|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
สิ่งที่ต้องใช้ในการดูดวง
ก็ยังไม่รู้จะหารูปหรือเรื่องอะไรกลับกล้ยวไม้ ครับ ก็เลยเอา ศาสตร์ ด้านนี้มาพูดกัน ครับ จริงการดูดวงก็นับว่าเป็น ศาสตร์ อย่างหนึ่ง ครับ ช่วยในหาตัดสินใจบางเรื่อง หรือเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต จะว่าแม่นหรือปล่าวนั้นอยู่ที่ ความสามารถครับ ก็เป็นวิชาเกี่ยวกับสถิติ ครับ จริงแล้วสมัยก่อนผมก็ไม่เชื่อ ครับ ว่าจะแม่นได้อย่างไร ครับพอได้ศีกษาศาสตร์ด้านนี้ก็เริ่มจากตัวเองและคนรอบข้างครับ อ้อพอดีคุณแม่ผมชอบด้านนี้มากก่อนแล้วผมก็เลยยิบตำรามาอ่าน ครับ แล้วก็สนใจศึกษาเพิ่มขึ้นเลื่อย ครับก็ยอมรับว่า แม่นดีเหมือนกันจนต้องยอมรับ ว่ามีสวนจริง ครับ ไม่น่าเชื่อคนสมัยก่อนสามารถ ทำตำรามาได้น่าทึ่ง ครับ โหราสาดไม่ใช้วิธีทางไสยสาด ดังนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวกับ คาถาอาคม เลยครับ แต่ศึกษามากๆก็จะเกิดญาน ครับ(ต้องเป็นคนที่อยู่ในธรรมครับ) หรือความเคยชินไม่รู้ ฮิๆๆๆ เอาเป็นว่าสนุกดีครับ หมอดูที่ดี ห้ามทายอยู่ 3 อย่าง ครับ 1.ทายคุณโทษทารกทาริกา 2.ทายสามีภรรยาให้ราคิน 3.ทายชิวาวิบัติตัดชันษา ครับ ถ้าทาย 3 ข้อนี้ไปในทางที่ไม่ดี หรือมีการเรียกเงิน สเดาะเคราห์ ก็เลิกนับถือหรือเลิกดูกับหมอดูคนนั้นได้ถือว่าผิดจรรยา ครับ สิ่งที่ต้องรู้ในการดูดวง ครับ คือ วัน เดือน ปีเกิด และเวลาเกิด(เวลาตกฟากครับ) ถ้าเวลาเกิดไม่ตรง การทำนายก็คาดเคลื่อนหรือไม่แม่นเลย ครับ แล้ว จังหวัดที่เกิดครับ การศึกษาของผมซื้อตำรามาอ่านเอง ครับ ไม่ได้ไปเรียน ครับ ตอนนี้ก็ศึกษา 10 ลักคณา ครับ ก็สนุกดี ครับถ้าใครศึกษาก็ขอความรู้ด้วยนะครับ
โหราศาสตร์ เป็นวิชาที่ใช้ทายกาลล่วงหน้าหรือดูการล่วงหน้า ใช้สำหรับพยากรณ์ผลกรรมของมนุษย์โดยอาศัยดวงดาวเป็นเครื่องพยากรณ์ ผลกรรมของมนุษย์ตามหลักพุทธศาสนา ตามที่แสดงไว้ในกัมมวิภังคสูตร ได้แสดงผลกรรมไว้ ๑๔ ประการคือ บางคนอายุยืน บางคนอายุสั้น บางคนมีโรคน้อย บางคนมีโรคมาก บางคนมีผิวพรรณดีบางคนมีผิวพรรณทราม บางคนมีศักดามาก บางคนมีศักดาน้อย บางคนมีทรัพย์สมบัติมาก บางคนมีทรัพย์สมบัติน้อย บางคนมีตระกูลสูง บางคนมีตระกูลต่ำ บางคนมีปัญญามาก บางคนมีปัญญาน้อย โหราศาสตร์จะเป็นเครื่องบอกผลกรรม ๑๔ ประการ และความเป็นไปของมนุษย์ในห้วงระยะเวลาที่มีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดี แสดงเหตุและผลของดวงดาว ทำให้สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าของวิถีทางของมนุษย์ และเหตุการณ์ของโลกทั่ว ๆ ไป วิชาโหราศาสตร์ เป็นวิชาที่เก่าแก่เชื่อว่าเกิดในทวีปเอเซียก่อนแล้วจึงแพร่หลายไปยังแหล่งอื่น ในคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ ซึ่งมีอายุก่อนพุทธศาสนาก็มีคำสดุดีดาวพระเคราะห์อยู่ด้วย สำหรับวิชาโหราศาสตร์ของไทยตามหลักฐานที่มีอยู่ แสดงว่าได้รับสืบทอดมาจากอินเดีย เมืองไทยเราตั้งอาณาจักรสุโขทัยก็ได้มีตำแหน่งพระมหาราชครู ซึ่งเป็นพราหมณาจารย์ และตั้งให้เป็นปุโรหิตประจำราชสำนักสืบต่อมาในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ ก็ยังคงมีพราหมณาจารย์ดำรงตำแหน่งพระมหาราชครู ในทางพระพุทธศาสนา สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพุทธานุญาตให้ พระภิกษุสงฆ์เรียนรู้วิชาโหราศาสตร์ในเรื่องฤกษ์ยาม เพื่อจะได้รู้เวลาทำอุโบสถสังฆกรรม อันเป็นกิจในพระพุทธศาสนา จึงได้มีชื่อ วัน เดือน ปี และฤกษ์แสดงไว้ท้ายบอกวัตรพระเป็นประเพณีสืบต่อมา ที่มาของเรื่องนี้มีอยู่ว่า สมัยหนึ่ง พระภิกษุทั้งหลายไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในอรัญญิกเสนาสนะได้มีหมู่โจรมาถามว่า วันนี้พระจันทร์กอร์ปด้วยนักขัตฤกษ์อะไร พระภิกษุตอบว่าไม่รู้ พวกโจรจึงว่า ชนเหล่านี้มิใช่สมณะจึงไม่รู้นักขัตตบาท คงจะเป็นพวกโจรมาซุ่มซ่อนอยู่ ว่าแล้วโจรเหล่านั้นก็เข้าทำร้าย พระภิกษุเหล่านั้นแล้วหลีกไป เมื่อความเรื่องนี้ทราบถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์จึงทรงมี พระพุทธฎีกาตรัสให้ประชุมพระภิกษุสงฆ์ แล้วจึงตรัสอนุญาต ให้ภิกษุที่ไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าพึงเรียนรู้นักขัตฤกษ์ สำหรับอรัญญิกวัตร เพื่อรักษาตนให้พ้นอันตรายจากโจร วิชาหมอดู จัดว่าเป็นบันไดขั้นต้นของวิชาโหราศาสตร์ ทั้งสองวิชาต่างก็ใช้ดวงดาวนพเคราะห์เป็นเครื่องวินิจฉัย หลักวิชาที่หมอดูใช้ได้แก่ ตำราเลข ๗ ตัว โดยอาศัย วัน เดือน ปี และยามเวลาเกิด โดยเทียบเข้ากับหลักการของดาวเคราะห์เป็นมูลฐานในการทำนาย ส่วนวิชาโหราศาสตร์มีการกำหนดท้องฟ้าเป็นจักรราศี โดยแบ่งออกเป็น ๑๒ ราศี แบ่งออกเป็น ๒๗ นักษัตร ๓๖ ตรียางค์ และ ๑๐๘ นวางค์ นอกจากนั้นยังมีตำรามหาทักษาพยากรณ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง หลักตำราโหรโบราณแทบทุกคัมภีร์ มักจะนำเอาหลักเกณฑ์ในมหาทักษาพยากรณ์ ไประคนกับหลักเกณฑ์ในวิชาโหราศาสตร์ ในวิชาโหราศาสตร์แบ่งจักรราศีออกเป็น ๑๒ ราศี แล้วจัดดาวพระเคราะห์เข้าครองประจำทุกราศี ที่เรียกว่า เกษตร์ และจัดให้ธาตุทั้งสี่ คือ ไฟ ดิน ลม น้ำ เข้าครองประจำทุกราศี กำหนดให้ดาวพระเคราะห์เกษตร์ประจำราศี เข้าครองธาตุตามลักษณะธาตุที่ประจำราศีนั้น และทุกราศีก็กำหนดให้เป็นทิศต่าง ๆ ในวิชาหมอดู มีการแบ่งท้องฟ้าออกเป็น ภูมิอัฐจักรพยากรณ์ มีดาวพระเคราะห์ ธาตุและทิศเข้าครองเหมือนหลักเกณฑ์ในวิชาโหราศาสตร์
