เมื่อเท้ามันคัน อะไรมันๆ จะเกิดขึ้น
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2562
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
2425262728 
 
9 กุมภาพันธ์ 2562
 
All Blogs
 
แสงเหนือเสือใต้

 
ทริปนี้เป็นทริปที่น่าจะจ่ายแพงที่สุดเท่าที่ได้ไปไหนต่อไหนมา สมกับสิ่งที่ได้ยินมา แต่คุ้มค่าสมราคาไหมลองอ่านดู
 
อยากไปดูแสงเหนือ (Northern Lights or Aurora Borealis) โดยตั้งต้นที่โรมเหมือนเดิม 
 
เลือกเมือง Tromsø (ทรุมเซอ) เป็นเป้าหมายหลังศึกษาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตอยู่หลายวัน เหตุผลสองอย่างที่ทำให้ตัดสินในเลือกเมืองบนเกาะเล็กๆ ของนอร์เวย์เมืองนี้ คือ หลายคนยกให้เป็นเมืองหลวงของการล่าแสงเหนือ และคลิปในยูทูปอันหนึ่งที่คนไทยที่เคยมาบอกว่า ถ้ามาเมืองทรุมเซอแล้วยังไม่เห็นแสงเหนือก็คงต้องซวยจริงๆ 
 
แต่ด้วยความเข้าใจผิดในการจองตั๋ว ทำให้เราต้องค้างที่ Oslo เมืองหลวงของนอร์เวย์ 1 คืน บทเรียนสำหรับท่านที่จองตั๋วเอง หากในเว็บไม่ยอมให้จองสองขาเป็น booking เดียวกัน ก็อย่าริไปจองเองสองขาและได้มาสอง booking เพราะมันต้องมีเหตุผลบางอย่าง เช่น เวลาเปลี่ยนเครื่องน้อยไป กระเป๋าจะไม่ checked through ถึงปลายทาง และเกิด delay ตกเครื่องขึ้นมา สายการบินไม่รับผิดชอบ เป็นต้น
 
เปลี่ยนวิกกฤตเป็นโอกาส ถือว่าได้แวะเที่ยวออสโล 1 วัน ทั้งที่ตอนแรกไม่อยู่ในแผนเลย 
 
วิวสวยๆ ระหว่างทางกับสายการบิน low cost ของนอร์เวย์ที่มี wifi ฟรีให้ใช้ตลอดเส้นทางนั้นช่างดีงาม ได้ทำงานอีกหน่อย
 
ตั้งแต่สนามบินออสโลแล้ว เห็นว่าร้านค้าบ้านเมืองนี้นิยมเอาสัตว์มาสต๊าฟตั้งโชว์ไว้หน้าร้าน 
 
ออสโลเป็นเมืองหลวงขนาดไม่ใหญ่มากของนอร์เวย์ สต็อกโฮล์มที่เคยไปมาน่าจะใหญ่กว่า 
 
เนื่องจากตอนออกมาจากโรมก็เย็นระดับหนึ่ง ประมาณ -5 องศา ใส่เสื้อผ้าหน้ามาพอสมควรแล้ว แต่การเดินลากกระเป๋าในอุณหภูมิติดลบลุยหิมะที่เริ่มละลายเป็นโคลนดำๆ ลื่นๆ นั้นไม่สนุกเลย
 
แต่เวลามีไม่มาก ถึงโรงแรมวางของปุ๊บ เสริมเสื้อผ้าให้อุ่นอีกหน่อยก็ออกมาถ่ายรูปออสโลยามค่ำคืนกันทันที 
 
ความตื่นเต้นที่ได้เห็นบ้านเมืองเขาเป็นครั้งแรก ทำให้ทนหนาวได้พักใหญ่ๆ 
 
เดินเล่นถ่ายรูปจนรู้สึกว่าความหนาวเย็นมันแทรกซึมเข้ามาในเสื้อผ้าก็แวะเข้าร้านกะดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ สักแก้ว
 
ร้านที่เลือกน่าสนใจ ตกแต่งสวย คนเต็มร้าน ส่วนใหญ่เป็นผู้ชายมานั่งดูกีฬากันจริงจังมาก และสุดท้ายเครื่องดื่มร้อนๆ ที่อยากกินก็กลายเป็นเบียร์เย็นๆ แก้วใหญ่แทน
 
