Webblog : Futbol Review ท่องไปในดินแดนมหัศจรรย์ที่เรียกว่า...ฟุตบอล
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2558
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
3 กุมภาพันธ์ 2558
 
All Blogs
 
สิ่งที่เคยเห็น...และสิ่งที่เป็นอยู่

โค้กคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 1
เชียงใหม่ 0-0 เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
30 ม.ค.58
สนามกีฬาเทศบาล จังหวัดเชียงใหม่



เช้าวันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ อากาศที่แม่แตงเย็น ๆ กำลังสบาย

ผมเดินออกมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แล้วโพสต์ลงเฟซบุ๊ค

“เช้าสุดท้ายของช่วงหยุดยาวปีใหม่ (ช้ากว่าคนอื่นไปเดือนนึง) กับอากาศแสนเย็นที่แม่แตง

ถ่ายรูปดวงอาทิตย์มาแล้ว ก็คิดถึงโฆษณาดวงอาทิตย์ 365 วันที่จบตรง...You're my sunshine

แค่นี้นะ”

เพราะในเฟรนด์ลิสต์ของผมมี “สาวน้อยผิวเข้ม ตาคมราวกับสาวอเมริกาใต้” คนนั้น ผมก็เลยกะว่าจะลองยิง ๆ ดูเผื่อแฉลบไปให้เธอเห็นบ้าง...เธอที่เป็น “You're my sunshine” คนใหม่ของผม <3...หลังจากตรอมตรมกับการเลิกราจากรักครั้งเก่ามานานถึง 2 ปี

สัก (หลาย) พัก เธอเดินออกมาจากห้องพักของเธอ พอเห็นผม เธอก็ชวน

“ไปขี่จักรยานเล่นกันไหม?”

ที่พักแห่งนี้เค้าจัดเตรียมจักรยานไว้ให้แขกที่มาพักด้วย แต่ผมมันเชื้อจีนไง ;-p เลยบอกเธอว่า

“พี่ขี่ไม่เป็นอ่ะ”

เธอก็เลยขี่คนเดียวเลย (สงสัยมีเชื้อแขก ^^)

ปั่นไปได้ไม่ไกล เธอก็ย้อนกลับมา แล้วก็ลงจากจักรยาน

“อ้าว นึกว่าจะปั่นไปไกลกว่านี้?” ผมถามแซว

“ก็พี่ไม่ปั่นไปด้วย ถ้าไปด้วยจะได้ปั่นออกไปข้างนอกโน่นเลย!” เธอตอบ

ผมอาจจะไม่ได้ปั่นจักรยานไปพร้อมเธอในวันนี้ แต่ผมสัญญากับตัวเองในใจว่า...

จะเดินเคียงข้างเธอไปจนตลอดชีวิต ^^




You're my sunshine


“ทริปแม่แตง” ครั้งนี้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่ออฟฟิศของเธอมีงานที่เชียงใหม่ วันที่ 30 มกรานั่นแหละ ส่วนผมทำงานลากยาวมาตั้งแต่ธันวาคมยังไม่ได้หยุดปีใหม่เลย ก็เลยคิดว่าจะขอลาวันที่ 30 มกราสักวันนึง แล้วเที่ยวเชียงใหม่กะเธอให้สนุก

บังเอิญแท้ ๆ ที่วันที่ 30 มกราคมซึ่งเธอทำงาน ที่เชียงใหม่ดันมีเกมโค้กคัพ รอบรองชนะเลิศ ระหว่างเชียงใหม่กับเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดพอดี...คอบอลอย่างผมมีเหรอจะพลาด ^^b

โดยเฉพาะกับ “โค้กคัพ” ที่เป็นความทรงจำในวัยเยาว์ของผม

ก่อนไปเชียงใหม่ พอดีเข้าไปอ่านในพันทิป มีล็อกอินคนนึงมาตั้งกระทู้ว่า

“โค้กคัพหายไปไหนซะนาน ทำไมมาโหมโฆษณาในช่วงนี้”

