวกัน เป็นของไม่เที่ยงเหมือนกัน

เป็นทุกข์เหมือนกัน เป็นอนัตตาเหมือนกัน อย่างกายนี้ก็เป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ เหมือนกับแผ่นฟ้าแผ่นดิน อะไร เหมือนกับคนอื่น สัตว์อื่นนั่นเอง

ส่วนจิตใจก็เป็นนามธาตุ เป็นนามธรรม เรียกวิญญาณธาตุ ก็เป็นธาตุอีกอันหนึ่ง ความไม่รู้ทำให้เรา

ให้เราไปโขมายเอาขันธ์ ๕ มาจากโลก เอามาเป็นของเรา

พระพุทธเจ้าเลยสอนให้รู้กาย ให้รู้ใจอยู่เนือง ๆ วันหนึ่ง เห็นกายเห็นใจนี้กับโลกข้างนอก เป็นอันเดียวกัน

ที่เข้าใจความจริงแล้วมันจะปล่อยวาง มันจะคืน จะสลัดคืนกายคืนใจคืนเจ้าของ

คืนโลกนั่นเอง คืนจักรวาลเค้าไป แล้วมันจะเกิดธรรมชาติอีกชนิดนึงที่ว่า เมื่อมันปล่อยว่างแล้ว มันพ้นความปรุงแต่ง

มันจะไปเห็นสภาวะที่เหนือความปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นเวลาคนที่

เข้าไปเห็นสภาวะที่เหนือความปรุงแต่งแล้วพอเราย้อนมาดู กลับมาดูข้างนอก มันเห็นความเสมอกันหมด

ไม่มีคนมีสัตว์มีอะไร แต่ก็มีโดยสมมติหรอก เพราะฉะนั้นการกระทำอย่างพระอรหันต์สมัยพุทธกาลหรือครูบาอาจรย์องค์ไหนท่านภาวนาดี ๆ

ท่านไม่เห็นว่ามีคน ไม่มีคนมีสัตว์นะแต่ว่าอนุเคราะห์ สงเคราะห์ไปอย่างนั้นแหละ

เมื่อจิตของท่านอยู่กับธรรม ท่านก็ไม่มีคนมีสัตว์อะไร ก็มีความสุข แต่ถึงคราวจำเป็นต้องออกมาสัมผัสกับโลกเนี่ย เอาขันธ์มาใช้นะ

เป็นความลำบากขันธ์ ต้องกลับมายุ่งกับโลก แต่ก็ทำไปเพื่อว่าสงเคราะห์ไปอย่างนั้นแหละ

สงเคราะห์ทั้ง ๆ ที่เห็นอยู่แล้วว่าไม่มีอะไรหรอก ไม่มีคนมีสัตว์หรอก แต่ความเมตตากรุณามันเต็มเปี่ยม

มันประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นอุเบกขาก็แนบอยู่เลย คนไหนสงเคราะห์ได้ก็สงเคราะห์ไป คนไหนสงเคราะห์ไม่ได้ก็รอไว้ก่อน



วันเวลาจะค่อย ๆ ให้บทเรียนกับแต่ละคน แต่ละคนแสวงหาความสุข บางคนมุ่งความสุขมาก มันไม่ยอมดูทุกข์

ปฏิบัติก็ไม่เอา ไม่เอาเรื่องปฏิบัติเลย ก็ต้องให้โลกนี้รวมทั้งให้นรกนะ อบรมสั่งสอนให้ จิตเราจะผ่านความทุกข์

แต่ละคนจะต้องผ่านความทุกข์ครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า

จนกระทั่งวันหนึ่งมันเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต ชีวิตนี้ทุกข์ล้วน ๆ นะ จะค่อย ๆ วาง จะค่อย ๆ วางลงไป

เพราะฉะนั้นถ้าจะพูดไปแล้ว การเดินทางในสังสารวัฏฏ์นี้ก็คือ

การอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ความจริงของชีวิตของธรรมชาตินั่นเอง เรียนรู้ไปเรื่อย เที่ยวหาความสุข

เที่ยวหนีความทุกข์ไปเรื่อย แต่บทเรียนที่ได้รับก็คือ สุขก็ไม่จริง มีแต่ทุกข์

ทุกข์เยอะสุขน้อย สุขแป๊บเดียว เดี๋ยวทุกข์อีกแล้ว ซ้ำ ๆ วันหนึ่งใจ โอ้ มันเข็ดขยาดนะ เข็ด