เสร็จแล้วก็เดินกลับโรงแรม พักผ่อน วันรุ่งขึ้นมี free walking tour ในออสโล
 
การที่มีผู้ให้บริการ free walking tour ใน internet ให้เลือกไม่กี่ราย ทำให้แอบคิดอยู่ในใจว่าเมืองหลวงของนอร์เวย์นี้ไม่น่าจะใหญ่มาก
 
เช้ามาเดินจากที่พักไปยังจุดนัดหมาย free walking tour ซึ่งหากออกไป 10 นาที 
 
ไม่ทันถึงครึ่งทางต้องรีบเดินกลับมาที่พักเพื่อเอาอุปกรณ์เสริมอุ่นเพิ่มเติม 
 
ที่แต่งไปว่าอุ่นแล้วยังน้อยไป สิ่งที่ช่วยได้มากที่สุดในที่สุดแล้ว นอกจากเสื้อผ้าหนาๆ คือ ผลิตภัณฑ์จาก The Heat Company 
 
มีลักษณะเป็นถุงๆ เมื่อแกะออกมาแล้วจะทำปฏิกริยากับอากาศทำให้ถุงอุ่น มีทั้งแบบใส่มือ ใส่กระเป๋า ใส่เท้า ใส่ได้ทุกที่ 
 
สำหรับคนขี้หนาวอย่างผม บอกเลยจำเป็นที่สุด และควรซื้อเผื่อไว้ ไม่แพงเลย แต่เมื่อต้องการแล้วไม่มีหรือมีไม่พอนี่ซิ เศร้าเลย
 
นัดเจอกันหน้ารูปปั้นเสือหน้า Central Station ระยะทางจากที่พักไม่ไกลเลย แต่เดินนานพอสมควร แต่ละก้าวต้องมีสติ ไม่ให้ลื่นให้ล้ม เพราะจะเจ็บตัวและอายมาก
 
ไกด์ผู้หญิงชาวนอร์เวย์เริ่มพานักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ออกเดิน น่าจะเป็น free walking tour กลุ่มใหญ่ที่สุดที่เคยเห็นมา
 
สิ่งแรกหลังออกเดินที่ไกด์พาชม คือ อนุสาวรีย์ Osvald เป็นรูปค้อนทุบเครื่องหมายสวัสติกะ ซึ่งมีอายุแค่ 4 ปี สร้างเป็นอนุสรณ์สำหรับกลุ่มชาวนอร์เวย์ชื่อ Osvald ซึ่งต่อต้านการรุกรานของทหารเยอรมันระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 
 
ในตอนเช้าที่อุณหภูมิ -5 ตลอดทางเดินในกรุงออสโลเต็มด้วยหิมะที่สูงระดับหนึ่ง 
 
Oslo Opera House สร้างโดยมีหลังคาด้านนอกทำจากหินอ่อนจากเมือง Carrara อิตาลี 
 
หลังคาออกแบบให้เป็นแนวทะแยงทำให้ดูเหมือน Opera House โผล่ขึ้นมาจากน้ำ 
 
ตลาดหุ้น Oslo เป็นตลาดหุ้นอิสระไม่ขึ้นหรือสังกัดกับใคร ตลาดหุ้นเดียวในแถบนี้
 
บ้านหลังนี้ยิวคนหนึ่งเคยอยู่และถูกส่งไป concentration camp ทำสัญลักษณ์ป้ายทองเอาไว้บนทางเท้าหน้าบ้านให้เป็นประวัติศาสตร์ที่ต้องจดจำ
 
ป้อมปราการ Akershus สร้างขึ้นเพื่อปกป้องพระราชวังของนอร์เวย์ เคยถูกใช้เป็นทั้งค่ายทหารและคุก ปัจจุบันเป็นที่อยู่ชั่วคราวของนายกนอร์เวย์
 
City Hall หรือศาลากลางกรุงออสโล
 
เป็นที่ทำการเทศบาล ที่ตั้งสภาบริหารงานแอดมินต่างๆ ของออสโล
 
แต่ที่น่าสนใจ คือ เป็นที่จัดพิธีมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในเดือนธันวาคมของทุกปี
 
มาถึงจุดนี้ ไกด์แซวว่าประเทศเขาก็แปลกดี เป็นเจ้าภาพจัดมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพทุกปี แต่เป็นประเทศที่มีรายได้จากการค้าขายอาวุธสงครามมากที่สุดแห่งหนึ่ง 
 