แล้วก็มีความเห็นนึง ที่ล็อกอินน่าจะเป็นนักบอลสังเวียนโค้กคัพเก่ามาก่อนมาตอบว่า

“ถ้ากลับไปทำเหมือนเมื่อก่อน...จะได้ใจคนรุ่นผมมากกว่านี้ครับ

เมื่อก่อนชุมชนได้มีส่วนร่วมจริง ๆ เริ่มตั้งแต่ทุกโรงเรียนส่งทีมเข้าแข่งคัดเลือกภายในจังหวัด...ทีมที่ได้แชมป์ ได้สิทธิ์ส่งทีม อาจจะมีไปดึงตัวผู้เล่นเด่น ๆ จากทีมอื่นมาบ้าง รวมกันเป็นตัวแทนจังหวัด ไปคัดเขต

ผมยังจำวันที่ไปหยอดเหรียญที่ตู้โทรศัพท์บอกพ่อว่า...คืนนี้จะออกทีวีช่วงข่าวกีฬาช่อง 7..พ่อไปตามญาติ ๆ และเพื่อนบ้านมารอดูกันให้พรึ่บ

โอ้วววว...มันเป็นความประทับใจที่ยากจะลืมเลือนของเด็กบ้านนอกคนนึงอย่างผม

แต่ปัจจุบันนี้เป็นการเอาสโมสรมาแข่งกัน...แล้วเด็ก ๆ ต่างจังหวัดจะมีโอกาสได้สัมผัสหรือครับ

โค้กคัพรุ่นพี่ชื่อณัฐวุฒิ เข็มทิศเป็นอิสุกอิใสก่อนแมทช์ชิง ผมยังจำได้เป็นข่าวดังมาก..นี่แค่ฟุตบอลเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีนะครับ

แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้วครับ

จากใจ..เด็กบ้านนอก โค้กคัพ รุ่นสุดท้ายก่อนเว้นวรรค”

“โค้กคัพรุ่นสุดท้ายก่อนเว้นวรรค” คือโค้กคัพปีสุดท้ายที่จัดในระบบเก่า หลังจากนั้นพอกลับมาจัดใหม่ ก็ปรับเปลี่ยนระบบ ปรับเปลี่ยนรุ่นอายุ จนปัจจุบัน ด้วยกระแสฟุตบอลสโมสรอาชีพที่กำลังติดลมบน โค้กคัพจึงถูกปรับเปลี่ยนมารองรับระบบฟุตบอลสโมสรอาชีพมากขึ้น ให้กลายเป็นทัวร์นาเมนท์ลับฝีเท้าของบรรดานักเตะอะคาเดมีหรือเยาวชนของสโมสรต่าง ๆ




ตั๋วฟุตบอลเกมนี้ ลืมถ่ายตอนยังไม่ฉีก


ถามผม ผมก็ยังชอบและยังจำความคลาสสิกของฟุตบอลโค้กคัพในแบบเก่าได้อย่างไม่ตกหล่นนะ

โค้กคัพปี 31 นักเตะเชียงรายเพิ่งสึกมาเกินครึ่งทีม เป็นทีม “เส้าหลิน ซอกเกอร์” ไปเลย

ปีเดียวกัน ดาวเด่นของเทพศิรินทร์คือศราวุธ ยงพีระกุล ได้ชื่อว่าเป็นจอมปั่นฟรีคิก จนคอลัมน์ “คอร์เนอร์ แฟลก” ในสยามกีฬาเขียนแซวว่า “แหม! พอไปถามว่าทำไมยิงได้เฉียบแบบนั้น ก็โม้กลับมาว่าซ้อมเป็นวันละร้อย ๆ ลูก”

