Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
1 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

วันครบห้าปีในที่ทำงานปัจจุบัน - เราทำงานมา 13 ปีแล้วจริงๆ หรือนี่

Bangkok



เวลา
วันนี้เป็นวันครบห้าปีของการทำงานในบริษัทที่สองของชีวิตครับ ผ่านทุกข์ผ่านสุขของชีวิตการทำงานมาจนกระทั่งวันนี้ ไม่แน่ใจว่าจะเรียกได้ว่าครึ่งทางของชีวิตการทำงานได้หรือยัง แต่ก็ล้าๆ ในทำงานพอควรแล้วละครับ สุดท้ายคงต้องหาอะไรของตัวเองทำ แล้วก็ลาจากการเป็นลูกจ้าง เป็นลูกจ้างตัวเองดีกว่าเป็นขี้ข้าคนอื่นแน่นอนครับ

ชีวิตเรียน ประถมมัธยม
เริ่มต้นการเรียนนั้นก็เรียนประถมจากโรงเรียนรัฐบาลที่อยู่หน้าบ้านแบบเดินข้ามถนนก็ถึงโรงเรียน ผ่านจาก ป.1 ถึง ป.6 ด้วยดีครับ ด้วยพ่อเป็นกรรมการโรงเรียนประถมและแล้วเกรดก็ได้เกิน 3 ส่งผลให้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ ที่ห่างจากบ้านไปอีกกิโลกว่าๆ โดยไม่ต้องสอบเข้า เข้ามัธยม 1 ถึง 3 ด้วยแผนการเรียนสายวิทยาศาสตร์ห้องเก่งสุดของโรงเรียน เกรดออกมาก็ปานกลาง ก็ 3 กว่าๆ อีก ถึงแม้ไม่เก่งวิชาหลายๆ วิชาก็เอาตัวรอดมาได้เรื่อยๆ ผ่านการสอบคัดเลือกเข้า มัธยม 4 โดยไม่ต้องสอบอีกแล้วเพราะเป็นนักดนตรีไทยของโรงเรียน ด้วยความรู้เท่ากบในกะลา พยายามเรียนสอบเทียบแล้วก็ไปสอบแข่งดูตอน มอ.5 และ มาสอบทดสอบพวก pre-test แล้วก็รู้ตัวเองแน่ๆ ว่าอนาคตไม่ไกล ก็ใช้วิธีการสะสมบุญด้วยการอ่านข้อสอบเอนท์ย้อนหลังไปห้าปีทุกวิชา เพื่อเตรียมตัวเอนท์ตรง (หรือเอนท์โควต้า) เข้ามหาวิทยาลัยปิดที่ดี่ที่สุดในภาคใต้ คือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ก็ปรากฏว่าโชคช่วยครับที่ทำให้ข้อสอบที่อ่านไปออก ทำให้เอนท์ติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ แบบคนเดียวทั้งโรงเรียน (ปีนั้นมันปีดำมืดของโรงเรียน) ดังไปทั้งอำเภอแหละครับ พ่อแม่ดีใจแก้มปริ