หลวงปู่เทสก์ท่านเคยเขียนไว้บอกว่า เออ ท่านตายไป ท่านคงไม่เกิดอีกแล้วล่ะ

อันนี้ท่านเขียนบันทึกของท่านนะ คนอื่นเอามาเผยแพร่หลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว

บอกเราคงไม่ต้องเกิดอีกแล้วล่ะ เพราะว่าเราเห็นแล้วว่ามันมีแต่ทุกข์ล้วน ๆ

ตราบใดที่เราเห็นว่าทุกข์บ้างสุขบ้างนะ เรายังได้รับบทเรียนไม่พอ มีความสุขขึ้นนิดนึง

หลงระเริงไป ระเริงแป๊บเดียวนะ เดี๋ยวปัญหาใหม่มาอีกแล้ว ความทุกข์ใหม่เข้ามาจ่อ

เอาอีกแล้ว แก้ปัญหา แก้ทุกข์นี้ยังไม่เสร็จ อีกตัวนึงมารอคิวอีกแล้ว ช่วงไหน ความทุกข์ประดังเข้ามามาก

เราก็บอกว่าเราทุกข์ ช่วงไหนมันห่างออกไปนิดนึงเราก็บอก ช่วงนี้สุข

สุขนิดเดียวเพื่อรอจะทุกข์อีกแล้ว ความสุขของมนุษย์ไม่มีหรอก ความสุขเป็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าตลอด

เราวิ่งไม่ทัน ตอนเด็ก ๆ เคยรู้สึกมั้ย ถ้าเรียนหนังสือจบแล้วจะสุข

ถ้าอย่างนี้แล้วจะสุข ถ้าอย่างนี้แล้วจะสุข มันถ้าอย่างนี้ตลอดชีวิตเลย ตอนเด็ก ๆ นะ

ถ้าเรียนหนังสือจบแล้วจะมีความสุข เอ้า จบปริญญาตรีแล้วได้ดอกเตอร์จะมีความสุขอีก



จบมาแล้วได้งานดี ๆ ทำ ถ้าได้งานดี ๆ ทำจะมีความสุข ได้งานดีแล้ว ถ้ารวย ๆ แล้วจะมีความสุข

ถ้าตำแหน่งใหญ่ ๆ จะสุขอีก มีแต่ถ้าจะสุข ถ้าจะสุข มีแฟนแล้วถ้ามีลูกไบรท์ ๆ จะมีความสุขอีกมีแต่ถ้าอีกแล้ว

วิ่งตามความสุขทั้งชีวิตเลย วิ่งไม่ทัน มันน่าสงสารนะ



คนในโลกนะ มันถูกหลอก มารมันเอาความสุขมาหลอก ให้เราวิ่งพล่าน ๆ ไปนะ

ตกเป็นขี้ข้ามัน จิกหัวเราตลอดเวลาเลย

เห็นแล้วน่าอนาถ เห็นแล้วสังเวชนะ จนวันหนึ่งแก่แล้ว แก่แล้วนี่มันจะปวดจะเมื่อยนะ

อยู่เฉย ๆ มันก็จะปวดจะเมื่อยโดยตัวของมันเองนี่แหละ เลยนึกว่าวันไหนมันไม่เจ็บไม่ปวดไม่เมื่อยนะ วันนั้นมันคงมีความสุข

พอเจ็บหนัก ๆ นะ เจ็บหนัก ๆ โอ้ รักษาไม่ไหวแล้ว ทรมานมากเลย รู้สึกอีก

ถ้าตายซะได้จะมีความสุข ไปโน่นแล้ว จะข้ามไปอีกชาตินึงแล้ว เห็นมั้ย ไล่หาความสุขตั้งแต่เล็ก ๆ ลงมาเลย

ถ้าได้อย่างนี้จะสุข ได้อย่างนี้จะสุข จนสุดท้ายเลย ถ้าตายซะได้คงจะมีความสุข

เพราะฉะนั้นความสุขเป็นของที่หลอก ๆ เหมือนภาพลวงตา พวกนี้ล่ะ หลอกตาอยู่ไกล ๆ วิ่งไปเรื่อย หาไปเรื่อย

ตะครุบไว้ หนีออกไปอีกแล้ว การที่เราเข้ามารู้ใจของเรา เรียนรู้กายรู้ใจ เราจะเห็นความจริง

