Group Blog
 
 
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
[AF Story] Friendship: เพื่อน << รัก >> เพื่อน === ตอนที่ 2

======

นกเหล็กที่บินตรงจากโซลมาดอนเมืองกำลังใกล้เวลาจะแตะล้อลงรันเวย์ที่ยาวสุดลูกหูลูกตาเต็มที ชายหนุ่มผิวขาวเหมือนหยวก ดวงตารียาวบ่งบอกความเป็นลูกหลานบรรพบุรุษของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกยังคงเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของนกเหล็กตัวนั้น


“โด่ง รัดเข็มขัดรึยัง” เสียงห้าวของบุคคลข้างตัวปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ “เครื่องจะลงแล้วนะ”


เจ้าของเสียงทุ้มและห้าวนั้นเป็นบุรุษหนุ่มดวงตากร้าว ใบหน้าคมสันอย่างชายไทย ผิวคล้ำก็จริง แต่ดูดี แปลกตาจากกระแสสมัยนิยมของผู้ชายในฝันของสาวๆ สมัยนี้ ซึ่งมักจะเป็นประเภทสูง ยาว ขาว ตี๋ แบบคนที่เหม่อมองปีกเครื่องบินเมื่อตะกี้


“จริงป้ะ” โด่งหันมาถามด้วยสีหน้างงๆ แต่ก็ขยับมือรัดเข็มขัดแต่โดยดี “ทำไมมันถึงไวจัง”


“คือเราว่าไม่ไวเลยนะ” ปากชายผิวคล้ำเริ่มเบ้ ก่อนที่เขาจะเริ่มขยับตัว ยืดเส้นยืดสายตามแต่แรงรัดของเข็มขัดที่นั่งตรงบริเวณเอวจะเอื้ออำนวย “อยากจะบอกว่า เมื่อยมาก...”


เมื่อเห็นปฏิกริยาตอบสนองของเพื่อนเป็นอย่างนี้ โด่งก็หัวเราะออกมาแทบจะลั่นเครื่องทีเดียว


“ขึ้นเครื่องแรกๆ ก็งี้แหละตุ้ย เดี๋ยวอีกหน่อยก็ชิน”


แทนที่ตุ้ยจะดีใจเรื่องที่จะได้มาเที่ยวต่างประเทศอีกบ่อยๆ เขากลับโบกมือ สั่นศีรษะเป็นเชิงแย้งแบบสุดตัว “เฮ้ย จะพาเรามาอีกเหรอ ไม่เอาแล้วนะ”


“อ้าว ทำไมล่ะ”


“เราไม่ชอบขึ้นเครื่องบินง่ะ มันแคบ เมื่อย” ไม่พูดเปล่า เขายังบิดตัวอีกหนึ่งรอบครึ่ง “คราวหน้าเราขออยู่เฝ้าบ้านให้นายดีกว่า ให้นายมากับคุณท่านละกัน” คุณท่านที่ตุ้ยพูดถึงเมื่อกี้ ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ของโด่งนั่นเอง


โด่งสนิทกับตุ้ยมาตั้งแต่เล็กๆ เนื่องมาจากแม่ของตุ้ยเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลโด่งมาตั้งแต่แบเบาะ จนกระทั่งหล่อนมีตุ้ย จึงขออนุญาตเว้นจากการดูแลโด่งเพื่อไปประคบประหงมลูกคนแรกของตัวเอง ซึ่งครอบครัวของโด่งก็ไม่ได้ว่าอะไร ผ่านไปสองปี เด็กชายโด่งอายุเกือบสี่ขวบแล้ว อยู่ในวัยกำลังซน ช่างพูดช่างคุยเป็นอย่างมาก ประจวบเหมาะกับตุ้ยซึ่งกำลังหัดพูดหัดจาอยู่พอดี เด็กสองคนเลยกลายเป็นเพื่อนเล่นกันได้อย่างไม่ยากเย็น แถมเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยด้วย จนโด่งนั้นถึงขั้นไปขอให้คุณแม่ของเขา รับตุ้ยมาเป็นลูกอีกคนเลยทีเดียว