ผ่านมหาวิทยาลัยแบบลุ่มๆ ดอนๆ สุด
เข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยด้วยความรู้ แบบสเนกๆ ฟิชๆ มาก เพราะพื้นฐานก็สู้เด็กโรงเรียนอื่นๆ ไม่ค่อยได้ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งอะไรอยู่แล้วและเข้าเรียนด้วยความใจแตกเพราะพึ่งได้ออกจากบ้าน ได้ไปอยู่หอกับเพื่อนๆ เลยได้เกเรพองามละครับ เกรดออกมาต่ำตกติดดินสุดในปีหนึ่ง เข้า probation ตั้งแต่ปีหนึ่งเลยครับ เข้าปีสองเริ่มปรับตัวและคิดได้ เป็นผู้เป็นคนมาหน่อย แต่ก็ต้องหัดจัดการวิชาที่ลงแล้วก็หัดที่จะ Lobby อาจารย์ไว้ก่อนเรียน หากเห็นว่าไม่รอดต้องให้ drop ก็ต้องปรีกษาใกล้ชิดกับอาจารย์ ดีหน่อยที่เข้าภาควิชาคอมพิวเตอร์ ก็เป็นวิชาที่เข้าทางพอควร ฝาด A กับ B มาได้หลายๆ ตัว เอาไปหักล้างกับที่ ผ่าน ๆ มาได้ ที่น่าภูมิใจสุดๆ ก็วิชาโปรเจคครับที่ได้ A ทั้ง 4 วิชา (สัมนา 1,2 และ โปรเจค 1,2) เป็นคนแรกของภาควิชาที่ทำได้ครับ แต่กระนั้นแหละครับ ผลกรรมที่ได้ทำมาตั้งแต่ปีหนึ่งก็ตามมาเป็นระยะ ทำให้เลื่อนการจบออกไปเป็นสี่ปีกว่าๆ ด้วยเกรดปริมน้ำมากๆ สองกว่าๆ แต่เท่าที่จำได้ว่าทำให้แม่ดีใจมีน้ำตาอาบแก้มได้อีกครั้ง และเป็นความภาคภูมิใจของพ่อที่ไปพูดคุยกับญาติและเพื่อนๆ ได้อีกระยะหนึ่ง

เริ่มการทำงาน
ในเทอมสุดท้ายมีโครงการวิ่งหาช้างเผือกของบริษัทที่เป็นบริษัทแรก บริษัทก็ไปทดสอบรับพนักงานที่มหาวิทยาลัย โดยนำเอาข้อสอบแบบ Aptitude test และนำผลการทดสอบไปคัดเลือกนักศึกษาเพื่อรับมาเป็นพนักงาน คัดเอา 10 คนจากที่ไปสอบทั้งหมด ไม่รู้ว่าเป็นบุญแต่ปางไหน ก็ได้เข้ามาทำงานที่บริษัทแรก เป็น 1 ใน 5 ที่ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้าย ขนาดที่ยังไม่จบสี่ปีตามกำหนด บริษัทก็ดี้ดี คอยให้จบครบสมบูรณ์ก่อนแล้วก็นัดให้ไปเริ่มงาน
ไม่มีการคอยงานไม่ต้องสมัครงาน จบปุ๊บมีงานรอปั๊บ
เริ่มงานก็เจ้านายคนแรกก็ให้ไปเริ่มทำ Hardware แบบ Engineer จริงๆ ความที่บอกเขาว่า ทำงานด้าน Unix มาแต่อ้อนแต่ออก ซึ่งมันจะเป็นส่วน Software มากกว่า เลยงอแง ตามประสาเด็กๆ ขอย้ายเขามาทำงานส่วน Software คุณพี่เจ้านายคงยอมๆ เลยได้มาทำส่วนของ Software ในสองปีต่อมา

ขยับตำแหน่ง
ผ่านการทำงานด้าน Unix มาระยะหนึ่งก็อยากทำส่วนที่เป็น Implementer บ้างก็อาสาเขาไปทำงานด้าน Java Application Server เจ้านายคนที่สองเลยยอมๆ ให้ไปรับผิดชอบเต็มๆ แต่เนื่องด้วยงานชุก เลยได้ปรับไปเป็น Advisory ตำแหน่งดีขึ้น แต่หากเทียบๆ เพื่อนๆ ในรุ่นๆ ที่เข้ามาจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดด้วยกัน ก็ไปเร็วกว่าเพื่อนนิดหน่อย
ล่วงเข้าไปปีที่ 7 ของการทำงาน เงยหน้าขึ้นมา อ่าว! ทำไมเงินเดือนเพื่อนๆ เริ่มออกนำไปแล้ว ก็เริ่มเบื่อ เอ! ไอ้เราก็ทำงานเยอะ แต่ทำไมเงินเดือนไปช้าจัง ขณะที่เทียบเพื่อนๆ รุ่นหลายคน เริ่มเห็นความอยุติธรรมกับตัวเองและผนวกกับได้เจ้านายที่ไม่ได้เห็น ไอ้ที่เขาเรียกว่า Talent ในตัว (จริงๆ มันมีด้วยหรือ มีแต่ความถึกกับความเป็นติสๆ เป็นที่ตั้ง) ก็เริ่มหาทางไป เข้าปีที่แปดเลยหาทางออกโดยส่ง resume ไปให้พี่ภาควิชาที่ทำงานที่คู่แข่งเสีย