สำหรับเหล่าลูกทัวร์ free walking tour คือ การได้หลบหนาวหลังจากเดินตากลมลุยหิมะมาชั่วโมงกว่าๆ และได้เข้าห้องน้ำตอนที่กำลังปวดพอดี
 
 จุดที่ผู้มาเยี่ยมชม City Hall ชอบถ่ายภาพกันอีกจุดหนึ่ง คือ รูปปั้นหงส์
 
ไกด์พาเดินต่อมาหยุดที่ National Theatre บอกว่า ครั้งหนึ่งตึกนี้เป็นจุดแบ่งระหว่างย่านสลัมยากจนซึ่งอยู่ซ้ายมือและย่านหรูหราไฮโซซึ่งอยู่ขวามือ 
 
คงหมายถึงออสโลในอดีต ซึ่งเคยเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดประเทศหนึ่งในสแกนดิเนเวีย ก่อนที่จะค้นพบน้ำมัน ก็ร่ำรวยไปตามระเบียบ
 
เมื่อครบ 2 ชั่วโมงครึ่ง ทัวร์ลูกเป็ดของเราก็มาสิ้นสุดที่หน้ารัฐสภา ซึ่งมีรูปปั้นสิงโตสองตัวนอนเฝ้าอยู่ด้านหน้า เป็นจุดถ่ายรูปที่มีคนถ่ายมากอีกจุดหนึ่ง 
 
ก่อนแยกย้ายก็ได้มอบเงินค่าทิปให้ไกด์ ซึ่งตอบคำถามหลายคำถามจากนักท่องเที่ยวไม่ค่อยได้ อาจจะยังอ่อนประสบการณ์
 
โดยรวมก็ใช้เวลานานพอๆ กับ walking tour เมืองอื่นๆ ที่ไปมา แต่สังเกตุว่าอธิบายแต่ละจุดนาน และมีได้เข้าไปเยี่ยมชมด้านใน City Hall ด้วย เลยคิดว่ากรุงออสโลไม่น่าจะใหญ่มาก
 
ก่อนออกเดินทางไปสนามบินอีกรอบเพื่อเดินทางไปทรุมเซอ ได้แวะทานอาหารมื้อแรกของทริปนี้ ได้ที่อยู่ร้านอาหารท้องถิ่นแถวโรงแรมที่ไกด์แนะนำ
 
ผมสั่งซุปปลา เพราะนึกถึงซุปปลาที่เคยกินที่สวีเดน คนละสูตร ส่วนตัวผมชอบซุปปลาของสวีเดนที่เป็นซุปไม่ข้นมาก เป็นน้ำซอสมะเขือใสๆ ของทางนอร์เวย์เป็นซอสข้นๆ รสมันๆ 
 
 อีกจานคล้ายสตูว์เนื้อ กลิ่นค่อนข้างแรง แต่ที่ทั้งสองจานมีเหมือนกัน คือ ความมันจนเลี่ยน คงต้องรสชาติทำนองนี้เพื่อต่อสู้กับความหนาวเย็น แต่เจอแบบนี้ทุกมื้อสงสัยจะแย่
 
นั่งรถไฟด่วน Flytoget จากออสโลเข้าไปสนามบิน ใช้เวลาไม่นาน ออกถี่
 
มาจากโรมซึ่งที่สนามบินพนักงานบริการทุกจุด มาเจอบริการตัวเองแบบ 100% ที่สนามบินออสโลอึ้งไปพักหนึ่ง 
 
พยายามคลำทางศึกษาไปเรื่อยๆ สักพักก็เสร็จเรียบร้อยดี ประหยัดเวลาได้เยอะจริงๆ 
 
บินจากออสโลไปเมืองทรุมเซออีกเกือบ 2 ชม. สนามบินทรุมเซอเป็นสนามบินเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับสนามบินออสโลซึ่งก็ไม่ใหญ่มากอยู่แล้ว
 
รับกระเป๋าเสร็จขึ้นรถบัสเข้าเมืองที่จอดรออยู่หน้า Terminal เลย
 
15 นาทีก็ถึงเมืองทรุมเซอ รสบัสผ่านถนนสายหลักเท่านั้น ต้องเดินลากกระเป๋าต่อในอุณหภูมิ -15 
 
แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเมืองนี้เล็กๆ เอง พัก รร. ไหนก็เดินจากจุดลงรถบัสไม่เกิน 10 นาที นอกจากจะพักโรงแรมบนเขาไกลๆ ไปเลย
 
