Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
12 พฤศจิกายน 2550
 
All Blogs
 
[AF Story] Friendship: เพื่อน << รัก >> เพื่อน === ตอนที่ 6

==================

และแล้ว ครอบครัวที่มาถึงร้าน Bonne Appetit ซึ่งเป็นสถานที่นัดก่อนก็คือ ครอบครัวนักธุรกิจ เจ้าของกิจการที่มีชื่อเสียงหลายแห่งในเมืองไทย อ๊อฟ เปรี้ยว โด่ง และตุ้ย นั่นเอง

Bonne Appetit ถึงชื่อร้านจะเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่อาหารภายในร้านนั้น มีหลายประเภท หลายสัญชาติ โดยจะจัดแบ่งเป็นสัดส่วนไว้ ทำให้ขนาดของร้านนั้นค่อนข้างใหญ่โตเลยทีเดียว

บริเวณที่ตูนหัวหน้าพ่อครัวบอกพนักงานให้จัดไว้สำหรับงานสังสรรค์อยู่ภายในครัวอาหารจีน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เหลา นั่นเอง


“สวัสดีครับบอส” ตูนยกมือไหว้ทันทีเมื่อเห็นอ๊อฟผลักประตูเข้ามา “ผมจัดโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญด้านในเลยครับ”

วันนี้เจ้านายของเขาอยู่ในชุดลำลองสบายๆ แปลกตาไปกว่าทุกครั้งที่จะออกไปทางสูทหรือชุดที่เป็นทางการมากกว่า... คงเป็นเพราะวันนี้วันหยุดด้วยกระมัง


“เออ ตูน เมื่อกี้ชั้นเห็นจิ๊กโก๋สองคนมายืนลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าร้าน นายช่วยออกไปดูหน่อยซิ”

นี่ล่ะ หน้าที่หัวหน้าพ่อครัว สากกะเบือยันเรือรบ ต้องทำตั้งแต่เปิดร้าน จัดโต๊ะ ทำอาหาร ไล่จิ๊กโก๋ เรียกได้ว่า ทำตั้งแต่ตำแหน่งเบ๊จนถึงผู้จัดการเลยทีเดียว แต่มันก็มีข้อดี คือ เขาจะใกล้ชิดเจ้านายมากกว่าพนักงานคนอื่นๆ เวลามีอะไรเดือดร้อน จะสามารถปรึกษาได้ และโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือก็มีไม่น้อย


“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะออกไปดูให้”

ตูนรับคำ ก่อนที่ผลักประตูกระจกของร้านออกไปดูจิ๊กโก๋ที่เจ้านายว่า
เอ๊ะ สองคนนั้นมันหน้าตาท่าทางคุ้นๆ นะ... คนนึงสูง คนนึงเตี้ย... เขาคิด พลางขยับแว่นสายตาที่จะใส่ตลอดเวลาเมื่อไม่ได้ทำอาหาร เพราะเวลาอยู่ในครัวนั้น ตูนจะใส่คอนแทคเลนส์แทนเพื่อความสะดวก แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ถนัดที่จะใส่แว่นมากกว่าอยู่ดี


“เฮ้ย พวกแกสองคน มายืนลับๆ ล่อๆ อะไรหน้าร้านวะ”

ตูนปรี่เข้าไปประชิดตัวสองคนนั้น ก่อนจับไหล่คนตัวเล็กให้หันมาประจันหน้ากับเขา กะว่าจะเล่นงานเสียให้เข็ดข้อหาที่กล้ามาป่วนร้านที่เขาดูแลอยู่
แต่เมื่อ ‘จิ๊กโก๋’ หันมาพร้อมกับดวงตาเบิกกว้าง ตูนก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ


“เฮ้ย ไอ้ก้อ” พลางมองข้ามไหล่ก้อไป “ไอ้บอย มาทำอะไรที่นี่วะ”

ที่เขาดีใจขนาดนี้ก็เพราะว่าเวลาชวนให้สองคนนี้มาที่ร้านทีไรนั้น มักจะโดนปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงตลอด เพราะสาเหตุอะไรตูนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน


“ลมอะไรหอบพวกเอ็งมาถึงที่นี่เนี่ย”

ก้อกับบอยก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เห็นตูนหลังจากที่ติดต่อไม่ได้มาเสียนาน แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ตั้งใจมาบอก ใบหน้าก็เหี่ยวลง


“ทำไมหน้าเป็นงั้นล่ะ”

“ไอ้ตูน อย่าตกใจนะ” ก้อพูดออกมาด้วยใบหน้าและเสียงที่เรียบเฉย

“หอพักเจ๊ที่เราอยู่กันอะ ตอนนี้เจ๊งแล้วนะ เราไม่มีที่อยู่กันแล้ว...”