ของชีวิตเรานี้ ชีวิตเราเราอยากให้มีความสุข อยากให้จิตใจมีความสุข หาทางตอบสนองตลอดเวลาเลย

แล้วก็ไม่อิ่ม ไม่เต็ม จะขาดตลอด จะพร่องตลอดเลย

พระพุทธเจ้าถึงสอน ห้วงน้ำเสมอด้วยตัณหาไม่มี อยากยังไงก็ไม่สมอยาก อยากไปเรื่อย แล้วก็ดิ้นไป

อยากแล้วก็ดิ้นไป ทุกข์ตั้งแต่เกิดยันตาย เที่ยวหาความสุข เที่ยววิ่งหนีความทุกข์ ถ้าเรามีสติ แค่เราให้รู้กาย

เราจะเห็นเลยว่า กายนี้ทุกข์ทั้งวัน ถ้าเราไม่มีสติ เราจะรู้สึกว่าร่างกายนี้นาน ๆ ทุกข์ทีนึง



เจ็บป่วยแล้วถึงจะทุกข์ ถ้ามีสตินั่งอยู่เดี๋ยวก็ทุกข์แล้ว นั่งเปลี่ยนอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน

ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ตลอดเพราะมันทุกข์ นั่งแล้วมันเมื่อยใช่มั้ย มันทุกข์ก็ต้องเปลี่ยน

ละเอียดเข้าไปอีก หายเข้าเข้า หายใจออก ก็เพื่อแก้ทุกข์นะ หายใจไม่ออกเลยทุกข์หนักเลย

หายใจเข้าอย่างเดียวก็ทุกข์ หายใจออกอย่างเดียวก็ทุกข์อีก แค่หายใจเข้า หายใจออก ก็หายใจแก้ทุกข์นะ

คล้ายเราหายใจแขม่ว ๆ หนีความทุกข์ไปทุกวัน ..."



"...หรือเราเปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อย นอนกลางคืน นอนยังต้องพลิกไปพลิกมาเลย
เพราะมันทุกข์ เนี่ยวิ่งหนีความทุกข์ตลอดชีวิตเลย วันหนึ่งเราหมดแรงดิ้นนะ นอนเฉย ๆ หมดแรงดิ้นนะ ความทุกข์ขยี้ตายเลย

เพราะฉะนั้นชีวิตจริง ๆ ทุกข์มากเลย แต่คนที่ไม่เคยเจริญสติ จะรู้สึกว่ามันสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ก็เที่ยววิ่งหาความสุข เที่ยววิ่งหนีความทุกข์ไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าคนไหนใจกล้า มีสติรู้กาย มีสติรู้ใจ เห็นมันเป็นตัวทุกข์ล้วน ๆ เลย

วันหนึ่งใจเราปล่อยวางความยึดถือกาย ยึดถือใจ มันจะพบความสุขอีกชนิดหนึ่ง



เคยมีคนหนึ่งนะ คน ๆ นึง ตอนเด็ก ๆ อยู่บ้านพ่อบ้านแม่ มีความรู้สึกว่า บ้านของพ่อกับแม่นี่ไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเรา
วันหนึ่งเราโตขึ้นเราจะมีบ้านของตัวเอง ต่อมาย้ายบ้าน ยังไม่มีเงินซื้อบ้าน ไปเช่าเอง เช่าบ้านก็รู้อึก เนี่ยบ้านนี่เช่าเค้าอยู่

ยังไม่ใช่บ้านที่แท้จริง ต้องเที่ยวหาไปอีก ทำงานไป เก็บเงินไป ซื้อบ้านได้ อ้าว แต่ที่ดินยังเช่าอยู่ บ้านเป็นของตัวเองแล้ว

แต่ที่ดินยังเช่าอยู่ รู้อีกว่าบ้านนี้ไม่ใช่บ้านที่แท้จริง ใจเราเนี่ยมันจะมีความผลักดันนะ ให้หาไปเรื่อย ๆ ดิ้นไปเรื่อย ๆ



เคยรู้สึกมั้ย มันจะรู้สึกอย่างมาทำงาน ทำตรงนี้แล้วคิดว่าเราอยู่ตรงนี้แล้ว

ถึงช่วงนึงรู้สึกว่า แหม มันยังไม่ค่อยเหมาะ

กระทั่งหลวงพ่อนะ หลวงพ่อมาอยู่วัด แต่เดิมมาอยู่วัด คิดว่าเรามาทำวัดที่นี่ขึ้นมา แล้วเราจะอยู่ เราไม่ต้องไปไหนแล้ว เนี่ยจะเป็นบ้านหลังสุดท้าย

