ขอเขียนเรื่องเฟซบุ๊ค
เฟซบุ๊คเริ่มเปิดตัวตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว แต่มาโด่งดังชนิดที่ว่าคนที่มีคอมพ์แทบทุกคนต้องมีเฟซบุ๊ค ตัวฉันเอง เริ่มแรกรู้จักเว็บไซด์โซเชียลเน็ตเวิร์คอันแรก จาก Hi5 ยังแปลกใจว่าทำไมเว็บนี้มาส่งคำขอเป็นเพื่อนจากอีเมล์แอดเดรสที่เก็บไว้ในอีกเจ้าหนึ่งได้ หลังจากนั้นฉันก็ได้เจอกับแคทรีน่า เขาบอกว่าที่อังกฤษฮิตเฟซบุ๊คมาก ให้ฉันสมัครเป็นสมาชิก เพื่อจะได้รับข่าวคราวของกันและกันโดยไม่ต้องเสียเวลาเขียนเมล์อีก ตอนแรกเพื่อนในลิสท์ก็มีน้อย รู้จักกันในวงแคบ ๆ มาเมื่อสองปีก่อนที่ภาพยนตร์เกี่ยวกับเฟซบุ๊คออกฉาย ก็เห็นว่ามีเพื่อนเก่า ๆ มาขอเป็นเพื่อนล้นหลาม แล้วยังเพื่อนใหม่อีกล่ะ จากที่เคยใช้เวลาหน้าคอมพ์เพื่อที่จะเขียนบล้อก เช็คเมล์ กลับกลายเป็นว่าใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเฟซบุ๊ค เพราะทำให้ไม่ต้องเข้า ๆ ออก ๆ หลายเว็บ ยิ่งช่วงที่ท้องแก่ คลอดลูกใหม่ ๆ คนเคยออกไปไหนมาไหนได้อิสระ ก็ต้องมาอยู่กับบ้าน เลยใช้เฟซบุ๊คเป็นช่องทางติดต่อกับโลกภายนอก ตอนนี้ลูกสาวเกือบสิบเอ็ดเดือนแล้ว ตอนเลี้ยงลูกบางครั้งก็รู้สึกเครียด (คิดว่าแม่มือใหม่เป็นกันทุกคน) ก็ใช้เฟซบุ๊คแชทกับแม่ ๆ บางครั้งก็รู้สึกดี บางทีก็ยิ่งกลับเครียดขึ้นไปอีก คิดว่าเฟซบุ๊คก็เหมือนกับการที่เราอยู่ในสังคม แต่เราย่อช่องทางการติดต่อมาอยู่เพียงแค่หน้าคอมพิวเตอร์ หรือ แม้แต่จอมือถือ ฉันยังจำได้ เมื่อตอนเป็นเด็ก อยู่ต่างจังหวัด คนในหมู่บ้านก็จะมาเจอกันทีเวลาไปวัด แม่ ๆ ได้นั่งคุยกับคนโน้นคนนี้ ถามสารทุกข์สุกดิบบ้าง นินทาบ้าง แต่ก็ยังจำกัดเรื่องคุยกันแค่คนรู้จัก หรือจากข่าวหนังสือพิมพ์ แต่สมัยนี้มีเรื่องให้พูดถึงได้ทุกอย่างที่คนรับรู้กันทางอินเตอร์เน็ต ฉันก็บอกไม่ได้ว่ามันดีกว่าหรือมันแย่กว่ากัน แต่ที่แน่ ๆ มันเร็วกว่า เยอะกว่ากันอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างเราไม่ต้องแต่งตัวสวยออกไปข้างนอกให้คนเห็นอีกต่อไป บางครั้งตื่นนอนมา เปิดคอมพ์ ใส่ชุดนอนอยู่หน้าคอมพ์ได้ทั้งวัน นับเรื่องที่ไปรู้ไปเห็นทางเน็ตได้เป็นพัน ๆ เรื่อง แล้วยังไปรับรู้ความคิดคนอื่นที่โพสท์ผ่านเฟซบุ๊ค เรื่องดีบ้าง เรื่องขำ ๆ บ้าง บ่นบ้าง