โรงแรมที่เราพักราคาไม่แพงแล้วตามมาตรฐานค่าครองชีพที่นอร์เวย์
 
แต่ราคานี้ที่โรมจะได้ห้องดี กว้างขวางกว่านี้ พร้อมอาหารเช้า
 
ก่อนนอนคืนแรกลองเปิดหน้าต่างห้องพักสัมผัสอากาศเย็นข้างนอก ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ต้องรีบปิด เย็นยะเยือก แต่ก็ไปสังเกตุเห็นแถบสีขาวยาวๆ บนท้องฟ้าที่ไม่น่าจะใช่เมฆ จึงเอากล้องถ่ายภาพปรับโหมด manual ส่องดู
 
เห็นเป็นแสงสีเขียวบางๆ ใช่แล้ว มันคือแสงเหนือ พวกเรากระโดดโลดเต้นดีใจกันยกใหญ่ ยังไม่ต้องออกล่าก็เห็นเสียแล้วตั้งแต่คืนแรก สมกับที่ได้รับฉายาว่าเมืองหลวงแห่งแสงเหนือจริงๆ 
 
ตื่นเช้ามาวันแรก ได้แต่เดินเที่ยวเล่นในเมืองเพื่อรอเวลานัดหมายไกด์ดูแสงเหนือตอนสองทุ่ม 
 
เมืองเล็กจริงๆ เดินไม่นานก็ทั่วเมืองแล้ว
 
โชคดีมีโชว์หิมะแกะสลัก ได้เดินฆ่าเวลาอีกหน่อย 
 
มีผลงานของหลายประเทศเข้าร่วม 
 
รวมทั้งของคนไทยด้วย น่าจะปราณีตอลังการที่สุดแล้ว มิตรภาพระหว่างหมีขั้วโลกกับพญานาค
 
เดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งเพื่อจะไปดูโบสถ์
 
บนสะพานลมพัดแรงทำให้หนาวเย็นกว่าปกติ ได้บทเรียนว่า การถอดถุงมือออกมาเพียงแว่บเดียวทำให้เกิดอาการ frostbite ได้ทันที เหมือนถูกความเย็นลวกนิ้ว นิ้วบวมมีสีม่วงและปวดอยู่อีกพักใหญ่ คงยังไม่รุนแรงมาก เมื่อเข้าที่อบอุ่นนั่งนวดสักพักอาการก็หายไป 
 
แนะนำว่าถ้าจะถอดถุงมือถุงเท้าหรือหมวกออกมา ให้อยู่ในที่ที่อบอุ่นเพียงพอ
 
สองทุ่มตรงไกด์คนไทยที่นัดหมายไว้มารับพวกเราที่โรงแรม ไกด์เอ็นดู (ชื่อไกด์) มีประสบการณ์ รู้ว่าควรไปทางไหน จุดไหนลมไม่แรง บริเวณไหนฟ้าเปิด ที่ไหนคนน้อย ถ่ายรูปสวย
 
พอออกมานอกเมืองได้สักพัก พอแสงไปจากในเมืองเริ่มไม่ส่องรบกวน เราก็เริ่มเห็นแสงเหนือกันทันที ตื่นเต้นอยู่ในรถ
 
ไกด์ซึ่งขับรถด้วย จอดให้เราเป็นจุดๆ โดยพยายามเลี่ยงนักล่าอแสงเหนือกลุ่มอื่น
 
แสงเหนือจะเห็นเป็นทางขาวๆ อยู่ในท้องฟ้าที่มืดสนิท พอเอากล้องส่องก็จะเห็นเป็นสีเขียว เข้มอ่อนแล้วแต่ความแรงของแสง
 
ที่สำคัญหากจะให้ถ่ายเห็นแสงสวยงสาม ท่านต้องมีกล้องที่ปรับ manual ได้ อย่างน้อยค่ารูรับแสงกับความเร็ว shutter ต้องปรับได้อิสระ ไม่จำเป็นต้องเป็นกล้องใหญ่ แต่ขอให้มีสองฟังชันก์ข้างต้นก็ใช้ได้แล้ว 
 
รอบที่ผมออกล่ามือถือกับกล้อง digital ที่ปรับอะไรได้นิดหน่อยถ่ายแสงเหนือไม่ติด
 
ภาพที่เอามาลงนี้ แสงเขียวอ่อนๆ เป็นกล้องของไกด์ ซึ่งแกต้องถ่ายให้เห็นทั้งคนและแสงไปพร้อมกัน
 
