|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
20 กันยายน 2550
|
|
|
|
The Brave One
ว่าจะไม่ดูหนังเรื่องนี้แล้วนะคะ เพราะแวบแรกที่เห็นใบปิดทั้งของไทยและเทศแล้ว แทบไม่มีอะไรให้น่าสนใจเลย ทื่อ เชย ไร้แรงดึงดูดให้เข้าไปมองใกล้ๆ ให้อยากดู
ว่าจะไม่ไปดู เพราะเมื่อได้ดูหนังตัวอย่างจบ ก็เกิดอาการเลี่ยน พาลจะเบื่อฟอสเตอร์ซะอย่างนั้น กับบทผู้หญิงที่เก่งและเกร่ง
และว่าจะไม่ไปดู เพราะไม่มีเหตุอะไรให้ต้องดูหนังดราม่าเรื่องนี้ ในโรงภาพยนตร์ระบบดิจิตอล
จึงประวิงเวลา ปล่อยเวลามาจนหนังเข้าแล้วเกือบๆอาทิตย์โน่นแน่ะ ด้วยทนความอยากรู้ อยากเห็น ว่าผู้กำกับในดวงใจของดิฉันจะมาแนวไหน ไม้ไหน
เกริ่นมาซะหลายย่อหน้า อยากจะเรียนอย่างนี้ค่ะว่า ดิฉันมีความเห็นต่อหนังเรื่องนี้ แตกต่างจากสมาชิกท่านอื่นเป็นอย่างมากทีเดียว
The Brave One เล่าเรื่องถึงนักจัดรายการวิทยุ ผู้กำลังไปได้สวยกับงานและความรัก กำลังจะได้แต่งงานกับคนที่รัก และรักตัวเอง
แล้วทุกอย่างก็จบลง ณ สวนสาธารณะกลางกรุง เมืองที่เธอและแฟนคิดว่าปลอดภัยที่สุด ได้พรากชีวิตคนรักของเธอไป นั่นยังไม่แย่เท่า...ที่เธอรอด
ชีวิตที่ไม่มีวันเหมือนเดิมได้อีกต่อไป เศร้านะคะ พล็อตเรื่องเศร้าเหลือเกิน เพราะนางเอกของเราค่อยๆกลายสภาพ ค่อยๆหวาดระแวง และถึงขั้นเปลี่ยนเป็นศาลเตี้ยเสียเอง
มาถึงตรงนี้แล้วอยากให้ทุกคนได้ดูและเก็บรายละเอียดกันเองนะคะ
หนังเดินเรื่องได้อย่างละเมียดละไมเหลือเกิน ปูพื้นให้เราได้เห็นข้อเท็จจริงในชีวิต เหมือนเราไปพบแพทย์น่ะค่ะ เมื่อตรวจอาการและวินิจฉัยโรคเสร็จ ก็พยากรณ์โรคให้เราฟังต่อ หนังเรื่องนี้ก็เดินตามรอยนั้นทีเดียวเชียว
ชี้ให้เราได้เห็นทั้งด้านดีและเลว บอกให้เราได้รู้ว่าคนและสัตว์ต่างกันตรงไหน สังคมทุกวันนี้เป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุด หนังบอกเราถึง กลไกในการทำงานของจิตใจ ว่ามันมีประสิทธิภาพเพียงใด
หนังให้น้ำหนักในการอธิบายทุกอย่างออกมาผ่านตัวละครสมทบ ผ่านชีวิตประจำวันของตัวละคร และผ่านสายตาที่บอบช้ำของเหยื่อ
ใครเลยจะคิดคะ ว่าวันใดวันหนึ่งเราอาจต้องกลายเป็นเหยื่อ กลายเป็นผู้สูญเสีย ที่ไม่มีอะไรจะทดแทนได้ กลายเป็นผู้หวาดระแวง ที่ๆเราเคยคิดว่าปลอดภัย ที่ๆเป็นเหมือนบ้านมาก่อน กลายเป็นศาลเตี้ย ที่ต้องถูกประณามจากสังคมอารยะ กลายเป็นผู้เสพความสุขและสนุกจากการล่า ฆ่า เพื่อแก้แค้น
และสุดท้ายอาจกลายเป็นเหยื่ออีกครั้ง...
