2::Time without you::
::Time without you:: ........มันเป็นเวลาเช้า..........ของชีวิตวันแรกในเนปาล........ ฉันมองผ่านม่านพื้นเมืองผืนบางออกไปนอกหน้าต่าง เห็นความสดใสของมวลอากาศ แม้ว่าเมฆจะเคลื่อนตัวลอยละลิ่วอย่างรวดเร็ว นำกลิ่นฝนที่พัดพามากับสายลมภูเขาโชยมาปะทะจมูก ไกลออกไปกลุ่มต้นไม้สีเขียวมองเห็นเป็นปื้นดำอยู่ด้านล่าง เมื่อไล่สายตาสูงขึ้นจะพบว่าทิวไม้สีเข้มขึ้นเรื่อยๆจนเกือบดำ นั่นเพราะเป็นหุบเขาและในยามเช้าที่พระอาทิตย์สาดแสงจากอีกด้านหนึ่งของเทือกเขาอย่างนี้ สีของหุบเขาจึงถูกย้อมให้เรามองเห็นเป็นสีดำ เลยขึ้นไปอีกเพียงนิดเดียว สีดำนั้นก็ถูกไล่เฉดขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นสีขาวโพลนของหิมะ และประกายของมันเพิ่งถูกลำแสงสีกุหลาบยามเช้า อาบทาจนกลายเป็นสีทอง แปรเปลี่ยนเป็นชมพู แล้วก็กลับมาเจิดจ้าสะท้อนลำแสงของพระอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้าตา จนฉันรู้สึกแสบตาอีกครั้งหนึ่ง........ นี่ไม่ใช่เส้นทางเก่าๆ สายที่ฉันคุ้นเคย หรือเคยเดินมาชั่วชีวิต..แต่มันเป็นเส้นทางสายใหม่เอี่ยม และกระจ่างจ้า ที่แม้จะต้องลำบากลำบนหรือต้องทนปวดขาซักเพียงใด ใจฉันก็สั่งกายให้ออกก้าวเดิน......... นับตั้งแต่ชีวิตเริ่มออกเดินทาง..หลังจากออกมารับงานอิสระเป็นเจ้านายตนเอง..นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเลือกที่จะเดินทางมาต่างประเทศ และแม้จะท่องเที่ยวมาแล้วมากมายหลายจังหวัดในประเทศไทย แต่ฉันก็ไม่เคยมาไกลถึงต่างบ้านต่างเมืองเพียงนี้เลย..ไม่น่าเชื่อ..ความร้าวรวดในใจหลอมรวมฉันให้กล้าแกร่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ แม้ความกลัวและความกังวลจะยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ในตอนนี้ฉันก็นั่งอยู่ที่นี่แล้ว..ที่ประเทศเนปาล..ดินแดนแห่งขุนเขาที่สวยงามและจุดเริ่มต้นของความประทับใจของฉัน..ที่มีต่อเธอ.......... เช้านี้ฉันมองออกไปไกลโพ้น ไล่สายตาไปบนเส้นทางสายเล็กๆที่ทอดตัวอยู่กลางหมู่ภูเขาที่เรียงราย สลับซับซ้อน ถนนสายเล็กๆสายนี้มันอาจไกลไปถึง Poonhills หรือไม่แน่อาจไกลถึง โธร็องลา ก็เป็นได้ แต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือ ที่ตระหง่านอยู่ต่อหน้าฉันในตอนนี้มันคือยอดเขา มัจฉาปูร์ฉเร และแผ่นดินที่ฉันย่างเหยียบอยู่ ณ.ตอนนี้ก็คือผืนแผ่นดินในหมู่บ้านแดมปุส หมู่บ้านเล็กๆที่วางตัวอยู่บนเนินเขาอันสวยงามของเทือกเขาหิมาลัย ที่แม้มองด้วยตาเปล่าในขณะนี้มันจะดูไม่สูงมากนักแต่เมื่อมองไล่ขึ้นไปข้างบน ก็เห็นว่ายังมียอดสลับซับซ้อนของเนินเขาให้ฉันได้ปีนป่าย..