บางครั้งเราก็ทำร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ ด้วยการโพสท์ของเรานี่เอง อย่างรูปอาหารอร่อย ๆ ที่เที่ยวสวย ๆ ข้าวของสวย ๆ ที่เราอยากอวด และเราคิดว่าเรามีสิทธิ์อวด เพราะเฟซบุ๊คเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่เราเปิดให้แต่เพื่อนของเราดู แต่ว่า ร้อยคนก็ร้อยใจ อย่างคนที่ชอบเราก็จะเข้ามาชมเชย แต่คนที่ไม่ชอบล่ะ เขาก็คงคิดอะไรต่าง ๆ ได้มากมาย คนทำเฟซบุ๊คก็ขยันมีออพชั่นใหม่ ๆ ออกมาให้เล่นมากมาย ทั้งแชท เดี๋ยวนี้ข้อความที่แชท หรือส่งข้อความก็จะมีเตือนให้ด้วย เรียกว่าไม่พลาดการติดต่อกันเลยทีเดียว แต่ว่ามันก็มีข้อเสียคือ เราทำเนียนลืม ๆ ไปโดยจะอ้างว่าข้อความไม่ขึ้นแบบแต่ก่อนไม่ได้แล้ว อีกทั้งเฟรนด์ลิสท์ที่มีคนมาขอแอดบ้าง หรืออย่างคนที่ไม่เคยเห็นกันมาหลายสิบปีแล้ว อยู่ดี ๆ ก็โผล่ขึ้นมาที่เฟซบุ๊ค ขอเล่าซักเคสสองเคสที่คิดว่าเด็ดจริง ๆ มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่โรงเรียนตอนเรียนมัธยม พอจบจากโรงเรียนออกไปก็แยกย้ายกันไปตามทางของตัว ตอนเรียนก็ไม่เคยมานั่งคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว หรือคิดว่าจะติดต่อกัน พอมาเจอทางเฟซบุ๊ค แกขอแชททางสไกป์ การสนทนาจบลงที่ ไปเปิดดูเว็บนอปอชอ ยูเอสเอสิจะได้ข้อมูลอะไรหลาย ๆ อย่าง ฉันเองก็บอกปัดไปว่าไม่ค่อยเห็นด้วยกับค่านิยมทางการเมืองฝ่ายที่แกเชียร์อยู่ แต่ก็เอาเถอะ ไม่อยากขัดและแกออกตัวว่า แกคบได้ทุกคน เศรษฐียันยาจก แกเกลียดคนชอบดูถูกคน หลายเดือนผ่านไป แกก็โพสท์โน่นนี่เกี่ยวกับทัศนคติทางการเมืองที่แกเชื่อ หลัง ๆ ตอนมีข่าวน้ำท่วม ฉันก็ได้รับรู้ข่าวสารน้ำท่วมกับเขาด้วยความเป็นห่วงพี่น้องคนไทย ข่าวก็มีหลายกระแส ฝ่ายที่ชอบรัฐบาลก็ออกโรงเข้าข้างกันไม่ลืมหูลืมตา ฝ่ายที่ไม่ชอบก็ด่าไม่ลืมหูลืมตาเหมือนกัน มีอยู่วันหนึ่งฉันอ่านโพสท์นักข่าวคนหนึ่งที่ฉันชอบตั้งแต่อยู่เมืองไทย เห็นโพสท์อันนึงเห็นว่าเป็นข้อมูลอีกด้านนึง ก็ยังนึกว่า เอ กดแชร์ไปแล้วจะโดนด่าไหมนี่ แต่ก็ตัดสินใจกดแชร์ไป ได้ผลเลยครับ ตาคนนั้น กดไลค์และเข้ามาว่าประมาณว่าเจริญเถอะ เมืองไทยจะแตกแยกก็คนพวกนี้แหละ แถมยังเอาฉันไปว่าในเฟซแกอีกด้วย „ว่าถ้าหายไปก็แปลว่าถูกแกลบไป แล้วไม่ต้องมาขอแอด เกลียดคนชอบดูถูกคนจน