ตำนานการอุบัติของดาวพระเคราะห์ ตามคัมภีร์เฉลิมไตรภพได้กล่าวไว้ว่า เมื่อโลกถูกไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ เหลือแต่ความว่างเปล่า บรรดาพระเวท พระธรรมศาสตร์ ได้รวมตัวกันเข้า เกิดเป็นพระอิศวร พระอิศวรจึงสร้างโลกใหม่ให้บังเกิดมี มนุษย์ สัตว์ และพืช ขั้นแรกสร้างพระอุมาภควดี พระนารายณ์ และพระพรหมธาตุขึ้นก่อน แล้วสำรอกเนื้องอกออกจากท้องเกิดเป็นแผ่นดิน ถอดจุฑามณีออกจากผม แล้วบันดาลให้เป็นเขาสุเมรุราช และบันดาลให้เกิดธาตุทั้งปวงขึ้นในโลก บังเกิดฝนตกลงมาห่าใหญ่ เมื่อฝนหายแล้ว ลมหอบเอาไอดินหอมขึ้นไปถึงพรหมโลก บรรดาพรหมหอมกลิ่นไอดินก็เกิดอยากเสพง้วนดิน จึงแปลงเพศเป็นนางพรหมรวมเจ็ดองค์ลงมากินง้วนดิน เมื่อกินง้วนดินไปแล้วก็มีเทพบุตร และเทพธิาจุติลงมาเกิดในครรภ์ของนางพรหมทั้งเจ็ด ต่อมาได้คลอดบุตรเป็นชายหนึ่งคนเป็นหญิงหกคน เป็นต้นวงศ์ของมนุษย์ในโลก พระอิศวรมีดำริว่า เมื่อโลกมีมนุษย์ และสัตว์เกิดขึ้นแล้ว สมควรจัดให้มีแสงสว่างส่องโลก จึงได้ตั้งจักรราศีไว้ ๑๒ ราศี ประกอบด้วยดาวฤกษ์ ๒๗ ฤกษ์ มีวิมานนพเคราะห์ ๙ วิมาน เวียนรอบจักรราศีตามกำหนดเวลา กำหนดให้มีสัตว์ ๑๒ นักษัตรขึ้นเป็นนามมี คือ หนูเป็นนามปีชวด วัวเป็นนามปีฉลู เสือเป็นนามปีขาล กระต่ายเป็นนามปีเถาะ งูใหญ่เป็นนามปีมะโรง งูเล็กเป็นนามปีมะเส็ง ม้าเป็นนามปีมะเมีย แพะเป็นนามปีมะแม ลิงเป็นนามปีวอก ไก่เป็นนามปีระกา สุนัขเป็นนามปีจอ และหมูเป็นนามปีกุน จากนั้นได้สร้างพระอาทิตย์ (๑) จากราชสีห์ ๖ ตัว พระอาทิตย์ จึงมีกำลัง ๖ ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ สร้างพระจันทร์ (๒) จากนางฟ้า ๑๕ พระจันทร์จึงมีกำลัง ๑๕ มีม้าเป็นพาหนะ สร้างพระอังคาร (๓) จากกระบือ ๘ ตัว พระอังคารจึงมีกำลัง ๘ มีกระบือเป็นพาหนะ สร้างพระพุธ (๔) จากช้าง ๑๗ ตัว พระพุธจึงมีกำลัง ๑๗ มีช้างเป็นพาหนะ สร้างพระพฤหัสบดี (๕) จากฤาษี ๑๙ ตน พระพฤหัสบดีจึงมีกำลัง ๑๙ มีกวางทองเป็นพาหนะ สร้างพระศุกร์ (๖) จากโค ๒๑ ตัว พระศุกร์จึงมีกำลัง ๒๑ มีโคเป็นพาหนะ สร้างพระเสาร์ (๗) จากเสือ ๑๐ ตัว พระเสาร์จึงมีกำลัง ๑๐ มีเสือเป็นพาหนะ สร้างพระราหู (๘) จากหัวผีโขมด ๑๒ หัว พระราหูจึงมีกำลัง ๑๒ มีครุฑเป็นพาหนะ สร้างพระเกตุ (๙) จากพญานาค ๙ ตัว พระเกตุจึงมีกำลัง ๙ มีนาคเป็นพาหนะ พระอิศวรจัดให้เทวดานพเคราะห์ทั้งเก้าโคจรรอบจักรราศี โดยมีเขาพระสุเมรุราชเป็นหลักของโลก เทวดาพระเคราะห์ทั้งเก้า ก็โคจรรอบเขาสุเมรุราช พระอิศวรปรารภว่า เขาพระสุเมรุราชประกอบด้วย เหลี่ยมใหญ่ประจำทิศทั้งแปด ยังไม่มีผู้ใดรักษา จึงได้มอบให้ พระอาทิตย์ (๑) รักษาทิศอีสาน พระจันทร์ (๒) รักษาทิศบูรพา พระอังคาร (๓) รักษาทิศอาคเณย์ พระพุทธ (๔) รักษาทิศทักษิณ พระเสาร์ (๗) รักษาทิศหรดี พระพฤหัสบดี (๕) รักษาทิศประจิม พระราหู (๘) รักษาทิศพายัพ พระศุกร์ (๖) รักษาทิศอุดร ส่วนพระเกตุ (๙) ให้ประจำอยู่ในทิศท่ามกลาง การเข้าครองทิศของเทวดาอัฐเคราะห์ให้ตั้งต้นที่ทิศทักษิณก่อน แล้วนับตั้งแต่ทิศทักษิณเป็นต้นไปเท่ากับกำลังของตน โดยทางทักษิณาวัตร คือเวียนขวา จากทักษิณไปหรดี เช่นพระอาทิตย์มีกำลัง ๖ ก็นับเริ่มต้นที่ทิศทักษิณเวียนขวาไปตามลำดับ ถึงลำดับ ๖ ตกทิศอิสาน ดังนั้นพระอาทิตย์ (๑) จึงประจำอยู่ที่ทิศอิสาน ดาวพระเคราะห์อื่น ๆ ก็ทำนองเดียวกันจนครบแปดดวง ทำให้เกิดภูมิพยากรณ์ และตำรามหาทักษา สำหรับใช้พิจารณาชะตาชีวิตในวิชาโหราศาสตร์เบื้องต้น คือวิชาหมอดูนั่นเอง
การแบ่งจักรราศีตามแบบโหราศาสตร์ บนท้องฟ้าเป็นวิถีโคจรของบรรดาดาวพระเคราะห์ทั้งหลาย มีพระอาทิตย์ (๑) เป็นประธานในเวลากลางวัน และมีพระจันทร์ (๒) เป็นประธานเวลากลางคืน เมื่ออาทิตย์โคจรไปรอบจักรราศีจะโคจรผ่านกลุ่มดาวประจำราศีทั้ง ๑๒ ราศี อาทิตย์โคจรผ่านราศีต่าง ๆ ราศีละ ๑ เดือน ครบรอบจักรราศีเป็นเวลา ๑ ปี ระยะการโคจรของอาทิตย์ที่ผ่านไปตามจักรราศีเรียกว่า สุริยคติกาล จักรราศีหนึ่งมีมุม ๓๖๐ องศา แต่ละราศี มีมุม ๓๐ องศา ราศีทั้ง ๑๒ ราศีมีชื่อเรียกตามกลุ่มดาวที่ประจำอยู่ ดังนี้ ราศี ๐ ชื่อราศีเมษ หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป เนื้อ ราศี ๑ ชื่อราศีพฤกศภ หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป โค ราศี ๒ ชื่อราศีเมถุน หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป คนคู่ ราศี ๓ ชื่อราศีกรกฎ หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป ปู ราศี ๔ ชื่อราศีสิงห์ หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป ราชสีห์ ราศี ๕ ชื่อราศีกันย์ หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป นาง ราศี ๖ ชื่อราศีตุลย์ หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป ตาชั่ง ราศี ๗ ชื่อราศีพิจิก หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป แมลงป่อง ราศี ๘ ชื่อราศีธนู หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป คนถือธนู ราศี ๙ ชื่อราศีมังกร หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป งูใหญ่ หรือมังกร ราศี ๑๐ ชื่อราศีกุมภ์ หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป คนถือหม้อ ราศี ๑๑ ชื่อราศีมิน หมู่ดาวประจำราศีเป็นรูป ปลา ใน ๑๒ ราศีจะมีดาวพระเคราะห์ครองอยู่ทั้งสิ้น ดาวพระเคราะห์ที่ครองอยู่ตามราศีทั้ง ๑๒ ราศีนี้เรียกว่า เกษตร มีดังนี้ อังคาร (๓) เป็นเกษตรประจำราศีเมษ และราศีพิจิก ศุกร์ (๖) เป็นเกษตรประจำราศีพฤกศก และราศีตุลย์ พุธ (๔) เป็นเกษตรประจำราศีเมถุน และราศีกันย์ จันทร์ (๒) เป็นเกษตรประจำราศีกรกฎ อาทิตย์ (๑) เป็นเกษตรประจำราศีสิงห์ พฤหัสบดี (๕) เป็นเกษตรประจำราศีมีน เสาร์ (๗) เป็นเกษตรประจำราศีกุมภ์
ตรียางค์ และนวางค์ ในหนึ่งราศีมีมุมกว้าง ๓๐ องศา แบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนมีมุม กว้าง ๑๐ องศา เรียกว่าตรียางค์ ทุกตรียางค์มีดาวพระเคราะห์ครองทำนองเดียวกับเกษตรในแต่ละราศี ตรียางค์ที่หนึ่งเรียกว่า ปฐมตรียางค์ ตรียางค์ที่สองเรียกว่าทุติยตรียางค์ ตรียางค์ที่สามเรียกว่าตติยตรียางค์ ในจักรราศีมี ๓๖ ตรียางค์ด้วยกัน ในแต่ละตรียาค์ แบ่งออกเป็นสามนวางค์ แต่ละนวางค์มีมุม กว้าง ๓ องศา ๒๐ ลิบดา ดังนั้นในราศีหนึ่งจึงมีเก้านวางค์ แต่ละนวางค์มีดาวนพเคราะห์ครองเป็นเกษตร เช่นเดียวกับในตรียางค์ และในราศี