ก้อยังพูดต่อจากนี้อีกมาก แต่ประสาทหูของตูนนั้นไม่รับรู้แล้ว...
ไม่มีที่อยู่...!!
แล้วจะไปนอนที่ไหนล่ะเนี่ย...??

หลังจากที่ครอบครัวอ๊อฟมาถึงไม่นาน รถฮอนด้าแอคคอร์ดสีบรอนซ์ทองที่อัดแน่นด้วยสมาชิกของครอบครัวหรรษาก็มาถึงสถานที่นัดหมายจนได้


“ร้านใหญ่จังเลย” พัดพูดขึ้นเป็นคนแรก เมื่อได้เห็นร้านอาหารของเพื่อนอย่างเต็มตา
“อ๊อฟนี่มันเก่งเนอะพ่อเนอะ เห็นบ้าๆ แบบนั้น ไม่เชื่อว่าจะบริหารธุรกิจได้ไกลขนาดนี้”

กฤตเองก็เห็นด้วยกับภรรยา เขามองป้ายไฟ Bonne Appetit ขนาดใหญ่ด้วยแววตาที่ชื่นชม

ถึงดูภายนอกอ๊อฟจะเป็นคนขี้เล่น แต่จริงๆ แล้วข้างในไม่ใช่แบบนั้นเลย เพื่อนเขาคนนี้เป็นคนจริงจังกับงานทุกอย่างที่ทำมาก จึงไม่แปลกที่ธุรกิจซึ่งเพิ่งตั้งต้นได้ยังไม่ถึงสิบปีขยายใหญ่โตขนาดนี้

“ต้าว่า เรารีบเข้าไปในร้านกันเถอะครับ เลยเวลามาได้พักนึงแล้ว” ต้าว่า พลางดันหลังน้องสาวหน้าตาคล้ายกันให้เข้าไปร้าน

“มิ้นก็ด้วย อย่ามัวแต่เมาท์” ที่ต้าพูดแบบนั้นเพราะเห็นมิ้นคุยกระจุ๊กกระจิ๊กอะไรไม่รู้กับซาร่ามาตั้งแต่ในรถแล้ว

“ค่ะ ผู้คุมกฎ เลทห้านาทีก็ไม่ได้”

มิ้นแซวพี่ชาย ต้ามีนิสัยแบบนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ตรงต่อเวลากับทุกๆ กิจกรรมในชีวิต


“อ้าว มันก็ถือว่าเลทมั้ยล่ะ รีบๆ เข้าไปเหอะน่า”

ซาร่ายิ้มให้กับพี่ชายกับน้องสาวตรงหน้า จากที่คุยกันในรถกับมิ้นเมื่อกี้นั้น ได้รู้ว่ามิ้นเด็กกว่าเธอเกือบสองปีแน่ะ แต่เรียนชั้นเดียวกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะซาร่าซึ่งเกิดและอยู่ที่เยอรมนีจนถึงสองขวบ พอย้ายมาอยู่เมืองไทยจึงต้องปรับตัวหลายอย่าง กว่าคุณแม่กุ๊กจะส่งเข้าโรงเรียนได้

ไปๆ มาๆ ก็เลยต้องเรียนช้ากว่าอายุจริงไปสองชั้น
และถึงแม้ว่าซาร่าจะโตกว่า แต่พอได้รู้จักกับมิ้นในฐานะเพื่อนกันไปแล้ว เธอก็ปล่อยเลยตามเลย ไม่อยากจะไปเปลี่ยนอะไรให้มันยุ่งยาก อีกอย่าง มิ้นตัวโตกว่าเธอตั้งเยอะแน่ะ

พอต้าผลักประตูนำเข้าไป เขาก็ได้ยินคนเรียกชื่อตัวเองดังลั่น


“เฮ้ย ไอ้ต้า” เสียงคุ้นๆ นะ เขาคิดในใจ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง ก็ยิ้มออกมาเพราะขำกับท่าทางดีใจเกินพอดีของคนที่เรียกเขา

