Group Blog
 
 
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
[AF Story] Friendship: เพื่อน << รัก >> เพื่อน === ตอนที่ 3

======


ในที่สุดเครื่องบินจากเกาหลีก็แตะล้อลงจอดที่สนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ ตุ้ยซึ่งนั่งริมทางเดินก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลุกขึ้นบิดตัวอย่างสุดจะทน “โอย ทำไมนั่งเครื่องบินถึงเมื่อยอย่างนี้วะ คราวหน้านะ ไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ไม่มาแล้ว!” ถ้าในที่แคบๆ อย่างบนเครื่องบินนี้สามารถทำอะไรแก้เมื่อยอย่างเช่น ยืดแข้งยืดขา ย่อยืด กระโดดตบได้ ตุ้ยคงจะทำอย่างแน่นอน


โด่งเห็นท่าทางบวกกับเสียงบ่นของเพื่อนก็อดยิ้มไม่ได้ ว่าแล้วเขาก็ย้อนนึกไปถึงวันที่ไปพูดชวนตุ้ยให้ไปเที่ยวเกาหลีด้วยกัน ตุ้ยปฏิเสธเสียยกใหญ่ จะไม่ยอมมาให้ได้ ชักปิง วัง ยม น่าน เจ้าพระยามาอ้างสารพัด แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมสักที


‘งั้นใครจะขับรถให้พ่อแม่โด่งล่ะ’ ปกติตุ้ยรับหน้าที่ขับรถไปรับไปส่งเปรี้ยวและอ๊อฟระหว่างบ้านและบริษัททุกๆ วัน ‘เราว่านะ คุณท่านไม่ให้เราไปหรอก’


ในที่สุดตุ้ยยกเหตุผลที่โด่งเองก็แย้งไม่ขึ้นจนได้


แต่พอโด่งนึกอีกที...เอ หม่าม้ารักเราจะตาย ถ้าขอนิดขอหน่อย ต้องอนุญาตให้ตุ้ยพักงานขับรถได้แน่ๆ อีกอย่าง ปะป๊าก็ขับได้สบายบรื๋อ ไม่มีตุ้ยก็ขับไปกลับเองได้อยู่แล้ว...


‘เอาเถอะ ยังไงเราก็ต้องให้ตุ้ยไปด้วยให้ได้’


ไม้ตายขั้นสุดท้าย โด่งจึงไปคุยเรื่องนี้กับเปรี้ยว


‘หม่าม้าคร้าบ ให้ตุ้ยไปเที่ยวเกาหลีกับโด่งน้า...’ เขาอ้อนแม่ราวกับย้อนอายุตัวเองกลับไปสิบขวบ ไม่เพียงแค่คำพูด โด่งยังเกาะแขนเปรี้ยวเป็นเชิงขอร้องเหมือนที่เคยทำเมื่อครั้งยังเป็นเด็กชายโด่งเสมอๆ และก็ได้ผลทุกครั้งไป...


คราวนี้ก็เช่นกัน


พอได้รับคำสั่งอนุมัติปุ๊บ โด่งก็วิ่งแล่นไปบอกตุ้ยทันที


‘ตุ้ย’ ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ ให้ ‘อ่านซะ’


ตอนนั้นตุ้ยกำลังง่วนอยู่กับการล้างทำความสะอาดบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์เจ็ดคันสวยของครอบครัวโด่งอยู่ มือเปื้อนทั้งน้ำยาล้างรถ เปียกทั้งน้ำเปล่า จึงไม่สามารถหยิบกระดาษแผ่นนั้นจากโด่งไปอ่านได้


‘โด่งอ่านให้ฟังหน่อยดิ มือไม่ว่าง’ และตาก็ยังคงจดจ่ออยู่กับรถเช่นเดิม


‘ก็ได้ๆ’


ใจจริงโด่งอยากให้ตุ้ยอ่านเองมากกว่า เขาอยากเห็นปฏิกิริยาของตุ้ยเมื่อข้ออ้างที่คิดว่าดีแล้วของตัวเองถูกปฏิเสธอย่างจัง ‘อะแฮ่ม! เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา ตุ้ยทำงานได้เยี่ยม ไม่เคยบกพร่องแม้แต่สักครั้งเดียว ดังนั้นแม่จึงอนุญาตให้ตุ้ยพักได้หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ’ โด่งยิ้มยิงฟันขาวจั๊วะให้ตุ้ย แล้วอ่านประโยคเด็ดตบท้าย ‘อ้อ จะไปเที่ยวเกาหลีกับโด่งก็ได้นะ เดี๋ยวแม่ออกค่าตั๋วให้’


พอฟังจบ ตุ้ยแทบจะล้มทั้งยืน...