นักษัตร์ (ฤกษ์) นักษัตร์เป็นดาวอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ดาวพระเคราะห์ ประชุมกันอยู่ตามนวางค์ทั้ง ๑๐๘ นวางค์รอบจักรราศีมีทั้งหมด ๒๗ กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะอยู่ใน ๔ นวางค์ มีชื่อเรียกตามลำดับ จากอัสวินีฤกษ์จนถึงเรวดีฤกษ์ กลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๑ คืออัสวินีนักษัตรนั้น เริ่มตั้งแต่จุดแรกของราศีเมษ ไปจนถึงกลุ่มดาวฤกษ์ที่ ๒๗ อันเป็นจุดสุดท้ายของ เรวดีนักษัตร์ในราศีมิน กลุ่มดาวฤกษ์ที่ประชุมอยู่ในสี่นวางค์ นวางค์แรกเรียกว่า ปฐมบาท นวางค์ที่สองเรียกว่า ทุติยบาท นวางค์ที่สามเรียกว่า ตติยบาท และนวางค์ที่สี่เรียกว่า จัตตุถบาท กลุ่มดาวที่พระจันทร์โคจรผ่านเรียกว่า ฤกษ์ พระจันทร์โคจรผ่านตลอด ๒๗ กลุ่มดาวฤกษ์ เป็นเวลา ๑ เดือน เรียกว่า จันทรคติกาล ดาวพระเคราะห์ที่โคจรตามจักรราศีที่นำมาใช้ในวิชาโหราศาสตร์เดิมมีอยู่เพียงเจ็ดดวง คือ ดาวเสาร์ (เสารี) ใช้แทนด้วย เลข ๗ ดาวพฤหัสบดี (ชีโว) ใช้แทนด้วย เลข ๕ ดาวอังคาร (ภุมมะ) ใช้แทนด้วยเลข ๓ ดาวอาทิตย์ (สุริชะ) ใช้แทนด้วยเลข ๑ ดาวศุกร์ (ศุกระ) ใช้แทนด้วยเลข ๖ ดาวพุธ (พุธา) ใช้แทนด้วยเลข ๔ ดาวจันทร์ (จันเทา) ใช้แทนด้วยเลข ๒ เป็นการเรียงลำดับ จากไกลมาใกล้ ส่วนราหูกับเกตุ ซึ่งใช้แทนด้วยเลข ๘ และเลข ๙ นั้น เป็นเพียงเงาของดาวพระเคราะห์อันเนื่องจากการโคจรของดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นวงรีมีระนาบเอียงทำมุม ประมาณ ๕ องศา จึงเกิดจุดตัดของแนวโคจรดังกล่าว สองจุด จุดทางทิศเหนือของโลกเรียกว่า ราหู จุดทางทิศใต้เรียกว่าเกตุ ดังนั้นราหูกับเกตุ จะโคจรมีระยะห่างกันเป็นมุม ๑๘๐ องศาตลอดเวลาในลักษณะที่เล็งกัน
ดาวพระเคราะห์ครองธาตุตามหลักทักษา ธาตุที่สำคัญมีอยู่สี่ประการด้วยกันคือ ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุลม และธาตุน้ำ ธาตุไฟกับธาตุลมจัดไว้เป็นธาตุอกุศลธาตุ ธาตุดินกับธาตุน้ำเป็นกุศลธาตุ ธาตุทั้งสี่เข้าครองในภูมิพยากรณ์ทั้งแปดในลักษณะที่สลับกันระหว่างกุศลธาตุ และอกุศลธาตุ โดยเริ่มจากธาตุไฟคลองทิศอิสาน ธาตุดินครองทิศบูรพา ธาตุลมครองทิศอาคเณย์ ธาตุน้ำครองทิศทักษิณ เรียงสลับกันไปตามลักษณะทักษิณาวัตร บรรดาดาวพระเคราะห์ที่ครองอยู่ตามภูมิพยากรณ์ทั้งแปด ก็จะครองธาตุที่ประจำอยู่ตามภูมิพยากรณ์นั้น ๆ คือ อาทิตย์ครองธาตุไฟ จันทร์ครองธาตุดิน อังคารครองธาตุลม พุธคลองธาตุน้ำ เสาร์ครองธาตุไฟ พฤหัสบดีครองธาตุดิน ราหูครองธาตุลม และศุกร์ครองธาตุน้ำ ดาวเคราะห์ที่ครองธาตุเดียวกันเรียกว่า ดาวคู่ธาตุ สุริชะธาตุไฟกำหนดให้มีกำลังเท่ากับ ๑๒ อมฤตะ ธาตุน้ำ มีกำลัง ๑๖ ปาปะธาตุลมมีกำลัง ๒๒ โกลีธาตุดินมีกำลัง ๓๐ รวมกันแล้วมีกำลัง ๘๐ เรียกว่า อสีติธาตุ อาทิตย์กับเสาร์คู่ธาตุไฟ เข้าครองในราศีเมษธาตุไฟ พุธกับศุกร์คู่ธาตุน้ำ เข้าครองในราศี กรกฎ ธาตุน้ำ อังคารกับราหู คู่ธาตุลม เข้าครองในราศีตุลย์ ธาตุลม จันทร์ กับพฤหัสบดี คู่ธาตุดิน เข้าครองในราศีมังกร ธาตุดิน
ดาวพระเคราะห์ครองธาตุตามหลักโหราศาสตร์ ในหลักวิชาโหราศาสตร์ ได้แบ่งจักรราศีออกเป็น ๑๒ ราศี และจัดดาวพระเคราะห์เข้าครองเป็นเกษตรทั้ง ๑๒ ราศี และมีการจัดให้ธาตุทั้งสี่เข้าครองทั้ง ๑๒ ราศี โดยวิธีเดียวกันกับที่จัดวางในภูมิพยากรณ์ คือให้กุศลธาตุอยู่สลับกับอกุศลธาตุ เมื่อนับตามอุตราวรรต (เวียนซ้าย) จะเป็นดังนี้ ราศีเมษธาตุไฟ ราศีพฤศภ ธาตุดิน ราศีเมถุนธาตุลม ราศีกรกฎธาตุน้ำ ราศีสิงห์ธาตุไฟ ราศีกันย์ธาตุดิน ราศีตุลย์ธาตุลม ราศีพิจิกธาตุน้ำ ราศีธนูธาตุไฟ ราศีมังกรธาตุดิน ราศีกุมภ์ธาตุลม และราศีมีนธาตุน้ำ ราศีที่มีอิทธิพลในภาคกลางวันได้แก่ ราศีสิงห์ กันย์ ตุลย์ พิจิก ธนู และราศีมังกร ราศีที่มีอิทธิพลในภาคกลางคืนได้แก่ ราศี กุมภ์ มีน เมษ พฤษภ เมถุน และราศีกรกฎ
คู่มิตร คู่ศัตรู ตามตำนานชาติเวร การแบ่งดาวพระเคราะห์เป็น คู่มิตร คู่ศัตรู ตามหลักวิชาหมอดู กำหนดตามตำนานชาติเวรของดาวพระเคราะห์ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์เฉลิมไตรภพ มีดังนี้ ดาวที่เป็นคู่มิตรคือ อาทิตย์กับพฤหัสบดี จันทร์กับพุธ ศุกร์กับอังคาร และราหูกับเสาร์ ดาวที่เป็นคู่ศัตรูคือ อาทิตย์กับอังคาร พุธกับราหู ศุกร์กับเสาร์ และจันทร์กับพฤหัสบดี
คู่มิตร คู่ศัตรู ตามหลักโหราศาสตร์ ดวงมูลตรีโกณหรือมูลเกษตร เป็นตำแหน่งของดาวพระเคราะห์ที่ให้คุณ เพราะเป็นดาวในตำแหน่งเกษตรนั่นเอง ยกเว้นจันทร์ไปครองตำแหน่งอุจจ์ในราศีพฤกษภ ตำแหน่งมูลเกษตรเป็นที่เกิดของดาวพระเคราะห์คู่มิตรคู่ศัตรู ตามหลักโหราศาสตร์ ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ปาริชาติชาดก ซึ่งแสดงไว้ว่า อาทิตย์ราศีสิงห์ จันทร์ราศีพฤกษภ อังคารราศีเมษ พุธราศีกันย์ พฤหัสบดีราศีธนู ศุกร์ราศีตุลย์ เสาร์ราศีกุมภ์ เรียกว่าได้ตำแหน่งมูลตรีโกณ หรือมูลเกษตร การกำหนดดาวพระเคราะห์ที่เป็นคู่มิตรคู่ศัตรูกันนั้น กำหนดจากตำแหน่งที่เป็นมูลตรีโกณของดาวพระเคราะห์นั้น ๆ พิจารณาจากเจ้าเรือนเกษตรของภพที่สอง สี่ ห้า แปด เก้า และภพที่สิบสอง พร้อมทั้งดาวพระเคราะห์ที่เป็นเจ้าเกษตร ราศีอุจจ์ของดาวในตำแหน่งมูลตรีโกณ ดาวพระเคราะห์เกษตรในตำแหน่งดังกล่าวจะเป็นคู่มิตรกับดาวนั้น บอกจากนั้นแล้วเป็นศัตรูทั้งสิ้น สรุปได้ดังนี้ ดาวอาทิตย์ เป็นมิตรกับจันทร์ อังคารและพฤหัสบดี เป็นกลางกับพุธ เป็นศัตรูกับศุกร์ และเสาร์ ดวงจันทร์ เป็นมิตรกับอาทิตย์ และพุธ เป็นกลางกับอังคาร และพฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์ไม่เป็นศัตรูกับดาวอื่น ดาวอังคาร เป็นมิตรกับอาทิตย์ จันทร์ และพฤหัสบดี เป็นกลางกับศุกร์และเสาร์ เป็นศัตรูกับพุธ ดาวพุธ เป็นมิตรกับอาทิตย์ และศุกร์ เป็นกลางกับอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ เป็นศัตรูกับจันทร์ ดาวพฤหัสบดี เป็นมิตรกับอาทิตย์ จันทร์ และอังคาร เป็นกลางกับเสาร์ เป็นศัตรูกับพุธ และศุกร์ ดาวศุกร์ เป็นมิตรกับพุธและเสาร์ เป็นกลางกับอังคาร และพฤหัสบดี เป็นศัตรูกับอาทิตย์ และจันทร์ ดาวเสาร์ เป็นมิตรกับศุกร์ และพุธ เป็นกลางกับพฤหัสบดี เป็นศัตรูกับอาทิตย์ จันทร์ และอังคาร