ส่วนที่สีเขียวสว่างกว่านั้นจากกล้องของพวกเรา (G7X) 
 
แสงเหนือโดยทั่วไปจะเห็นด้วยตาเปล่าเป็นสีขาว มองผ่านกล้องถึงจะเป็นสีเขียว แต่ในบางช่วงที่แสงแรง เราเห็นเป็นสีเขียวด้วยตาเปล่าเลย 
 
แสงจะขยับไปมาบนท้องฟ้าเหมือนผ้าม่านโดนลม พริ้วๆ ประมาณนั้น ถ่ายรูปออกมาจะเห็นขอบเป็นสีชมพูด้วย ไกด์บอกว่าหากเป็นสีชมพูนี่คือแรงสุดๆ แล้ว ชัดที่สุดเท่าที่ธรรมชาติให้เราได้
 
ช่วงปลายๆ ของการล่าของผมก็มีขอบชมพูปรากฏคู่กับทางยาวสีเขียว
 
ถือว่าภารกิจการล่าแสงเหนือที่วางแผนกันมานานและการเฝ้าสวดมนต์ภาวนาให้สภาพอากาศดีประสบความสำเร็จแล้ว 
 
ธรรมชาติที่ไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ไปอีกเมื่อไหร่ อาจจะสูญหายไปวันใดวันหนึ่ง ผมได้มาเห็นแล้ว มีความสุขแล้ว ฟินระดับสิบ
 
 
อุตส่าเผื่อเวลาไว้ตั้งอาทิตย์หนึ่ง ล่าแสงเหนือเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่คืนที่สอง อีกห้าวันที่เหลือจะทำอะไรได้อีกในเมืองเล็กๆ แห่งนี้
 
เป็นความปวดหัวที่ต้องหาที่เที่ยว ที่กิน ที่ไปในวันที่เหลืออยู่
 
ค่าครองชีพไม่ถูกอย่างที่เคยบอกไปแล้ว ค่าทัวร์ออกไปล่าแสงเหนือ ค่าทัวร์ต่างๆ ที่มีบริษัทขายอยู่ทั่วเมือง แม้กระทั่งในโรงแรมที่เราพัก ราคาอยู่ระหว่าง 3,000 - 7,000 บาทต่อทัวร์ต่อคน 
 
ตัดสินใจซื้อทัวร์เพิ่มแค่ 2 รายการ คือ ขี่หมาลากเลื่อนกับทริปนั่งเรือดูวาฬ 
 
ทั้งสองทัวร์เราจะต้องเดินจากที่พักไปเจอที่จุดนัดพบแต่เช้า แต่เพราะเมืองเล็ก การเดินไม่ใช่ปัญหา อากาศที่หนาวเย็นและพระอาทิตย์ที่ขึ้นตอน 10 โมงและตกตอนบ่าย 3 โมงเป็นปัญหามากกว่า 
 
บรรยากาศในเมืองแม้ว่าในช่วงมีพระอาทิตย์ก็มืดอึน เหงาเศร้า เงียบเรียบง่ายไปหมด เพราะแดดส่องลงมาไม่ถึง ทราบว่าคนประเทศนี้มีสถิติการฆ่าตัวตายสูงไม่น้อย 
 
เห็นเมืองเงียบๆ แบบนี้แล้วนึกถึงความโกลาหลปวดประสาท คนเยอะ พูดเยอะ ขับรถปาดไปมา บีบแตรเป็นเสียงดนตรี นักท่องเที่ยวที่เดินเบียดกันจนตกถนนที่โรม คนละเรื่องเดียวกันเลย ผมชอบแบบวุ่นวายหลายเรื่องทางโรมมากกว่านะ หรือเพราะอยู่มานานก็ไม่รู้
 
กิจกรรมขี่หมาลากเลื่อน รถบัสที่ขึ้นมาพาเราออกมาจากเมืองทรุมเซอประมาณ 1 ชม. ก็ถึงแคมป์หมาลากเลื่อน
 
อันดับแรกเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
 
ใส่มาหนาแค่ไหนแล้วก็ยังไม่พอ ต้องเป็นชุดสำหรับลุยหิมะเท่านั้น 
 
เราสามารถเลือกชุดที่ใหญ่ขึ้นหน่อยเพื่อสวมทับเสื้อผ้าที่เราใส่มาแล้ว จะได้ไม่ต้องถอดเข้าถอดออก ซึ่งทุกคนก็ทำแบบนั้น
 
เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มีบอกกฎ กติกา มารยาทกันก่อน มาสองคน คนหนึ่งต้องยืนควบคุมลากเลื่อน อีกคนนั่งไปบนลากเลื่อนนั้น 
 
หากไม่มีคู่มาก็ต้องจับคู่กับคนแปลกหน้าที่มาเดี่ยวเหมือนกัน
 
น้องหมาที่เขาเลี้ยงเอาไว้ในบ้านหมาหลังเล็กๆ เรียงกันไปในบริเวณแคมป์เป็นพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับ Siberian Husky แต่เป็นหมาทรงพลังและถูกเลี้ยงมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
 
ทาสหมาทั้งหลายไม่ต้องกลัวว่าเขาจะทรมาน เป็นธรรมชาติของเขา อยู่แบบนี้ กินแบบนี้ ทำงานแบบนี้ ไม่ได้วิ่งซิจะแย่เอา 
 
เพียงแต่เมื่อก่อนเอาไว้ใช้เดินทางในหิมะจริงๆ เดี๋ยวนี้ไม่จำเป็นแล้วก็เอามาลากนักท่องเที่ยวแทน 
 
ควบคุมไม่ง่ายไม่ยาก อุปกรณ์เบรกมีอยู่แค่ 2 ชิ้น แต่ต้องระวังทางโค้งทางชัน 
 
ง่ายที่สุดช่วงทางอันตรายก็เหยียบเบรกเอาให้น้องหมาวิ่งช้าไว้ก่อน
 
เดี๋ยวจะเป็นแบบคู่ข้างหน้าผมที่ลากเลื่อนล้มไม่เป็นท่า ต้นไม้หักไป 1 ต้น และน้องหมาก็ยังลากไปเรื่อยๆ คนเจ็บตัวนิดหน่อย ส่วนหมาไม่เป็นอะไรเลย
 
ตลอดสองชั่วโมงที่ขี่หมาลากเลื่อน สนุกมากหน่อยก็ช่วงออกตัวมาแรกๆ 
 
ความเร็วของหมา ประสบการณ์บนลากเลื่อนครั้งแรก วิวทิวทัศน์ 
 
ถ่ายรูปจนกล้องแบตหมดเกลี้ยง ความเย็นลบเท่าไหร่ก็ไม่รู้ทำให้กล้องแบตหมดเร็วกว่าปกติ แต่ก็ได้รูปสวยๆ มามากพอแล้ว
 
ครึ่งทางแรกยังดี๊ด๊าฮาออก 
 
แต่ช่วงครึ่งหลัง หลังจากวิ่งวนอยู่ในป่ามา ชม. กว่าแล้ว ความเย็นเริ่มซึมผ่านถุงมือและรองเท้า เย็นชาจนแทบไม่รู้สึก อยากให้ถึงแคมป์เร็วๆ ถึงตอนนี้ หมวก ชุด ผมหน้าม้า ขนตามีน้ำแข็งเกาะหมดทุกส่วน 
 
แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง ลากเลื่อนคันสุดท้ายหลุดขบวนหายไปไหนไม่รู้ ทำให้ไกด์ต้องขอให้พวกเราจอดรออยู่กลางหิมะนานเป็น 10 นาทีกว่าจะไปตามลากเลื่อนคันนั้นกลับมาได้ เกือบแย่
 
แต่กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าและนั่งให้ตัวอุ่นแป๊บหนึ่งก็โอเคเป็นปกติ
 
ยังมีแรงไปเดินถ่ายรูปกับกวางเรนเดียร์ที่เขาเลี้ยงไว้ได้
 
มีกวางเรนเดียร์ลากเลื่อนด้วย แต่มีคนบอกว่า ไม่สนุกเท่าหมาลาก เพราะเดินไปตามคนจูงเรื่อยๆ ใช้เวลานาน หนาวหนักกว่าหมาอีก
 
อีกวันหนึ่งล่องเรือดูวาฬ ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขของทัวร์นี้ คือ ไม่การันตีว่าท่านจะได้เห็นวาฬ
 