และความคิดนั้นก็ยังไม่จางหายไป เป็นผลให้โด่งพูดประโยคนี้ออกมา


“คุณทงคุณท่านอะไรตุ้ย บอกแล้วว่าให้เรียกปะป๊า หม่าม้า”


“จะบ้าเรอะ!” ว่าเสียงหัวเราะของโด่งดังจนเรียกให้ผู้โดยสารคนอื่นให้หันมามองเป็นตาเดียวแล้ว เจอเสียงตวาดของตุ้ยเข้าไป คราวนี้แอร์โฮสเตสเป็นฝ่ายเดินมาเตือนเองเลยทีเดียว


“คุณคะ ขอความกรุณาลดเสียงลงหน่อยนะคะ” ใบหน้ายิ้มๆ กับเสียงหวานๆ ในระยะประชิดเช่นนี้ ถ้าเป็นเวลาปกติ ตุ้ยคงจะดีใจแย่ แต่พอดีว่า มันไม่ใช่เวลาปกติน่ะสิ “ตั้งแต่เสียงหัวเราะเมื่อกี้แล้ว ขอความกรุณาด้วยนะคะ” แล้วเธอก็เดินจากไป


เหมือนพายุหมุนก็มิปาน...ตุ้ยคิดในใจ มาถึงใส่เอาๆ แล้วก็จากไป...


พอหันมาเห็นเจ้าเพื่อนตัวแสบที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัลซึ่งกำลังหัวเราะคิกคักตัวงออยู่นั้น ตุ้ยก็แทบอยากจะซัดให้ไปหัวเราะต่อทั้งน้ำเกลือที่โรงพยาบาลเลยทีเดียว


“นิ่งๆ เหอะตุ้ย เครื่องจะลงแล้ว ฮะฮะ...” ดู ดูมัน พูดไปยังหัวเราะไป


เออ เอาเถอะ ทีเอ็งข้าไม่ว่า แต่ทีข้าเอ็งอย่าโวยแล้วกัน ไอ้คุณชายสายโด่ง!


======


“พ่อ เมื่อไรลูกเราจะมาซักทีล่ะ” พัดมองนาฬิกาดิจิตอลที่แสดงอยู่ตรงเครื่องเสียงของรถก่อนจะหันไปถามกฤตซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับ “ได้ยินแว่วๆ ว่าจะไปหากระเป๋า ทำไมไปตั้งนาน”


หลังจากที่ทะเลาะกันอยู่นานสองนานจนหันมาอีกทีลูกก็ไปไหนแล้วไม่รู้ (แถมได้ยินแค่ว่าจะไปหากระเป๋าแว่บเดียวจริงๆ) พัดก็ตกลงกับกฤตว่าจะมารอเด็กๆ กันที่รถ เผื่อมิ้น ซาร่า หรือต้ากลับมาจะได้ไม่ต้องยืนรอ


“เอาน่าแม่ เดี๋ยวก็มาแล้ว ใจเย็นๆ” กฤตพูดกับภรรยาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เจ้ามิ้นมันไม่ใช่เด็กสี่ห้าขวบอย่างที่แม่คิดแล้วนะ” แล้วมองหน้าพัดด้วยสายตาที่มีความหมาย “พ่อว่า ลูกเราโตพอแล้ว ที่จะเลือกทำอะไรที่อยากทำได้ตามใจ...” แต่พูดได้เพียงเท่านี้ พัดก็โพล่งแทรกขึ้นมาก่อน


“หยุดเลย แม่รู้ว่าพ่อจะพูดอะไร” สายตาของเธอมุ่งมั่น “แม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้มิ้นแล้ว แม่ว่ามิ้นจะต้องชอบและทำมันได้ พ่ออย่าคิดแทนลูกเลยดี...” ที่พัดหยุดพูดไป ไม่ใช่กฤตมาขัดจังหวะหรอกนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นกลับบ้านไปเขาอาจโดนฆาตกรรมได้