มันทำได้อย่างที่บอกจริงๆ...



======


ทั้งโด่งและตุ้ยก็ลากกระเป๋าของตนเองไปยังประตูผู้โดยสารขาเข้า พอผ่านออกไปก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังลั่น ดังกว่าเสียงตุ้ยตวาด ‘จะบ้าเรอะ!’ บนเครื่องอีกแน่ะ


“ใครตะโกนอะไรน่ะ” ตุ้ยที่กำลังหงุดหงิดกับอาการเมื่อยตัวของตนเองโพล่งออกมา


“ไม่รู้ดิ” โด่งสั่นศีรษะ ก่อนจะหันมายิ้ม “ไปดูกันป้ะ”


แทนที่จะรอให้ตุ้ยตอบตกลงก่อนแล้วค่อยไป แต่หนุ่มตัวขาวบ้าพลังคนนี้กลับวิ่งปรู๊ดไปยังต้นกำเนิดเสียงทันทีที่ถามคำถามจบ เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะรอคำตอบจากตุ้ยด้วยซ้ำว่าจะไปหรือไม่ไป แถมยังทิ้งกระเป๋าไว้ให้เป็นภาระอีกต่างหาก


ตุ้ยโคลงศีรษะแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ


“เจ้านี่มันล้นดีจริงๆ”


แล้วจับที่ลากกระเป๋าของตัวเองและของโด่ง ค่อยๆ เดินตามไป


======


พอคนอยากรู้ไปถึง ก็ดูเหมือนว่าเหตุการณ์จะสงบลงเรียบร้อยแล้ว เสียงตะโกนโหวกเหวกก็เงียบไป ไทยมุงเมื่อครู่ก็กระจายไปหมดแล้ว เผยให้โด่งเห็นคนสี่ห้าคนที่อยู่ในบริเวณนั้นชัดๆ


คุ้นๆ นะนั่น หน้าเหมือนปะป๊าหม่าม้าเลย...โด่งคิดในใจ


เพราะสองคนในกลุ่มนั้นมีลักษณะท่าทางเป็นเอกลักษณ์อย่างที่สุด ผู้ชายร่างเล็ก ผิวขาว ตาตี่จนแทบจะเป็นเส้นตรง กับผู้หญิงที่มองใบหน้าด้านข้างแทบจะราบเรียบเสมอกัน


ที่ว่ามานี่มันพ่อกับแม่เขาชัดๆ


และเหมือนคนกลุ่มนั้นจะอ่านใจโด่งออก หันขวับมาที่เขาอย่างพอดิบพอดี


“ใช่ จริงๆ ด้วย หม่าม้า ปะป๊า สวัสดีครับ........”


“อ้าว ตาโด่ง มาถึงตั้งแต่เมื่อไรลูก” พ่อและแม่ของเขากำลังยืนหัวเราะสนุกสนานเฮฮาอยู่กับคนที่โด่งคุ้นๆ หน้าแต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร “เอ้อ พอดีเลย ลูกจำได้มั้ย ว่าใครเป็นใครกันบ้าง”


สงสัยแม่จะอ่านใจเขาออกจริงๆ ด้วย พอเขาอยากจะรู้ปุ๊บ ก็จะแนะนำให้รู้จักปั๊บ


“โด่งจำไม่ได้เลยครับ แหะๆ” เขาว่าไปตามจริง พลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ “คุ้นๆ ว่าเคยเจอ แต่จำชื่อเสียงเรียงนามไม่ได้เลย...”


“เฮ้ย นายจำเราไม่ได้จริงๆ เหรอโด่ง” เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มหน้าตี๋ร้องทักเขาเป็นคนแรก “เราต้าไง ที่เคยไปเล่นบ้านนายเมื่อตอนเด็กๆ น่ะ” โด่งขมวดคิ้ว พยายามจะนึกเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีต ก่อนจะร้องอ๋อออกมาดังๆ เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสองนาทีได้


“นึกออกแล้วๆ” โด่งยิ้มกว้าง “ว่าแต่ ทำไมนายหล่อขึ้นจังวะ เมื่อก่อนยังเห็นตาตี่ๆ ยิ้มแหยๆ อยู่เลย” แถมพูดแซวต้ากลั้วหัวเราะ


