T ~ R ~ A ~ V ~ E ~ L ~ M ~ A ~ N ~ I ~ A
|
|||
เที่ยวแบบหลงหลง งงงง @ เวียงจันทร์ ตอน 2 มาเที่ยวลาวกันต่อตอน 2 นะคะ และแล้วก็มาถึงคิวของประตูชัยหรือที่ลาวเรียกว่า ปะตูไซ (Patuxai) ที่เราผ่านมาในตอนแรก ประวัติ ประตูชัย สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512 เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ ประตูชัยแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า รันเวย์แนวตั้ง เพราะการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้ ใช้ปูนที่อเมริกาซื้อเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ในนครเวียงจันทน์ในระหว่าง สงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันได้สร้างเพราะอเมริกาแพ้สงครามในอินโดจีนเสียก่อน จึงนำปูนซีเมนต์มาสร้างประตูชัยแทนลักษณะสถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลของประตูชัยในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เจ้าอาณานิคมในสมัยนั้น แต่ลักษณะสถาปัตยกรรมก็ยังมีเอกลักษณ์ของลาวปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจ ![]() เคยเห็นรูปถ่ายผ่านน้ำนี่แล้วสวย แต่ถ่ายเองไม่สวยแฮะ สามารถเดินขึ้นไปชมวิวข้างบนได้ ค่าเข้าชมคนละ 2000 กีบ แต่ไม่ได้ขึ้นเนื่องจากวันนั้นร้อนมากๆๆๆ เดินไม่ไหวแล้ว ![]() รักคุณเท่าฟ้า ภาษาลาว ![]() ที่นี่ค่อนข้างปลอดภัยทีเดียว ตอนแรกจอดมอร์เตอร์ไซด์ที่ไหน ก็อุ้ม 2 ลูกนี่ไปด้วยตลอดแสนจะไม่สะดวก แต่หลังๆ เห็นคนเขาก็วางไว้ที่รถนั่นแหละ เลยวางมั่ง ไม่หายแฮะ ![]() จุดหมายต่อไปของเราคือวัดสีสะเกด(Wat Sisaket) หรือวัดสะตะสะหัสสาราม(วัดแสน) ประวัติ เป็นวัดที่สร้างขึ้นแห่งแรกในนครเวียงจันทน์ สตสหัสส แปลว่า 100,000, อาราม แปลว่า วัด, วัดสตสหัสสาราม จึงแปลว่า วัดแสน ในอดีตเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช (ลาว) ศักดิ์ของวัดนี้เทียบเท่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์ ท่าเตียน ของไทย) ![]() ค่าเข้า 5000 กีบ ![]() อุโบสถ ห้ามถ่ายรูปด้านใน ![]() เหตุที่ชื่อวัดแสนก็เพราะว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชและพุทธศาสนิกชนชาวลาวในอดีต ทรงสร้างพระพุทธรูปทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ทั่ววัด 100,000 องค์ ดังนั้นจึงมีชื่อเล่นว่าวัดแสน แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่ประมาณ 10,000 กว่าองค์เท่านั้น ไกด์บางคนบอกว่ามี 6,000 กว่าองค์ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม วัดนี้ก็มียังมีพระพุทธรูปมากที่สุดในนครเวียงจันทน์ ![]() จากนั้นเราก็เดินข้ามถนนมาเที่ยว วัดหอพระแก้ว หอวัดพระแก้ว