โค้กคัพปี 32 กับตำนาน “สตีฟ ฟอสเตอร์ เมืองไทย” (สำหรับแฟนบอลรุ่นใหม่ สตีฟ ฟอสเตอร์เป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟของทีมลูทัน ทาวน์ ที่มีเอกลักษณ์คือใส่เบอร์ 5 และมีผ้าคาดหน้าผากเสมอ) ปีนั้นณัฐวุฒิ เข็มทิศ ซูเปอร์สตาร์ของทีมบุรีรัมย์ป่วยเป็นอีสุกอีใสระหว่างทัวร์นาเมนท์ แต่สามารถลงช่วยทีมในนัดชิงชนะเลิศได้ ด้วยการใส่เสื้อแขนยาว คาดหน้าผากเอาไว้ ที่สำคัญคือใส่เบอร์ 5 และเล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟ! ก็เลยดูเหมือนสตีฟ ฟอสเตอร์มาก ๆ (ความจริงณัฐวุฒิเล่นได้ทุกตำแหน่งนั่นแหละเพราะเป็นนักบอลอัจฉริยะมาก ๆ แต่นัดชิง โค้ชเลือกใช้งานในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ)

ปีเดียวกันมีนักเตะลพบุรีที่ไม่ได้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย แต่ผมกลับจดจำชื่อได้แม่นเพราะคอลัมน์ “คอร์เนอร์ แฟลก” เช่นเดิมพูดถึง เขามีชื่อว่า “ปิยะพงษ์ เสาร์อ่อน” (ปีต่อมาเข้าเรียนที่สวนกุหลาบ เป็นปีกขวาตัวจี๊ดเลย)

โค้กคัพ ปี 33 (ปีสุดท้ายก่อนเว้นวรรค) กับ 4 พระกาฬแดนหน้าแห่งปากน้ำโพที่ช่วยกันป่วนแนวรับคู่แข่ง ช่วยกันยิงประตูถล่มทลาย และสุดท้ายนครสวรรค์ได้แชมป์มาครองสมใจจริง ๆ

ฯลฯ

อะไรเหล่านี้

ผมว่าอีกจุดนึงที่ทำให้โค้กคัพแบบเก่าโด่งดังและยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผมมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ “สื่อ”

สื่อสิ่งพิมพ์อย่างสยามกีฬามีเนื้อหาให้ติดตามเยอะมาก (ทุกวันนี้ก็โอเค มีรายงานผล ซึ่งก็ละเอียดพอสมควร เพียงแต่เนื้อหาย่อย ๆ สกู๊ปข่าว เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยลดลงไปจากวันเก่า ๆ เยอะ)

สื่อทีวี มีการถ่ายทอดสดนัดเปิดสนามและนัดชิงชนะเลิศทางช่อง 7 สีเสมอ (ทุกวันนี้ถ่ายทอดสดมากนัดกว่านะ แต่บอลรายการนี้ไม่อยู่ในสายตาช่องยักษ์ใหญ่แห่งหมอชิตซะแล้ว เลยต้องถ่ายทอดสดตามมีตามเกิดทางสยามสปอร์ต ทีวี)

แต่ไม่ว่าโค้กคัพจะแปรเปลี่ยนแบบใด ผมก็ยังอยากติดตามอยู่เสมอ




เชียงใหม่เปิดบ้านต้อนรับเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด


หลังจากลากกระเป๋าไปดรอปไว้ในโรงแรมเรียบร้อยแล้ว ผมก็เรียกรถแดงไปสนามกีฬาเทศบาลเชียงใหม่ทันที ซื้อตั๋ว แล้วก็ก้าวขึ้นสแตนด์ฝั่งเมืองทองซะด้วย

แอบรู้สึกภูมิใจนิด ๆ ที่เป็นคนแรกบนสแตนด์เชียร์ของทีมยักษ์ใหญ่ที่กองเชียร์พร้อมสนับสนุนทีมในทุก ๆ ชุดทีมนี้...ดูคล้าย ๆ ผมรักทีมยิ่งกว่าพี่ ๆ เอ็นโซนที่แสนโด่งดังนั่นซะอีกนะเนี่ย

สักพักเจ้าหน้าที่ของเชียงใหม่มาถาม

“มากันเยอะมั้ยครับ...เมืองทอง?”