เปลี่ยนงานครั้งแรก
ก็ได้ผลครับ เพราะบริษัทคู่แข่งที่ส่ง resume ให้เขาโทรมาสัมภาษณ์จากสิงคโปร์แล้วก็บินเข้ามาสัมภาษณ์โดยคนสิงคโปร์อีกรอบ สุดท้ายมีคุณเจ้านายคนแรกในบริษัทที่สองนำเอา Package มา offer ให้ครับเป็นตัวเลขที่ไม่ได้ดีเด่นมากมาย แล้วก็ลาจากจากที่ทำงานแรก โดยผ่านกระบวนการตักเตือนจากเจ้านายของเจ้านาย ที่พยายามดึงให้กลับ แต่จะทำอย่างไรได้ สายน้ำไม่ไหลย้อยกลับ ครับ เข้ามาทำงานในฐานะของ Pre-Sales ในส่วน Software ครับ เริ่มงานไประยะหนึ่งก็เห็นข่าวคราว แนวลบกับบริษัทตลอดมา ก็พยายามที่จะทำงานโดยที่ดูแนวทางการปฏิบัติคนอื่นๆ และประสบการณ์ที่ผ่านมาและด้วยไฟที่ยังแรงอยู่ก็พยายามออกแนวความคิดดีๆไปหลายๆส่วน แต่กระนั้นด้วยระบบที่สิงคโปร์ครองอำนาจการบริหาร ทาง office ทางเมืองไทยก็ไม่ได้ทำอะไรได้ง่ายมากนัก แม้แต่เรื่องของเงินเดือน สวัสดิการของพนักงาน แม่้แต่จะเป็น US base company ก็จริง
ผ่านไป 2 ปีมีการเปลี่ยนแปลงในบริษัทมากๆ หลายๆ อย่างมีผู้คนเดินเข้ามาและเดินออกไปมากมาย ด้วยอารมย์ที่หลากหลายแตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเราเองก็ต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่ในองค์กรในตำแหน่งที่เหมาะสมกับตัวเราเอง แต่กระนั้นก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ได้เอื้ออำนวยให้ทำ
มีการปรับเปลี่ยนที่งานอีกนิดหน่อยจากเฉพาะ Software ก็ได้หันไปดู Industry ที่เป็นราชการ ก็ได้เห็นอะไรมากมายในระบบราชการไทย จนไม่อยากเสียภาษี ที่เราไม่สามารถเลี่ยงได้ งานที่ทำก็จำเป็นครับ