เป็นบ้านที่แท้จริงสักที พอมาอยู่ไม่กี่วัน รู้สึกว่า ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ดังนั้น เราเที่ยวหาที่ที่เราจะพ้นทุกข์จริง ๆ เที่ยวหาไปเรื่อย

นี่คือการเปรียบเทียบ บ้านแต่ละหลังคือภพทั้งหลายนั่นเอง เที่ยวหาไป อยู่ในภพนี้แล้ว มันก็ยังไม่ใช่ อยู่ในภพนี้มันก็ยังไม่ใช่





อย่างเป็นเทวดานะ เทวดาเวลาจะตาย เพื่อนจะบอกเลยให้ไปเกิดเป็นคนนะ เนี่ย เป็นมนุษย์นั่นแหละดี พอมนุษย์จะตาย พรรคพวกบอก
เป็นเทวดานะ มันหาบ้านไปเรื่อย หาภพไปเรื่อย ๆ เลย เราก็ไม่พบบ้านที่แท้จริง ใจนี้จะหาความสุขความสงบที่แท้จริงไม่ได้

เคยรู้สึกมั้ย วันใดที่เราปล่อยวางจิตได้ เราจึงจะเจอบ้านที่แท้จริง

รู้เรื่อยนะ ใจเราจะค่อยคลายออก คลายออก จนกระทั่งใจเราเด่นดวงแล้วนะ

ครูบาอาจารย์สอนจิตที่เด่นดวงอยู่อย่างนี้ คือ ภูมิของพระอนาคามี ตรงนั้นก็ยั่งเที่ยวหาบ้านไม่เจอนะ

วันใดปล่อยวางความยึดถือจิตเนี่ย จะเห็นธรรมเห็นนิพพานนั่นเอง เห็นสุญญตานะ

ผู้ใดเข้าไปถึงตรงนี้จะรู้เลยว่า ที่สุดของทุกข์อยู่ตรงนี้เอง มันจะเต็มอิ่มของตัวเอง นอกนั้นจะหิวตลอดเลย จะถูกความหิวผลักให้วิ่ง ๆ
แล้วคนในโลกนะเหมือนคนตาบอดนะ ถูกกระตุ้นให้วิ่ง ก็วิ่งไปเรื่อย ไร้ทิศทาง พวกเราเหมือนกับเราวิ่งอยู่ในความมืด ก็จริงนะ

พระพุทธเจ้าท่านจุดคบไฟให้มาชูไว้ ให้เรารู้ทิศทางว่าต้องเดินทางนี้นะ ทางที่พระพุทธเจ้าบอกนี้

ทางแห่งการรู้กาย ทางแห่งการรู้ใจ รู้เรื่อย ๆ ไป วันหนึ่งเราจะพ้นออกมา เราจะพ้นเป็นลำดับ ๆ ไป

อย่างเบื้องแรกสุดเลย ทันทีที่เราเกิดสติ เราเริ่มมีความสุขแล้ว

พระพุทธเจ้าท่านจุดคบไฟให้มาชูไว้ ให้เรารู้ทิศทางว่าต้องเดินทางนี้นะ ทางที่พระพุทธเจ้าบอกนี้ ทางแห่งการรู้กาย ทางแห่งการรู้ใจ รู้เรื่อย ๆ ไป วันหนึ่งเราจะพ้นออกมา เราจะพ้นเป็นลำดับ ๆ ไป อย่างเบื้องแรกสุดเลย ทันทีที่เราเกิดสติ เราเริ่มมีความสุขแล้ว

พอมีสติรู้สึกตัว ขึ้นมา มีความสุขโชยแผ่ว ๆ ขึ้นมาแล้ว ต่อไปฝึกไปเรื่อยเลย ถ้าจิตตั้งมั่นรู้เนื้อรู้ตัวอยู่เรื่อย ๆ นะ

อันแรกสุขก็มีสติ จิตตั้งมั่นมีสมาธิขึ้นมา โอ้ มันสุขกว่านั้นอีก

วันใดเกิดปัญญา เห็นปัญญาเห็นความจริงของกายของใจ เป็นระยะ ๆ ไป ปัญญาเกิดเป็นระยะ ๆ ไป

ช่วงที่ปัญญาเกิด เราก็จะมีความสุขไปอีก สามวันเจ็ดวัน มีความสุขเยอะ จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน วันใดเกิดมรรคก็มีความสุขอีก
เนี่ยพอเกิดมรรคครั้งที่หนึ่ง จะรู้สึกว่าปลอดภัยแล้ว เหมือนคนตกน้ำกลางทะเล รู้แล้วว่าฝั่งอยู่ทางไหน เนี่ยเริ่มปลอดภัยมากขึ้นแล้วช่วงที่ปัญญาเกิด เราก็จะมีความสุขไปอีก สามวันเจ็ดวัน มีความสุขเยอะ จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน วันใดเกิดมรรคก็มีความสุขอีก
เนี่ยพอเกิดมรรคครั้งที่หนึ่ง จะรู้สึกว่าปลอดภัยแล้ว เหมือนคนตกน้ำกลางทะเล รู้แล้วว่าฝั่งอยู่ทางไหน เนี่ยเริ่มปลอดภัยมากขึ้นแล้ว

หนื่อยนะ ยังเหนื่อยอีกเยอะ แล้วก็ว่ายน้ำเข้าฝั่งเอา ว่ายไปเรื่อย ๆ ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป

ก็คือพระสกิทาคา แต่พอเท้าเหยียบ เหยียบถึงชายหาด แต่ยังไม่ขึ้นจากน้ำนะ คล้าย ๆ เท้าหยั่งถึง เขย่ง ๆ ถึง

อันนี้พอค่อยหายใจได้หน่อยนึง คือ พระอนาคาขึ้นจากน้ำได้ถึงจะหมดภาระจริง ๆ



เพราะฉะนั้นการเดินทางของเรายากลำบากนะ เหน็ดเหนื่อย แต่ว่ามันลำบากเพื่อจะพ้นความทุกข์

พ้นความลำบากทีหลัง งั้นต้องอดทนต้องทำ บางคนรู้สึกว่าการจะมาคอยรู้จิตรู้ใจตัวเองยาก

ยากก็ต้องทำ ยากซะวันนี้ แล้วข้างหน้าสบาย ข้างหน้าง่ายกว่านี้ ทำไมบางคนเรียนนิดเดียว

เรียนฝึกเจริญสติไม่กี่เดือนเข้าถึงธรรมะได้ เพราะเคยลำบากมาแล้ว เคยลำบากมาก่อนเราแล้ว

เค้าถึงง่ายทีหลัง ไม่มีใครที่มีลูกฟลุคนะ ลูกฟลุค แหม ปิ๊ง ฟังธรรมะแล้วปิ๊ง



ไม่มีหรอก มียาก มีญาติของหลวงพ่อคนหนึ่งนะ หลวงพ่อแทบจะเขกกบาลมันเลย สอนให้ปฏิบัติไม่ปฏิบัตินะ

แต่พยายามจะฟังสิ่งที่หลวงพ่อพูด ฟังแล้วกะว่า จะได้วรรคทองวรรคนึง ปิ๊ง บรรลุไปเลย ไม่ต้องทำอะไร

นิสัยเสียอย่างนี้ ไม่มีนะศาสนาพุทธมีแต่ต้องทำเอา ไม่มีลูกฟลุคนะ ..."



อย่างในศาสนาพระโคดมเราเนี่ย พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพาหิยะเร็วที่สุด
เป็นแชมป์ในด้านความเร็ว ตรัสรู้เร็วกว่าเพื่อนเลย ใคร ๆ ก็อยากเป็นพระพาหิยะ ถ้ารู้ประวัติประพาหิยะคงไม่อยากเป็นหรอก

พระพาหิยะน่ะ ก่อนจะมาเป็นพระพาหิยะ เกิดสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ตอนปลาย ๆ ศาสนาพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ศาสนากำลัง
เสื่อมสุดขีดแล้ว พระพาหิยะอยู่กับพวกในวัดป่า อยู่กับเพื่อนพระด้วยกัน เห็นว่า ไม่มีใครปฏิบัติเลย ก็เลยชวนกันไปปฏิบัติ



สี่ห้าองค์ไปปฏิบัติ สี่ห้าองค์นี้ไปด้วยกัน ขึ้นเขาเลยเอาบันไดพาด ทำไม้ไผ่พาดขึ้นภูเขา พอขึ้นถึงยอดเขานะ ถีบไม้ไผ่ทิ้งเลย
ถ้าไม่บรรลุ ยอมตาย เพื่อนองค์หนึ่ง สององค์ บรรลุพระอรหันต์ไป องค์หนึ่งเป็นพระอนาคา เป็นพรหมสุทธาวาส พระพาหิยะไม่ได้อะไรเลย