“ยังไม่เห็นเลยครับ...แล้วผมก็ไม่ใช่กองเชียร์เมืองทองด้วยนะ (อ้าว!)” ผมตอบกลับไป

พี่เค้าเชื่อทันทีเพราะผมใส่เสื้อโปโลสีน้ำเงิน ส่วนผมก็คิดในใจว่าเดี๋ยวสักพักกองเชียร์เมืองทองก็คงยกโขยงกันมาเชียร์มั้ง...แล้วพี่เล่นกันที่นั่งไว้ให้แค่บล็อกเดียว มันจะพอมั้ย?

ผมแอบตามพี่เจ้าหน้าที่คนนั้นไปอีกนิด เค้าได้รับคำสั่งจากหัวหน้ามาอีกว่า

“ที่นั่งตรงนั้น อย่าให้แฟนเชียงใหม่เข้าไปนั่งเลยนะ เรากันไว้ให้แฟนบอลเมืองทองเท่านั้น!”

ภาพตัดไวไปที่ตอนเกมเริ่ม

อัฒจันทร์บล็อคนั้นมีแต่แฟนบอลชาวเชียงใหม่ แซมด้วย “คนเสื้อโปโลแดง” ไม่ถึง 10 คน เป็นตัวสำรองที่ไม่มีชื่อและเจ้าหน้าที่ทีมของเมืองทอง ยูไนเต็ดนั่นเอง!




กองเชียร์ "พยัคฆ์ล้านนา" ที่อัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม


เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดชุดนี้ขนขุนพลเอกมาเล่นหลายต่อหลายคน หลาย ๆ คนเพิ่งคว้า “ดับเบิลแชมป์” บอลนักเรียนมาหมาด ๆ กับอัสสัมชัญธนบุรี (กรมพละ ประเภท ก รุ่น 18 ปีกับบอล 7 คน ช่อง 7 สี มณี 7 แสง)

โค้ชสุรพงษ์ คงเทพจัดผู้เล่นลงในระบบ 4-2-3-1 เทรนด์นิยมทีมใหญ่ มีอิทธิกร การสร้างเป็นผู้รักษาประตู

แผงหลัง 4 คนไล่จากขวามาซ้ายมี สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ (กัปตันทีม), อุกฤต เทียมเลิศ, ณัฐชนน แก้วประสิทธิ์และสุประวีณ์ มีประทัง

กองกลางคุมทัพโดยพิธิวัต สุขจิตธรรมกุลกับอติคุณ มีท้วม โดยมีภาคภูมิ ศรีชัย, วงศกร ชัยกุลเทวินทร์และชัยวัฒน์ บุราณทำเกมอยู่ข้างหน้า มีพิชา อุทราเป็นดาวยิงประจำทีม




11 ขนพล "เด็กกิเลน"


ในขณะที่เชียงใหม่นั้น โฆษกสนามบอกว่าตัวหลัก ๆ มาจากสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่ ก็ไม่น่าแปลกใจที่วันนี้มีนักศึกษาจากสถาบันนี้เข้ามาส่งเสียงเชียร์เพียบ! อ้อ เพราะสถาบันตั้งติดอยู่กับสนามเลยด้วย

ทีมเสริมผู้เล่นบางส่วนจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่และโรงเรียนวชิรวิทย์...อ้อ! โรงเรียนหลังนี่พกดีกรีแชมป์ 18 ปี กรมพลศึกษาประเภท ค มาเหมือนกันนะนี่ โดยได้แชมป์ร่วมกับโรงเรียนพันท้ายนรสิงห์เพราะวันชิงฝนตกหนัก แข่งขันไม่ได้ คณะกรรมการจัดการแข่งขันเลยยกแชมป์ให้ไปครองคู่กันเลย

