ผม เป็น พ่อเลี้ยงครับ
เป็นคุณพ่อคนหนึ่งที่เลี้ยงลูกด้วยตนเอง แทนคุณแม่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ 5555
ไม่ใช่ พ่อเลี้ยงจริงๆ อย่างที่ใครๆ คิดหรอกครับ
เพียงแต่ คิดตั้งนานว่าจะตั้งชื่อกระทู้อย่างไรดีให้คนสนใจอ่าน ความจริงคือ ผมติดตามห้องนี้มาได้หลายสัปดาห์แล้ว หลังจากเริ่มเบื่อๆ ห้องรัชดา ห้องกล้องกับห้อง Blue Planet
ได้อ่านความคิดเห็นของคนหลายๆ คน
แต่น้อยมากๆ ที่จะเจอ กระทู้ที่บอกเล่าประสบการณ์จาก ผู้เป็น "พ่อ" ที่ได้เลี้ยงลูกแบบเต็มๆ คนเดียว
ผมเลยอยากจะแชร์ประสบการณ์ดีๆ ในการเลี้ยงลูก ในฐานะและมุมมองของผู้ชายคนหนึ่ง ให้เพื่อนๆ ในห้องนี้ ทั้งผู้หญิง และผู้ชายได้อ่าน
สำหรับคุณผู้หญิง อ่านแล้ว อาจจะได้รู้ว่า ความจริงในใจของสามีเป็นอย่างไร
ส่วนคุณผู้ชาย ที่ไม่ได้เลี้ยงลูกอย่างจริงจัง อ่านแล้วจะได้รู้บ้างว่า คุณภรรยานั้น เหนื่อยแค่ไหน
และผมจะพยายามมาโพสต์ให้บ่อยๆ ให้ได้ติดตามกันนะครับ
เข้าเรื่องดีกว่า
-----------------------------------------------
ทุกวันนี้ใครๆ ต่างเรียกผมว่า "พ่อเลี้ยง" เพราะแทบทุกวัน ผมกับน้องอินทัช เด็กชายผู้มีอารมณ์ดีที่สุดในโลก ต้องไปรับคุณแม่ซึ่งทำงานเป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวและเจ้าตัวน้อยมากๆ
ทุกวันน้องอินทัชจะไปชูคอ มองดูต้นไม้ และยิ้มน้อยย้ิมใหญ่ให้แฟนคลับที่ต้องวิ่งเข้ามาเล่นด้วยทุกครั้งที่เห็นหน้า และแฟนคลับเหล่านั้นก็มักจะทักทาย ผมว่า
แฟนคลับ 1 "ว่าไง...พ่อเลี้ยง"
ผม "สวัสดี..."
แฟนคลับ 2 "ไปเรียกเขาพ่อเลี้ยงได้ไง"
แฟนคลับ 1 "อ้าว ก็มาทีไร ยังไม่เคยเห็นแม่มันเลี้ยงเลย เป็นพ่อเลี้ยงอะถูกแล้ว"
แฟนคลับ 2 "....."