ตัวแทรกนั้นเป็นเสียงโทรศัพท์ของพัดต่างหาก เธอหยิบมันออกจากกระเป๋าถือขึ้นมาดูหมายเลข ก่อนจะหันมาทำหน้าเย้ยใส่สามี


“เห็นมั้ย ใจแม่ลูกเค้าสื่อถึงกัน พอพูดถึงปุ๊บ ก็โทรมาเลย” แล้วกดรับทันที


“มิ้น หากระเป๋าเจอมั้ยลูก”


“เจอแล้วค่ะ คุณแม่ พี่ต้าเค้าเก็บไว้ให้” เสียงมิ้นดูรีบมากๆ


“อ้าว แล้วต้าไปเก็บจากตรงไหนล่ะน่ะ...” เหตุการณ์ผันแปรจนพัดจับต้นชนปลายไม่ถูก


“เรื่องมันยาว เดี๋ยวค่อยไปเล่าที่รถดีกว่าค่ะ” มิ้นพูดด้วยน้ำเสียงติดจรวดสุดๆ “ตอนนี้มีคนสำคัญรอจะคุยกับคุณแม่อยู่”


คนสำคัญ? พัดพยายามเดาในใจ แต่ก็ไม่มีใครแทรกเข้ามาในความคิดเลย


“ใครเหรอ?”


“เดี๋ยวคุณแม่คุยกับเค้าเลยนะคะ” เสียงกุกกัก แซ่ดแซ่ดเหมือนคนคุยกันดังลอดมาเข้าโทรศัพท์มือถือ พัดยังไม่เลิกเดาว่าเป็นใคร... เอ...คลับคล้ายคลับคลาอยู่นะเสียงนี้ เหมือนมันคุ้นหูอย่างไรพิกล


“สวัสดี”


เหน่อๆ ปลายประโยคอย่างนี้... เอ๊ะ ใครกันนะ


“จำกันไม่ได้รึไง พัดชาขาโต๊ะสนุ้กก้นบังเกอร์...”


เท่านั้นเอง เรื่องราวต่างๆ มันก็ย้อนเข้ามาในหัว คนที่เรียกเธอด้วยฉายาแบบนี้ แถมยังติดเหน่อปลายประโยคอีกด้วย... จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...


“เจ้ากระรอกเตี้ยตี๋สิว!”


“ใช่ ฉันเอง...ฮี่ๆ”


ดู๊ ดู ขนาดหัวเราะยังไม่หายเหน่อ ไม่เปลี่ยนแปลงเลยจริงๆ


======


“แล้วอยู่ดีๆ ทำไมนายมาเจอลูกสาวฉันได้เนี่ย” พัดถามไปด้วยน้ำเสียงอยากรู้ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นน้ำเสียงแสดงความไม่ไว้ใจ “หรือว่า...จะมาจีบลูกฉัน ฮะ! เดี๋ยวจะฟ้องเปรี้ยว!”


“เฮ้ย จะบ้าเหรอ” น้ำเสียงแบบนี้ เดาได้เลยว่าคนที่อยู่ปลายสายคงสะดุ้งเฮือกกับประโยคเมื่อกี้เป็นแน่ “ใครมาจีบลูกสาวเธอกัน ฉันมารับลูกต่างหาก”


“เหรอ ลูกนาย เดี๋ยวนะ...” พัดว่า พลางนึกย้อนไปครั้งที่เจอกับอ๊อฟและเปรี้ยวครั้งสุดท้ายก็หลายปีดีดักมาแล้ว เผลอๆ จะเกือบสิบปีแล้วด้วยซ้ำ “ใช่ตาโด่งอะไรนั่นรึเปล่า ที่รุ่นๆ เดียวกับลูกชายคนโตฉันน่ะ” แต่ในที่สุด ก็สามารถเค้นส่วนลึกของความทรงจำออกมาจนได้


พัดคุยเพลินจนไม่เห็นว่า โชเฟอร์หน้านิ่งนั้นส่งสายตาเป็นเชิงว่า...ขอคุยด้วยคน...อยู่หลายต่อหลายครั้ง และเช่นเคย ก็ต้องหันกลับไปแสร้งฮึมฮัมตามเพลงด้วยอาการคอตกทุกครั้งไป


