ข้าพเจ้าได้อะไรจากการนั่งสนทนาธรรมกับตุ๊ลุง? - ภ. ม. ภาคิโน
ข้าพเจ้าได้อะไรจากการนั่งสนทนาธรรมกับตุ๊ลุง?
ภ. ม. ภาคิโน


บ่ายแก่ ๆ ของวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าตั้งใจไปทำบุญที่วัด พอไปถึงก็พบว่า ตุ๊ลุงท่านกำลังเอาข้าวเปลือกให้ไก่ และนกพิราบ พวกหลังนี้มีจำนวนร่วมร้อยกว่าตัว พากันกรูลงมาจากหลังคาวิหารและกุฏิแย่งอาหารพวกไก่ ข้าพเจ้าวางชุดสังฆทานที่จัดเตรียมเอง (ข้าพเจ้าไม่เคยซื้อสังฆทานเป็นชุดสำเร็จไปถวาย แต่จะซื้อแยกชิ้นและเลือกเฉพาะที่ท่านได้ใช้จริง ๆ ไปถวายเท่านั้น) ตรงหน้ากุฏิ ช่วยงานท่านจนเสร็จ แล้วก็ไปทำพิธีถวายสังฆทาน กรวดน้ำเสร็จก็สนทนาสัพเพเหระตามประสา อาจารย์กับลูกศิษย์เกี่ยวกับสารทุกข์สุขดิบ จนกระทั่งท่านลุกไปเปิดพัดลม เชื้อเชิญพร้อมชวนกันมานั่งตรงมุมรับแขก และแล้วท่านก็เริ่มสนทนาธรรมกับข้าพเจ้า

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตุ๊ลุง ผู้เป็นอาจารย์ทางธรรมสนทนากับข้าพเจ้าแบบนี้ แต่เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่า ท่านมี “อะไร” มากกว่าที่เราเห็น ท่านชวนคุยตั้งแต่เรื่องของอดีตชาติ ชาตินี้และชาติหน้า นั่นคือธรรมะที่ว่า ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อาสวักขยญาณ คือ การกำจัดกิเลสที่หมักดองให้หมดสิ้นไป จูตุปปาตญาณ คือญาณรู้การเกิดตายของสรรพสัตว์ เจโตปริยญาณ คือการรู้ใจผู้อื่น ทั้งหมดนี้ คือส่วนหนึ่งของอภิญญาที่ได้มาจากวิปัสสนากรรมฐาน ตามทางที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำให้แจ้งไว้แล้ว เหตุทุกอย่างย่อมมีปัจจัยทำให้เกิด และเมื่อเกิดแล้วย่อมเป็นปัจจัยทำให้เกิดเหตุอื่น ๆ ตามมา นั่นคือ ปฏิจจสมุปบาท ตุ๊ลุงเปรียบเทียบให้ฟังอย่างง่าย ๆ ว่า การที่เราเชื่อว่ามีเมื่อวานนี้ วันนี้ และพรุ่งนี้ มันก็เป็นส่วนหนึ่งของปฏิจจสมุปบาท เพราะถ้าไม่มีเมื่อวาน เราก็ไม่มีวันนี้ เมื่อไม่มีวันนี้ เราก็ไม่มีพรุ่งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเหตุเป็นผลแก่กันทั้งสิ้น พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้อย่างดีแล้วในพระไตรปิฎก ไม่เฉพาะแต่ทรงตรัสอย่างเดียว แต่ทรงปฏิบัติ และพิสูจน์ให้เห็นด้วยพระองค์เองว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง

ตลอดเวลาที่ข้าพเจ้านั่งสนทนาธรรมนั้น ท่านได้ถามหลักธรรมหลายอย่าง ซึ่งข้าพเจ้าก็พอตอบได้บ้าง แต่ต้องยอมรับว่า ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติหรือปฏิเวช แต่เกิดจากการปริยัติ คือ การเรียนรู้จากตำราเสียมากกว่า แต่สิ่งที่ตุ๊ลุงพูดมานั้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ท่านได้รู้แจ้งแทงตลอดทั้ง ๓ ส่วนครบแล้ว จึงสามารถอธิบายให้แก่ข้าพเจ้าได้