“เออ ขอบใจที่ยังจำกันได้” ต้ารับคำแซวด้วยริมฝีปากหักขึ้น “แล้วนั่นก็ คุณพ่อเรา” เขาผายมือไปทางกฤตที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ “นี่...คุณแม่เรา” ก่อนจะผายมือต่อมายังพัดที่ยืนยิ้มอยู่ “ส่วน ยายหมวยสี่คิ้วนี่ก็...น้องสาวเราเอง เจ้ามิ้น”
โด่งยกมือไหว้พัดกับกฤต และเช่นเดียวกันมิ้นก็ยกมือไหว้โด่ง แล้วฉีกยิ้มให้


“พี่โด่ง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน...” พอโด่งเห็นมิ้น ก็ทำท่าจะโผเข้ากอดผู้ที่เสมือนเป็นน้องสาวแท้ๆ อย่างที่เคยทำอยู่บ่อยๆ เมื่อครั้งเป็นเด็ก


มิ้นกับโด่งนั้น สนิทกันมาตั้งแต่เล็กๆ เพราะด้วยความที่โด่งไม่มีน้องสาว เวลามิ้นมาเล่นที่บ้าน เขามักจะชวนมิ้นเล่นด้วย แบ่งของว่างอร่อยๆ ให้มิ้นอยู่เสมอๆ


แต่ทว่า มันก็เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานานเกือบสิบปีแล้ว อยู่ดีๆ จะเข้าไปกอดมันก็ยังไงๆ อยู่ โด่งจึงชักมือกลับ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้


“แล้วน้องหน้าฝรั่งคนนั้นล่ะ พี่โด่งไม่ยักกะเคยเห็นหน้าแฮะ”


“เออ ใช่ มิ้นลืมแนะนำไป” ก่อนน้องสาวหน้าหมวยของเขาจะดึงเด็กฝรั่งคนที่ว่ามายืนด้วย


“นี่ซาร่า ลูกน้ากุ๊กไงพี่โด่ง”


======


ระหว่างที่กำลังยืนฟังลูกๆ คุยกันอยู่เพลินๆ พอได้ยินคำว่า ‘น้ากุ๊ก’ ปั๊บ เปรี้ยวก็หันมาตั้งใจฟังทันที


“เดี๋ยวมิ้น ตะกี้มิ้นว่าอะไรนะ” เปรี้ยวได้ยินมิ้นพูดว่าใครซักคนเป็นลูกของกุ๊กไก่ เพื่อนคนสำคัญที่สุดของเธอ ซึ่งไม่ได้ข่าวคราวนานแล้ว “มิ้นว่าใครเป็นลูกกุ๊กนะจ๊ะ”


“คะ?...” พอโดนถามอย่างนี้ มิ้นก็มองเปรี้ยวด้วยความสงสัย “ลูกน้ากุ๊ก ก็ร่าไงน้าเปรี้ยว”


พอได้ฟังดังนั้น เปรี้ยวก็หันมองหน้าร่าที หันมองหน้ามิ้นที หันมองหน้าพัดที แล้วอุทานออกมาดังๆ


“จริงเหรอ!!!”


“จริง กุ๊กมันมีธุระที่เยอรมันตั้งสองปีโน่น ก็เลยฝากลูกมาอยู่กับชั้น” พัดเป็นคนตอบให้ และเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเพื่อนที่เพิ่งโดนเซอไพรส์เต็มไปด้วยเครื่องหมาย Question Mark พัดก็เริ่มสรุปอะไรได้ “นี่ไม่ได้ติดต่อกับกุ๊กเลยเหรอ?”
เปรี้ยวสั่นศีรษะ “เปล่าเลย ไม่ได้ข่าวคราวมันเลยอ้ะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีลูกโตเท่านี้แล้ว”


“รู้รึเปล่าว่ามันย้ายจากใต้ไปอยู่เชียงใหม่?”


“ฮึ...”


“รู้รึเปล่าว่ามันแต่งงานกับคนเยอรมัน”


“อ่อ ถึงว่าสิ ทำไมหนูร่าหน้าฝรั่งเชียว” เปรี้ยวว่าก่อนจะพินิจพิจารณาโครงหน้าอย่างตั้งใจ “จริงๆ ดูไปดูมาก็หน้าเหมือนกุ๊กเหมือนกันนะเนี่ย”


“เปรี้ยว...” พัดถามเสียงเรียบ “ถามจริง ไม่รู้อะไรเลยเหรอ”


“ไม่รู้ซักอย่างเลย” เปรี้ยวเบะปากเมื่อคิดว่าเพื่อนเก่าลืมกัน “ตอนแรกฉันคิดว่าร่าเป็นเพื่อนมิ้นด้วยซ้ำ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นลูกกุ๊ก”