“จะดีใจอะไรขนาดนั้นบอย ก็เจอกันอยู่บ่อยๆ”

บอยกับต้า รวมถึงตูนและก้อด้วย เป็นเพื่อนต่างคณะ แต่ร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันมาก่อน ทั้งสี่คนมารู้จักกันก็เพราะตั้งใจมาสมัครเข้าวงดนตรีของมหาวิทยาลัยเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ต้องเป็นคู่แข่งกันแท้ๆ แต่ต้าก็ไม่เคยมองอีกสามคนด้วยมุมมองเช่นนั้นเลย

เมื่อทั้งสี่ไม่ผ่านการคัดเลือก ก็ได้มารวมตัวกันตั้งวงดนตรีกันเอง แล้วตระเวนเล่นตามร้านอาหารแถวมหาวิทยาลัย ได้เงินมากิน เที่ยว เล่นกันไม่ใช่น้อย
จะมีตูนที่รักในเสียงเพลงก็จริง แต่ร้องเพลงไม่ผ่านมาตรฐานตามที่แต่ละร้านต้องการ เลยผันแปรไปเป็นฝ่ายเสบียงของวงแทน
พอเรียนจบ วงนี้ก็เป็นอันเลิกไป เพราะต่างคนต่างก็แยกย้ายไปทำงานตามสายที่ตัวเองสำเร็จการศึกษาไป แต่ก็ยังมีนัดพบปะสังสรรค์กันอยู่บ่อยๆ ต้าจึงแปลกใจมาก เมื่อเพื่อนดูดีใจกันสุดๆ เมื่อได้เจอหน้าเขา
และก็ถึงบางอ้อ เมื่อตูนอธิบายเหตุผล


“อ๋อ...หอพักเจ๊ง แล้วตอนนี้ไม่มีที่อยู่...อืมๆ” ต้า ยังไงก็ยังเป็นคุณชายมาดนิ่งเช่นเดิม ไม่ค่อยจะยินดียินร้ายอะไรกับคนอื่นเขาเท่าไร

“เออ แล้วเอ็งมาทำอะไรกันที่นี่วะ”

บอยและก้อตอบพร้อมกันว่า “มาหาไอ้ตูน” ต้าเลยหันไปถามตูนต่อ

“ทำงานดิ” ตูนตอบด้วยอาการงงๆ

“เอ็งไม่รู้เหรอว่าข้าทำงานที่นี่”

ต้าสั่นศีรษะ

“ฮึ ไม่รู้ร็อก...” ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“อ้าว งี้เอ็งก็รู้จักกับน้าอ๊อฟสิ ใช่มั้ย”

“บอสข้าน่ะเหรอ รู้จักดิ” พลางพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ข้าน่ะ มือขวาของบอสเชียวนะ”

ต้าพยักหน้ารับ ก่อนจะคิดในใจ แล้วทำไมถึงเครียดเรื่องที่อยู่นักหนาล่ะ น้าอ๊อฟรวยขนาดนั้น ถ้าเป็นมือขวาก็น่าจะขอไปอาศัยได้ไม่ยากนี่นา


“โอย...ถ้าข้าคนเดียวอะได้” ตูนตอบทันทีเมื่อต้าถามไป

“แต่นี่มีไอ้บอยไอ้ก้อด้วยไง บอสเค้าไม่รู้จักง่ะ ก็เลยไม่อนุมัติ อีกอย่าง...” พลางยิ้มมุมปาก

“ถ้าให้ข้าไปอยู่คนเดียวก็ไม่เอาหรอก มันไม่สนุกเหมือนอยู่กับเพื่อน”

“งั้นเอ็งจะทำยังไงต่อไป” ต้าหันมาถามก้อบ้าง

“มานอนบ้านข้าก่อนมั้ย”

ก้อเตรียมจะพยักหน้าเป็นเชิงว่า ‘เอาดิ’ แต่บอยกลับพูดเบรกขึ้นมาก่อน

“ไม่ดีมั้งต้า เกรงใจน้ากฤตกับน้าพัด”

ถึงแม้พ่อแม่ของต้าจะเป็นคนใจดีกับเพื่อนๆ ทุกคนของลูกชาย แต่การที่จะให้คนถึงสามคนไปนอนค้างที่บ้านแบบนั้น มันก็ดูไม่ดีเท่าไร อีกอย่าง น้ากฤตน่ะไม่เท่าไร แต่เขาไม่แน่ใจว่าน้าพัดจะให้...