ตายลูกเดียวเลย ตาย เพราะฉะนั้น ทำจนตัวตายมาแล้ว พอชาตินี้ พอได้ยินพระพุทธเจ้าสอน นิดเดียวนะ ขาดเลย
พระพุทธเจ้าสอน ดูก่อนพาหิยะ เมื่อท่านเห็นจงเป็นสักว่าเห็น เมื่อได้ยินจงเป็นสักว่าได้ยิน เมื่อทราบจงเป็นสักว่าทราบ

เมื่อรู้แจ้งสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ท่านไม่มีในปัจจุบัน ท่านไม่มีในอดีต ท่านไม่มีในอนาคต

นี่แหละเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ท่านฟังแค่นี้ท่านบรรลุแล้ว จบ แต่ก่อนจะจบนะทุลักทุเลนะ ลำบาก

เพราะฉะนั้นพวกเรายอมลำบากซะวันนี้ ไม่ได้ลำบากมากนัก



คนที่สนใจศึกษาธรรมะ อุตส่าห์ทนขับรถมาฟังหลวงพ่อไกลขนาดนี้ คนที่ไม่มีบารมีไม่เคยศึกษาอบรม ไม่เคยศึกษาปฏิบัติเลย

ไม่สนใจจะมาขนาดนี้หรอก เพราะฉะนั้นฐานเดิมของพวกเราก็มี งั้นทำต่อไป อย่าท้อถอยนะ ต้องทำ ถึงยังไงก็ต้องทำ

ไม่ทำต้องจมน้ำตาย ตายแล้วตายอีก เวลาจะทำ ทำยังไง รู้กายลงไป รู้ใจลงไป สิ่งที่ทำให้เรารู้กายรู้ใจไม่ได้ ก็คือ เผลอ
มัวแต่เผลอไปดู เผลอไปฟัง เผลอไปคิด หลวงปู่ดูลย์ เรียกว่า ส่งจิตออกนอก เผลอไป ส่งจิตออกนอก มัวแต่ไปดูของข้างนอก



ไปดูรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไปดูเรื่องราวที่เราคิด ไปรู้เรื่องราวที่เราคิดของนอก ๆ หมดเลย

หลวงปู่เทสก์ก็เรียกส่งนอกกับส่งใน ส่งนอกออกไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ส่งในนี้เข้ามาทำงานทางใจ

หลวงปู่ดูลย์เรียกอันเดียวกัน นอกหมด

หลวงปู่เทสก์แยกเป็นนอกกับใน ท่านก็สอนไม่ให้เอาทั้งคู่นะ

เหมือนกัน ธรรมะของครูบาอาจารย์แต่ละองค์นะ สอนด้วยภาษาที่ต่าง ๆ กัน แต่เนื้อหาอันเดียวกัน

หลวงปู่... วัด... ที่... องค์นี้ก็ยังอยู่นะ แต่ว่า อาจจะอยู่ได้ไม่นานแล้วเพราะว่าญาติโยมชักรู้จักแล้ว



องค์ไหนญาติโยม รู้จัก อยู่ไม่ค่อยนานนะ เบื่อโยม (หลวงพ่อหัวเราะ) หลวงปู่ทาสอนง่าย ๆ เลย มีสติรักษาจิตไว้ จบแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่คำว่ารักษาจิต ไม่ใช่ไปนั่งเฝ้าไว้นะ รักษาคือสตินั่นแหละ เป็นตัวรักษาจิตเรา ไม่ต้องไปรักษาจิตนะ สติทำหน้าที่รักษาจิต

พระอภิธรรมสอน สติมีหน้าที่อารักขา สตินั่นแหละเป็นตัวรักษาจิต ทันทีที่เกิดสตินะ อกุศลดับเองแหละ กุศลเจริญขึ้นเอง งั้นมีสติเรื่อย ๆ
บางค์องค์ก็บอกตื่นไว้ ตื่นเข้าไว้ ตื่นเข้าไว้ก็คือมีสตินั่นเอง รู้สึกตัวไว้ หลายภาษานะ หลายภาษา แต่ความจริงของการปฏิบัติ