การพิจารณาดาวเคราะห์จร (การทำนายเหตุการปัจจุบันหรือทำนายประจำวัน) การพยากรณ์ความเป็นไปของชีวิตจากดวงชะตา ตามหลักวิชาโหราศาสตร์ ก็พยากรณ์จากดาวพระเคราะห์ที่โคจรใน ๑๒ ราศี ส่งกระแสสัมพันธ์มาถึงดาวพระเคราะห์ในดวงชาตาตลอดจนลัคนาของผู้นั้น มีหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาหลายนัยด้วยกันคือ ๑. ให้พิจารณาจากลัคนาเป็นประการแรก และสำคัญที่สุด ตรวจดูว่าราศีที่ลัคนาสถิตนั้นมีดาวพระเคราะห์ใดบ้างที่ให้คุณ และให้โทษ ๒. ให้พิจารณาดาวเจ้าเรือนลัคน์ว่าโคจรไปอยู่ในตำแหน่งใด เข้มแข็ง หรืออ่อนแอ นอกจากนั้นให้ดูดวงเจ้าเรือนที่จันทร์ในดวงชาตาสถิต ทำนองเดียวกับเจ้าเรือนลัคน์ ๓. ในราศีใดที่มีดาวพระเคราะห์โคจรไปต้องกัน ให้พิจารณาดู ดาวที่เป็นเกษตรในราศีนั้นด้วย ๔. ดาวพระเคราะห์เดิมในดวงชะตา เมื่อถูกดาวพระเคราะห์จรมาต้องส่งผลให้ในทางให้โทษ ให้พิจารณาตำแหน่งของดาวพระเคราะห์เดิมในดวงชาตาที่ถูกเบียนนั้น ตรวจดูสภาพที่กำลังเป็นดาวพระเคราะห์จรในขณะนั้น ๕. นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ถ้าหากในขณะนั้นเกิดมีจุดดับ หรือจุดคราสมาถูกต้องในดวงชาตาก็นับว่าเป็นผลร้าย จุดดับคือตำแหน่งของดาวพระเคราะห์ ยกเว้นราหู และเกตุ ซึ่งโคจรเข้าร่วมกับอาทิตย์ มีองศาใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ ประมาณ ๕ องศา ถ้าเป็นจุดดับของพระจันทร์มีชื่อเรียกว่า จุดอามาวสี จุดดับของจันทร์ถ้าไปต้องดาวพระเคราะห์ใดเข้า รวมทั้งลัคนาก็ถือว่าเป็นจุดเบียน และจุดที่อาทิตย์กับจันทร์มีองศาเท่ากัน ถือว่าดับสนิท ถ้าไปเท่ากับองศาของลัคนา หรือดาวพระเคราะห์ที่โคจรไปทับก็ถือว่าเป็นจุดเบียน หากดาวพระเคราะห์ที่ดับเป็นดาวเกษตรเจ้าเรือนลัคน์ หรือเจ้าเรือนจันทร์ก็จะทำให้ชาตาในจังหวะนั้นไม่สู้ดี ดาวพระเคราะห์ดวงใดที่โคจรเข้าไปสู่จุดดับ ถือว่าดาวพระเคราะห์ดวงนั้นหมดกำลังต้านทาน จุดคราส เป็นจุดดับอีกประการหนึ่ง ซึ่งรุนแรงกว่าจุดดับธรรมดา และสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจุดดับของจันทร์ และจุดเพ็ญของจันทร์ที่เรียกว่า ปุรณมี ถ้ามีราหูร่วมหรือเล็งในระยะองศาใกล้เคียง ภายในระยะองศาที่บังคับไว้ทำให้เกิดสุริยุปราคา ขึ้นเรียกว่า จุดคราส ถ้าจุดนี้ไปต้องลัคนา หรือดาวพระเคราะห์ดวงใดในชาตา จะเป็นด้วยการร่วมหรือเล็งก็ตามโดยมีองศาใกล้เคียงกันภายใน ๒๐๐ ลิบดา ดาวเกษตร์เจ้าเรือนลัคน์ ดาวเกษตรเจ้าเรือนจันทร์ ดาวเกษตร์เจ้าราศีที่อาทิตย์ในชาตากำเนิดสถิตอยู่ถือว่า เป็นชาตาเข้าฆาฏระยะหนึ่ง จะให้ผลร้ายเมื่ออังคารโคจรมาทับ หรือมาเล็ง จุดคราสอีกจุดหนึ่ง คือจุดที่อาทิตย์กับจันทร์โคจรมาเล็งกันเป็นมุม ๑๘๐ องศา ทำให้เกิดจุดเพ็ญขึ้น แต่มีราหูเข้ามามีองศาร่วม จะร่วมในราศีที่อาทิตย์สถิต หรือจันทร์สถิตก็ได้ ทำให้เกิดจันทรุปราคาขึ้น มีผลเช่นเดียวกับ สุริยุปราคา จุดเพ็ญ ถือว่าเป็นจุดดีจุดหนึ่ง จันทร์เพ็ญโคจรไปร่วมกับดาวดวงใด จะทำให้ดาวดวงนั้นมีกำลังขึ้น ทั้งดาวพระเคราะห์เดิมในดวงชาตา และดาวพระเคราะห์ที่กำลังโคจรในวิถีจักร ๖. ดาวพระเคราะห์ที่จัดว่าให้คุณในดวงชาตา เมื่อโคจรมาต้องตัวเองเข้าก็ถือว่าให้ผลดี ตรงกันข้ามดาวพระเคราะห์ที่ให้โทษในดวงชาตา เมื่อโคจรมาต้องตัวเองก็จะให้ผลร้าย ๗. การพิจารณาผลจากดาวพระเคราะห์โคจรมาต้อง ให้ตรวจดูว่าดาวดวงนั้นตั้งอยู่ในภพใดจากดาวนั้น ก็จะให้คุณให้โทษตามสภาพของภพนั้น ๆ
ระยะเวลาการอยู่ในราศีนั้นๆ ของดาวพระเคราะห์แต่ละดวง ดาวพระเคราะห์ที่โคจรใน ๑๒ ราศี จะใช้ระยะเวลาในการโคจรจากราศีหนึ่งไปยังอีกราศีหนึ่งโดยโคจรทวนเข็มนาฬิกา (เว้นดาวราหูกับดาวเกตุที่เดินถอยหลัง) ดังนี้ ๑ ดาวอาทิตย์ โคจรอยู่ในราศีเป็นเวลาประมาณ ๑ เดือน ๒ ดาวจันทร์ โคจรอยู่ในราศีเป็นเวลาประมาณ ๒.๕ วัน (๒ วันครึ่ง) ๓ ดาวอังคาร โคจรอยู่ในราศีเป็นเวลาประมาณ ๔๕ วัน ๔ ดาวพุธ โคจรอยู่ในราศีเป็นเวลาประมาณ ๑๕ วันถึง ๓๐ วัน (โดยประมาณ) ๕ ดาวพฤหัส โคจรอยู่ในราศีเป็นเวลาประมาณ ๑ ปี ๖ ดาวศุกร์ โคจรอยู่ในราศีเป็นเวลาประมาณ ๑๕ วันถึง ๑ เดือน ๗ ดาวเสาร์ โคจรอยู่ในราศีเป็นเวลาประมาณ ๒.๕ ปี (๒ ปีครึ่ง) ๘ ดาวราหู โคจรอยู่ในราศีเป็นเวลาประมาณ ๑.๕ ปี (๑ ปีครึ่ง) ๙ ดาวเกตุ โคจรอยู่ในราศีเป็นเวลาประมาณ ๒ เดือน ๐ ดาวมฤตยู โคจรอยู่ในราศีเป็นเวลาประมาณ ๗ ปี (ชั่ว ๗ ทีดี ๗ หน)
ลัคนา และดวงชาตา (โดยละเอียด) ลัคนาคือความหมุนของโลกในระยะ ๑ วัน กำหนดด้วยวิถีของโลกโคจรตามคติในรอบ ๑ ปี เมื่อเราได้คำนวณสมผุสแล้วว่าพระอาทิตย์อยู่ในราศีใด มีมุมเป็นองศา ลิบดาเท่าใดก็จะรู้ได้ว่าลัคนาเกาะอยู่ที่ใด คือเกาะอยู่ในนวางค์ ตรียางค์ใดของราศีใด ตามคติเวลาของอันโตนาที เส้นทางที่เป็นลัคนากำหนดไว้ว่า เวลาย่ำรุ่งเส้นนี้อยู่ตรงกับดวงอาทิตย์เสมอ และในราศีที่เห็นดวงอาทิตย์อยู่นั้น ระยะทางที่เห็นว่าดวงอาทิตย์ผ่านไปแล้วกี่องศา กี่ลิบดา เรียกว่า อดีต อาทิตย์อุทัย และอีกกี่องศา และลิบดาที่ดวงอาทิตย์จะต้องผ่านไปจนตลอดราศีนั้นเรียกว่า อนาคตอุทัย การที่ลัคนาเกาะอยู่ในเวลาย่ำรุ่งคือเส้นที่แบ่งเขตอดีต และอนาคตอุทัย ถ้าลากเส้นนี้ผ่านดวงอาทิตย์ออกเป็นสองซีก ให้ตรงไปยังดาวราศีที่เห็นข้างหลังดวงอาทิตย์ แล้วต่อเส้นตรงนี้มายังโลก เส้นตรงนี้จะผ่าโลกออกเป็นสองซีกตลอดขั้วโลกเหนือและใต้ เส้นตรงนี้เรียกว่าลัคนาที่เกาะอยู่ในโลกเมื่อเวลาย่ำรุ่ง ซึ่งก็คือเส้นเมอริเดียนของโลก ที่อยู่ตรงกับดวงอาทิตย์เมื่อเวลาย่ำรุ่ง เมื่อที่หมาย ณ ที่นั้นเคลื่อนไปจากที่ตรงกับดวงอาทิตย์ อันเนื่องด้วยการหมุนของโลก เรียกว่าลัคนาจรไป เมื่อจรไปบรรจบครบรอบที่เดิมก็เป็นห้วงเวลาหนึ่งวันพอดี ดังนั้นลัคนาจรก็คือเส้นเมอริเดียนจร เมื่อจรไประยะ ๑๒ ราศี ใน ๒๔ ชั่วโมง ราศีหนึ่งก็จะตก ๒ ชั่วโมงพอดี ตามคติโบราณได้นำความรู้อันเป็นเกณฑ์คำนวณมาจากการวัดเงาแดด โดยกำหนดว่า เมื่อดวงอาทิตย์โคจรไปถึงลาดทางที่สูงสุดทางฝ่ายเหนือ เงาแดดตรงหลักในที่นั้นเมื่อเวลาเที่ยงวันจะไม่มีหรือเป็นศูนย์ เวลานั้นเรียกว่า อายันตรสงกรานต์เหนือ หลังจากนั้นดวงอาทิตย์จะต้องถอยกลับมาทางฝ่ายใต้ ลาดทางที่ถอยนี้ ทางภูมิศาสตร์เรียกว่าเส้นทรอปิคออฟ แคนเซอร์ ซึ่งเป็นเส้นที่แบ่งฤดูกาลหนาวร้อนเจือกัน เป็นฝ่ายเหนือ และฤดูร้อนเป็นฝ่ายใต้ สำหรับซีกโลกเหนือ ถ้าจะพูดถึงปรากฏการณ์ในท้องฟ้า ดวงอาทิตย์โคจรถึงราศีกรกฏ คือ ดาวปู หรือปุษยฤกษ์ แล้วถอยจากฤกษ์นี้ลงทางใต้ ซึ่งจะตกในวันที่ ๒๒ มิถุนายน เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ราศีเมถุนได้ประมาณ ๑๐ วัน ตามปฏิทินโหรไทย เมื่อดวงอาทิตย์ถอยจากเหนือแล้ว เงาของหลักก็จะค่อยๆ ยาวออกไปทางทิศเหนือเมื่อเวลาเที่ยงวัน วันละน้อย ๆ จนยาวได้ประมาณเท่าความยาว ๑๕ เม็ดข้าวเปลือก เรียกว่า ๑๕ พืช หรือ ๑๕ เพ็ชนาที หรือเท่ากับ ๑ รอยเท้า เรียกว่าบาท เมื่อเงาของดวงอาทิตย์ยาวออกไปได้ ๑ บาท แสดงว่าดวงอาทิตย์โคจรไปได้ ๑ ราศี เงายาวออกไปได้ ๖ รอยเท้าเป็นเวลา ๖ เดือน จากนั้นก็เริ่มหดสั้นจนเป็นศูนย์อีก เป็นเวลา ๖ เดือน รวม ๑ รอบ เท่ากับ ๑ ปี เป็นระยะทาง ๑๒ รอยเท้า เท่ากับดวงอาทิตย์โคจรไปได้ ๑๒ ราศี เวลาเงาที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งยาวขึ้น และสั้นเข้าได้ ๑ รอยเท้านั้น ย่อมเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยกว่ากันไม่ได้ลงตัวอยู่ที่ ๓๐ วันเสมอไป เมื่อย่อระยะทางในเวลา ๑ ปี มาคิดเป็นระยะทางในเวลา ๑ วัน โลกหมุนรอบตัวเอง ๑ วัน พร้อมกับโคจรเคลื่อนที่ไปประมาณ ๑ องศา การแนวทางโคจรจึงเป็นวงรี ดังนั้นจึงนำเอา ๖๐ มหานาที ซึ่งเป็นเกณฑ์ ๑ วันในครั้งกระนั้นมาคิดเฉลี่ย ได้เวลาในราศีมีนกับราศีเมษ ราศีละ ๕ มหานาที ราศีพฤกษภ กับราศีกุมภ์ ราศีละ ๔ มหานาที ราศีเมถุนกับราศีมังกร ราศีละ ๓ มหานาที ราศีกรกฏกับราศีธนู ราศีละ ๕ มหานาที ราศีสิงห์กับราศี พฤศจิก ราศีละ ๖ มหานาที ราศีกันย์และราศีตุลย ราศีละ ๗ มหานาที เกณฑ์ดังกล่าวนี้เรียกว่า อันโตนาที การวางลัคนาให้คิดเวลาเกิดตั้งแต่อนาคตอาทิตย์อุทัยไปจนถึงเวลาที่เกิด แล้วเอาเวลาอนาคตอาทิตย์อุทัยลบออกเสียก่อน จากนั้นเอาเวลาตามอันโตนาทีในราศีข้างหน้าลบต่อไปโดยลำดับ เมื่อลบไม่ได้ในราศีใด ลัคนาก็จะตกอยู่ในราศีนั้น ถ้าอธิบายตามความหมายบนพื้นโลกแล้ว เส้นเมอริเดียนที่อยู่ตรงกับดวงอาทิตย์เมื่อเวลาอาทิตย์อุทัยนั้น เมื่อเคลื่อนที่ผ่านลาดทางของดวงอาทิตย์ที่เรียกว่า อีคลิปติค อยู่ในเวลาอันโตนาทีของราศีใด ลัคนาก็จะอยู่ในราศีนั้น ดาวพระเคราะห์ดวงใดที่เห็นอยู่ตรงราศีใด ณ เวลาตกฟาก ก็จะเป็นที่อยู่ของดาวพระเคราะห์ดวงนั้นในดวงชาตาไปตลอดชีวิต การกระทำกิจการใด ๆ ก็ดี จะถือเอาเวลาเริ่มต้นของกิจการนั้นเป็นลัคนาของกิจการนั้น ๆ และมีความสัมพันธ์กับดวงชาตากำเนิดของผู้เป็นเจ้าของกิจการนั้น ๆ ถ้าดวงชาตากำเนิดให้ร้ายแต่ดวงชาตาการงาน หรือดวงชาตาการงานให้ร้ายแก่ดวงชาตากำเนิด ก็จะเกิดความผลเสียแก่กิจการนั้น ๆ และผู้ทำกิจการนั้น ๆ ด้วย ดังนั้นจึงให้วางดวงชาตากำเนิดไว้เป็นหลักของดวงกิจการก่อน เมื่อการโคจรของดาวพระเคราะห์มาเป็นผลดีต่อดวงชาตากำเนิดแล้ว ก็จะจัดวางลัคนาของกิจการนั้น ๆ ให้เป็นโยคแก่ชาตาเดิม
อันโตนาที เมื่อคิดเอาระยะการโคจรของดวงอาทิตย์โคจรรอบจักรราศีเป็นเวลา ๑ ปี มาเทียบส่วนกับเวลา ซึ่งถ้าอาทิตย์โคจรในวันเดียวครบรอบจักรราศีแล้ว จะได้เวลาออกมาเท่านั้น ๆ นาฑิกา จำนวนนาฑิกาที่เทียบส่วนโคจรของดวงอาทิตย์ ในราศีหนึ่ง ๆ เรียกว่า อันโตนาที เป็นเกณฑ์ที่ต้องใช้มากที่สุดในเรื่องโหราศาสตร์ นาฑิกาหนึ่งเท่ากับ ๒๔ นาที ดังนั้นเมื่อเอา ๒๔ คูณนาฑิกา จึงได้ผลลัพธ์เป็นจำนวนนาที
การวางลัคนาผูกดวงชาตากำเนิด ดวงชาตากำเนิด หมายถึงแผนที่ของดาวนพเคราะห์ ซึ่งสถิตอยู่ตามจักรราศีในขณะที่เจ้าชาตาเกิดเรียกว่า เวลาตกฟาก เวลาตกฟากนี้เป็นหัวใจของการผูกดวงชาตากำเนิด เป็นตัวตั้งในการสมผุสดาวพระเคราะห์ทุกดวง และตัวลัคนาเอง เวลาตกฟากยังเป็นจุดกำเนิดของลัคนา ซึ่งเป็นประธานของดวงชาตากำเนิด ดังนั้นเวลาตกฟาก จะต้องเป็นเวลาที่ถูกต้องตรงตามตำบลที่แท้จริงด้วย เวลาที่ใช้มีอยู่สามประการด้วยกันคือ เวลาสมมุติของตำบลที่ เป็นเวลาตามนาฬิกา ซึ่งอาจไม่ตรงตามเวลาของตำบลที่เป็นเวลาที่ใช้ในเขตพื้นที่กว้าง ๆ จะได้สดวกแก่การใช้ สำหรับประเทศไทยใช้เวลา ๗ ชั่วโมง ในเส้นแวง ๑๐๕ องศาตะวันออกจากเมืองกรีนิชของอังกฤษ ซึ่ง ณ จุดนี้จะตรงกับเมืองไซ่ง่อนของเวียดนาม แต่ความจริงเวลาของประเทศไทยเราถือพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) ที่กรุงเทพ ฯ เป็นศูนย์กลางของประเทศ ถ้าเทียบกับเวลาที่เมืองกรีนิช จะต่างกันเป็นเวลา ๖ ชั่วโมง ๔๑ นาที ๕๗.๙ วินาที ในเส้นแวง ๑๐๐ องศา ๒๙ ลิบดา ๒๘.๕ พิลิบดาตะวันออก ซึ่งเร็วกว่าเวลาจริงอยู่ ๑๘ นาที ๒.