“เฮ้ย ลืมไปแล้วเหรอว่ามีอีกหลัง ที่ปิดไว้ไง”

“เออใช่!!!” สามหนุ่มไร้บ้านหันมองหน้ากันด้วยความดีใจสุดกำลัง

ต้ามองภาพเพื่อนๆ ทั้งสามกอดคอกัน แล้วก็ยิ้มออกมา


“งั้นเอาเป็นว่าพวกเอ็งเตรียมขนของไปนอนบ้านข้าได้เลย” แต่ทิ้งท้ายไว้นิดหนึ่ง

“แต่แค่ชั่วคราวนะ” ต้าเริ่มหรี่เสียงพูดให้เบาลง เพราะพ่อแม่และน้องสาวเขาทยอยเดินกันเข้ามาแล้ว

“เพราะข้าก็ไม่รู้ว่าคุณแม่จะว้ากเอาเมื่อไร”

บนโต๊ะอาหารที่อ๊อฟสั่งให้เผื่อไว้อีกสองที่นั้นมันช่างพอดีจริงๆ เพราะก้อและบอยมานั่งร่วมโต๊ะเพิ่มด้วยเป็นสิบคนพอดิบพอดี ส่วนตูนก็ง่วนอยู่ในครัว นานๆ ทีจะให้คนอื่นรับช่วงแล้วโผล่หน้าออกมานั่งคุยบ้าง
หลังจากจัดการอาหารไปได้ค่อนท้อง พัดก็เริ่มชวนคนในโต๊ะคุย โดยเฉพาะกับเปรี้ยว
ซึ่งประเด็นหลักๆ ก็หนีไม่พ้นเรื่องความเป็นมาเป็นไปของกุ๊กซึ่งเป็นที่มาของการนัดสังสรรค์ในวันนี้


“กุ๊กมันแต่งงานตั้งแต่เมื่อไรอะ” เมื่อพัดเปิดโอกาสให้

เปรี้ยวจึงถามขึ้นมา “ทำไมมันไม่เห็นจะส่งกงส่งการ์ดอะไรมาให้ชั้นรับรู้บ้างเลย...” เธอพูดด้วยความน้อยใจ

เพราะตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว เพื่อนๆ มักจะเปรียบเปรยความสนิทสนมระหว่างเธอและกุ๊กไว้ว่าเหมือนปาท่องโก๋ กุ๊กมีอะไร เปรี้ยวจะรู้เป็นคนแรก และเช่นกัน เวลาเปรี้ยวมีอะไร กุ๊กจะรู้ก่อนเสมอ
แต่ทำไมเรื่องใหญ่อย่างแต่งงาน มีลูก กุ๊กถึงไม่ยอมบอกเธอกัน...


“กุ๊กไม่ได้แต่งในเมืองไทย” พัดเริ่มพูดดังขึ้น เพราะเสียงรอบข้างนั้นชักจะดังขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเริ่มคุยกับเปรี้ยวไม่รู้เรื่อง

“กุ๊กมันได้ทุนไปเรียนศิลปะต่อที่ฝรั่งเศส แล้วทีเนี้ย มันจะมีทริปทัวร์ยุโรป กุ๊กก็เลยได้ไปเยอรมัน แล้วก็ได้ไปเจอกับพ่อของซาร่าที่นั่น”

พัดว่า พลางหลิ่วตามองซาร่า ที่กำลังนั่งฟังตาแป๋ว สงสัยอยากจะรู้เรื่องแม่ก่อนที่ตัวเองจะเกิดล่ะมั้ง...เธอคิด


“ซาร่าเกิดที่เยอรมันใช่มั้ยคะลูก”

“ใช่ค่ะน้าพัด” ก่อนจะกระตือรือร้นขึ้นเมื่อจะได้คุยเรื่องแม่

“หนูอยู่เยอรมันถึงสองขวบ คุณแม่ก็พามาเมืองไทย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”

สีหน้าพัดเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อซาร่าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเรื่อง
เอาดื้อๆ

“แล้วตอนนี้หนูเรียนอยู่ชั้นอะไรแล้วคะ” ซาร่าเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ พัดถึงไม่ยอมคุยเรื่องของแม่ต่อ แต่ก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร เลยตอบคำถามไป

“กำลังจะขึ้นม.5 ค่ะ”