บุญชัย เลิศพิริยะชัยกุล เฮดโค้ชเชียงใหม่จัดผู้เล่นในระบบ 4-4-2 มีปริญญ์ กุญชรเป็นผู้รักษาประตู

แผงหลังแบบไลน์ดีเฟนซ์ 4 คนไล่จากขวามาซ้ายมีธนวัฒน์ แสนสุข, สราวุธ ต๊ะวงศ์ใจ, กฤษฎา วงศ์มากและณัฐวุฒิ สมปาน

แดนกลาง 4 คนมีสุรชัย ปัญญาคุมเกมร่วมกับรณชัย คำปันนา มีศิชล ชมพูรัตน์ขึ้นเกมทางขวาและมณฑล เชื้อศรีลาอยู่ทางซ้าย

คู่หน้าเป็นปราการ บริคุตกับวิชญะ พรประสาท




แอบถ่ายเบื้องหลัง "เด็กพยัคฆ์ล้านนา"


เกมช่วง 10 นาทีแรกค่อนข้างสูสีดู๋ดี๋ แต่ทีมเยือนอย่างเมืองทองดูจะมีความดุดันกว่าเล็ก ๆ

“ฉีดน้ำเยอะเกิ๊น” น้องนักศึกษาสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตเชียงใหม่ที่นั่งข้างผมบ่นออกมาหลังจากเห็นว่าเกมของเชียงใหม่ต่อบอลกันไม่ค่อยเนียนกริ๊บเท่าไหร่ (ไปโทษสนามซะงั้น ^^!)

เกมของเชียงใหม่ส่วนใหญ่ใช้ความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นพาบอลไปข้างหน้า โดยอาศัยวิชญะคอยยืนค้ำเพื่อเผด็จศึก แต่วันนี้เหมือนไม่ค่อยท็อปฟอร์ม หลายจังหวะ วิชญะจับบอล แต่งบอลไม่ดี เลยไม่สบโอกาสยิงจะ ๆ สักที

ส่วน “กิเลนเด็ก” นั้นอาศัยมิดฟิลด์หมายเลข 7 อย่างพิธิวัตคอยบงการเกม คอยควบคุมจังหวะ หมอนี่ดีกรีระดับผ่านทีมเยาวชนไทย 19 ปีมาแล้วและไทยพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่จะถึงนี้มีชื่อในทีมชุดใหญ่ของทีมซะด้วย

นาทีที่ 30 วงศกรของเมืองทอง ยูไนเต็ดสบโอกาสโหม่ง แต่กลับกดไม่ลง เหิรข้ามคานไป จึงยังไม่อาจขึ้นนำได้

ก่อนหมดเวลา 8 นาที ธนวัฒน์ แบ็กขวาเชียงใหม่ก็มารับใบเหลืองใบแรก เมื่อไปหยุดเกมจี๊ดจ๊าดของชัยวัฒน์ บุราณเข้าให้

ช่วงท้ายเกม เมืองทองสบโอกาสยิงบ้างประปรายจากการทำเกมจากริมเส้น แต่ตัวจบสกอร์ก็ยังจูนไม่ติด ทำให้สกอร์ในครึ่งแรกต้องจบลงที่ 0:0 แบบอ้อยอิ่งเล็ก ๆ




วิชญะ (10-นอน) ตัวความหวังของเชียงใหม่ก็ต้องถูกอัดเจ็บบ้างเป็นธรรมดา


เชียงใหม่เป็นฝ่ายเปิดเกมอย่างดุดัน เข้าบดขยี้ทีมเยือนก่อนเลยหลังจากนกหวีดครึ่งหลังดังขึ้นจากปากของคุณอลงกรณ์ ฝีมือช่าง แต่เวลาผ่านไปได้สักพักก็กลายเป็น “กิเลนน้อย” ที่ทำเกมได้ดีกว่า