“งั้นเดี๋ยววันนี้ไปกินข้าวกันนะ จะได้คุยกัน ไหนๆ ก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว” พัดออกปากชวน จุดประสงค์หลักคือ เธอตั้งใจที่จะเล่าเรื่องราวของกุ๊กให้เปรี้ยวฟัง และอยากจะขอโทษอ๊อฟอย่างเป็นทางการอีกครั้งด้วย ที่เผลอเข้าใจผิดไปเสียใหญ่โต


“เอาสิ” อ๊อฟโผล่มาจากไหนไม่รู้ มาร่วมวงสนทนาด้วยเฉย “แต่ต้องให้ฉันสองคนเลี้ยงนะ”


ประโยคหลังเขาหันไปขอความคิดเห็นจากภรรยา ซึ่งเปรี้ยวก็รีบพยักหน้าในทันที


“อ้าว ได้ไง ฉันชวน ฉันก็ต้องเลี้ยงสิ” พัดทำท่าไม่ยอม แต่เมื่ออ๊อฟยกเหตุการณ์นั้นขึ้นมา พัดก็ต้องยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้


“ถ้าเธอไม่ยอม ฉันจะไม่ยกโทษให้จริงๆ ด้วย”


“ก็ได้ๆ งั้นนายเลือกร้านนะ”


“ได้เลย!”


======


ตุ้ยเดินลากกระเป๋าท่อมๆ มาถึงตรงที่โด่งและครอบครัวยืนอยู่จนได้ เพราะน้ำหนักกระเป๋าของโด่งนั้นมันไม่ใช่น้อยเลย ด้วยความที่เพื่อนเขาคนนี้มีสิ่งของที่จัดว่า ‘บ้า’ อยู่หลายอย่าง ฟุตบอลโด่งก็ชอบ ดาราเกาหลีโด่งก็ชอบ อุปกรณ์ประทินผิวโด่งก็ชอบ ยิ่งอย่างหลังนี้ หนุ่มสำอางอย่างโด่งจะขาดไม่ได้เลยทีเดียว


“สวัสดีครับคุณท่าน” ตุ้ยยกมือไหว้อ๊อฟและเปรี้ยว ก่อนจะมองไปทางบุคคลที่เหลือด้วยสายตา


“อ้าว ตุ้ยมาพอดี งั้นไปกันเลยก็แล้วกันเนอะ” อ๊อฟรีบสรุป เพราะเวลามันชักจะล่วงเลยเข้าไปทุกที ไหนจะต้องให้คนเพิ่งเดินทางกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่า พักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนอีก แถมถนนกรุงเทพมันก็ไว้ใจไม่ค่อยได้เสียด้วย ดังนั้นจึงต้องเผื่อเวลาไปกลับให้มากๆ หน่อยเป็นดีที่สุด “ที่เห็นอยู่นี่ จำได้ใช่มั้ยเราน่ะ ว่าใครเป็นใครมั่ง”


ตุ้ยพยักหน้า คงเพราะในชีวิตไม่ค่อยมีอะไรให้ใส่ใจมากกระมัง เขาจึงสามารถจดจำบุคคลตรงหน้าได้หมด ไม่ว่าจะเป็นคุณกฤต คุณพัด เจ้าต้า น้องมิ้น และ...เอ่อ อีกคนนั่นใคร?


“มิ้นว่าคนนี้พี่ตุ้ยต้องจำไม่ได้แน่นอน” เธอว่าพลางอมยิ้ม “ใช่มั้ยพี่ตุ้ย”


“จริง พี่จำไม่ได้” ตุ้ยขมวดคิ้ว...เอ มันน่าแปลกนะ เราจำทุกคนได้หมด แต่ทำไมถึงจำหนูน้อยตาโตหน้าฝรั่งคนนี้ไม่ได้ “จำไม่ได้จริงๆ”


“จะจำได้ยังไงล่ะ” ต้าที่ยืนมองขำๆ อยู่พอเห็นใบหน้าที่จริงจังเกินปกติของตุ้ยก็นึกสงสาร เลยช่วยเฉลยให้ฟัง “ก็นายไม่เคยเจอซาร่ามาก่อนซักหน่อย”


ตุ้ยแทบคว่ำเมื่อได้ยินประโยคนั้นของต้า ก่อนจะหันมามองเด็กผู้หญิงตาตี่ที่เดินไปหลบหลังกฤตเสียแล้ว สงสัยรู้ล่วงหน้าว่าเขาคงจะตรงเข้าไปเขกหัวแน่ๆ...ไวปานวอกจริงๆ เจ้ามิ้น


“ครบทุกคนแล้วก็...แยกย้ายเน่อ...”