หอพระแก้ว (Wat Hor Phakeo) กันต่อ อยู่ใกล้กันมากๆ ประวัติ หอพระแก้ว เป็นโบราณสถานคู่ประเทศลาว ซึ่งสถานที่นี้เคยประดิษฐาน พระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ตั้งอยู่ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ปัจจุบันเหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐาน เพราะพระแก้วมรกตองค์ปัจจุบันได้รับการอัญเชิญลงมาประทับที่กรุงเทพมหานคร ในสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นผู้อัญเชิญ ![]() แต่เดิมหอพระแก้วนั้นเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากนครเชียงใหม่ อาณาจักรล้านนา เมื่อต้องเสด็จกลับมาครองราชบัลลังก์ล้านช้าง หลังจากที่พระราชบิดาคือพระเจ้าโพธิสารสิ้นพระชนม์ลงในการทำศึกสงครามกับประเทศสยาม เมื่อปี พ.ศ. 2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯมากมาย อ่านถึงตรงนี้แล้วก็หดหู่เนอะ ไม่ชอบสงครามเอามากๆ ทีเดียว ![]() สำหรับหอพระแก้วที่นักท่องเที่ยวเห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นของที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2480 - 2483 ภายใต้การควบคุมดูแลการก่อสร้างของ เจ้าสุวรรณภูมา ผู้ที่จบการศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์จากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และต่อมายังได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังจากได้รับเอกราชอีกด้วย ![]() แม้หอพระแก้วปัจจุบันจะไม่ใช่วัดอีกต่อไป แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังนครเวียงจันทน์ก็ยังเดินทางมาสักการะบูชากันเป็นจำนวนมาก สำหรับส่วนในของพิพิธภัณฑ์นั้น จัดแสดง พระแท่นบัลลังก์ปิดทองจารึกพระไตรปิฏก ภาษาขอมและกลองสำริดประจำราชวงศ์ลาว สำหรับประตูใหญ่ทั้งสองเป็นของเก่าที่หลงเหลือมาแต่เดิม บานประตูจำหลักเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริเวณโดยรอบของหอพระแก้วเงียบสงบร่มเย็นมีไหขนาดกลางจากทุ่งไหหิน ในแขวงเชียงขวางวางตั้งอยู่ 1 ใบ อาณาบริเวณรอบๆ วัดสีสะเกดและหอพระแก้วเคยถูกใช้เป็นศูนย์กลางของหน่วยงานปกครองของฝรั่งเศสสมัยอาณานิคมมาก่อน ![]() ชอบอันนี้อยู่ข้างๆ อุโบสถ น่าจะเป็นรูระบายน้ำ ยังอุตส่าห์ทำซะสวย ค่าเข้าชมชาวต่างชาติ 5,000 กีบ ข้างในอุโบสถห้ามถ่ายภาพ ข้างในประทับใจมากดูขลังดี อนุญาตให้จุดเทียนได้ บรรยากาศสวยมาก ลืมบอกวันที่ไปใส่ขาสั้นไป ทุกวัดหลังจากที่เสียค่าเข้าชมแล้วเขาจะมี ผ้าถุงให้สวมใส่ฟรี เป็นผ้าฝ้ายสวยๆ อยากให้วัดบ้านเรารวมถึงวัดพระแก้วทำอย่างงี้บ้าง ถ้าชาวต่างชาติใส่ขาสั้นมาก็เตรียมผ้าถุงไว้ให้เลยจะได้ไม่มีพวกขูดรีดหน้าวัดน่ะ ![]() นาคประดับบันไดหอพระ ![]() ค่าเข้าชม 5000 กีบ ![]() จากนั้นก็ขี่รถชมวิวมาทางเส้นริมโขง เห็นสวนสาธารณะใหญ่เลยแวะเดินเล่นแป๊บนึง ![]() จริงๆ คืออยากรู้อยากเห็นว่าเจ้าอนุวงศ์เค้ามองอะไรอยู่ เลยตามไปดู อ้อ เป็นภาพฝั่งโขงของไทยนั่นเอง ช่วงเย็นๆ ใกล้ค่ำ บรรยากาศน่าจะดีทีเดียว ![]() อนุสาวรีย์เจ้าอนุวงศ์เป็นอนุสาวรีย์ที่สูงถึง 8 เมตร พอมองย้อนกลับไปดูประวัติเจ้าอนุวงศ์แล้วนี่น่าสนใจทีเดียว ประวัติ เจ้าอนุวงศ์ หรือ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ที่ 5 นับเป็นกษัตริย์ลาวองค์สุดท้ายแห่งเวียงจันทน์ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ที่เราๆ น่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างคือ กบฎเจ้าอนุวงศ์ อันเกิดขึ้นมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สยามเรียกว่า กบฎ แต่คนลาวยกย่องให้พระองค์เป็น มหาราช หรือ วีระบุรุษเจ้าอนุวงศ์ เพราะพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นมาปลดแอกการปกครองจากรัฐไทยหรือสยามนั่นเอง และจากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เกิดวีรสตรี ท้าวสุรนารี หรือ ยาโม ขึ้นอีกด้วย ผลพวงจากสงครามครั้งนี้ซึ่งเจ้าอนุวงศ์พ่ายแพ้ต่อศึก ทำให้เวียงจันทน์ถูกเผาทำลาย ผู้คนถูกกวาดต้อนให้มาตั้งบ้านเรือนในเมืองต่างๆ ของสยาม จนปัจจุบันประชากรของลาวซึ่งมีอยู่อย่างเบาบางก็นับเป็นผลพวงจากเหตุการณ์ ![]() หลังจากอ่านประวัติศาสตร์แล้วรู้สึกว่าคนไทยโชคดีที่มีเพื่อนบ้านอย่างลาวอ่ะ เป็นคนรักสงบมาก ถึงแม้มีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ให้ขัดเคืองกันแต่ก็ยังรักใคร่ปรองดองกันได้ดี ผู้คนก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยแถมยังมีน้ำใจกับเรามากๆ ด้วย พญานาคริมโขง ![]() พระอาทิตย์กำลังจะลาลับ ได้เวลาเดินหาของรับประทานกันแล้วมุมที่เราอยู่ไม่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกในแม่น้ำได้อ่ะ เห็นแบบตกบนดินแทน ![]() ถนนเส้นริมโขงกลางคืนจะคึกคักมาก มีทั้งของขายและร้านค้าจำนวนมากอยู่ริมถนน เราก็ปักหลักที่ร้านนึงสำหรับมื้อค่ำวันนี้ ให้เห็นว่าริมถนนจริง จริ้ง ![]() สั่งส้มตำปลาร้า และปลาเผามากินพร้อมข้าวเหนียวปลาเผาผ่านมากๆ สดหอมตะใคร้ แต่น้ำจิ้มเป็นน้ำพริกกะปิ ก็แปลกไปอีกแบบส้มตำปลาร้าไม่ผ่านอย่างที่คิด แต่ก็หมดจาน ![]() จบของคาว เราเดินหน้าหาของหวานต่อ ขี่รถกลับมาวงเงียนน้ำพุตอนกลางคืน กลางคืนวันอาทิตย์ ช่างเงียบเหงาเสียนี่ ![]() เดินไปมาสักพักก็มาจบที่ร้านนี้ ![]() เห็นแล้วคิดถึงร้านเค้กที่ไต้หวัน อร่อยและราคาไม่แพงด้วย ![]() เป็นของหวานที่หนักนิ๊สนึง ![]() ชิ้นต่อไปนี้ คนชอบถั่วนี่คงกริ๊ดไปหลายสลบเลย