คุยอยู่ดีๆ ปลายสายก็เปลี่ยนเป็นเสียงผู้หญิงเสียอย่างนั้น


“ลูกฉันก็มีคนเดียวนี่ล่ะ”


เสียงที่จำได้ในทันที


“เปรี้ยว!” พัดตะโกนลั่น “เธอก็มาด้วยเหรอ”


พัดจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน อ๊อฟกำลังเตรียมตัวจะเปิดกิจการอะไรสักอย่าง รู้แต่เพื่อนเธอคนนี้มุ่งมั่นกับการลงทุนในครั้งนั้นมาก ลองน้ำเสียงทั้งคู่สดใสร่าเริงเช่นนี้ ก็ฟันธงได้เลยว่า กิจการเมื่อครั้งกระโน้นจะต้องไปได้สวยอย่างแน่นอน


เผลอๆ คงเป็นบริษัทชั้นนำของเมืองไทยแล้วด้วยซ้ำ


พอคิดได้ดังนั้น พัดก็อยากจะไปคุยให้เห็นหน้า ให้ได้ยินน้ำเสียงจริงๆ ตัวต่อตัว ไม่ใช่ผ่านสัญญาณโทรศัพท์แบบนี้... เอาน่า ไหนๆ ก็ไม่ได้เจอกันตั้งนาน อีกอย่างวันนี้ครอบครัวเธอทุกคนก็ไม่มีใครติดธุระอะไรด้วย


“เธออยู่ตรงไหน เดี๋ยวฉันไปหา”


======


เมื่อบอกจุดที่ตัวเองอยู่ให้พัดไปแล้ว เปรี้ยวก็กดปุ่มวางสาย ก่อนจะส่งคืนให้เจ้าของโทรศัพท์รุ่นลูก


“เดี๋ยวแม่มิ้นจะมาน่ะจ้ะ” แล้วยิ้มให้ลูกสาวเพื่อน...เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่เจอกัน


หลังจากที่ได้นั่งพูดคุยกับมิ้นอยู่นานสองนาน ในสายตาของเปรี้ยว เด็กคนนี้เป็นเด็กผู้หญิงที่ใสจริงๆ คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น ตรงๆ ทว่าไม่ลามปาม รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ มีสัมมาคารวะ อีกทั้งเวลายิ้มที โลกก็สว่างสดใสขึ้นมาทันตาเลยทีเดียว


“เหรอคะน้าเปรี้ยว” มิ้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “สงสัยคุณแม่ลืมเรื่องที่จะพาร่าไปจัดการที่เรียนแหงๆ”


“จริงเหรอ?” เปรี้ยวเลิกคิ้วสูงกว่าอีก “พัดคงจะลืมจริงๆ ล่ะ เพราะเมื่อกี้บอกน้าว่าไม่มีธุระอะไรที่ไหน” ก่อนจะหันมาหาเด็กผู้หญิงตาโตเหมือนลูกครึ่ง ซึ่งนั่งกดมือถือยิกๆ อยู่คนเดียวมานานแล้ว จะมีพูดบ้างก็ตอนมิ้นโยนคำถามไปให้ตอบ


“หนูชื่อร่าใช่มั้ยเอ่ย”


พอเห็นเพื่อนแม่เรียกชื่อเพื่อนใหม่อย่างสั้นกุดตามที่ได้ยินจากเธอปุ๊บ มิ้นก็รีบพูดแก้ให้ปั๊บ


“ชื่อ ซาร่า ค่ะน้าเปรี้ยว แต่หนูถือวิสาสะย่อให้เอง แหะๆ”


“แต่เรียกร่าตามที่มิ้นเรียก ก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูชักจะชิน” ว่าแล้วก็หันมายิ้มให้มิ้น “วันนี้เราดีใจมากเลยนะ ที่มิ้นคุยกับเราตลอดเลยอะ ตอนแรกเราคิดว่า คนกรุงเทพจะไม่ค่อยพูดซะอีก แถมเราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกด้วย”


พอมิ้นได้ฟัง แว่บแรกก็เป็นปลื้ม... เพราะไม่คิดว่าซาร่าจะประทับใจตัวเองอะไรขนาดนั้น แต่พอมาคิดดูอีกทีชักไม่แน่ใจ... นี่สรุป ร่าชมหรือด่าเรากันแน่หว่า?