เข้าปีที่ 5
การปรับตัวทุกวันนี้ก็พยายามทำงานไปตามที่ได้รับมอบหมาย ทำตัวให้ low profile มากขึ้นเพราะมันมีเรื่องเสียมากกว่าได้ อยู่เมื่อเราเด่นมากๆ ก็ให้ทำตัวให้ง่ายๆ และอยู่ง่ายๆ มากขึ้น ความพยายามและความทะเยอทะยานเริ่มลดต่ำลงมาก หรือไฟในตัวเราเองเริ่มหรี่ลงไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่แน่ใจ แต่ก็ยังมีความพยายามที่จะทำให้องค์กรดีขึ้น แต่ไม่ใช่จากที่ตัวเราเองเป็นคนเริ่ม ปีนี้ก็โดนทำโทษพอสมควร ไม่ว่าเรื่อง benefit หรือ Incentive ที่ได้รับ แต่กระนั้นก็โทษใครไม่ได้ครับเพราะสถาณการณ์ปัจจุบันใช่ว่าจะดีและผนวกด้วยความตั้งใจของเราก็ได้ลดลงไปเป็นลำดับ ปีที่ 5 จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมากมายสำหรับตัวเราเองแต่เป็นปีที่เราจะได้ 100% ของส่วน Provident Fund ที่ทางบริษัทจะออกให้ ตัวผมเองก็เริ่มที่จะหาอะไรอย่างอื่นๆ ที่น่าสนใจกว่าแล้วครับ แต่กระนั้นก็มีคนหลายคนติงๆ อยู่ว่าไอ้ผลกระทบจาก us เรื่องที่เศรษฐกิจมันเจ้ง ทำให้งานที่มีนั้นเริ่มหายากไปเรื่อยๆ และก็มีแนวโน้นว่าจะเอาคนออกด้วย ดังนั้น หากมีงานก็ทำไปเรื่อยๆ จริงๆ ก็รอ package มาสวยๆ สักก้อนจะได้ say good bye กันด้วยความสุขทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าเราหรือนายจ้าง






บทส่งท้าย
จริงๆ ที่เขียนเป็นโดยย่อมากครับ ส่วนตัวเป็นเด็กบ้านนอกเรียนโรงเรียนรัฐบาลมาแต่ต้น เข้ากรุงเทพมาด้วยเงิน 50000 บาทที่แม่ให้มาเป็นเงินตั้งต้นและพยายามทำงานผ่อนคืนไปเรื่อยๆ จนคืนให้ที่บ้านเป็นบ้านเล็กๆ น่ารักหลังใหม่ ให้พ่อกับแม่ไปในปีที่ 6 ของการทำงาน
ทุกวันนี้ ก็มีเท่าที่พอที่จะมีได้สำหรับคนอายุสามสิบกว่าๆ แต่ก็ถือได้ว่า ชีวิตก็ได้มาในระดับ ด้วยความพยายาม แม้ในทุกวันนี้ งานที่ทำจะทำให้เราด้อยความทะเยอทะยานไปในระดับหนึ่ง แต่ในความคิดความมุ่งดี พยายามก็ยังมีอยู่เสมอ
รายละเอียดหากนึกออกก็จะมา edit/post เพ่ิมเติมครับ อันนี้เขียนเล่าได้เรื่อยๆ กว่าจะจบน่าจะยาวครับ




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2551
3 comments
Last Update : 2 ตุลาคม 2551 16:38:16 น.
Counter : 529 Pageviews.

 

ดูชีวิตคุณดำเนินตามขั้นตอนที่ดีมากเลย
อยากมีชีวิตอยางนี้บ้าง
แต่เราเลือกเองนี่น่ากับชีวิตเรา...

 

โดย: mandy_phukaew IP: 124.120.13.26 1 ตุลาคม 2551 20:01:07 น.  

 

ทำงานมาเป็นเวลาเท่ากัยเป๊ะ กับเรา
แต่เราเปลี่ยนงานมาแล้ว 5 ที่
ไม่ได้คิดอะไรมาก
ก็แค่เดินมาแล้วก็เดินกันต่อไป
ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตนะ

 

โดย: รายารีย์ IP: 202.91.18.192 1 ตุลาคม 2551 20:22:25 น.  

 

สวัสดีครับผม ฝากชมโซฟาของผมบ้างนะครับพี่ ต้องการรายละเอียดคำแนะนำ บ้าง

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cpr-computer

ขอบคุณมากครับ

Bank

 

โดย: cpr-computer 21 ตุลาคม 2551 1:22:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


civic_coupe
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add civic_coupe's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.