“เท่ามิ้นจริงๆ ด้วย” พัดยิ้มดีใจ “แล้วหนูคิดไว้รึยังคะ ว่าอยากเข้าคณะอะไร”

“ยังไม่ได้คิดเลยค่ะน้าพัด คะแนนหนูถึงคณะไหนหนูก็เรียนได้หมดล่ะ”

ซาร่าพูดไปตามความเป็นจริง จนถึงตอนนี้ เธอยังไม่มีคณะในฝันอะไรอยู่ในใจทั้งนั้น แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า พอใกล้ๆ อีกที เธออาจจะมีเป้าหมายในชีวิตเหมือนคนอื่นๆ บ้างก็เป็นได้

“เหมือนมิ้นเลยลูก รายนั้นนะ อยากเรียนคณะเดียวกับที่แม่ต้องการให้เข้าเป๊ะเลย น่ารักจริงๆ” พัดพูดด้วยแววตาภาคภูมิใจ

ซาร่ายิ้มแห้งๆ เพราะเธอนั้นรู้มาจากปากมิ้นเองว่า ไม่อยากเรียนเศรษฐศาสตร์เลยแม้แต่น้อย ที่ทำไปในทุกวันนี้นั้นเป็นเพราะว่า เพื่อคุณแม่ คำเดียวเท่านั้น
ถ้าคะแนนออกมาจริงๆ แล้วต้องเลือกระหว่างเศรษฐศาสตร์กับคณะอื่นที่มิ้นอยากเรียน
ซาร่าก็ไม่อาจคิดได้ว่า เมื่อถึงเวลานั้น สองคนแม่ลูกจะคุยกันอย่างไร...

ที่ซาร่าต้องนั่งอยู่กับพัดคนเดียวนั้น เป็นเพราะต้าเรียกมิ้นไปนั่งคุยเรื่องที่ว่าจะพาเพื่อนไปพักที่บ้านหลังเล็กที่ปิดไว้ และจะให้มิ้นไปพูดเรื่องนี้กับพัดนั่นเอง
ตอนนี้มิ้นกลายร่างเป็นกระต่ายยิ้มไม่ออกเสียแล้ว

“จะดีเหรอพี่ต้า ให้มิ้นไปพูดเรื่องนี้กับคุณแม่เนี่ย...”

“ดีอยู่แล้ว รับรอง คุณแม่รักมิ้นยิ่งกว่าใครทั้งหมด”

ต้าทำเป็นไปนวดไหล่น้อง เอาอกเอาใจเต็มที่ ก้อเห็นดังนั้นเลยจะทำตามบ้าง
แต่ก็ต้องเบรกจนแทบหัวทิ่ม เมื่อต้าร้องบอกว่า


“เฮ้ย ไม่ต้องมาแตะตัวน้องสาวข้าเลย นู่น กลับไปนั่งที่เดิมไป” ก่อนจะหันมาประคบประหงมน้องสาวต่อ “นะมิ้นนะ ไปพูดกับคุณแม่ให้หน่อย...”

“ก็ได้ ก็ได้” ไม่ใช่ว่ามิ้นเกิดใจอ่อนอะไรขึ้นมาหรอก เพียงแต่ถ้ายังปฏิเสธต่อไป พี่ชายเธอคนนี้คงจะไม่ยอมลดละเป็นแน่

“แต่มิ้นไม่รับประกันนะคะว่าจะสำเร็จน่ะ”

“ไปถามก่อน พี่ว่าคุณแม่ต้องให้”

“ค่ะ”


แล้วมิ้นก็เปลี่ยนสถานที่นั่งกลับไปยังเก้าอี้ข้างๆ พัด เพื่อไปเลียบๆ เคียงๆ ก่อนจะทำตามคำขอพี่ชาย
ระหว่างนั้น กฤตซึ่งเพิ่งกลับเข้ามาจากการเดินดูบริเวณรอบๆ ร้านของอ๊อฟก็เห็นลูกชายกับเพื่อนกำลังปรึกษาอะไรบางอย่างที่ดูสำคัญมากเข้าพอดี จึงเดินไปร่วมวงด้วย


“คุยอะไรกันอยู่ฮึ หนุ่มๆ”
เมื่อมีคนมาทักในขณะที่กำลังปรึกษาเรื่องที่เป็นความลับ ต้าก็สะดุ้งเฮือก แต่พอหันไปเห็นว่าเป็นพ่อของเขาเองก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก


“คุณพ่อมาก็ดี... ผมมีเรื่องอยากขอร้องหน่อยครับ” แล้วต้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กฤตฟัง...