๑ วินาที เวลาจริงของตำบลที่ จะต้องมีตัวแก้ไปทุกท้องที่ ตามเส้นแวงของตำบลนั้น ๆ โดยเอาค่าของเส้นแวงมาคำนวณเป็นเวลา แล้วไปเปรียบเทียบกับเวลาที่ไซ่ง่อนคือ ๗ ชั่วโมงต่างจากเวลาที่กรีนิช เวลาจริงของดวงอาทิตย์ เวลาจริงของตำบลที่ก็ยังเป็นเวลาสมมุติอยู่คือ สมมุติว่าดวงอาทิตย์เดินตรงคงที่อยู่ที่เส้นศูนย์สูตร แต่ความจริงดวงอาทิตย์มิได้อยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรตลอดเวลา แต่จะเปลี่ยนเส้นทางไปตามฤดูกาล (การคำนวณเราสมมติว่า ดวงอาทิตย์เดินโลกอยู่กับที่ หรือจะให้โลกเดินดวงอาทิตย์อยู่กับที่ก็เหมือนกัน) ทางดาราศาสตร์เรียก เดคลิเนชั่นเหนือ และเดคลิเนชั่นใต้ ทางโหราศาสตร์เรียกว่าดวงอาทิตย์ซัดเหนือ หรือซัดใต้ เมื่อดวงอาทิตย์ซัดเหนือ จะมีเวลากลางวันยาวกว่ากลางคืน และเมื่อดวงอาทิตย์ซัดใต้ จะมีเวลากลางวันน้อยกว่าเวลากลางคืน ในวันที่ ๒๒ มิถุนายน เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ซัดเหนือมากที่สุด คือ อยู่ที่เส้นรุ้ง ๒๓ องศาเหนือ กลางวันจะยาวที่สุด และกลางคืนจะสั้นที่สุดสำหรับประเทศไทย และพื้นที่ที่อยู่ในซีกโลกเหนือ จากนั้นก็จะเริ่มโคจรลงทางใต้จนถึง วันที่ ๒๒ ธันวาคม ดวงอาทิตย์จะซัดใต้มากที่สุดคือ อยู่ที่เส้นรุ้ง ๒๓ องศาใต้ กลางวันจะสั้นที่สุด และกลางคืนจะยาวที่สุด สำหรับประเทศไทย และพื้นที่ในซีกโลกเหนือ ฉะนั้นเมื่อต้องการเวลาจริง จึงต้องคำนวณหาสมผุสดวงอาทิตย์ก่อนแล้วจึงคำนวณหามุมเวลา คือเวลาจริงของดวงอาทิตย์อีกชั้นหนึ่ง มุมเวลาคือมุมระหว่างจุดอาทิตย์อุทัย ถึงจุดที่ดวงอาทิตย์อยู่ในเวลาตกฟากของเจ้าของชาตา ดังนั้นการที่จะวางลัคนาได้ถูกต้อง จะต้องมีข้อมูลสามประการคือ ต้องรู้ตำบลที่เจ้าชาตาเกิด ต้องรู้เวลาจริงของตำบลนั้น ๆ และต้องรู้สมผุสดวงอาทิตย์ในเวลาเกิดของเจ้าของชาตา
เกษตร เกษตร คือ ดาวที่ครองราศีต่าง ๆ ทั้ง ๑๒ ราศี โดยกำหนดอาทิตย์เป็นเกษตร์ในราศีสิงห์ และจันทร์เป็นเกษตรในราศีกรกฏ จากนั้นก็จัดดาวเข้าครองเป็นเกษตรโดยกำหนดตามระยะที่ดาวนั้นอยู่ใกล้ไกลโลก เรียงไปตามลำดับคือ พุธ ศุกร์ อังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ โดยจัดให้พุธครองราศีกันย์ ศุกร์ครองราศีตุลย์ อังคารครองราศีพิจิก พฤหัสบดีครองราศีธนู และเสาร์ครองราศีมังกร จากนั้นก็เรียงถอยหลังต่อไปจนถึงราศีกรกฏคือ เสาร์อยู่กุมย์ พฤหัสบดีอยู่มิน อังคารอยู่เมษ ศุกร์อยู่พฤกษภ และพุธอยู่เมถุน อาทิตย์ และจันทร์เป็นเกษตรครองเรือนประจำดวงละราศี พระเคราะห์นอกนั้นเป็นเกษตรครองเรือนประจำดวงละ ๒ ราศี เว้นแต่ราหูและเกตุ ไม่ได้เป็นเกษตรครองเรือนใด แต่อาศัยให้ราหูครองราศีกุมภ์ร่วมกับเสาร์ ในจักรราศีแบ่งออกเป็นสองซีก คือ ระหว่างราศีกรกฏ กับราศีสิงห์ และระหว่างราศีมังกร กับราศีกุมภ์ ดวงชาตาใดที่มีดาวพระเคราะห์อยู่ในตำแหน่งเกษตร ถือว่าเป็นดวงชาตาดี มั่นคงมีหลักฐาน มีความประพฤติดี มีคำทำนายผลของดาวพระเคราะห์เป็นเกษตรดังนี้ อาทิตย์เป็นเกษตร จะชนะศัตรู มีทรัพย์สมบัติเป็นหลักฐานมีรูปโฉมงาม จันทร์เป็นเกษตร จะเป็นที่รักใคร่ของขุนนาง ท้าวพระยา คนทั้งหลายจะนับถือบูชา มีทรัพย์สิน และลาภมาก อังคารเป็นเกษตร มีวิชาความรู้มาก จะได้เป็นขุนนางมีชื่อเสียงโด่งดัง และจะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน พุธเป็นเกษตร จะได้เป็นนักปราชญ์ผู้ใหญ่ในแผ่นดิน บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน อุดมกว่าญาติ พฤหัสบดีเป็นเกษตร จะได้เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต มีลาภมีทรัพย์อุดมกว่าคนทั้งหลาย ประพฤติตัวตั้งมั่นอยู่ด้วยคุณงามความดี ศุกร์เป็นเกษตร มีทรัพย์สมบัติบริบูรณ์ด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค มีลักษณะดี เจรจาบัณฑูรดูงามในท่ามกลางบริษัท เป็นสง่าแก่คนทั้งหลาย เสาร์ราหูเป็นเกษตร มีข้าหญิงชายและทรัพย์มาก จะได้ลาภเป็นอันดี เพราะศักดิ์กล้าหาญ แต่เป็นคนตระหนี่ทรัพย์ ไม่ทำบุญสุนทาน และจะมีผมบาง ถ้าผู้ใดมีเกษตร ๑ ตัว จะมีข้าทาษชายหญิง มีเกษตร ๒ ตัว จะมีทรัพย์เงินทองเจ้าของ ข้าวเปลือก ข้าวสารมาก มีเกษตร ๓ ตัว จะมีวัวควายช้างม้าข้าคนมาก มีเกษตร ๔ ตัว จะมีภรรยามาก มีเกษตร ๕ ตัว จะเป็นนักปราชญ์โหราธิบดีผู้ใหญ่ มีเกษตร ๖ ตัว จะเป็นพระอรหันต์ มีเกษตร๗ ตัว จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มีเกษตร ๘ ตัว จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับดาวพระเคราะห์ที่จะได้ตำแหน่งเกษตรครบทั้ง ๘ ตัวนี้เป็นไปได้จากตำรับ ขับพระเคราะห์เข้าเกษตร
ปรเกษตร ปรเกษตร คือ ดาวพระเคราะห์ที่เป็นข้าศึกตรงข้ามกับเกษตร เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ประ จะอยู่ในราศีตรงข้ามกับเกษตร ถือว่าไม่ดี มีกำลังอ่อนให้ผลตรงข้ามกับเกษตร ขาดความสามารถ ไม่เอาการเอางาน อาภัพ เช่น อังคาร อยู่ในราศีเมษเป็นเกษตร เปลี่ยนมาอยู่ราศีตรงข้ามคือราศีตุลย์ เป็นประมีคำทำนายผลของดาวพระเคราะห์ที่เป็นประจำดังนี้ อาทิตย์ เป็นประ ดีชั่วปนกันมักอาภัพ จันทร์ เป็นประ รูปไม่งาม อังคาร เป็นประ อาภัพพี่น้องและมิตร พุธ เป็นประ อาภัพบุตรภรรยา ถึงมีก็หาดีไม่ได้ พฤหัสบดี เป็นประ อาภัพครูบาอาจารย์ ศุกร์ เป็นประ หูตามักพิการ เสาร์ เป็นประ ใจบาปหยาบช้า กล้าหาญ ราหู เป็นประ นัยตาจะเอียง เป็นคนหยาบช้ากล้าแข็ง เมื่อพิจารณาการจัดดาวพระเคราะห์เป็นเกษตรประจำทั้ง ๑๒ ราศี จะเห็นว่าเมื่อเอาตัวเลขประจำดาวพระเคราะห์ทั้งสองดวงมารวมกันแล้วจะได้จำนวน ๙ เช่น พฤหัสบดี (๕) เกษตรราศีธนู อยู่ตรงข้ามกับพุธ (๔) เกษตรในราศีเมถุน ดังนั้นถ้าดาวพระเคราะห์ทั้งสองอยู่สับเรือนกัน เมื่อรวมตัวเลขแล้วก็ยังคงได้จำนวน ๙ เท่าเดิม จึงอนุโลมให้พระเคราะห์สับเรือนเป็นเกษตรได้ด้วย อีกประการหนึ่งพระเคราะห์ที่แลกเรือนกันแล้วเป็นเกษตร เช่น อังคารเป็นเกษตรในราศีเมษ แต่ไปอยู่ราศีพฤกษภ ศุกร์เป็นเกษตรในราศีพฤกษภไปอยู่ราศีเมษ ก็ให้นับว่าดาวพระเคราะห์ทั้งสองดวงนี้ได้รับตำแหน่งเกษตรด้วย