คนนั้น(หมายถึงฉัน) ไปอยู่เมืองนอก ไม่เหมือนเดิมแล้ว“ ฉันล่ะเป็นงง ว่าฉันไปดูถูกคนจนตั้งแต่เมื่อไหร่ พ่อแม่ฉันก็เคยจนมาก่อน แล้วอีกอย่างแกทำเหมือนกับว่าสมัยก่อนฉันเป็นคนจน เจียมตัว เดี๋ยวนี้ได้ดีแล้ว ไปอยู่เมืองนอกแล้วลืมคนจน เอ่อ ขอโทษนะคะ ฉันก็เป็นฉันคนเดิมนี่แหละ ชีวิตแต่ละคนมีเส้นทางการต่อสู้ที่ไม่เหมือนกัน ถ้าเคยมาสนิทคลุกคลีกันพอจะตัดสินได้ว่าเมื่อก่อนเป็นแบบนี้นะ ตอนนี้เป็นแบบนี้นะ ฉันก็ยังว่าจะหันกลับมามองตัวเอง แต่แบบนี้ไม่ไหวจะเคลียร์ฮ่ะ แล้วที่บอกว่าพี่คบได้ทุกคนนั้นคงจะต้องบอกว่า ทุกคน หมายถึง คนที่ใส่เสื้อสีเดียวกับแกละมั้ง อันนี้ขำแบบถูกเกลียด แต่ก็ไม่ใส่ใจค่ะ เพราะคนพวกนี้ไม่เคยให้ข้าวเรากิน หรือมาแคร์เราตอนเราตกงาน หรือตอนแม่ตาย คนพวกนี้ก็ไม่เคยอยู่ให้เราเห็นหัว คงจะมีชื่อมากดไลค์ให้อยู่ในเฟซบุ๊คเท่านั้นล่ะค่ะ
อีกอันก็ขำแบบแปลก ๆ เหมือนกัน เป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่า เก๋ากึ๊กเลยทีเดียว ตั้งแต่ประถมมั้ง ไม่เจอกันเป็นยี่สิบปี เข้ามาแอด เข้ามาแชทถาม ประโยคที่สามหลังจากถามว่าสบายดีไหม อยู่ที่ไหน ฉันตอบว่าอยู่เยอรมัน
เขาบอกว่า ปีที่แล้วก็ไปมา ปีนี้จะไปอิตาลี ฉันก็ถามว่า จะไปเมืองไหนที่อิตาลี เขาตอบว่า ไปเที่ยวเมืองนอก เดือนธันวาของทุกปี จบข่าวค่ะ หลังจากนั้นอีก จำได้ว่าเป็นช่วงลอยกระทง ก็เป็นเวลาเย็นของที่นี่แล้ว คนนี้ก็เข้ามาแชทอีก สวัสดี ไปลองกระทงที่สุโขทัยมา (ใครถามเหรอ) ครั้งหลัง ฉันเลยถามดักคอไปว่า ไหนมีอะไรมาอวดอีก คนนี้เขาก็ ฮ้า อะไร อยู่ดี ๆ มาว่าเขาอวด ไม่เค้ย ไม่เคยอวดเล้ยนะจ๊ะ จบข่าวจริง ๆ ฉันว่าสิบเอ็ดเดือนกับการใช้เฟซบุ๊คอย่างจริงจังก็คงจะถึงเวลาอิ่มตัวซะที เพื่อนในลิสท์ก็คงต้องทำความสะอาดกันซะหน่อย พวกที่ไร้สาระก็ลบ ๆ ไป เข้าไปแล้วเจอแต่โพสท์ไร้สาระก็ไม่ต้องเข้าไปอ่าน เพื่อนเก่าที่ห่างกันไป หรือแฟนเก่า ที่จริงห่างกันมาแล้วก็ปล่อยมันไป เพราะในลิทส์คนเป็นร้อย ถามจริง ๆ คุยหมดเหรอ เราสามารถดึงเวลาเก่า ๆ กลับมาได้จริงเหรอ มิตรภาพเก่า ๆ ยังมีอยู่จริงหรือ ฉันคงต้องทิ้งความสงสัยเหล่านี้ให้เป็นเครื่องหมายคำถามต่อไป ส่วนตัวฉันคงจะต้องถึงเวลาออกไปข้างนอกมากขึ้น เจอกับคนตัวเป็น ๆ ใช้เวลาอยู่กับลูกจริง ๆ อย่างตอนนี้ลูกกำลังโต