แถมผสมด้วยเนื้อส้มสดๆ อีก ติดตรงที่เราไม่ชอบถั่วนี่แหละ ที่เหลือผ่านหมด ![]() หลังจากอิ่มหนำสำราญดีแล้วเราก็เดินหน้าชอปปิ้งริมโขง มีของแบกะดินประมาณถนนคนเดินที่เชียงใหม่ แล้วก็ร้านค้าต่างๆ มากมายที่ติดใจทำให้หมดตังค์และหมดเวลาไปมากๆ ก็จะเป็นของก๊อปเกรด AAA แถวนั้น ร้านใหญ่มากมีทุกยี่ห้อ ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าราคาไม่ถูกมาก เพราะมีรองเท้าอย่าง Clark นี่ราคาเกือบพัน แต่คุณภาพหนังนี่ไม่แพ้ของจริงเลย แต่ก็ไม่ได้ของมาเยอะมากเพราะเงินหมดก่อน ไม่อยากรูดบัตร ใครจะไปนึกว่าไปลาวจะต้องเตรียมเงินมาช้อปอย่างงี้ ตื่นมาตอนเช้าก็ขี่รถตระเวนหาอาหารเช้าทาน มาสะดุดเอาที่ร้านเก่าแก่ที่นี่ ![]() ที่เลือกร้านนี้เพราะเห็นเป็นสภากาแฟดี คนแก่ๆ เต็มร้าน บรรยากาศประมาณแถวสวนลุมฯ ตอนเช้าๆ ![]() เริ่มวันใหม่ด้วยกาแฟลาวและปาท่องโก๋ ![]() จากนั้นลองสั่งไข่กระทะดู เสียดายไม่ได้ลองที่หนองคายเลยมาลองที่เวียงจันทน์ เสริฟมาพร้อมขนมปัง ![]() ไข่ที่นี่มีแต่ไข่กับกระทะจริงๆ งงเหมือนกัน ไม่รู้ว่าสั่งไม่รู้เรื่องหรือยังไง แต่ก็ถือว่าอร่อยเลย โดยเฉพาะตรงที่ติดกระทะ ชอบมากๆเหยาะซอสคิขุแมนที่เขาเอามาให้ พร้อมโรยพริกไทดำ อร่อยดี แต่ราคาร้านนี้ไม่ผ่านเลย เข้าขั้นแพงมาก อาจเป็นเพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นสภากาแฟสวนลุมฯ เห็นมีรถดีๆ มาจอดหน้าร้านอยู่ตลอดเลย ![]() เดินถัดมาอีก 2 ร้านก็เจอร้านนี้อยู่ เห็นคนลาวนั่งกินเยอะมาก เลยขอลองเข้าไปดูบ้าง ![]() เป็นประมาณบะหมี่หมูแดง เครื่องปรุงเยอะมากๆๆ น้ำซุปอร่อยดี ราคาประมาณครึ่งนึงของร้านแรก (ถ้าจำไม่ผิด 5000 กีบ) นั่งซดซุปไปฟังเฮียสรยุทธไปด้วย นึกว่าอยู่เมืองไทย ![]() ชุดนักเรียนสาวลาว แต่งตัวเรียบร้อยน่ารักดี ![]() จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปตลาดเช้ากะไปจองตั๋วรถกลับอุดร ระหว่างทางผ่านพระธาตุดำ ทาดดำหรือธาตุดำเป็นเจดีย์ทรงดอกบัวหกเหลี่ยมตั้งอยู่กลางเมือง ตามตำนานเล่าว่าในพระธาตุดำมีพญานาคเจ็ดเศียรอาศัยอยู่ทำหน้าที่พิทักษ์ เวียงจันทน์ให้รอดพ้นการโจมตีของไทย ชาวลาวเชื่อว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยคุ้มครองบ้านเมือง ด้านหลังธาตุดำ เห็นเป็นร้าน Chateau de Laos ด้วยคล้ายๆ Chateau de Loei ![]() ตอนสำคัญตอนนี้คือขี่รถอยู่ดีๆ รถก็ดับกลางสี่แยกเลย ยังไปไม่ถึงท่ารถ สาเหตุเพราะน้ำมันหมด ตรงสี่แยกก็จะมีมอร์เตอร์ไซค์จอดรอไฟแดงอยู่เยอะๆ เหมือนบ้านเรา เราก็ถามคันข้างๆ ว่าพี่ปั๊มแถวนี้มีไหม คันข้างๆ ใจดีก็บอกว่ามีอยู่ข้างหน้าไม่ไกล ใจชื้นมาหน่อย แต่พอไฟเขียวเขาก็ขับเลยไปก่อน ส่วนเราก็ต้องลากรถข้ามถนนตรงทางข้ามแทน พ่อหนุ่มแสนดีก็จอดรออยู่อีกฟากนึง