ชีวิต 1 ปีใน Bay Shore, New York, USA ของ aupair ตัวน้อยๆ
 
กันยายน 2549
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
3 กันยายน 2549
 
 
Part 1# เมื่อตอนออกเดินทางจากประเทศไทย

ออกเดินทางจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2549 เที่ยวบินเวลา 23.55 น.

ตั๋วเป็นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ แต่ไปๆ มาๆ กลับต้องไปสายการบินนิปปอนซะงั้น ไปนิปปอนตั้งแต่แรกก็ได้น้ำหนักกระเป๋า 32 กิโลกรัมแล้ว ไม่ต้องมาลุ้น ยูไนเต็ดให้แค่ 23 กิโลกรัมต่อใบ (แต่เอาเข้าจริงเราก็แบกไป 25 กิโลกรัมทั้ง 2 ใบ ตอนโหลดกระเป๋าก็ไปยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมใส่เจ้าหน้าที่ ก็เลยไม่ต้องมานั่งจัดของออก รอดตัวไป อิอิ) แล้วก็ขอที่นั่งติดทางเลย เห็นเจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าอืมตกลงได้ แต่ต้องติดตามตอนต่อไป

พอถึงเวลา 23.30 น.ก็ อืม เข้าไปดีกว่า ก็กอดลาแม่ กะพี่สาวไปคนละที ตอนเดินเข้าไปนะน้ำตาคลอเบ้าเลย แต่จะร้องก็ไม่มีเวลาละ รีบจ้ำเลย ใกล้เวลาแล้วนี่นา เป๋าก็มากมายก่ายกอง carry on 17 กิโลกรัม เป้ 7 กิโลกรัม กระเป๋าสะพายใส่เอกสารอีกเล็กน้อย ประมาณ ครึ่งกิโลกรัม (แบกไปได้ไงฟะเนี่ยตรู) แถมทางเดินกว่าจะเข้า Gate 54 นะ โคะตะระไกลเลย เลยไม่มีอารมณ์เศร้า กลายเป็นอารมณ์เหนื่อย กะฮอบแห่กๆ แทนซะงั๊น

พอถึงเวลาได้ขึ้นเครื่อง ก็เลยรีบเข้าซะแต่แรกๆ เลย อืม ได้ที่นั่งติดทางเดินริมหน้าต่าง เป็นที่นั่ง 2 คน แต่เวรกรรม นั่งติดกะคนแขกซะงั๊น เอ่อ อันนี้ไม่ได้แบ่งชนชั้นนะคะ แต่แบบว่าต้องเข้าใจนิดนึงว่ากลิ่นมันแรงอะ (กลิ่นเค้านะไม่ใช่กลิ่นเรา) ก็เออ ทนไป 6 ชั่วโมง แถมแขกคนนี้กระเป๋า carry on ดันหายซะอีก ไปทำอีท่าไปไหนเนี่ย

แอร์ของนิปปอนนะ น่ารักมาก ยิ้มใส่ตลอดเลย บริการประทับใจกว่าแอร์ของการบินไทยอีก ทั้งๆ ที่พูดกันคนละภาษานะ เข้าใจมั่งไม่เข้าใจมั่ง มีมาทีนึงบนเครื่องเจอพ่นภาษาญี่ปุ่นใส่ซะงั๊น เวรกรรม หน้าตูมันญี่ปุ่นตรงไหนหว่า ตัวก็ดำ ระหว่างทางนะ ก็นอนหลับๆ ตื่นๆ ตื่นมาก็กิน ก็เสร็จก็ดูหนัง ดูหนังเบื่อก็เล่นเกมส์ เล่นเกมส์เบื่อก็นอน จนครบ 6 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่นซะที มาถึงก็ปรับเวลากันไป