ตอนหนึ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจมาก กล่าวคือ ตุ๊ลุงชี้ไปที่หนังสือพิมพ์ แล้วพูดว่า “บ้านเมืองของเราก็เหมือนกัน ถ้าหากทุกคนวางซึ่งอุปาทาน ลดซึ่งอัตตา ก็จะดีขึ้นมาก บ้านเมืองก็คือของสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ เมื่อนักการเมืองมาบริหารบ้านเมืองแล้วหมดวาระไป ก็ต้องวางอุปาทาน ลดอัตตา อย่ายึดถือว่าเป็นตัวกูของกู เพราะถ้ามัวแต่ยึดถือว่าเป็นตัวกูของกูแล้ว บ้านเมืองก็จะพัง แต่ถ้าทำได้ บ้านเมืองก็จะสงบสุข” ท่านชี้ไปที่กุฏิของท่าน “กุฏิหลังนี้ก็เหมือนกัน ก็คือของสิ่งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาไป เราก็ต้องไป ต้องวางทุกอย่าง หมาแมวไก่ที่เลี้ยงก็ต้องวาง อย่าไปยึดถือว่าเป็นของเรา ที่เราเลี้ยงเพราะเราอยู่ร่วมกัน เขาได้อาหาร เราได้บุญ ถ้าคิดว่าเราทำบุญก็จบ ดังนั้น ทำแล้วต้องวาง ยึดไม่ได้”

“ข้าวเปลือกก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า มันสามารถแยกย่อยเป็นธาตุได้อีกกี่หลายล้านส่วน ท่านค้นพบมันก่อนที่วิทยาศาสตร์จะถือกำเนิดขึ้นในโลก ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาของวิทยาศาสตร์ ธรรมะทุกข้อ ถ้าปฏิบัติแล้วย่อมพิสูจน์ได้”

ภายหลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ข้าพเจ้าก็ขอกราบนมัสการลา เนื่องจากใกล้เวลาทำวัตรเย็นของท่านแต่ทั้งนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้เล่ารายละเอียดการสนทนาธรรมให้ใครฟังเลย ตลอดช่วงเวลา ๒ วันที่ผ่านมา แม้แต่คนในครอบครัวเอง เพราะข้าพเจ้าคิดว่า การสนทนาธรรมที่ละเอียดมาก ๆ ต้องอาศัยคนที่บรรลุธรรมในระดับหนึ่ง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงจะเข้าใจ หากเราเล่าไปเรื่อยเปื่อย คนที่ปราศจากดวงตาเห็นธรรม ก็ไม่ต่างอะไรจากที่การที่เราตักน้ำราดลงไปบนหิน ไม่สามารถซึมเข้าสู่จิตใจของเขาได้ เมื่อคิดได้ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเก็บงำต่อไป จนกระทั่งค่ำวันนี้ หลังจากที่ไปเล่นแบดมินตันเสร็จแล้ว กลับมาแวะที่บริษัท พบกับพี่ที่ทำงานซึ่งสนิทกันมาก พี่สาวคนนี้เป็นคนธรรมะธัมโม เธอปฏิบัตินั่งสมาธิ ไปวัดเกือบทุกสุดสัปดาห์ ช่วงเข้าพรรษานี้ เธอถือศีลไม่ทานอาหารหลังพระอาทิตย์ตรงศีรษะ (ทำนองเดียวกับศีลของพระภิกษุข้อหนึ่งที่ห้ามฉันอาหารหลังพระอาทิตย์ศีรษะลอยข้ามไป) จึงเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวคนนี้ฟัง ปรากฏว่า เธอก็คิดอย่างเดียวกันว่า ตุ๊ลุงผู้ซึ่งดูภายนอกเป็นพระสงฆ์ชราจำวัดไปวัน ๆ แท้จริงแล้ว ท่านอาจจะบรรลุขั้นใดไม่มีใครทราบ เพราะคนระดับเดียวกันเท่านั้นจะมองออก สมัยบวชเป็นพระ ตามท่านไปกิจนิมนต์งานหนึ่งซึ่งมีอุบาสกคนสำคัญของท่านเป็นผู้นิมนต์ อุบาสกท่านนี้เป็นคนธรรมะธัมโมเหมือนกัน ตุ๊ลุงชี้ให้ดูเลยว่า “อยากเห็นไหม นี่ไง คนที่บรรลุโสดาบัน” ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ของครูบาพรหมมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ซึ่งเล่าลือกันว่าเก่งทางด้านวิปัสสนาธุระ ข้าพเจ้าเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ที่สำคัญ ข้าพเจ้าตั้งประเด็นว่า แล้วทำไม ตุ๊ลุงถึงมาถกเรื่องนี้กับข้าพเจ้า?