ไอ้เราก็เข็นรถตามไปเรื่อยๆ ประมาณ 200 ม. ก็มีร้านซ่อมรถอยู่เขาก็เลยเอาน้ำมันใส่ขวดมาเติมให้อย่า่งที่เห็นนี่ หมดไป หมื่นนึงค่าน้ำมัน ![]() อันนี้โทษใครไม่ได้เลยที่น้ำมันหมด ดูหน้าปัดรถซะก่อน ![]() พอรถมีน้ำมันเราก็ขี่ไปที่ท่ารถกะไปจองตั๋วกลับอุดร ปรากฎว่าจองไม่ได้ ไม่มี Passport ก็ Passport เขายึดไว้ตอนเช้ารถนี่นา สรุปว่าล้มเหลว เลยจอดรถเดินเล่นตลาดเช้าก่อน อันนี้เป็นข้อมูลเพิ่มเติม จะเช่ารถในลาวต้อง Passport เท่านั้น บัตรประชาชนเขาไม่รับนะคะ ไม่รู้ร้านอื่นยังไง แต่แถวที่พักที่เราเดินไปถามเป็นอย่างงี้หมดเลย ![]() บรรยากาศคล้ายๆ สำเพ็ง + คลองถม เสียดายพวกผ้าทอสวยๆ ที่เห็นที่พระธาตุหลวงไม่มีให้เห็นเลย เดินสักพักก็กลับไปโรงแรม เช็คเอ้าท์ คืนรถ แล้วนั่งตุ๊กๆ กลับมาที่ท่ารถ ถามคนที่โรงแรมว่าค่ารถเท่าไหร่ เขาว่าไม่เกิน 2 หมื่นกีบ ตอนแรกเจอพี่คนขับบอกไป 5 หมื่นกีบ เริ่มถอดใจแล้ว เบื่อพวกบอกผ่านพวกนี้เหลือเกิน สุดท้ายยอมความกันได้ที่ 2 หมื่น แต่เราต้องเดินข้ามถนนเอง เลยตกลง มาถึงที่ซื้อตั๋วราคาวันหยุดกับวันธรรมดาก็ไม่เท่ากันนะ ราคาตามป้ายที่เห็นไปอุดร คือ 22,000 กีบ แต่รูปนี้ถ่ายวันอาทิตย์ตอนมาถึงใหม่ๆ ที่หน้าต่างเขาปะไว้ 24,000 กีบ แต่พอวันที่เรามาซื้อเป็นวันจันทร์เขาก็ขายตามราคาป้ายปกติ ![]() อันนี้เป็นราคา+เวลา รถออกไปหนองคาย ![]() เราเลือกกลับเวลา 10.30 น. กะไปเที่ยวอุดรก่อนกลับพักนึง โชคร้ายยังไม่หมด ไปถึงที่ช่องขายตั๋วปรากฎว่าเหลือตั๋วแค่ใบเดียว แต่เรามี 2 คน แล้วเราก็อยากไปรอบนี้แล้วด้วย คนขายบอกตั๋วยืนเอาไหม เลยตัดสินใจเอาประมาณ 2 ชม. เองกะนั่งเบียดๆ กันไปแล้วกัน รถคันนี้แหละ แอร์ไม่เย็นเลย ![]() เงิน 9000 กีบสุดท้ายหมดไปกับลูกชิ้นทอดท่ารถ ได้มา 5 ไม้ จะบอกว่าอร่อยมากๆๆๆๆ โดยเฉพาะน้ำจิ้ม ใครไปขอให้ลอง ![]() มาเฉลยว่าตั๋วยืนเป็นยังไง นี่เองตั๋วยืนมีเก้าอี้ให้นั่งด้วย ขายเกินมาตั้ง 3 ใบนะเนี่ย แถมไม่ลดราคาสักบาท จ่ายเต็มเท่ากับตั๋วนั่งเลย ![]() ในที่สุดก็ไปถึงที่อุดร แถมเลทไปเกือบครึ่ง ชม. เพราะช่วงผ่านด่านมีปัญหาขลุกขลักเล็กน้อย ใครจะต้องไปขึ้นเครื่องกลับควรวางแผนและเผื่อเวลาดีๆ ไม่แนะนำให้นั่งเที่ยวบ่าย 2 โดยเด็ดขาด เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน ระหว่างนั่งบนรถกลับอุดร เจอคุณป้าคนไทยคนนึงอายุ 68 แล้ว แกบอกเป้นคนแถวนนทบุรี เดินทางเที่ยวเองคนเดียวรอบนี้ไปมา 5-6 จัวหวัดแล้ว เก่งและแข็งแรงมากๆ ป้าบอกสนุกดี หาเพื่อนใหม่เอาตามทาง ชอบนั่งรถทัวร์ รถไฟ ไปเรื่อยๆ ชื่มชมคุณป้าแกจริงๆ พอถึงท่ารถที่อุดร เพื่อนที่อยู่อุดรไปรับและพาไปทานข้าวที่ร้านแม่หยา ![]() อาหารจัดเต็มมาก เพราะกำลังหิวกันพอดี อร่อยสุดๆ บรรยายไม่ถูก ![]() จากนั้นไกด์กิตติมศักดิ์ก็พาไปเดินเล่นแถว UD Town แล้วไปซื้อของฝากที่วีทีแหนมเนือง ไม่น่าเชื่อว่าอุดรจะเจริญมากๆ ขนาดนี้แล้ว ![]() และแล้วก็ถึงเวลาต้องลาจากเพื่อนขับรถมาส่งที่สนามบินขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ขอบคุณโปร 10 บาท ที่เธอจัดมาให้ ![]() ลาก่อนอุดร ![]() ภาพสวย ข้อมูล แน่น สนุกครับ