มาถึงญี่ปุ่นปุ๊บ ด้วยความไม่เจียมตัวว่าตัวเองบ้าหอบฟางมาขนาดไหน จะออกไปชมเมืองญี่ปุ่นกะเค้าซะหน่อย แต่พอลากกระเป๋าลงมาด้านล่าง แทนที่จะเลี้ยวขวาไปนั่งรอต่อเครื่อง ก็ลากมาจนถึงทางที่จะไปอิม ก็ไปขอเค้าบอก ขอชมเมืองหน่อย เค้าก็อืมๆ ให้ใบมาใบนึง แต่พอไปถึงอิม เวรกรรม คนต่อแถวกันยาวเหยียด กว่าอิชั้นจะออกไปถึงด้านนอก คงใช้เวลาอีกเกือบชั่วโมง เวลารอต่อเครื่องทั้งหมดแค่ 3 ชั่วโมง แล้วตุจะเอาเวลาที่ไหนไปชมเมืองฟะเนี่ย กระเป๋าก็เต็มตัวไปหมด ไม่รู้ตอนนั้นคิดไปได้ไงว่าจะลากของทั้งหมดไปชมเมือง สุดท้ายก็ต้องลากของกลับไปขึ้นลิฟท์ไปที่เดิมซะงั๊น เค้าเรียกว่าหาเรื่อง และไม่เจียมตัว 555

ก็เลยกลับไปนั่งรอใช่มะ เลยลากไปนั่งรอซะหน้าๆ ซะเลย เรียกขึ้นเครื่องปุ๊บจะได้ขึ้นปั๊บ เหมียนเดิม เลยไปเจอคนไทยกลุ่มนึง ตอนแรกก็ไม่ได้คุยกันหรอก เค้าก็มากันเยอะนะ ป้าคนนึงแกก็นอนอยู่ อีกคนนึงสาวๆ หน่อย ไม่นอน เราก็นั่งสัปหงกไปพัก เหวย ปวดท้องหว่า ไปเข้าห้องน้ำของญี่ปุ่นซะหน่อยดีกว่า แต่จะลากฟางทั้งหมดที่หอบมาไปด้วยก็กะไรอยู่ ก็เลยฝากคุณน้าคนไทยไว้ เค้าก็ทำหน้างงๆ เล็กน้อย

ไปเข้าห้องน้ำของสนามบินญี่ปุ่นนะ โห เข้าไปปุ๊บ ไฮเทคมากค่ะ ในแผงข้างโถนั่งนะ ประกอบด้วยปุ่มอุ่นโถนั่ง, ปุ่ม sound effect สงสัยเผื่อใครจะทำไรเสียงดัง ได้กลบเกลื่อน, ปุ่มกดน้ำฉีด ปุ่มนี้ก็มี 2 แบบนะ แบบพุ่งตรงจุด และแบบกระจายตัว 555 สุดท้ายถ้าจำไม่ผิด และไม่ลืมปุ่มใดไป ปุ่มดูดกลิ่น โห ไฮเทคมาก เลยลองทุกปุ่มเลย สนุกดี ออกมาข้างนอก ที่เป่าลมเค้าก็ดีนะ ไม่ร้อน แล้วก็เป่าแห้งเร็วดีด้วย ชอบมากๆ

เสร็จกิจ ก็กลับมานั่งรอต่อ คุณป้าแกตื่นแล้ว ก็เลยทักทายเล็กน้อย ถามว่าอยู่บนเครื่องนอนหลับดีมั๊ย เพราะตัวเองรู้สึกนอนไม่เต็มอิ่มเอาซะเลย แกก็บอกนอนสบายดี กินยานอนหลับไป ถามว่าเอามั๊ย เดี๋ยวป้าให้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็คงหลับเอง อีกตั้ง 11 ชั่วโมง ป้าแกเสนอยาเสร็จ 555 พูดซะน่ากลัว ยานอนหลับนะไม่ใช่ยาอย่างอื่น ก็บอกว่าตอนแรกป้านึกว่าเป็นสาวญี่ปุ่น ก็เลยไม่ได้ทัก อ้าว ตุ เหมือนญี่ปุ่นอีกรอบ ตัวดำขนาดนี้ ป้ายังนึกว่าญี่ปุ่นไปได้ สงสัยนึกว่าเคียวโกะไปอาบแดดมา อิอิ ว่าไปโน่น คุยไปคุยมาป้าแกอยู่เมกามา 33 ปีละ อยู่ New Jersy เหวยๆ แล้วมาบอกทำไมฟะ ใครเค้าอยากจะรู้