อุจจ์และนิจ อุจจ์ มีความหมายว่าสูง ดังนั้นดวงชาตาใดมีดาวพระเคราะห์ที่สถิตในราศีอันเป็นตำแหน่งอุจจ์ของดวงดาวนั้น จัดว่าดวงชาตานั้นประเสริฐยิ่ง ให้คุณมากกว่าดาวพระเคราะห์ที่เป็นเกษตร และให้คุณผาดโผนกว่าปกติธรรมดา มีคำทำนายดาวพระเคราะห์ที่ได้ตำแหน่งอุจจ์ไว้ดังนี้ อาทิตย์ เป็นอุจจ์ มีสมบัติมาก มีปัญญาอุดมกว่าญาติทั้งปวง มีความสุขมาก จันทร์ เป็นอุจจ์ มีความสุขมีหิรัญสุวรรณสารเป็นอันมาก จะไปในที่ใด ย่อมมีสง่างามในท่ามกลางบริษัทชนทั้งหลายจะบูชา จะได้เป็นเสนาบดีมีชื่อเสียง อังคาร เป็นอุจจ์ มีโภคสมบัติ และบริวาร ช้าง ม้า โค กระบือมาก จะมีบุตรยากมาก จะไปในทิศทางต่าง ๆ ย่อมมีลาภทุกเมื่อ พุธ เป็นอุจจ์ มีความเจริญด้วยความสุข ได้ทรัพย์สินเงินทอง แก้วแหวน และชนะข้าศึกทั้งปวง พฤหัสบดี เป็นอุจจ์ มีทรัพย์มียวดยานพาหนะ ช้าง ม้า และธัญญาหารมาก มีปัญญาแกล้วกล้ายิ่งนัก ศุกร์ เป็นอุจจ์ ได้เป็นใหญ่ มียศศักดิ์ มีรูปอันงามอุดม เป็นที่รักแก่มหาชนทั่วไป เสาร เป็นอุจจ์ มีปัญญามีพลพาหนะ และความเพียรมาก แต่จะดุร้ายไม่ละอายบาป จะมีโรคน้อย ทุกข์โทษภัยไม่มี ราหู เป็นอุจจ์ มีโภคทรัพย์ มีความโกรธน้อย มีจิตเป็นกุศลมาก จะไปในที่ใด ๆ ย่อมไปด้วยยานพาหนะ มีช้าง ม้าต่าง ๆ ทุกข์โทษภัยไม่มี ดวงชาตาใดมีอุจจ์หลายตัว ท่านว่าเป็นคนเข้มแข็ง ใจคอแข็งแกร่งไม่ยอมลงใครง่าย ๆ ไม่เกรงกลัวต่อภัยอันตรายต่าง ๆ มุ่งแต่ความมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้ ท่านสรรเสริญว่าดวงชาตาที่มีพระเคราะห์ ได้ตำแหน่งอุจจ์ว่าเป็นดวงดี มีความสมบุรณ์พูนสุขกว่าตระกูล มีคำทำนายดวงชาตาที่ได้ตำแหน่งอุจจ์หลายตัวไว้ดังนี้ ดวงชาตาใดได้อุจจ์ ๑ ตัว จะตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิประพฤติการกุศล ได้อุจจ์ ๒ ตัว จะเป็นปราชญ์ รู้อรรถธรรมมาก ได้อุจจ์ ๓ ตัว จะได้เป็นอำมาตย์ ได้อุจจ์ ๔ ตัว จะได้เป็นกษัตริย์ ได้อุจจ์ ๕ ตัว จะได้เป็นจักรพรรดิราช ได้อุจจ์ ๖ ตัว จะได้เป็นพระอรหันต์ ได้อุจจ์ ๗ ตัว จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้อุจจ์ ๘ ตัว จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับดาวพระเคราะห์ที่จะได้ตำแหน่งอุจจ์ทั้ง ๘ ตัวนั้น จะเป็นได้ก็แต่ในตำราขับพระเคราะห์เข้าอุจจ์ โดยธรรมดาแล้วจะเป็นไปไม่ได้
นิจ แปลว่าต่ำ ดาวพระเคราะห์ที่เป็นนิจจะส่งผลกดดวงชาตาให้ต่ำลง ไม่มีกำลังให้คุณแก่ดวงชาตา ทำให้ถอยวาสนา เป็นคนอาภัพ ดาวพระเคราะห์ที่อยู่ในราศีเปลี่ยนเรือนกับอุจจ์ จัดเป็นดาวพระเคราะห์คู่ศัตรู เรียกว่านิจ ส่งผลให้ดุจดังปรเกษตรเป็นศัตรูกับเกษตร เช่นอาทิตย์อยู่เมษ และเสาร์อยู่ตุลย์ จัดว่าเป็นอุจจ์ แต่ถ้าเสาร์มาอยู่เมษ อาทิตย์มาอยู่ตุลย์ จัดว่าเป็นนิจ มีคำทำนายดาวพระเคราะห์ที่เป็นนิจ ดังนี้ อาทิตย์ เป็นนิจในราศีตุลย์ จะเป็นทาสแก่ตนเอง มีญาติมิตรล้วนแต่เป็นคนชั้นต่ำ มีศัตรูเบียดเบียนมาก จันทร์ เป็นนิจในราศีพิจิก (ตั้งแต่ ๑ - ๓ องศา) จะมีโรคภัยไข้เจ็บรบกวนมาก มีทรัพย์ก็มักฉิบหาย อังคาร เป็นนิจในราศีกรกฏ หาทรัพย์มิได้ จะเป็นทาษผู้อื่น พุธ เป็นนิจในราศีมิน (ตั้งแต่ ๑-๑๕ องศา) จะมีญาติมักเป็นทาษเขา พฤหัสบดี เป็นนิจในราศีมังกร เจรจามักผิด ทำให้เกิดโทษเพราะวาจา ศุกร์ เป็นนิจในราศีกันย์ มีบุตรมักตาย หาพืชพันธุ์มิได้ เสาร์ เป็นนิจในราศีเมษ จะเป็นคนทุศีลหาญาติมิได้ ราหู เป็นนิจในพฤกษภ จะต้องพันธการจองจำ
อุจจาวิลาสและอุจจาภิมุข ดาวพระเคราะห์ที่เป็นอุจจาวิลาส คือดาวพระเคราะห์ที่เป็นวินาสน์ คือเป็น ๑๒ กับ ตำแหน่งอุจจ์ของตนเอง เช่นอาทิตย์อยู่ราศีเมษเป็นอุจจ์ เมื่ออาทิตย์อยู่ราศีมีน จะเป็นอุจจาวิลาส ดาวพระเคราะห์ที่โคจรเข้าใกล้เรือนอุจจ์ของตน จัดว่าเป็นดาวพระเคราะห์ที่มีกำลังมาก ส่งผลคุณทางดีให้มีคำทำนายดาวพระเคราะห์ ที่เป็นอุจจาวิลาส ดังนี้ อาทิตย์ เป็นอุจจาวิลาส จะเป็นอำมาตย์ ชอบทำราชการ จะเป็นผู้รอบรู้ในราชกิจ จันทร์ เป็นอุจจาวิลาส จะเป็นคนมีเสน่ห์ มีปัญญา และมีทรัพย์ จะได้เป็นที่พึ่งแก่คนทั้งหลาย อังคาร เป็นอุจจาวิลาส ชอบเป็นทหาร จะชนะศัตรู พุธ เป็นอุจจาวิลาส มีเดชมาก มีปัญญาเป็นอาวุธ และจะเป็นที่ชอบใจแก่ญาติทั้งหลาย พฤหัสบดี เป็นอุจจาวิลาส จะได้เป็นครูแห่งท้าวพระยา จะได้เป็นขุนนาง อุดมกว่าญาติทั้งหลาย ศุกร์ เป็นอุจจาวิลาส จะเป็นพ่อค้ามีทรัพย์มาก ถ้าทำราชการจะได้เป็นปุโรหิต เสาร์ เป็นอุจจาวิลาส จะได้เป็นเศรษฐีมีแก้วแหวนเงินทองมาก จะบริบูรณ์ด้วยข้าคน ราหู เป็นอุจจาวิลาส ชอบเป็นทหาร มีเดชแกล้วกล้า จะชนะศัตรู ดาวพระเคราะห์ที่อยู่ราศีข้างหน้าราศีอุจจ์ของตน เรียกว่าอุจจาภิมุข ถือว่าให้คุณเช่นกัน
มหาจักร ดาวพระเคราะห์ที่ได้ตำแหน่งมหาจักร ท่านนิยมว่าดีนัก มีคำทำนาย ดังนี้ อาทิตย์ เป็นมหาจักร จะมียศศักดิ์ยิ่งใหญ่ จันทร์ เป็นมหาจักร จะได้คู่ครองที่ดี เป็นที่พึ่งแก่ตน อังคาร เป็นมหาจักร จะมีสติปัญญา มีบุญวาสนา พุธ เป็นมหาจักร จะเป็นผู้ที่อ่อนหวานมีบริวารมาก พฤหัสบดี เป็นมหาจักร จะเจริญด้วยวุฒิ เป็นที่บูชาของมหาชนทั่วไป ศุกร์ เป็นมหาจักร จะมียศ และทรัพย์มาก ราหู เป็นมหาจักร จะเจริญด้วยโภคทรัพย์ มีชัยแก่ศัตรู
ราชาโชค ดาวพระเคราะห์ที่ได้ตำแหน่งราชาโชค จะให้คุณแก่เจ้าของดวงชาตาให้เป็นผู้มีทรัพย์สินบริบูรณ์ มีอำนาจและประสบโชคลาภ มีตำแหน่ง ดังนี้ อาทิตย์ เป็นราชาโชค จะมีอานุภาพมาก เป็นที่รักของคนทั้งหลาย จันทร์ เป็นราชาโชค จะได้คู่เป็นคนสูงศักดิ์ สตรีผู้ใหญ่จะให้ความเมตตา อังคาร เป็นราชาโชค จะได้มิตรสหายเป็นที่พึ่ง พุธ เป็นราชาโชค จะมีสติปัญญามาก เจรจาอ่อนหวาน พฤหัสบดี เป็นราชาโชค จะมีความสุข ผู้ใหญ่จะชุบเลี้ยง ศุกร์ เป็นราชาโชค จะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สิน เงินทอง ทำราชการดี เสาร์ เป็นราชาโชค ทำราชการฝ่ายทหารดี อายุยืน ราหู เป็นราชาโชค จะอุดมด้วยทรัพย์กว่าญาติทั้งหลาย
หลักการพิจารณาดูสมพงษ์ของหญิงชาย ว่าจะเป็นคู่สมพงศ์ (เนื้อคู่) กันหรือไม่ หากอยู่ด้วยกันแล้วจะดี ๑. ให้ดูที่ลัคนาและที่จันทร์ ในดวงชาตาของคนทั้งสองนั้น ถ้าลัคนาและจันทร์อยู่ร่วมกัน จะมีความเจริญรุ่งเรืองดีนัก ๒. ดูดาวที่เป็นคู่มิตรกันคือ อาทิตย์ กับ พฤหัส จันทร์ กับ พุธ ศุกร์ กับ อังคาร เสาร์ กับ ราหู ดังคำกลอนว่า อาทิตย์ เป็นมิตรกับครู จันทร์โฉมตรู พุธนงเยาว์ ศุกร์ปากหวาน อังคารรับเอา ราหูกับเสาร์ เป็นมิตรแก่กัน ๓. ดูดาวที่เป็นคู่ศัตรูกันคือ อาทิตย์ กับ อังคาร พุธ กับ ราหู ศุกร์ กับ เสาร์ จันทร์ กับ พฤหัส ดังคำกลอนว่า อาทิตย์ ผิดกับอังคาร พุธอันธพาล วิวาทกับราหู ศุกร์กับเสาร์ เป็นเสี้ยนศัตรูกัน จันทร์กับครู เป็นอริต่อกัน
ขอขอบพระคุณที่มาของข้อมูล (เว็บโหราศาสตร์ไทย)