“หนูร่าจ๊ะ หนูเคยรึเปล่าที่...แบบว่า เจอใครสักคนเป็นครั้งแรก แต่คุยจ้อไม่หยุดรึเปล่า”


เปรี้ยวเปิดประเด็นขึ้นมา เพราะเริ่มจับอาการบางอย่างของลูกสาวเพื่อนคนนี้ได้ ตั้งแต่แรกแล้ว ตอนคุยกัน มิ้นจะหันมาชวนซาร่าให้คุยด้วยตลอด... ถ้าไม่เห่อเพื่อนใหม่จนออกหน้าออกตา มิ้นก็ต้องมี something wrong ในใจชัวร์!


“เคยค่ะคุณน้า” แล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียว “แต่หนูเป็นไม่บ่อยนะ มันต้องเฉพาะกับคนที่ถูกชะตาจริงๆ เพราะปกติกับเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก หนูจะไม่ค่อยพูดอะค่ะ”


“ถูกกก มันต้องชะตาต้องกัน” เปรี้ยวดีดนิ้วดังเปาะ “และน้าก็เดาๆ นะ ว่ามิ้นเนี่ย...” ก่อนจะหรี่เสียงให้เบาลง แล้วหันไปกระซิบกระซาบกับซาร่ากันสองคน


“...ต้องถูกชะตาหนูแบบสุดๆ เลยจ้ะ”


======


ระหว่างที่เพื่อนใหม่กับเพื่อนแม่กำลังกระซิบกระซาบท่าทางน่าสนุกนั้น มิ้นก็รู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีส่วนร่วมยังไงชอบกล เลยค่อยๆ ถอยห่างออกมาโดยสองคนนั้นไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย


คุยอะไรกันนะสองคนนั้น เหมือนนินทาเรายังไงก็ไม่รู้


ร่าก็อีกคน... พูดออกมาไม่แคร์ความรู้สึกกันบ้างเลย... ก็เห็นๆ กันอยู่ว่า...ร่าน่ะ แทบจะไม่เคยมาคุยกับมิ้นก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีแต่มิ้นที่ชวนร่าคุย เกือบทุกครั้งเลยด้วย เราอุตส่าห์ถูกชะตากับร่านะ แต่ร่าทำเหมือนเราเป็นเพื่อนธรรมดา ไม่อยากคุยด้วยซะงั้น...


“นอยอะไรจ๊ะมิ้นตี้” เจ้าของคำพูดหย่อนก้นลงตรงเก้าอี้ข้างๆ มิ้น


“อ้าว น้าอ๊อฟ ไม่คุยกับพี่ต้าต่อเหรอคะ” ที่ถามไปอย่างนั้นก็เพราะว่าเมื่อครู่ อ๊อฟกำลังนั่งคุยกับต้าอย่างออกรส ให้เธอเดาก็คงเป็นเรื่องธุรกิจนั่นล่ะ เพราะถึงพี่ชายเธอจะเป็นเภสัช แต่ก็สนใจในแวดวงธุรกิจไม่น้อยเลยทีเดียว


“อ๋อ น้าเห็นกระต่ายน้อยนั่งซึมอยู่คนเดียวน่ะ เลยมาคุยด้วย” อ๊อฟว่าพลางเอามือลูบเรือนผมสีดำขลับของมิ้นด้วยความเอ็นดู


แต่ด้วยความที่อ๊อฟไม่ได้ตรวจดวงก่อนออกจากบ้าน เลยทำให้ไม่คาดคิดว่า เหตุการณ์เมื่อครู่ จะมีคนมาทันเห็นเข้าพอดี... และสงสัยดวงคงจะซวยเข้าขั้นถึงฆาตด้วย


เพราะบุคคลที่มาเห็นคือ…


พัด...!!