จบเรื่องป้าแกดีกว่า ไปขึ้นเครื่องกันซะที จะได้ไปนอนยาวๆ บนเครื่องแทน พอขึ้นเครื่องปั๊บ อ้าวตรูซวยแล้วสิ นั่งตรงกลางเลย แถม 11 ชั่วโมงอีกตะหาก ด้านทางออกก็เป็นสาวญี่ปุ่นตัวจริง เวรแล้วไง ปวดท้อง กะเมื่อยจะทำไงฟะเนี่ย แต่ยังดีหน่อย ตรงที่ด้านในเป็นหนุ่มไทย ไปเรียนนอก อายุเท่ากันด้วย อิอิ เท่ากันแล้วจะทำไมฟะ เป็นเด็กพระจอมเหมือนกันด้วยนะ อยู่ธนฯ หรือบางมดจำไม่ได้ละ หนุ่มวิดวะด้วย (แล้วจะทำไมกะเค้าละ ก็นั่นนะดิ จะไปทำไรเค้าฟะเรา ชื่อเค้าเรายังไม่ถามเลย กรรม) ก็เลยตกลงกะหนุ่มนั้นว่า ถ้าสาวญี่ปุ่นออกเมื่อไหร่ ออกกันมั่ง ก็เลยกลายเป็นว่าสาวญี่ปุ่นลุกปุ๊บ ใครจะหลับ ใครจะตื่น ก็ลุกออกมากันหมดทั้งแถว สาวญีปุ่นเค้าจะตลกป่าวเนี่ย ไอ้พวกนี้เป็นไรกัน ตรูออก มันออกตาม โถ เจ้ต้องเห็นใจนิดนึงนะ ก็มันเมื่อยกะปวดท้องนี่นา ไม่เมื่อยก็ปวดท้อง จะให้เรียกเจ้ให้ลุกให้ก็เกรงใจอยู่ นั่งๆ ลุกๆ กินๆ นอนๆ กันไป ก็ถึงเมกาละ โอ้โห ความรู้สึกนะ โคตะระดีใจเลย ไม่ใช่ดีใจที่ได้มาเมกานะ แต่ดีใจที่เลิกนั่งเครื่องบินซะที ...เมื่อยชิป... เลย แค่นั่งรถไปเรียนที่ลาดกระบังแล้วมันดีเลย์นะ (ทำยังกะนั่งเครื่องไปเรียน) แค่ชั่วโมง 2 ชั่วโมงยังเมื่อยแล้วเมื่อยอีก นี่ 6 + 11 ชั่วโมงนะคะคุณขา เห็นใจกันนิ๊ดส์นึง

555 ในที่สุดก็ได้เดินมากข้างนอกสนามบินจริงๆ ซะที ออกมาถึงก็มีน้าคนนึง ที่เอเจนจ้างรถจากบริษัทรถรับจ้างให้มารับ แกก็ถือป้ายชื่อเอเจน แต่ก่อนจะออก ก็ต้องเช่ารถเข็นอะจิ ก็แหม มีกระเป๋ามาทั้งหมด 3 ใบ ใบบึ้มๆ ทั้งนั้น 32 นิ้วเอย 28 นิ้วเลย 20 นิ้วเอย เป้ใบตู้มๆ อีก รวมๆ น้ำหนักก็ 74 กิโลกรัมพอดิบพอดี อันนี้ไม่รวมกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ นะ (เล็กป่าวฟะ) แค่ครึ่งกิโลกรัมได้นะ ก็เลยต้องจำใจเช่ารถเข็นราคา 3 เหรียญ โอ้ว 120 บาท เข็นไปไม่ถึง 5 นาที ตอนเสียบแบงค์ไปเสร็จ ก็ปล่อยรถมาคันนึงใช่มะ ทีนี้ ไมมันเข็นลำบากจังฟะ ฝืดๆ ชอบกล ก็มีสาวญี่ปุ่น (ญี่ปุ่นอีกละ อ้าวก็มันเป็นญี่ปุ่นมานี่หว่า จะให้เขียนสาวเมกัน หรือสาวพม่าหรือไง) ก็มาแนะนำด้วยภาษาญี่ปุ่น พร้อมด้วยท่าทางประกอบ อ่า ใช้เป็นละ ก็ขอบคุณกันไป Thank you หลายๆ เค้าก็เอ่อ โทษทีนะ นึกว่าเป็นญี่ปุ่น อิอิ แค่เคียวโกะไปอาบแดดมาเอง ซะงั๊น ก็ได้รถเข็นเข็นกันไป เจอถามว่าเป็นอะไร เป็นนักเรียนใช่มะ อือ มันก็วีซ่า J-1 นี่หว่าก็เหมือนๆ กันแหละ นักเรียนก็นักเรียน เอามาแต่เสื้อผ้าใช่มะ อื้อๆๆ (แต่จริงๆ แล้วในกระเป๋าเนี่ย มีน้ำพริกเผาคุณแม่ด้วยนะ บวกกะพริกแกง กะพริกป่นอีกนิดหน่อย แต่รีบพยักหน้าพร้อม say yes ประกอบทันที) แล้วเจ้แกก็อ่านวีซ่าอีกรอบ ถามว่าอ่อ เป็น aupair เหรอ อืมๆ ใช่เลย ก็ไม่ถามไรอีก รอดตัวกันไป