เมื่อฟังจบ กฤตก็นิ่งเงียบไปเลย ราวกับว่ากำลังใช้ความคิด ทำให้ก้อและบอยผู้ไร้บ้านทั้งสอง ถึงกับนั่งลุ้นว่าเขาจะตอบว่าอย่างไรกันตัวโก่ง


“จริงๆ พ่อก็ไม่ว่าอะไรนะ...”

คำตอบของกฤตทำให้บอยและก้อเกือบจะกระโดดโลดเต้นในที่สุด แต่ก็ต้องชะงักตัวเองไว้ได้ทัน เมื่อกฤตต่อคำพูดจนจบประโยค

“แต่แม่เค้าน่ะสิ...พ่อว่าลำบาก...”

จะลำบากแค่ไหนนั้น สีหน้าของกฤตตอนนี้ก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด
ท่าทางต้องลุ้นกันจนเหงื่อตกแน่ๆ...บอยคิด

“ตอนนี้ต้ากำลังให้มิ้นไปขออยู่ พ่อคิดว่าจะสำเร็จมั้ยครับ”

“มิ้นเหรอ...ก็ไม่แน่เหมือนกัน แม่เค้าอาจจะให้ หรือไม่ให้ก็ได้”

เมื่อความหวังสุดท้ายเริ่มไม่แน่นอนและริบหรี่เข้าไปทุกทีๆ กลุ่มคนไร้บ้านก็เครียดกันไปเป็นแถบๆ

“คุณแม่ขา...” มิ้นเดินมาเกาะไหล่ผู้เป็นแม่แล้วพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน พลางทำหน้ากระต่ายอ้อน

“มิ้นมีเรื่องจะขอ...นิดนึง”

พัดเงยหน้าขึ้นมามอง “อะไรเหรอมิ้น”

“ก็...เพื่อนๆ พี่ต้าน่ะค่ะ เค้าไม่มีที่อยู่...”

หน่วยกล้าตายที่โดนไหว้วานมาค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดให้ฟังดูเข้าใจง่ายที่สุด เพราะมิ้นจะมีปัญหาในเรื่องการพูดในสถานการณ์ที่ตื่นเต้นมาก... เจอแบบนี้ทีไร จะพูดจาฟังไม่รู้เรื่องทุกที

“พี่ต้าก็เลยจะขอคุณแม่ ให้เพื่อนๆ อยู่บ้านพี่เปิ้ลพี่รี่น่ะค่ะ” ก่อนจะเว้นวรรคนิดหนึ่ง เพื่อรอดูสีหน้าของพัด “ได้มั้ยคะคุณแม่...”

“แล้วทำไมตาต้าไม่มาขอเองล่ะฮึ?” พัดยังไม่ยอมฟันธงสักที

“พี่ต้าบอกว่า...ถ้าให้มิ้นมาขอ คุณแม่น่าจะให้...” มิ้นพูดเสียงอ่อย เมื่อเริ่มโดนซักไซ้ไล่เลียงเข้าไปทุกที

“ไม่เห็นจะเกี่ยว” พัดว่าเสียงดุ

“แม่จะให้หรือไม่ให้มันขึ้นอยู่กับว่า เพื่อนต้าเป็นใคร มาจากไหน แม่จะสามารถวางใจได้รึเปล่าว่าจะไม่ทำบ้านเลอะเทอะ”

และอื่นๆ อีกมากมายที่พัดสาธยายมา นอกจากจะทำให้มิ้นหูชาแล้ว ซาร่าที่นั่งอยู่ด้วย ถึงกับต้องย้ายไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเปรี้ยว

“ไหน พาเพื่อนต้ามาคุยกับแม่ซิ”

มิ้นตบหน้าผาก...เอาแล้วไง...พลางหันไปกวักมือเรียกต้าและเพื่อนให้เข้ามาหาพัดที่โต๊ะ
ตอนนี้ตูนหมดหน้าที่และล้างไม้ล้างมือเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยต้องมาให้พัดสัมภาษณ์ด้วยอีกคน

“เป็นใครมาจากไหนน่ะทั้งสามคน” พัดถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตามธรรมดาของเธอเอง แต่คนที่นั่งตัวลีบอยู่เบื้องหน้ากลับรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตจากแม่ของเพื่อนคนนี้