ใช่แล้วครับ ผมเป็นพ่อเลี้ยงจริงๆ เนื่องจากอาชีพการทำงานของผม ที่ค่อยข้างอิสระ เป็นช่างภาพอิสระ รับงานจากเอเจนซี่ เป็นคอลัมนิสต์ และนักเขียนวันๆ จึงได้มีโอกาสอยู่บ้านมากกว่า
ทำให้ภาระการเลี้ยงดูอินทัช จึงตกที่ผม ทั้งหมด
ไม่ว่าจะอาบน้ำ ให้นม (นมแม่ ปั้มเอา) ล้างก้น เช็คก้น เล่น สอน ฝึก พาไปเดินเล่น กล่อมนอน
สำหรับผมแล้วเป็นภาระที่หนัก แต่สนุกและดีใจที่ได้ทำ

วันและเวลาที่อินทัชเกิด เป็นเวลาที่พิเศษมากๆ
เพราะ อินทัช เกิดวันที่ 8 เดือน 8 ปี 08 เวลา 8 โมง 8 นาที
แม้จะถูกกำหนดโดยผมและภรรยา และถูกทักหรือเตือนโดยญาติและเพื่อนๆ ว่าไม่ควรไปกำหนดเวลาเกิดให้เขาก็ตาม แต่สำหรับผมแล้ว ผมบอกกับอินทัชตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ว่า หากหนูไม่ได้มีชะตาฟ้าลิขิตให้เกิดวันนี้เวลานี้ ก็ขอให้คลอดก่อนวันนี้เวลานี้ก็แล้วกัน
ผมเองไม่ได้เชื่อเรื่องตัวเลข หรือกฤษ์ยามเสียเท่าไร เพียงแต่คิดว่า หากกำหนดวันเวลาได้ ก็ดีสำหรับทุกคน เพราะผมมีอาชีพอิสระ งานการเข้าออกอย่างไร รู้ชัดๆ เพียงไม่เกินสัปดาห์
ญาติๆ เอง ก็อยู่ต่างจังหวัด หากเรากำหนดวันเวลาไว้ ก็ดีสำหรับทุกคนทุกฝ่าย ที่สามารถจัดสรรตารางเวลาในการมาเยี่ยมได้
หลังจากตัดสินใจ เลือกวันเวลาที่พิเศษแล้ว ผมกับภรรยาก็ลุ้นทุกวันทุกเวลา ขอให้น้องคลอดตามกำหนดที่เราสองคนได้วางไว้
และแล้ว วันเวลานั้นก็มาถึง หลังจากผ่านเวลา 08.08 ไป ทุกอย่างดูเหมือนจะช้าลงเรื่อยๆ แต่ละช่วงที่เข็มวินาทีขยับนั้น ช่างนานเสียเหลือเกิน
จนในที่สุดคุณพยาบาลก็เรียกผม "คุณพ่อหรือเปล่าค่ะ เชิญทางนี้ค่ะ"
และนั้นเป็นวินาทีแรกที่ผมได้เห็นเขา จากหน้าประตูห้องคลอด
ผมมองเด็กตัวเล็กๆ ที่มีใบหน้าแดงกล่ำ กำลังร้องไห้อยู่กับพยาบาล แล้วก็ทักทายคำแรกกับลูกว่า "สวัสดี...อินทัช"
สิ่งที่ผมเห็นอยู่ต่อหน้าจะทำให้ผมน้ำตาไหล เพราะ อินทัช เด็กชายที่พึ่งลืมตาเห็นโลกภายนอกยังไม่เกิน 30 นาทีดีนัก จากที่ร้องไห้เสียงดัง กลับหยุดสงบนิ่ง สายตาที่ผมรู้ดีว่ายังมองไม่เห็นอะไร ก็จ้องมาที่ผมอย่างมีความหมาย
แล้วเด็กชายอินทัช ก็หลับตาลง ในอ้อมกอดของผม
วินาทีนั้น ผมบอกได้คำเดียวว่า สิ่งวิเศษ และเรื่องมหัศจรรย์ได้เกิดขึ้นแล้ว เด็กคนนี้ต้องเป็นเด็กพิเศษกว่าใครๆ แน่

หลังจากเหตุการณ์หน้าประตูห้องคลอดแล้ว ผมก็เดินตามน้อง ไปยังห้องเด็กอ่อน ส่วนคุณแม่รออยู่ที่ห้องพักฟื้นหลังผ่าตัด
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้เพื่อนๆ ได้ทำ แม้ผมเองไม่ได้ตามทันที แต่ก็มาทำภายหลังวันต่อมาคือ การร้องเพลง เพลงหนึ่ง เพลงเดียว ที่เขาจะได้ยิน ถูกที่ถูกเวลา และต่อให้ผ่านไปนานแค่ไหน เพลงที่ร้องนี้ก็ไม่ใช่เพลงที่มีความหมายตรงกับเนื้อหา