เหล่านี้ล้วนสร้างคำถามขึ้นในจิตใจเมื่อเราดูจบ ถ้าเราตกเป็นเหยื่อล่ะ เราจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าเราสู้ล่ะ มันจะถูกมองเป็นอะไร ร้ายที่สุดแล้ว ไม่มีกระบวนการใดช่วยเยียวยาเหยื่อได้ ไม่มีวันเหมือนเดิม หรือเป็นคนเดิมได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะทางไหนใดๆก็ตาม
ดูจนเกือบจบดิฉันนั่งร้องไห้ค่ะ ยิ่งเมื่อถึงช่วงสุดท้ายของหนัง เมื่อตัวเอกของเรื่องยอมจำนนต่ออะไรๆในจิตใจ มันกลายเป็นหนังที่เศร้ามากๆ เพราะฉากต่อจากนั้นเหมือนตบหน้าคนดูนะคะ หนังย้ำให้เราเห็นถึงจิตใจคนที่อาจมองได้ว่า ตกต่ำเหลือใจ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์โลกอื่นจริงๆ
หลานชายดิฉันเลยแปลกใจยกใหญ่ ที่เห็นดิฉันนั่งร้องไห้
โลกเราโหดร้ายมากนะ สิ่งร้ายๆที่เกิดขึ้นกับเรา เราจำเป็นต้องมี "กำลังใจ" ที่จะอยู่ต่อ และนั่นล่ะ...คือสิ่งที่ยาก
นีล จอร์แดนกำกับหนังได้ละเมียดดีเหลือใจ ไม่เสียแรงเลยที่ดิฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้มานาน
ขอแสดงความนับถือเป็นอย่างสูงค่ะ
Create Date : 20 กันยายน 2550 |
|
5 comments |
Last Update : 20 กันยายน 2550 17:28:05 น. |
Counter : 511 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: nanoguy 20 กันยายน 2550 5:52:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: อบ IP: 203.170.231.232 26 กุมภาพันธ์ 2551 9:50:36 น. |
|
|
|
| |
|
|
Gloomy Sunday |
|
|
|
|
ไม่แปลกใจว่าทำไมต้องใช้ดารามากฝีมือทั้ง Jodie Foster และ Terrence Howard เพราะทั้งสองคาแรคเตอร์เปี่ยมไปด้วยความสับสนในตัวเอง ถ้าได้ดาราที่ประสบการณ์และฝีมือไม่ถึง ก็ไม่สามารถทำให้หนังออกมาดูดีได้ขนาดนี้เป็นแน่
ผมเชียร์ให้โจดี้ ได้ซักรางวัลในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า เพราะเธอเล่นได้ลึกซึ้งจริงๆ
อีกจุดที่ผมชอบมากคือ หนังไม่ได้เล่นประเด็นศาลเตี้ยแค่ชั้นเดียวอย่าง Death Note ที่บอกแค่ว่ามีอำนาจตัดสินคนด้วยศาลเตี้ย แล้วก็เหลิงอำนาจ แต่ใน The Brave One นั้นตัวละครทั้งสองก็มีความปรารถนาในใจเรื่องศาลเตี้ย แต่ก็ห้ามตัวเองอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะสภาพจิตใจของเอริก้าหลังจากยิงคนเป็นครั้งแรก เธอเฝ้าแต่พยายามหลอกตัวเองว่าเธอเป็นผู้พิทักษ์ แต่ในส่วนลึกของจิตใจ เธอก็ประณามตัวเองว่าเป็นฆาตกร
ฉากที่เธอสัมภาษณ์นักสืบเมอร์เซอร์ และฉากที่เธอเปิดใจถึงความรู้สึกต่อนิวยอร์กที่เปลี่ยนไป จึงกลายเป็นฉากที่ทรงพลังมาก ไม่แพ้ตอนจบเลย... (ฉากที่หนังตัดภาพทีมแพทย์รีบปลดเสื้อผ้าของเอริก้า กับฉากที่เอริก้ามีเซ็กส์กับแฟนหนุ่ม ก็เจ็บปวดเหลือเกิน)