ทุก ๆ วันเขาจะมีความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ตลอด ถ้าสังเกตจริง ๆ จะเลี้ยงลูกแล้วสนุกมาก ถ้าใจมัวพะวงอยู่ว่าออนไลน์ไว้ หรือโพสท์อะไรไปแล้วรอฟีดแบ็ค คงจะต้องเฝ้าคอมพ์อยู่ตลอดเวลา หรือ อย่างไปถามอะไรใครไว้แล้วรอคำตอบ ถ้าเขาไม่ตอบมาก็เอ้า คิดมากอีก ช่วงไหนติดเฟซมาก ๆ ออนไลน์ไว้ตลอด พอหมดวัน ฉันก็ถามตัวเองว่าฉันทำอะไรเสร็จมั่ง คำตอบคือ น้อยมาก ลูกหลับแป๊บเดียวก็ถึงเวลานอนแล้ว ยิ่งถ้ามารอแชทกับเพื่อนก็ยิ่งไม่ได้ทำอะไรใหญ่เลย ลูกเกือบขวบแล้ว ฉันไม่อยากเห็นตัวเองแก่ไปอีกปีโดยที่ยังทำความฝันให้เป็นจริงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกภาษาเยอรมันให้เก่ง ๆ เม้าท์มอยกับผู้คนได้ทุกเรื่อง ทุกสถานการณ์ (ไม่ใช่แต่เรื่องอาหารที่ตัวเองสนใจ) ไปเรียนถ่ายรูปให้มันได้เรื่องกว่านี้ โดยที่ไม่ต้องรู้สึกเครียดเวลาชาวบ้านเขาเอารูปสวย ๆ มาลง ฮ่า ฮ่า หรือว่า จัดบ้านให้เข้าที่เข้าทาง และสวยน่าอยู่ซะที หลังจากที่ย้ายเข้ามาเกือบปีแล้ว แล้วยังต้องหาเฟอร์นิเจอร์สวย ๆ (แต่ไม่แพง) มาเข้าห้องพักแขกข้างล่าง ไม่นับเรื่องกิจการปิ่นโต ที่ฉันมีไอเดียใหม่ ๆ เขียนเก็บไว้แต่ยังไม่มีเวลาทำ อย่างการทำการ์ดโฆษณาสวย ๆ ไปวางตามร้านคนรู้จัก หรือสมุดภาพเมนูอาหารไว้นำเสนอลูกค้า ไม่ต้องมาฉุกละหุกทำพรีเซ้นเทชั่นก่อนไปเสนองาน ความคิดที่ว่าจะงดใช้เฟซบุ๊คไปเลยก็คงจะหักดิบเกินไป เพราะคิดอีกที ถ้าลบแอคเค้าท์ไป ก็คงต้องเปิดใหม่อีก เอาเป็นว่าใช้เฟซบุ๊คแต่พอดี พอดีสำหรับแต่ละคนก็คงไม่เหมือนกัน บางคนแบ่งเวลาได้เก่ง ก็ดีไป แต่ฉันเป็นคนทำอะไรช้า พอได้เปิดเฟซบุ๊ค ล่ะก็ลืมโลกไปเลย คงจะต้องค่อย ๆ ลดไป เพราะสังเกตว่า วันที่ไม่เข้าเฟซบุ๊ค จะทำอะไรได้หลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น อ่านหนังสือ นิตยสาร เช็ดครัว (ที่ใช้เวลากับมันตั้งนานกว่าจะได้มา) ดูแลบ้าน หัดทำอาหารใหม่ ๆ หัดถ่ายรูป ไปช็อปปิ้ง(แบบได้ลอง ได้จับของจริง ๆ) และเล่นกับลูก ดูความเปลี่ยนแปลงของเขาด้วยสติอยู่กับปัจจุบัน อันนี้สำคัญ
Free TextEditor
Create Date : 14 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 14 ธันวาคม 2554 3:49:03 น. |
|
16 comments
|
Counter : 1033 Pageviews. |
|
|