คุณรู้ไหมว่าเพลงอะไร
เพลง Happy Birthday ไงครับ
ผมอยากให้ทุกคนร้องเพลง Happy Birthday ให้ลูกฟัง ในวันที่เขาเกิด ให้เขาฟังจากคุณเป็นคนแรก
เพราะวันนั้นเป็นวันเกิดของเขาจริงๆ
ปีต่อๆ ไป มันเป็นเพียง วันคล้ายวันเกิดเท่านั้น
ส่วนของขวัญสำหรับลูกน้อย ง่ายๆ และอบอุ่นที่สุดคือ จูบแรกจากพ่อกับแม่
แล้ววันหนึ่งเมื่อเขาโตขึ้น ก็ค่อยเล่าให้ฟังว่า First Kiss ของหนูนั้น มอบให้พ่อกับแม่ไปแล้ว ไม่ต้องไปรอลุ้นจากใครหรอก
---------------------
หลังจากภรรยาผมพักฟื้นอยู่วันหนึ่ง วันต่อมาพอขยับตัวได้ ทานน้ำข้าวได้ พยาบาลก็พาเจ้าตัวน้อยมาหา เพื่อฝึกกระตุ้นน้ำนม
(อันนี้แล้วแต่โรงพยาบาลนะ บางโรงพยาบาล เน้นแม่สำคัญ ให้แม่พักจนพอ)
ช่วงนี้ ผมไม่รู้หรอกนะครับ ว่าความรักของท่านผู้อ่าน เป็นอย่างไร เป็นครอบครัวสวีทแค่ไหน แต่ผมจะบอกว่า หลังคลอด เป็นเวลาที่ภรรยาต้องการ ความรักมากที่สุด
ผมเอง ผมไม่รู้ว่าทำจะทำอะไรได้บ้าง
แต่ผมรู้อย่างหนึ่งว่า ผมทำอะไรไม่ได้ ผมจึงบอกภรรยาออกไปว่า
ผม "หลังกลับบ้าน พักผ่อนให้พอนะ เรามีภาระต้องช่วยกันเลี้ยงเจ้าอินทัช แต่บอกก่อนนะ ว่าฉันไม่ทำอย่างหนึ่ง"
ภรรยา "ทำอะไร"
ผม "ฉันไม่ให้นมอินทัชนะ ให้ไม่ได้ เธอมีหน้าที่ให้นมอินทัชไป ส่วนที่เหลือฉันทำทั้งหมดเอง"
แล้วผมก็สงสัยว่า คงเพราะคำพูดนี้ไง หลังจากนั้น ผู้ชายคนนี้เลยทำต้องทุกอย่าง 555

ที่เล่ามาคือ จุดเริ่มต้นของเรื่องราวในครอบครัวเล็กๆ ฐานะปานกลางครอบครัวหนึ่ง
สำหรับครอบครัวใหม่ที่ยังไม่มีลูก คุณครับ ความพร้อมของครอบครัวคือ เรื่องสำคัญในการเตรียมมีลูก หลายคนจึงยัง คุมกำเนิดไม่อยากมีเพราะไม่พร้อม
แต่เคยคิดไหมว่า สมัยเรียน ถ้าคุณครูไม่กำหนดวันสอบ เราจะอ่านหนังสือหรือตั้งใจทบทวนวิชาความรู้กันหรือเปล่า
ดังนั้น ความพร้อมมันเป็นแค่เรื่องของเวลา เวลาที่เรากำหนดสอบนั้นละ
เพียงแต่ผมอยากจะบอกว่า ลองเปลี่ยนวิชาที่ว่าด้วยเรื่องการเงินและฐานะความพร้อมในครอบครัว
มาเป็นการสอบ วิชาที่ว่าด้วย ความรักและจิตใจในครอบครัวดีกว่าไหม
เพราะถึงมีเงินมีฐานะ แต่พื้นฐานความพร้อมด้านความรัก ไม่มั่นคง
ต่อให้ฐานะพร้อมแค่ไหน ก็ไปไม่รอดครับ
แต่หากพื้นฐานความรักพร้อม แต่งงานแล้ว เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกัน มีชีวิตเดียวกัน ไม่ใช่ชีวิตฉัน ชีวิตเธอแล้ว
ผมเชื่อว่า น้องๆ ที่เกิดมาย่อม เกิดมาบนความพร้อมอย่างแน่นอนครับ
---------------------------------
ส่วนใครที่มีลูกแล้ว มีครอบครัวมีความสุข มีลูกอายุเยอะกว่าผม ประสบการณ์มากกว่าผม
ก็ขอรบกวนสั่งสอน พ่อเลี้ยง คนนี้ด้วยนะครับ

ขอชื่นชมจากใจจริงค่ะ