โดย: เจอร์
![]() สองภาพเปิดตัวประตูชัยชอบจังค่ะคุณเปิ้ล
แล้วร้านสองข้างทางที่นั่งกับพื้นนั่น ท่าทางสบายจังเลยนะคะ รถราจงไม่เยอะ เป็นบรรยากาศที่ไม่พลุกพล่านนะคะ เครื่องแบบนักศึกษาน่ารักเชียวค่ะ วาขอบคุณที่ส่งข้อมูลลาวให้วาค่ะคุณเปิ้ล ถ้าวาจะไปจริงๆ คงจะมีมาถามอีกแน่ๆเลยค่ะ โดย: Sweety-around-the-world
![]() ![]() ขอตามไปเที่ยวด้วยคนครับ ผมไปเวียงจันทน์มามากกว่า 200 ครั้ง ยังไม่เคยได้เที่ยว ได้เห็นอะไรแบบนี้เลยครับ ไปก็เข้าโรงงานอย่างเดียวเลย
โดย: คนเคยผ่านมหาสมุทร
![]() สวัสดีค่ะคุณเปิ้ล
สบายดี อากาศดีนะคะวันนี้ ![]() ![]() ![]() โดย: Sweety-around-the-world
![]() ![]() อยาก ไปด้วยจัง
โดย: เสาวพงษ์ IP: 124.121.65.116 วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:22:11:03 น.
อยากถามว่าที่เข้าวัดนะค่ะที่เขามีผ้าถุงให้เปลี่ยน รวมถึงวัดศรีเมืองและพระธาตุหลวงด้วยรึเปล่าค่ะ คือเข้าไปปุ๊ปสามารถสอบถามได้เลยใช่ไหมค่ะ^^
โดย: เด็กน้อย IP: 10.66.220.197, 202.28.118.121 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:1:29:03 น.
เจ้าอานุวง กำลังสาบเเชงปะเทดไท ให้จมลงในน้ำ.......สาดดดดดดดด
โดย: อานุวง IP: 180.183.21.17 วันที่: 15 มีนาคม 2555 เวลา:23:21:48 น.
ขอบคุณทุกท่านที่มาอ่านค่ะ
ขอตอบคุณเด็กน้อย ทุกวัดมีผ้าถุงให้เปลี่ยนค่ะ ถ้าใส่ขาสั้นไป รู้สึกไม่ต้องเสียเงินด้วย เสียแต่ค่าผ่านประตูอย่างเดียว โดย: Bpearl
![]() อยากถามว่าแถวสถานีขนส่งที่เวียงจันทร์ มีรถตู้ หรือสองแถว นำเที่ยวแบบ one day trip ไหมคะ
โดย: tto IP: 188.194.233.4 วันที่: 17 ธันวาคม 2555 เวลา:18:11:57 น.
|
Bpearl
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ชื่อเปิ้ลค่า ที่มาของ Bpearl ก็มาจากเปิ้ลนี่แหละ ตอนไปต่างประเทศฝรั่งถามชื่ออะไร พอบอกชื่อ Ple..Apple มันขำใหญ่เลย ฝรั่งไม่ค่อยใช้ชื่อผลไม้เป็นชื่อเล่น ก็เลยขอเพี้ยนมาเป็น Pearl แทน ฝรั่งออกเสียงได้ง่ายด้วย ทีนี่ตอนสมัครสมาชิก Pantip มีคนใช้ Login ว่า Pearl แล้ว คิดอะไรไม่ออก ชอบเข้าห้อง Blue Planet เลยเติม B หน้าชื่อตัวเองไปซะเลย คล้องจองกับห้อง BP ไง **เพิ่งสร้าง FB Ple Bpearl ตามไปเป็นเพื่อนกันได้นะคะ** Group Blog Friends Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |