Blog แรกของปี 62 : ไหว้พระ 9 วัดส่งท้ายปีหมาต้อนรับปีหมู
ก่อนจะส่งท้ายแห่งปีอุ้มผ่านเรื่องราวมาหลายหลาก ขอบคุณสติปัญญาที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์อบรมบ่มนิสัย อุ้มจึงอยากมากราบในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่วัดบวรฯVIDEO ซึ่งส่งผลให้อุ้มเกิดพุทธิปัญญาได้ว่าไหนๆ มาไหว้พระแล้ว ก็น่าจะถือเป็นฤกษ์งามยามดีไหว้พระ 9 วัดซะเลยไหนๆ ก็เข้าวัดเข้าวากันแล้ว เอนทรี่นี้ก็เลยเป็นกาลฉะนี้เจ้าค่ะออเจ้า เริ่มวัดแรกด้วยวัดบวร ชื่ออันเป็นมงคลนาม วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร หรือวัดบวรนิเวศวิหาร (เดิมชื่อว่า วัดใหม่)เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร สถาปนาขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 3 รู้สึกว่าได้รับพรอันประเสริฐจากวัดบวรฯ วัดแรกแล้วรู้สึกว่าฮึกเหิม ว่าแล้วอุ้มก็เดินเลี้ยวซ้ายเดินไปที่ถนนข้าวสารต่อไปยังวัดชนะสงครามค่ะ วัดชนะสงครามนี้อุ้มจำที่คุณแม่จิราพรเคยบอกไว้ว่าเวลามาไหว้พระ 9 วัดต้องมีวัดชนะสงครามอยู่ใน 9 วัดด้วยนะ เพราะชื่อเป็นมงคล "ชนะสงคราม" ทำอะไรจะได้มีชัยชนะ วัดชนะสงครามเป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดราชวรมหาวิหาร เดิมชื่อวัดกลางนา เป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากรัชกาลที่ 1 ทรงแต่งตั้งพระราชาคณะฝ่ายรามัญเป็นผู้ดูแลคนทั่วไปจึงเรียกตามภาษามอญว่าวัดตองปุ ต่อกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสถาปนาวัดนี้ขึ้นใหม่ เพื่อเป็นพุทธบูชา แล้วถวายวัดนี้เป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงพระราชทานนามใหม่ว่าวัดชนะสงคราม ภายในพระอุโบสถของวัดชนะสงครามเป็นที่ประดิษฐานพระประธานนามว่า "พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฎฐ์มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดมบรมศาสดาอนาวรญาณ" เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย ตามตำนานกล่าวไว้ว่าก่อนที่สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจะทรงออกรบ พระองค์จะเสด็จมาสักการะและทรงได้ชัยชนะในสงครามทุกครั้ง ปัจจุบันมีผู้มากราบไหว้สักการะเสมอเพราะเชื่อกันว่าจะช่วยดลให้ชนะอุปสรรคทั้งปวงได้ จากนั้นเดินตัดตรงสนามหลวงมุ่งสู่วัดที่สามนั่นก็คือมาไหว้พระแก้วมรกต วัดพระแก้ว ในภาษาอังกฤษเรียกว่า The Temple of the Emerald Buddha หรือฝรั่งชอบมาถามทางเสมอว่าจะไป The Grand Palace ไปยังไงคือที่เดียวกันนั้นแหละค่ะอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้วคนไทยเข้าฟรีแต่ชาวต่างประเทศจะเสียค่าเข้าชม 500 บาท เปิด 08.30-16.30 น. วันที่อุ้มไปชาวต่างชาติเยอะมาก เยอะจนจะเป็นลมไม่ได้เดินค่ะเรียกว่าไหลไปจนถึงพระอุโบสถเลยค่ะ ที่วัดพระแก้วอุ้มมากราบพระแก้วมรกตกางหนังสือสวดมนต์และนั่งสมาธิค่ะ แล้วก็รีบเดินออกจากวัดพระแก้วผ่านยักษ์ตนนี้ก็ซะหน่อยค่ะ เพราะในใจคิดว่าจะไปหายักษ์วัดโพธิ์หรือยักษ์วัดแจ้งดีหนอ สรุปไปทั้งสองวัดแต่แบตกล้องจะไม่พอ เพราะฉะนั้นบอกตัวอุ้มเองว่าอย่าถ่ายภาพเยอะ แบตเอามาก้อนเดียวใช้สอยประหยัด อิอิอิ ออกจากวัดพระแก้ว CU ไปไหว้พระนอนที่วัดพระเชตุพนฯ มาไหว้พระนอนเป็นวัดที่ 4 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามตามประวัติสร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการสร้าง เดิมเรียกว่าวัดโพธารามหรือวัดโพธิ์ ได้ถูกยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยกรุงธนบุรี เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ในฐานะที่อุ้มเกิดวันอังคารต้องมาไหว้พระนอนที่วัดโพธิ์เสมอค่ะ พระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ทรงถือว่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญมาก และนับเป็นพระราชประเพณีที่จะทรงบูรณะซ่อมแซมวัดนี้ทุกรัชกาล พระบาทพระนอนซ่อมเสร็จแล้วนะคะ พระนอนวัดโพธิ์ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย จุดเด่นคือที่พระบาทซ้ายและขวาซ้อนเสมอกันโดยที่พระบาทประดับมุกภาพมงคล 108 ประการ สังเกตที่ตรงกลางเป็นรูปจักรตามตำรามหาปุริสลักขณะ โดยลวดลายของมงคล 108 ประการนั้นเป็นการผสมผสานกันระหว่างคติความเชื่อที่รับมาจากชมพูทวีปและจีน แล้วอุ้มข้ามถนนมานั่งรอเรือข้ามฟากไปวัดอรุณลงเรือที่ท่าเตียน ค่าเรือ 4 บาท ว่าแล้วก็ถ่ายภาพเรือด่วนสักใบ วัดที่ 5 วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเรียกว่าวัดมะกอกตามชื่อตำบลบางมะกอกซึ่งเป็นตำบลที่ตั้งวัด ภายหลังเปลี่ยนเป็นวัดมะกอกนอก เพราะมีวัดสร้างขึ้นใหม่ในตำบลเดียวกันแต่อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ชื่อวัดมะกอกใน ต่อมาในปีพ.ศ. 2310 เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานีมาตั้ง ณ กรุงธนบุรี จึงเสด็จกรีฑาทัพล่องลงมาทางชลมารคถึงหน้าวัดมะกอกนอกนี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกนอกเป็นวัดแจ้งเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งนิมิตที่ได้เสด็จมาถึงวัดนี้เมื่อเวลาอรุณรุ่ง การมาไหว้พระที่วัดอรุณแห่งนี้ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยว่าชีวิตในปีนี้จะรุ่งเรืองประดุจอรุณรุ่งที่สดใสตามชื่อวัดนั่นเองออเจ้า จากนั้นอุ้มเดินออกจากประตูด้านหลังเดินผ่านกองทัพเรือมาสู่วัดหงส์ วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหารสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นวัดราษฎร์กล่าวคือเพราะเป็นวัดเจ๊สัวหง หรือแจ๊สัวหง หรือเจ้าสัวหง หรือวัดขรัวหง เพราะตั้งตามชื่อของเศรษฐีชาวจีนผู้สร้าง คือ นายหง จดหมายเหตุในรัชกาลที่ 4 ก็กล่าวไว้ว่า "วัดหงส์รัตนารามนี้ พื้นที่วัดเดิมเป็นของโบราณมีมานานสำหรับเมืองธนบุรี คำคนแก่เก่าๆ เป็นอันมากเรียกว่าวัดเจ้าขรัวหง แลว่ากันว่าจีนเจ๊สัวมั่งมีบ้านอยู่กะดีจีนสร้างขึ้นไว้แต่ในครั้งโน้น จีนที่มั่งมีคนเรียกว่า เจ้าขรัว" วัดหงส์เป็นวัดหลวงชั้นโท คณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในซอยถนนอิสรภาพ 28 วัดหงษ์อาวาสวิหารแห่งนี้อยู่ในราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมาตลอดรัชสมัยของพระองค์ เพราะพระองค์มักเสด็จมานั่งวิปัสสนากรรมฐานในพระอุโบสถหลังว่างจากพระภารกิจเสมอ วัดหงษ์อาวาสวิหารจึงนับว่าเป็นวัดที่มีความเจริญรุ่งเรืองและสวยงามวัดหนึ่งในยุคสมัยนั้น จากนั้นลงเรือกลับมาที่ท่าเตียน 4 บาทแล้วนั่งรถตุ๊กตุ๊กมาที่วัดราชนัดดาค่ะ ค่ารถ 50 บาท วัดที่ 7 วัดราชนัดดาแต่จุดประสงค์ของอุ้มคือขึ้นมากราบพระบรมสารีริกธาตุที่บนยอดโลหะปราสาทค่ะ เพราะสองวันก่อนนั่งรถผ่านมาเห็นคนขึ้นมาไหว้ก็เลยเพิ่งทราบว่าบูรณะปฏิสังขรณ์เสร็จแล้ว มีตู้ให้หยอดค่าเข้าชม 10 บาท แต่อุ้มหยอดลงไป 20 บาทเลยค่ะ เป็นการเสริมสิริมงคลแก่ชีวิตอุ้มยิ่งนักที่วัดราชนัดดาแห่งนี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาปัตยกรรมทรงคุณค่า "โลหะปราสาท" องค์แรกและองค์เดียวของไทยและเป็นองค์ที่ 3 ของโลก สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้มีพระราชประสงค์ให้เป็นที่สำหรับพระภิกษุสงฆ์ใช้จำพรรษาหรือปฏิบัติธรรมสร้างขึ้นแทนเจดีย์ประจำวัด ทรงมีพระราชศรัทธาจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง และเพื่อพระราชทานแด่พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดีซึ่งแล้วเสร็จเพียงปราสาทโกลนเท่านั้นก็สิ้นรัชกาล โลหะปราสาทเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อครั้งงานฉลองศิริราชสมบัติครบ 50 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2538-2539 ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตามที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าโลหะปราสาทคืออาคารหลายชั้นมีหลังคาทำด้วยโลหะ โดยมีอีกสองแห่งที่เคยปรากฏในโลกคือ ที่กรุงสาวัตถีประเทศอินเดีย และที่กรงอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา ซึ่งทั้งสองแห่งนั้นชำรุดสูญสลายลงไปนานนับพันปี และที่ประเทศไทยคือโลหะปราสาทหลังที่ 3 กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2492 เนื่องด้วยโลหะปราสาทยังคงมีสภาพที่สมบูรณ์แบบแห่งเดียวในโลก แสงเริ่มเย็นย่ำเวลา 16.00 น. แบตก็ใกล้จะหมดเข้าสู่วัดที่ 8 วัดเทพธิดารามตั้งอยู่ริมถนนมหาไชยใกล้วัดราชนัดดา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดเทพธิดาราม เมื่อ พ.ศ.2379 และสร้างเสร็จ เมื่อ พ.ศ. 2382 คำว่า "เทพธิดา" หมายถึงกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ หรือสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองศ์เจ้าวิลาส พระราชธิดาองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ 3 ซึ่งมีพระสิริโฉมงดงามเป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่งของพระราชบิดา และกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงบริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อร่วมในการก่อสร้างวัดเทพธิดารามอีกด้วยค่ะ ภายในพระอุโบสถจะพบกับพระพุทธเทววิลาส หรือหลวงพ่อขาว เป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยเชียงแสนผสมสุโขทัยปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชรจำหลักด้วยศิลาสีขาวบริสุทธิ์ ประดิษฐานเหนือเวชยันต์บุษบกหรือบุษบกท้ายเกรินซึ่งเป็นไม้จำหลักลายปิดทอง ประดับกระจกลวดลายประณีตงดงาม จะมีพระพุทธรูปจำลองตั้งให้เห็นหน้าพระอุโบสถด้วยค่ะ และที่น่าสนใจก็คือรูปหล่อหมู่พระอริยสาวิกา (ภิกษุณี) ลงรักปิดทองจำนวน 52 องค์ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าองค์พระประธาน หนึ่งในนั้นก็คือพระนางปชาบดีโคตมี พระน้านางของพระพุทธเจ้า ที่ถือเป็นภิกษุณีองค์แรกที่มีส่วนในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาในหมู่สตรีค่ะ เป็นบุญอุ้มที่ได้มากราบค่ะ นั่งลุ้นว่าเหลืออีก 4 ภาพ แบตจะหมดได้พอดีวัดที่ 9 วัดราชบพิธ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2412 มีลักษณะผสมระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตก กล่าวคือ ลักษณะภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมไทยส่วนภายในออกแบบตกแต่งอย่างตะวันตก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง และมีมหาสีมาอันเป็นเสาศิลาจำหลักยอดเป็นรูปเสมาธรรมจักร 8 เสา ตั้งเป็นสีมาที่กำแพง 8 ทิศ ราชบพิธ หมายถึง พระอารามที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสร้าง บพิธ คำนี้มาจากภาษาบาลีคือ ปวิธะ ที่แปลว่าสร้าง ส่วนสถิตมหาสีมารามหมายถึง พระอารามซึ่งมีสีมากว้างใหญ่เป็นมหาสีมาล้อมรอบอาณาเขตของวัด วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามนับเป็นพระอารามหลวงสุดท้ายที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างตามโบราณราชประเพณี ที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาล วัดนี้เป็นวัดที่พระบรมราชสรีรางคาร 3 กษัตริย์อยู่ใต้ฐานพระประธานคือ รัชกาลที่ 5-7-9 และเนื่องจากมาถึงวัดนี้ในเวลา 17.00 น.อุ้มก็เลยเข้าร่วมสวดมนต์เย็นจึงมีโอกาสถ่ายภาพภายใน ในใจบอกขอสักภาพนะคะเพราะแบตดับแล้วขอสักภาพนะคะได้ภาพนี้ภาพส่งท้ายพอดีแล้วแบตก็หมดจริงๆ เพราะปกติไม่ให้ถ่ายภาพภายใน หลวงพี่อนุญาตแล้วได้ภาพสุดท้ายพอดีเก็บกล้องสวดมนต์เย็นต่อ นับเป็นมงคลชีวิตในช่วงส่งท้ายปีหมาต้อนรับปีหมูด้วยภาพนี้นะคะ ปีใหม่นี้ตั้งใจจะเรียนถ่ายรูปค่ะ เอาบุญมาฝากพี่น้องชาว Bloggang บทเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 9 : แสงเทียน ขอขอบคุณ : BG : คุณลักกี้ / กล่องเขียนคอมเม้นท์ : คุณ lozocat โค้ดแต่ง BLOG : ป้ามด & น้องดอกหญ้าเมืองเลย ของแต่ง BLOG ทุกอย่างมาจาก : คุณป้าเก๋า ชมพร & น้องญามี่ & คุณเนยสีฟ้า
Create Date : 07 มกราคม 2562
Last Update : 29 เมษายน 2563 22:02:04 น.
20 comments
Counter : 2597 Pageviews.
ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณหอมกร , คุณสาวไกด์ใจซื่อ , คุณmcayenne94 , คุณกะว่าก๋า , คุณฟ้าใสวันใหม่ , คุณโอน่าจอมซ่าส์ , คุณThe Kop Civil , คุณภาวิดา คนบ้านป่า , คุณอาจารย์สุวิมล , คุณวลีลักษณา , คุณtoor36 , คุณเริงฤดีนะ , คุณสองแผ่นดิน , คุณญามี่ , คุณkae+aoe , คุณสันตะวาใบข้าว , คุณnewyorknurse , คุณKavanich96
โดย: หอมกร วันที่: 7 มกราคม 2562 เวลา:8:38:38 น.
โดย: mcayenne94 วันที่: 7 มกราคม 2562 เวลา:9:42:06 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 มกราคม 2562 เวลา:9:53:43 น.
โดย: ลุงแมว วันที่: 7 มกราคม 2562 เวลา:10:45:58 น.
โดย: เนินน้ำ วันที่: 7 มกราคม 2562 เวลา:16:55:18 น.
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 7 มกราคม 2562 เวลา:21:14:39 น.
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 7 มกราคม 2562 เวลา:21:21:30 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 มกราคม 2562 เวลา:6:45:30 น.
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 8 มกราคม 2562 เวลา:9:40:02 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 8 มกราคม 2562 เวลา:11:28:42 น.
โดย: kae+aoe วันที่: 8 มกราคม 2562 เวลา:13:10:34 น.
โดย: Kavanich96 วันที่: 30 มกราคม 2562 เวลา:3:14:45 น.
หมวดนี้ไม่ใช่ทางคุณอุ้มนะคะ