เรือลำขนาดกลางนั่งกันเต็มลำครับ หลากหลายเชื้อชาติ
 
ช่วงแรกคนก็ดูตื่นเต้นกันดีครับ ออกมาตรงดาดฟ้าเรือมาถ่ายภาพทิวทัศน์ fjord กัน
 
ผมเน้นออกมาถ่ายแว่บๆ พอหนาวก็กลับเข้าไปดื่มชากาแฟในเรือต่อ
 
ในเรือก็มีวีดิโอวาฬที่บริษัทนี้พาไปดูของทริปก่อนๆ และมีไกด์ชื่อ Edward มาเล่าเรื่องสนุกเสริมเป็นระยะ ทำให้อยากเห็นวาฬและมีความหวังขึ้นไปอีก 
 
นั่งเรือนานพอสมควร 3 ชม. ก็ถึงจุดที่เป็น open water จุดที่เห็นวาฬกันเมื่อวาน
 
นั่งรอกันพักใหญ่ คนมาออกันเต็มหน้าเรือรอจังหวะวาฬกระโดดเหนือน้ำ ต้องจับภาพให้ได้
 
เสียงคุยกัยอื้ออึงด้วยความตื่นเต้น ผ่านไปสัก 10 นาทีเสียงค่อยๆ เงียบลง คนบางส่วนเดินกลับเข้าไปในเรือ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นอกจากคลื่นในน่านน้ำเปิดที่แรงขึ้นพร้อมกระแสลม
 
ทันใดนั้นเอง ชอบคำนี้จัง จะต้องมีเหตุการณ์ไม่ดีแน่ๆ ทันใดนั้นเอง มีคลื่นลูกใหญ่กระแทกเรือดังโครม ทุกคนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าหน้าเรือรวมทั้งตัวผม กระเด็นกระดอนไปคนละทาง ไปนอนกองอยู่กับพื้นดาดฟ้าเหมือนพินโบว์ลิงที่ถูก strike 
 
เรือยังอยู่ในสภาพโคลงเคลง พร้อมกับกัปตันประกาศว่าขอให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในเรือ และรีบบึ่งเรือออกไปจากเขตสภาพอากาศไม่ดี
 
กลับมานั่งในเรือด้วยความไม่พอใจ เพราะโดนคลื่นเปียกไปครึ่งตัว และคงไม่มีโอกาสเห็นวาฬแล้ว 
 
หันไปรอบตัว สภาพผู้โดยสารในเรือจำนวนหนึ่งเมาเรือกันคอพับคออ่อนและได้ยินเสียงอาเจียนเป็นระยะ
 
ไม่เป็นไรครับ ทริปนี้ถือเป็นทริปนั่งเรือเที่ยวชม fjord แทน 
 
สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เห็นเลยตลอดเวลาที่อยู่ที่เมืองทรุมเซอแต่เห็นตอนล่องเรือนี้ คือ แสงพระอาทิตย์ 
 
กิจกรรมอื่นๆ ที่เราทำในทรุมเซอแต่เสียเงินน้อยลง คือ การเข้าชมเรือสำราญที่มาเทียบท่าอยู่ที่ทรุมเซอตามที่ไกด์ Edward ประจำเรือดูวาฬแนะนำ
 
เข้าชมฟรี เดินไม่นานก็ทั่วทั้งเรือแล้ว เป็นเรือสำราญขนาดเล็ก
 
เพราะที่เคยเห็นมาใหญ่กว่านี้หลายเท่ามาก เข้าใจว่าคงเป็นเรือสำราญที่วิ่งเลาะ fjord แถวนี้ ไปเมืองใกล้ๆ ไม่ข้ามประเทศ
 