และก้าวย่างต่อไปอย่างไม่รู้จักสิ้นสุด...... ทางสายนี้เป็นเส้นทางสายที่ทอดตัวออกจาก แดมปุสหมู่บ้านเล็กๆที่มักเป็นทางผ่านของนักเดินทาง แทบไม่มีใครต้องการหยุดพักแรมที่นี่ พวกเขามักผ่านที่นี่ไปอย่างไม่ใยดี หรืออีกทีก็ไม่มีใครมองเห็นที่นี่เลย เพราะพวกเขามักเลือกที่จะนั่งรถผ่านเลยมันไปเพื่อไปสู่เมืองที่สูงกว่านี้และไปพักรอดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่นั่น ในที่ที่พวกเขาเชื่อว่าดวงอาทิตย์ที่ขึ้นที่นั่น..จะให้ความงดงามมากกว่าดวงอาทิตย์ที่นี่มากนัก........ ฉันไม่แน่ใจนักว่าดวงอาทิตย์ขึ้นที่นั่น..สวยกว่าที่นี่จริงใหม และไม่เคยคิดสงสัยหรือพิสูจน์ แต่ฉันก็เลือกที่จะพักแรมที่นี่ในค่ำคืนที่ผ่านมา และตื่นเช้าเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่..ที่ริมหน้าต่างจากห้องพักเล็กๆในแดมปุส........... ฉันเปิดหน้าต่างรับลมหนาว..ที่กรูเกรียวกันเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เปิดกว้าง และเมื่อลำแสงแรกของดวงอาทิตย์เข้าทาบทาท้องฟ้า ขับไล่ความมืดมิดของรัตติกาลให้มลายหายไป ความมหึมาใหญ่โตของยอดเขามัจฉาปูร์ฉเรก็ตั้งตระง่านอยู่ต่อหน้าฉัน ราวกับว่าฉันจะเอื้อมมือสัมผัสถึงมันได้ ฉันนั่งอยู่ที่บานหน้าต่าง เฝ้ามองแสงสวยของดวงตะวันและปล่อยให้คืนวันใหลผ่านไปราวกับสายน้ำ ฉันปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเช่นนั้น ปล่อยให้ดาวดวงเดิมเติมเต็มบนท้องฟ้าเมื่อถึงเวลาที่ค่ำคืนมาเยือน ฉันปล่อยให้ลมหนาวกรีดลึกลงบาดผิวหนัง ทำใจว่างและอดทนต่อความเหน็บหนาวอยู่อย่างนั้นเท่าที่มันต้องการจะเป็น ฉันไม่ต้องการรับรู้หรือเข้าใจสิ่งใดในเวลานี้...แม้รอยแผลที่ถูกบาดลึกในใจกับเรื่องราวที่ผ่านมา มันก็ด้านชาและไร้แล้วซึ่งความเจ็บปวดใดๆ...........
Free TextEditor
Create Date : 14 กรกฎาคม 2551 |
|
1 comments |
Last Update : 15 กรกฎาคม 2551 0:55:00 น. |
Counter : 501 Pageviews. |
|
|
|
การใช้ชีวิตอย่างศิลปินล้วนแล้วแต่มีราคาที่ต้องจ่าย
บางคนต้องรวบรวมพลังใจอย่างกล้าหาญที่จะนำเสนอสิ่งที่แตกต่างจากกระแสหลัก หรือค่านิยมแบบเดิมๆ
บางคนอาจบำเพ็ญทุกข์กริยาเป็นเวลา 10-20 ปีกว่าจะเดินทางไปถึงจุดหมาย
บางทีเมื่อถึงจุดนั้นแล้วกลับพบแต่ความว่างเปล่า
ความสำเร็จเกิดจากสิ่งเล็กๆน้อยๆในแต่ละวัน
ผมตั้งใจถ่ายทอดข้อความจนจบบรรทัดนี้ก็เป็นสุขใจ .. ใครบางคนแถวสะพานมัฆวานเรียกว่าสะสมชัยชนะ
ผมมองในอีกมุมว่าสะสมความฉิบหาย
การทำลายล้างนำไปสู่กำเนิดสิ่งมีชีวิตใหม่
คนบางคนเมื่อใกล้ตายแล้วกลับค้นพบความลับนั้น
หวังว่าจะไม่สายเกินไป ..