“เริ่มจากเราก่อนเลย” พัดชี้ไปที่บอยก่อน


“เอ่อ ผมชื่อบอยครับ บ้านอยู่ขอนแก่น มาเรียนที่กรุงเทพ มหาลัยเดียวกับต้าล่ะครับ ก็เลยอยู่ทำงานที่กรุงเทพเลย... คือ ผมเป็นนักดนตรีอิสระครับ” เขาแนะนำตัวพอสังเขป พัดพยักหน้าว่ารับรู้ แล้วชี้ไปที่ก้อต่อ


“ก้อครับ เหมือนกับบอยทุกอย่าง อ้อ...ผมชอบเล่นคีย์บอร์ดครับ” พัดพยักหน้า ก่อนจะหันไปกระซิบเบาๆ กับมิ้นว่า

“คนอะไรชื่อแปล๊กแปลก” แล้วชี้ไปที่ตูน ซึ่งเป็นคนสุดท้าย


“ผมชื่อตูนครับ เป็นหัวหน้าพ่อครัวอยู่ที่ร้านนี้...” แต่ยังพูดไม่ทันจบ พัดก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน


“เราที่ทำอาหารพวกนี้ใช่มั้ย” เธอว่า พลางวนมือเหนือจานเปล่าที่วางอยู่บนโต๊ะ

“อร่อยมากกกก..... แม่ชอบ”

กฤตแอบยิ้มมุมปาก...ไอ้พวกนี้มันเข้าถูกทางเว้ย ลองไม่มีพ่อครัวสิ จอดแบบไม่ต้องแจวแน่ๆ...
เมื่อพัดใช้สรรพนามแบบนี้กับเพื่อนของเขา ต้าก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ปฏิบัติการขออาศัยครั้งนี้จะสำเร็จขึ้นมา... เพราะถ้าแม่ไม่ชอบเพื่อนของเขา แม่จะไม่มีทางใช้คำว่า ‘แม่’ แทนตัวเป็นอันขาด
เลยลองเสี่ยงถามไป


“สรุปว่า แม่ให้เพื่อนผมอยู่ใช่มั้ยครับ”
พัดยิ้มแล้วพยักหน้า “แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนิดนึงนะ”


“อะไรก็ได้ครับคุณแม่ เพื่อนผมทำได้หมด...” ในความคิดต้าตอนนี้ ขอแค่มีที่อยู่ก็พอ ไอ้พวกนี้มันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว

“เราน่ะ ชื่ออะไรนะ ตูนใช่มั้ย” ตูนทำหน้าเหลอเมื่อพัดเรียก

“ตูนต้องมาทำอาหารให้บ้านแม่ตอนมื้อเย็นทุกวันนะ” เมื่อเห็นตูนยิ้มรับ พัดก็พูดกับบอยและก้อ

“ส่วนเราทั้งสองคน ต้องคอยช่วยล้างจานหลังมื้อเย็นทุกวันเหมือนกัน อ้อ แล้วเวลาที่บ้านจัดงานเลี้ยง แม่ยกหน้าที่นักดนตรีให้นะ”

“แล้วค่าเช่า คุณแม่จะคิดเป็นยังไงครับ” ต้าถามเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะบ้านหลังนั้นถ้าตีเป็นราคาแล้วก็หลายอยู่เหมือนกัน

“ค่าเช่าเหรอ อูยยย....ไม่ต้องหรอก”


กฤตซึ่งยืนฟังเงียบๆ เบิกตากว้าง เพราะเขาไม่คิดว่า ภรรยาจะใจกว้างราวกับมหาสมุทรแปซิฟิกเช่นนี้ แต่เมื่อฟังต่อให้จบ เขาก็ร้องอ๋อเบาๆ ในลำคอ เพราะอย่างไรพัดก็ยังเป็นพัด


“แต่ค่าน้ำค่าไฟน่ะ ใช้เท่าไรก็จ่ายกันเองนะ ตกลงตามนี้”

============================================





Create Date : 12 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2550 21:18:09 น. 1 comments
Counter : 390 Pageviews.

 
แต่งเก่งจังค่ะ >_<


โดย: imuya วันที่: 16 พฤศจิกายน 2550 เวลา:14:55:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Diagonal
Location :
พิษณุโลก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Diagonal's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.