หากใช้ปฏิจจสมุปบาทมาอธิบาย น่าจะพออนุมานได้ว่า ตุ๊ลุงกับข้าพเจ้า ต้องเคยมีบุญกุศลเกื้อหนุนกันมาแต่ก่อนหลัง ถึงทำให้ถูกชะตาได้ เรื่องธรรมะอย่างนี้ไม่ใช่ใครที่ท่านจะสนทนาด้วยบ่อยนัก วาสนามีจริง คนเราจะถูกชะตาคบหากัน พบปะเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะเหตุการณ์หรือปัจจัยบางอย่างทำให้มันเกิดขึ้น ตราบใดที่เรายังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ เราก็ไม่สามารถหลุดพ้นไปจากกฎของปฏิจจสมุปบาทได้

แม้ว่าธรรมะที่เราทั้งสองสนทนากัน อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาของพระอริยสงฆ์ หรือปุถุชนผู้ปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้ง แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว มันคือ สิ่งสำคัญที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่หลุดออกจากธรรมะ แล้วหลงเริงในโลกียวิสัยมากจนเกินไป มันคือสิ่งที่คอยย้ำเตือนเสมอว่า แนวทางที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ทุกวันนี้ คือทางที่ถูกทุกควร มันคือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า ธรรมะของพระพุทธองค์ดำรงอยู่ พิสูจน์ได้ และไม่มีวันตาย

มีแต่คนเราเท่านั้นแหละ... ที่มักจะตายก่อนที่จะได้รู้ความแล้วแจ้งในสิ่งอันประเสริฐนั้น

ขอพระธรรมจงหนุนให้เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานแห่งข้าพเจ้าในทุกภพทุกชาติไปเทอญ

บ้านศรีบุญยืน
๓๐ ส.ค. ๕๔




Create Date : 30 สิงหาคม 2554
Last Update : 30 สิงหาคม 2554 23:09:27 น.
Counter : 668 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

PeeEm
Location :
ลำพูน  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



สวัสดีครับ ผมชื่อ ภาคิน มณีกุล ครับ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่ บริษัท ลานนาโปรดักส์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตวาซาบิรายใหญ่ของประเทศ งานอดิเรกของผม นอกจากส่วนใหญ่จะเล่นกีฬา คือ ปั่นจักรยานและเล่นแบดมินตัน อ่านหนังสือ ดูภาพยนตร์และชอบเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อถ่ายรูปหรือพักผ่อนแล้ว ผมยังชอบเขียนบทความ เรื่องสั้น และนวนิยายอีกด้วยครับ

เพื่อน ๆ คนไหนเข้ามาอ่านก็สามารถติชมได้นะครับ ขอบคุณครับ
New Comments
สิงหาคม 2554

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
31