ก็อันเดียวกันหมดแหละ พวกเราแทนที่จะฝึกจนกระทั่งจิตของเราเป็นผู้รู้ตื่นขึ้นมา วัดป่าเรียกเป็นผู้รู้ผู้ตื่น เพราะเราชอบไปทำอะไรอ้อม ๆ

สิ่งที่พวกเราทำไม่มีอะไรไปมากกว่าการบังคับกายบังคับใจ คอยบังคับ นึกออกหรือยังว่า ที่ปฏิบัติอยู่บังคับมันไปบังคับมันจะไม่ได้เห็นความจริง ว่ามันไม่เที่ยงนะ มันเป็นทุกข์นะ มันบังคับไม่ได้นะ ทีนี้ฝึกไปเรื่อย แล้วรู้สึกว่าเราเก่ง บังคับได้


พวกที่ไปเป็นพระพรหมน่ะ ไปเพ่ง ๆ จนนิ่งเลย รู้สึกว่าเราบังคับได้ จิตนี้เป็นอัตตา เห็นจิตเป็นอัตตา

ส่วนพวกเราพระพุทธเจ้าสอนให้รู้กาย ให้รู้จิตใจของเราไป รู้ไปเรื่อย แล้วก็เห็นความจริง มันไม่เที่ยงนะ มันทุกข์นะ มันบังคับไม่ได้นะ

เห็นความจริง เออ มันไม่ใช่ตัวเราหรอก บังคับมันไม่ได้จริง ๆ นี่ ปล่อยวาง พ้นทุกข์เพราะปล่อยวางนะ ไม่ใช่พ้นทุกข์เพราะบังคับสำเร็จ

เห็นความจริง เออ มันไม่ใช่ตัวเราหรอก บังคับมันไม่ได้จริง ๆ นี่ ปล่อยวาง พ้นทุกข์เพราะปล่อยวางนะ ไม่ใช่พ้นทุกข์เพราะบังคับสำเร็จ

ตั้งเป้าให้ดีเลย นักปฏิบัติเกือบทั้งหมดเลย มุ่งบังคับ บังคับกายบังคับใจ คิดว่าบังคับได้ดีแล้วสำเร็จ ไม่สำเร็จหรอก สำคัญผิด
ของไม่เที่ยงจะไปทำให้มันเที่ยงได้ไง ของเป็นทุกข์จะให้มันสุขได้ไง ของเป็นอนัตตาจะให้มันเป็นอัตตาบังคับได้ ได้ยังไง (26:26)



บางคนมาถามหลวงพ่อว่า ทำมาตั้งนานไม่เห็นก้าวหน้า ไม่ก้าวไปไหนหรอก ดูอยู่ตรงนี้เอง ทำซ้ำ ๆ อยู่แค่นี้แหละ หลวงปู่มั่นท่านก็สอน
รู้กาย รู้ใจ ซ็ ๆ อยู่อย่างนี้แหละ ทางอีสานเค้าก็มีสอนนะ "อยากทำได้ถามหญิงต่ำหูก ต่ำหูกคือผู้หญิงทอผ้า อยากทำถูกถามเด็กเลี้ยงควาย"

ผู้หญิงทอผ้า เค้ารู้อยู่เฉพาะหน้า แต่ถือว่ามีสติรู้อยู่ปัจจุบันเท่านั้นเอง รู้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทอผ้าไม่ใช่ทอนาทีเดียวเสร็จ ใช่มั้ย
ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่อย่างนั้นเอง เราก็รู้กายรู้ใจซ็แล้วซ้ำอีกเท่านั้นเอง (27:40)

---------------------

หลวงพ่อปราโมทย์
_/|\_ _/|\_ _/|\_




 

Create Date : 16 เมษายน 2550
1 comments
Last Update : 16 เมษายน 2550 15:29:09 น.
Counter : 729 Pageviews.

 
 
 
 
ขอบคุณค่ะ ที่นำสิ่งดีๆ มาให้อ่าน

ช่วงนี้ฝนตกบ่อยรักษาสุขภาพด้วยน่ะค่ะ
 
 

โดย: ตะวันสีชมพู วันที่: 30 เมษายน 2550 เวลา:22:51:33 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

พฤติภาพแห่งจิต
 
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สนใจศึกษาธรรมะ ยินดีและน้อมรับคำชี้แน่ะจากทุกท่าน
[Add พฤติภาพแห่งจิต's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com