ออกมาก็เจอคุณน้าที่ว่าเมื่อตอนต้น แกก็มารับ วันนั้นมีเรามาแค่คนเดียว ไม่มี aupair คนอื่นมาด้วย ก็เหงากันไป น้าแกก็ไปเอารถมาบอกให้รอ 5 นาที แต่ไหงรู้สึกนานจัง แต่ช่างเหอะ แกมาละ ก็นั่งไป รู้สึกอากาศมันร้อนๆ ก็นั่งเงียบ น้าแกถามมาก็ตอบไปนิดหน่อย พอไปถึง St.John University ก้าวแรกที่เหยียบมหาลัย โอ้วแม่เจ้า นี่มันเมกาจริงป่าวฟะ หรือตรูลงผิดประเทศฟะ ไมมันร้อนขนาดนี้ (ตอนนั้นเมกาเจอคลื่นความร้อนวันสุดท้ายได้มั๊ง) เราก็มาถึงตึกพัก ตึกเราเป็นคนแรก ตึกพักมีหลายตึกนะ แบ่งตามรัฐที่ aupair แต่ละคนจะไปอยู่ ของเราอยู่ New York แอบ hi-so นิดนึง แต่ก็อยู่ชานเมืองแหละว้า ทำเป็นมาคุย ชานเมืองก็ห่าง NYC แค่ 1 ชั่วโมงนะค้า แหนะ ยังจะคุยอีก เอาน่า มาถึงก็อารมณ์ว่าร้อนก็ร้อน เหม็นตัวเองด้วย ไปอาบน้ำดีกว่า ที่พักแบบที่พักนักศึกษาเลยอะ ห้องนอนพัดลม นอนรวม 3 คน ห้องอาบน้ำเป็นห้องใหญ่ๆ ห้องนึง มีม่านกั้นแยกตามฝักบัว พอมีคนมาพักกันเต็มนะ โห บางคนก็แทบจะแก้ผ้าเดินเลย อะ เห็นแล้ว ก็อายแทน กรรม ว่าถึงตอนมาถึงห้องคนแรกก่อน พอเข้าห้องเสร็จก็คิด ตูมาทำไรที่นี่ฟะ อยู่บ้านก็ดีอยู่แล้ว มีแม่ มีพี่ มาทำไรที่นี่เนี่ย

เฮ้อ วันนี้เอาเท่านี้ก่อนละกัน เมื่อยละ หิวข้าวแล้วด้วย เดี๋ยวมาเขียนต่อวันอื่น ในภาคอื่น ถ้าไม่ลืมนะจ๊ะ


Create Date : 03 กันยายน 2549
Last Update : 12 กันยายน 2549 2:45:10 น. 1 comments
Counter : 291 Pageviews.

 
ขอให้มีความสุขกับชีวิตในต่างแดนนะคะ
แวะมาทักทายค่ะ


โดย: ratchy69 วันที่: 3 กันยายน 2549 เวลา:8:36:09 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 

grapekmitl
Location :
Bay Shore, New York -- กรุงเทพฯ United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาใช้ชีวิตเป็น aupair ใน Bay Shore, New York 1 ปี ก็อยากจะบันทึกเก็บไว้กันลืม ถ้าไม่ขี้เกียจนัก ก็จะมาเล่าต่อ ปกติไม่เขียน Diary เลยอะ แบบว่า...
[Add grapekmitl's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com