นาที 53 การต่อบอลที่ยอดเยี่ยมของเมืองทอง ยูไนเต็ดทำให้ชัยวัฒน์หลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับปริญญ์ ปราการด่านสุดท้ายของเด็กพยัคฆ์ล้านนา แต่กลับยิงได้น่าผิดหวังมาก ๆ ๆ ๆ บอลข้ามคานไป

ถัดมา เชียงใหม่รีบปรับเกมทันที ส่งคริสเตียน ศิริมงคลไชยวงศ์ลงมา




ชัยวัฒน์ บุราณ...เสียดายมว๊ากกกก


เมืองทองพยายามเปิดเกมรุกมากขึ้น คู่แบ็ก “2 สุ” ดีกรีเยาวชน 19 ปีทีมชาติไทยอย่างสุพรและสุประวีณ์เริ่มเติมเกมรุกสวย ๆ กดดันคู่แข่งได้เรื่อย ๆ สุพรนี่มีชื่อในทีมชุดใหญ่เมืองทองในไทยพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่กำลังจะเปิดด้วย ส่วนสุประวีณ์ก็ใช่ย่อย ถูกส่งชื่อไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับพัทยา ยูไนเต็ดในลีกวัน (ร่วมกับพิชา อุทรา แนวรุกของทีม)

นาทีที่ 68 สุพรเติมขึ้นมา แล้วก็เปิดให้วงศกรได้โหม่ง น่าเสียดายที่บอลดันเฉี่ยวเสาสองไป แล้วในจังหวะถัดมา เชียงใหม่ขึ้นเกมเร็ว ต่อบอลกันฉุบฉับจนสุรชัยหลุดเข้าไปในพื้นที่อันตราย...น่าเสียดายที่จอมทัพหมายเลข 8 ของเด็กพยัคฆ์ล้านนาจับบอลไม่ดี ชวดโอกาสยิงประตูไปแบบที่แฟน ๆ รอบสนามส่งเสียงเสียดายกันขรม

เกมของเชียงใหม่ในครึ่งหลังตื้อไปซะเฉย ๆ กลายเป็นว่าโยนบอลยาวให้วิชญะใช้ความสามารถเฉพาะตัวแก้ไขสถานการณ์เป็นหลัก




ครึ่งหลัง เกมของเชียงใหม่ใช้การโยนไปข้างหน้าเป็นหลัก


สุรพงษ์ คงเทพ เฮดโค้ชทีมเยือนเริ่มปรับเปลี่ยนเกม หวังตุนชัยชนะกลับออกไปให้ได้ก่อน ส่งภูมินทร์ แก้วตาลงไปแทนภาคภูมิ นาทีที่ 76

ถัดมา 2 นาที มณฑลของเชียงใหม่มารับใบเหลืองไปชนิดที่เจ้าตัวโวยไม่น้อย เพราะจังหวะก่อนหน้านี้เหมือนผู้เล่นทีมเยือนทำฟาวล์ แต่ผู้ตัดสินดันเฉย แต่พอมณฑลทำบ้าง...เหลืองซะงั้น ในขณะที่กองเชียร์นั้นไม่ต้องพูดถึง ส่งเสียงโห่กันเกรียวตั้งแต่ครึ่งแรกแล้ว เนื่องจากพวกเขามองว่าคุณอลงกรณ์เป่าฟาวล์ให้เชียงใหม่ยากเหลือเกิน แต่กับทีมเยือนกลับได้ง่ายกว่า

นาทีที่ 81 เมืองทองส่งอิสริยะ มารมย์ลงมาแทนชัยวัฒน์

ถัดมาอีก 5 นาทีก็ส่งณัฐพล เปี่ยมพลายลงมาแทนอติคุณ

ช่วงทดเวลา ณัฐพลที่เพิ่งลงมาก็มาได้ใบเหลืองเพราะไปเบรกเกมคู่แข่งที่กลางสนาม

หมดเวลาทำอะไรกันไม่ได้ เสมอกัน 0:0 ลุ้นกันต่อที่เอสซีจี สเตเดียม 3 ก.พ.นี้




เมืองทองกับเชียงใหม่ยังต้องไล่ล่าโอกาสในการเข้าชิงชนะเลิศกันต่อในเลกสองที่เอสซีจี สเตเดียม