ต่อด้วย Aquarium แห่งทรุมเซอ ค่าเข้า 145 โครน ประมาณ 10 กว่ายูโร
 
ไม่จำเป็นต้องเข้าขนาดนั้น แต่ผมมีเวลาเหลือและคงไม่ได้กลับไปอีก เก็บให้ครบ
 
ที่นี่มีปลาแปลกๆ อยู่พอสมควร 
 
หลายพันธุ์ที่อาจจะมีเฉพาะซีกโลกนี้
 
โชคดีไปตรงช่วงที่เขาให้อาหารแมวน้ำพอดี
 
ได้ชมการให้อาหารและความสามารถของแมวน้ำด้วย
 
ฉลาดแสนรู้ ไม่น่าเชื่อว่าสัตว์อะไรแบบนี้จะฝึกฝนกันได้ 
 
ขนาดแมวธรรมดายังไม่ค่อยฟังเจ้าของเลย นี่แมวน้ำ
 
กระเช้าชมวิวของเมืองทรุมเซอเราก็ไม่พลาด ขึ้นถึง 2 รอบ ทั้งกลางวันและกลางคืน
 
รอบกลางวันตั้งใจไปชมวิว กินอาหารกลางวัน
 
บนสถานีกระเช้าน่าจะเป็นจุดที่มองเห็นวิวเมืองทรุมเซอได้ชัดเจนที่สุดแล้ว 
 
เราแค่เดินถ่ายรูปรอบๆ นิดหน่อย 
 
ไม่ได้เดินออกจากสถานีไปไกลอย่างหลายๆ คน
 
หนาวเย็นและไม่แน่ใจว่าจะเห็นอะไรอีกนอกจากหิมะขาวๆ 
 
อาหารกลางวัน คนไม่หนาแน่นอะไร แต่ต้องรอนิดหน่อยหากอยากได้โต๊ะติดกระจกวิวสวย
 
วันนี้ลองสั่ง Bacalao มาทานครับ เป็นอาหารท้องถิ่นแถบนี้ เหมือนปลาตากลมจนแห้ง เนื่องจากไม่มีแดดให้ตากแบบบ้านเรา แล้วเอามาต้มใส่ซอสมะเขือและผักต่างๆ รสชาติเหมือนปลาแดดเดียว แต่จริงๆ คือตากลมเอา
 
มูลเหตุจูงใจที่ต้องขึ้นกระเช้าซ้ำสอง เพราะดันไปชมหนังสารคดีแสงเหนือใน Aquarium ทำให้คิดเอาเองว่าขึ้นกระเช้าไปดูบนภูเขาก็ต้องเห็น 
 
ลงทุนขึ้นกันอีกรอบ เห็นน่ะพอเห็นอยู่หรอก แต่เบาบางมาก แทบถ่ายรูปไม่ติด
 
เพราะแสงจากตัวเมืองมากเกินไป
 
เห็นในความพยายามของผู้ถ่ายแล้วยอมใจ แต่ก็ยังไม่ได้ภาพสวยๆ 
 
เลยเปลี่ยนเป้าหมายจากถ่ายแสงเหนือคืนสุดท้ายเป็นนั่งชมดาวกับแสงไฟของเมืองทรุมเซอแทน
 
เดินเล่นให้หนาวแข้งขาหน้าหัวประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ชวนกันนั่งกระเช้าลงมากลับเข้าเมือง
 
ว่าด้วยอาหารการกิน เราไม่มีความรู้เรื่องอาหารนอร์เวย์เลย ไม่รู้ว่าต้องกินอะไร หน้าตาเป็นอย่างไร ก็ต้องพึ่งพา google map เป็นหลัก ร้านไหน review ดีก็โทรจองเลย ราคาประมาณกัน สองคนจ่ายประมาณสี่พันบาทต่อมื้อ เรียงตามลำดับความชอบและพึงพอใจดังนี้ 

 
ร้าน Emmas Dream Kitchen

สลัดปูอลาสกา
 
สเต็กเนื้อกวาง
 
ปลาคอดตาก-ลม

------------------------------------------------------

ร้าน Fiskekompaniet
 
หอยนางรมสด
 
แก้มหมูราดซอส
 
เนื้อปลาคอดราดซอสตับปลา

-----------------------------------------------------------
 
ร้าน Biffhuset Skarven
 
สเต็กเนื้อวาฬ
 
Bacalao
 
ปลาแซลมอนย่าง
 
ร้านกาแฟน่ารักยกให้ร้านนี้ Risø food & coffee shop
น่ารักมาตอนที่เอาครัวซองท์อันใหม่มาให้ฟรีโดยไม่คิดเงิน แทนอันเก่าที่ผมโง่ทำตกพื้นเอง
 
และร้านอาหารไทยแบบ take away ที่ทำให้อุ่นใจว่าไม่อดตายตั้งแต่แรกเห็น 
 
มีพ่อครัวแม่ครัวคนไทยที่น่าจะเป็นคนไทยกลุ่มเดียวที่เจอนอกเหนือจากไกด์เอ็นดู
 
ขอบคุณเพื่อนเก๋ด้วยที่ช่วยเป็นธุระจัดหาที่พักและทัวร์ให้ 
 
 
 
 



Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 22 สิงหาคม 2564 9:03:16 น. 0 comments
Counter : 1821 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Thaisoloclub
Location :
Rome Italy

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




Friends' blogs
[Add Thaisoloclub's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.