“ไอ้กระรอก ทำอะไรลูกสาวฉันยะ” พัดตวาดก่อนปรี่เข้ามาประชิดตัวอ๊อฟ “ทำอนาจารเด็กหญิงอายุต่ำกว่าสิบเจ็ดปีต่อหน้าธารกำนัล ไปคุยกันในศาลเลยดีกว่า”
อ๊อฟตาเหลือกเมื่อได้ยินข้อหาซึ่งพัดเอามายัดใส่ปากทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำ


“เดี๊ยวววว!!!! พัดชา ใจเย็นเย้น.....” แต่ยังดีที่ปากไม่ได้ค้างจนกระทั่งโต้ตอบไม่ได้ เพราะมิฉะนั้น อ๊อฟคงลืมตาตื่นอีกทีที่สมิติเวชอย่างไม่ต้องสงสัย “ฉันไปทำอนาจารอะไรลูกเธอ....”


พัดยังคงโกรธอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำอย่างไรได้ ก็มีลูกสาวอยู่คนเดียวนี่นา


“ไม่ต้องมาทำไก๋ ฉันเห็นด้วยสองตาของฉันเนี่ย” ว่าแล้วก็ดึงมิ้นขึ้นมาไว้ข้างตัว “มิ้น โดนตานี่ทำอะไรรึเปล่าลูก ไหนดูซิ...” พัดลูบหน้าลูบตาลูกสาวโดยไม่ทันสังเกตว่ามิ้นนั้นกำลังกลั้นหัวเราะอยู่


“อะ ไม่เชื่อถามยายมิ้นดูได้ ว่าอะไรเป็นอะไร” อ๊อฟกระโดดหลบกระเป๋าถือใบเขื่องที่พัดเหวี่ยงมาอย่างเต็มแรงได้ทันเวลา ก่อนจะละล่ำละลักตั้งคำถาม “ฉันแค่เห็นลูกเธอนั่งอยู่คนเดียว เลยมาคุยเป็นเพื่อน แค่นั้นเอง” แล้วเรียกหาข้อสนับสนุนจากมิ้น “ใช่มั้ย?”


“ค่ะ น้าอ๊อฟเค้าเข้ามา...”


“เห็นมั้ย นายทำมิดีมิร้ายกับลูกฉันจริงๆ ด้วย”


“ไม่ใช่ค่ะคุณแม่! คือน้าอ๊อฟเค้าไม่ได้ทำอะไรมิ้นจริงๆ” เมื่อเจอคำยืนยันเต็มปากเต็มคำของลูกสาวเข้าไป พัดถึงกับชะงักกึกราวกับถูกกดปุ่ม pause เลยทีเดียว


ฉึ่ก! โดนไปหนึ่งดอก


“เมื่อกี้มิ้นว่าอะไรนะลูก”


“น้าอ๊อฟเค้ามาคุยกับมิ้นเฉยๆ ค่ะ” มิ้นพูดไป หัวเราะไป “คุณแม่อะ ไม่ยอมฟังให้ดีๆ ก่อน”


ฉึ่ก! โดนดอกที่สองเข้าไป พัดถึงกับหน้าจ๋อย ก่อนจะหันไปมองคู่กรณีอย่างช้าๆ
ก็เป็นไปตามที่คิด เมื่อเพื่อนเก่านั้นยืนกอดอก เม้มปากแน่น ประพฤติตัวเสมือนเป็นผู้เสียหายได้อย่างสมจริงสมจัง...นี่เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนดีเนี่ย


“เป็นไงล่ะฮึ ทีนี้ผมต้องไปขึ้นศาลมั้ยครับคุณพัดชา”


======



Create Date : 25 ตุลาคม 2550
Last Update : 25 ตุลาคม 2550 3:18:26 น. 0 comments
Counter : 192 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Diagonal
Location :
พิษณุโลก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Diagonal's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.