======


ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดพ่อครัวสีขาวกำลังกุมขมับกับความยุ่งวุ่นวายหลังร้านอย่างเป็นที่สุด...


เป็นเพราะว่าวันนี้ มีเด็กมาหัดงานที่ร้านซึ่งเขาทำงานเป็นหัวหน้าพ่อครัวอยู่เป็นจำนวนมาก แถมเด็กพวกนี้ก็ไม่มีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการเข้าครัวติดตัวมาแม้แต่อย่างเดียว ความตั้งใจจะทำงานก็ไม่มี ทำให้งานในครัวที่ยุ่งอยู่แล้ว กลายเป็นยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ เพราะว่าพ่อครัวเอย แม่ครัวเอย หรือเด็กเสิร์ฟที่ทำงานอยู่ก่อนแล้วต้องมาช่วยกันโอบอุ้ม หรือทำงานชดเชยในส่วนที่เด็กใหม่ทำพลาด


และแล้วอารมณ์ที่คุกรุ่นมานานก็ถึงเวลาระเบิดในที่สุด


“เฮ้ย โต๊ะสองเสร็จตั้งเป็นชาติแล้ว ทำไมไม่มีใครเอาไปเสิร์ฟวะ”


พอเขาว้ากไปปุ๊บ เหมือนจะได้ผลแฮะ เด็กใหม่รีบกุลีกุจอเข้ามายกจานที่ว่านั้นไปเสิร์ฟด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก รู้อย่างนี้น่าจะว้ากให้มันกระตือรือร้นตั้งนานแล้ว นี่ล่ะน้า พวกที่ไม่ได้รักในการทำอาหารจริงๆ แล้วอยากจะมาหารายได้พิเศษทางที่ตัวเองไม่ได้ชอบจริงจัง


“พี่ตูน โทรศัพท์จากบอส”


เด็กที่เคาน์เตอร์ตะโกนเข้ามา ทำให้ตูนต้องรีบล้างไม้ล้างมือแล้วไปรับโทรศัพท์ด้วยความรวดเร็ว


“สวัสดีครับบอส วันนี้จะเข้ามารึเปล่า” เขารีบถาม เพราะว่าต้องการจะรายงานผลการฝึกงานวันแรกของเด็กใหม่พวกนั้น คราวนี้ล่ะ พวกเอ็งไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันแน่ๆ


“มันแน่อยู่แล้ว” บอสที่อยู่ปลายสายตอบกลับมา “เอ้อ พวกที่มาหัดงานวันแรกเป็นยังไงบ้าง”


“บอสจะว่าอะไรมั้ยครับ ถ้าผมจะให้ตกหมด...” ตูนตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอาเป็นว่า พอบอสมาถึงเมื่อไร ผมจะรายงานโดยละเอียดอีกทีแล้วกัน”


“เออ ตกหมดก็ตกหมด ฉันเชื่อในตัวนาย”


“ขอบคุณครับบอส”


“เอ้อ เกือบลืมเลย เย็นนี้น่ะ ครอบครัวฉันจะไปกินที่ร้าน” น้ำเสียงของบอสยามที่พูดถึงครอบครัวจะคลายความจริงจังลงเสมอ ทุกครั้งที่ตูนเจอเวลาบอสอยู่กับภรรยา จะดูเปลี่ยนไปเหมือนคนละคนกับตอนทำงานเลย


“จะให้ผมปิดร้านรับรองเฉพาะครอบครัวบอสมั้ยครับ”


ที่ตูนถามไปอย่างนั้น เพราะเวลาบอสมากินข้าวกับครอบครัวทีไร เขาจะต้องปิดร้านและคัดพนักงานที่ทำงานได้ไม่ขาดตกบกพร่องเพื่อรับรองโดยเฉพาะเสมอ


“อืม ก็ดีเหมือนกัน ทุกครั้งก็ปิดใช่มั้ย แถมรอบนี้มีเพื่อนๆ ฉันไปด้วย จะได้ไม่รบกวนชาวบ้านเค้า”


“ไม่ทราบว่ามากันกี่คนครับ ผมจะได้จัดโต๊ะไว้ให้ถูก”


ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง ตูนคาดว่า บอสคงกำลังนับจำนวนคนอยู่


“แปดคนนะ แต่จัดไว้สิบเลยก็ได้ แค่นี้แหละ”


“ครับบอส”


======



Create Date : 25 ตุลาคม 2550
Last Update : 25 ตุลาคม 2550 3:14:12 น. 0 comments
Counter : 262 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Diagonal
Location :
พิษณุโลก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Diagonal's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.