ผมเดินออกจากสนามก่อนโดยที่ไม่ได้เก็บบรรยากาศหลังเกมมากนัก คิดว่าจะไปแอ่วนิมมานท์เล่นซะหน่อย เพราะแพลนในวันรุ่งขึ้นคือนั่งรถล่องไปเรื่อย ๆ ทางแม่ริมและแม่แตงจนถึงจุดหมายสุดท้าย...รีสอร์ทที่พัก ซึ่งทำเป็นบ้านดิน

ถึงรูปแบบการแข่งขันและทีมบอลจะแตกต่างไปจากโค้กคัพดั้งเดิม แต่ถึงกระนั้น ก่อนเริ่มเกมที่ทางสนามเปิดเพลงต่าง ๆ ของโค้ก ไล่ตั้งแต่ “ส่งใจไปซ้อม ฝากใจไปแข่ง”, เพลงโค้กสำหรับบอลโลกที่แอฟริกาใต้ ไปจนถึงเพลงที่ผมว่า “พีค” มาก ๆ ก็คือเพลง “เพื่อเมืองไทยด้วยใจและใจ” เพลงนี้แหละที่ช่วยเรียกบรรยากาศแบบคืนวันเก่า ๆ ให้กลับคืนมา

"คืนวันที่ผันผ่าน เป็นตำนานเรื่องราว..."

“ตึ๊ง ตึ่ง” เพื่อนของผมคนนึงส่งข้อความมาทางเฟซบุ๊ค เรื่องการโอนตังค์เพื่อทำกิจกรรมของสมาคมนิสิตเก่า สถาบันที่เราเรียนด้วยกันมา คุยเรื่องงานเสร็จ เธอก็ถามสารทุกข์สุขดิบ

เพื่อนผม “เออ เธออยู่ ชม ใช่ป่ะ นี่เราอยู่สนามบินเนี่ย กะลังจะกลับ กท”

ผม “มาเที่ยวกะน้อง...”

เพื่อนผม “ออ คนนั้นน่ะหรอ ดีใจด้วย จะได้ลืม ๆ คนเก่า (ตอนนี้ลืมสนิทเลยอ่ะดิ)”

ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกรอบนึง...นี่ผม “ลืม (คนเก่า) สนิท” แล้วจริงหรอ?...ผมไม่แน่ใจเลย

ยอมรับว่าผมยังจำเรื่องราวดี ๆ ของเธอได้เสมอ เพียงแต่ตอนนี้ ผมรู้แค่ว่าหัวใจของผมอยู่ที่ไหนก็เท่านั้นเอง

บางครั้งเราก็ยังสามารถเก็บสิ่งเก่า ๆ เอาไว้ในพื้นที่ของมันได้เสมอ

เช่นกันกับโค้กคัพในรูปแบบเก่า ๆ ความคลาสสิกของมันยังคงตรึงตราอยู่ในความทรงจำของผมไม่แปรเปลี่ยน

ส่วนโค้กคัพรูปแบบใหม่ในทุกวันนี้ ถ้ามันคือ “ความยั่งยืน” ที่ช่วยพัฒนาระบบบอลอาชีพในเมืองไทยต่อไปได้ ผมว่ามันก็น่าจะ “ใช่” สำหรับฟุตบอลในทุกวันนี้นั่นแหละมั้ง

เราอาจจะอยู่กับ “สิ่งที่เคยเห็น” ได้ในบางเวลา

แต่สุดท้าย เราก็ควรใช้ชีวิตและสนุกไปกับ “สิ่งที่เป็นอยู่”




Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2558
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2558 0:20:11 น. 0 comments
Counter : 1475 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

baevi
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add baevi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.