Create Date : 15 กันยายน 2549 |
|
47 comments |
Last Update : 23 กันยายน 2549 11:41:53 น. |
Counter : 6478 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก (ชายหยก ) 15 กันยายน 2549 14:26:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก (ชายหยก ) 15 กันยายน 2549 16:52:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: someone IP: 124.120.28.89 15 กันยายน 2549 19:09:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: รักดี 15 กันยายน 2549 19:37:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: Maihom (Maihom ) 15 กันยายน 2549 19:45:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: jumppy 16 กันยายน 2549 9:24:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 125.25.16.255 16 กันยายน 2549 14:06:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก (ชายหยก ) 16 กันยายน 2549 14:43:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก (ชายหยก ) 16 กันยายน 2549 14:49:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: neppen (neppen ) 18 กันยายน 2549 3:32:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 125.25.11.195 18 กันยายน 2549 17:07:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุรัสยา 18 กันยายน 2549 18:45:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: mynth IP: 124.120.220.162 18 กันยายน 2549 20:22:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 203.188.7.208 18 กันยายน 2549 21:19:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: Maihom (Maihom ) 18 กันยายน 2549 21:24:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: neppen (neppen ) 18 กันยายน 2549 22:15:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 203.114.117.66 18 กันยายน 2549 22:15:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 203.114.117.66 18 กันยายน 2549 22:38:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: neppen (neppen ) 19 กันยายน 2549 2:07:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 125.25.1.88 19 กันยายน 2549 9:35:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: บี IP: 203.188.63.56 19 กันยายน 2549 15:37:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: mynth IP: 124.120.220.162 19 กันยายน 2549 16:05:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: mynth(มิ้นท์) IP: 124.120.220.162 19 กันยายน 2549 16:17:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 203.188.4.100 19 กันยายน 2549 16:42:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก (ชายหยก ) 19 กันยายน 2549 17:47:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: mynth IP: 124.120.225.226 19 กันยายน 2549 18:01:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: neppen (neppen ) 19 กันยายน 2549 23:02:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 203.188.39.108 20 กันยายน 2549 5:12:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: neppen (neppen ) 20 กันยายน 2549 7:06:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 203.188.60.226 20 กันยายน 2549 8:11:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 203.188.60.226 20 กันยายน 2549 8:39:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 203.188.60.226 20 กันยายน 2549 11:49:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: Maihom (Maihom ) 20 กันยายน 2549 17:13:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: neppen 20 กันยายน 2549 17:27:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: neppen 20 กันยายน 2549 17:31:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 125.25.7.5 20 กันยายน 2549 21:52:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: neppen 21 กันยายน 2549 1:12:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 203.188.27.11 21 กันยายน 2549 19:54:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: neppen (neppen ) 22 กันยายน 2549 2:05:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก IP: 203.114.107.176 22 กันยายน 2549 16:23:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: อุรัสยา (อุรัสยา ) 23 กันยายน 2549 8:35:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชายหยก (ชายหยก ) 23 กันยายน 2549 12:13:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: P Q BOY 25 ตุลาคม 2549 2:05:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชาดา กอนดี IP: 203.153.174.69 5 มิถุนายน 2551 20:40:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
พิษณุโลก Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เป็นเวลาหนึ่งที่ผมได้มาสำผัส กล้วยไม้ และได้หลง ครับ มีความสุขครับ และใช้เวลากับเค้ามาประมาณ1 ปี เริ่มจากแคทและไม้ขวดต่างๆ พันธ์ครับ เป็นการท้าทาย ของประเภทต้นไม้ ที่ปลูกยาก ครับ เพราะต้องมีโรงเรือน และต้องรู้จัก เค้าตั่งแต่เล็กจนโต ครับ รวมถึงการขายกล้วย ไม้ ตอนนี้เริ่มติดฝักแล้ว ครับ ใกล้ครบวงจรตั้งแต่ ออกดอก ตั้งท้อง ส่งแล็บ เลี้ยงไม้ขวด ไม้นิ้ว และ ต้นใหญ่ดูแลให้สมบูรณ์ ทุกขั้นตอนมีการท้าทาย ครับ ขั้นตอนแต่ละขั้นตอนต้องดูแลและเอาใจใส่ ครับ
|
|
|
|
|
|
|
สิ่งที่ต้องรู้ก็ วัน เดือน ปี และ เวลา เกิดครับ ถ้าเวลาเกิดไม่มีผมขอไม่ดูให้นะครับ เอาเป็นคนที่ ครบนะครับ และจังหวัดที่เกิดครับ ถ้าใครเคยผูกดวงมาแล้วก็มาให้ดูได้นะครับ