www.facebook.com/ibehindyou

ทุก comment ที่คุณให้มา ทำให้เรารู้ว่า เราไม่ได้สนุกกับการเขียน blog แล้วอ่านอยู่คนเดียว

Lost in translation , เวลาที่หยุดเดินในชีวิตที่ชะงักงัน




....ในวันที่มีผู้คนมากมาย ในวันที่คนรอบข้างตัวเราล้วนวุ่นวาย ท่ามกลางคนเหล่านั้น เราไม่รู้ว่าตัวเราเองอยู่ตรงไหน ไม่รู้ว่าเราเองกำลังทำอะไร และไม่รู้ว่าเราจะเดินต่อไปในทิศทางใด มีคนใกล้ชิดมีคนรักแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองยังรู้สึกอ้างว้างไม่มีคนเข้าใจ รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังติดอยู่ในร่องหลืบของกาลเวลา ติดชะงักอยู่ในห้วงเวลาหนึ่งกับมิติหนึ่งที่อยู่นิ่งและเดียวดาย

Bob...ในวัย 60 ปีกับช่วงภาวะ midlife crisis เขาไม่ได้บอกออกมาด้วยคำพูดว่าเขาเศร้าหรือทุกข์ใจ แต่ภาพที่ออกมาคงไม่ยากที่จะรับรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรในปัจจุบัน ความมีชื่อเสียงไม่ได้มีความหมายอะไรต่อเขาแม้แต่น้อย ความซ้ำซากสับสนไร้ทิศทางรอบกายภายนอกในญี่ปุ่นดูแปลกแยกกับตัวเขา ลึกๆแล้วมันก็อาจไม่ต่างจากภายในตัวตนเขาสักเท่าไหร่

Charlotte....ในวัย 20 ปี กับช่วงเวลาที่เธอรู้สึกว่าตัวเองติดอยู่ไม่ได้ไปไหน ดังที่เธอบอกไว้ว่า“I’m stuck” ไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร อยากเป็นอะไรและต้องการอะไร เธอไม่มีแม้แต่คนที่จะตั้งใจสนใจรับฟังความทุกข์ใจ เธออยู่กับความคิด ที่เธอเองก็คงไม่กล้าที่จะถามสามี ว่าชีวิตคู่ที่เป็นอยู่นี้ มันจะดีขึ้นกว่านี้ได้อีกหรือไม่

.....ทั้งคู่ไม่ได้มีคู่ชีวิตที่ย่ำแย่เลวร้าย ภรรยาของ Bob ยังคง fax ยังโทรศัพท์มาถามไถ่ ยังขอความเห็นช่วยตัดสินใจในการเลือกสีกระเบื้อง สามีของ Charlotte ยังคงเป็นห่วงเธอ กลัวจะเหงากลัวจะเบื่อพยายามหาเพื่อนหาสถานที่ท่องเที่ยวให้เธอฆ่าเวลา หรือทั้งคู่เป็นคนเห็นแก่ตัวที่ไม่เคยพอกับความต้องการ ทั้งที่มีคู่ชีวิตที่มีน่าจะดีพร้อมอยู่แล้ว?

….เคยคิดบ้างไหมว่า เราอาจไม่ได้ต้องการใครที่ดีกับเราเสมอไปแต่อยากได้ใครสักคนที่เข้าใจรับฟังและสนใจในสิ่งที่เราเป็นอยู่ ในช่วงเวลาที่เราสับสนหรือเหงา เราไม่ได้ต้องการคนที่ดีที่สุด แต่เราอยากได้คนที่เข้าใจเราและเดินร่วมทางกับเรา พาเราออกจากความสับสนนั้น

.....ไม่เพียงแค่ Charlotte หรอกที่ติดอยู่นิ่งกับเวลา Bobเองก็เช่นกัน ทั้งคู่ต่างก็ติดอยู่ในร่องหนึ่งของชีวิต และไม่รู้จะไปต่ออย่างไร ปล่อยตัวเองจมเจ่าอยู่กับที่เดิม ทั้งคู่ไม่ได้เคลื่อนไปตามเวลารอบตัว แต่เข็มนาฬิกาภายในตัวทั้งสองคนหยุดเดิน ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปแต่ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไร ทั้งคู่ไม่ได้หลงหรือสับสนจากการมาอยู่ในวัฒนธรรมภาษาที่แตกต่าง (Lost in translation) แต่ทั้งคู่หลงทางอยู่ในแผนที่ชีวิตตัวเอง (Lost in life)

......เมื่อ Charlotte ได้มาเจอกับ Bob บางอย่างที่ทำให้ทั้งคู่รับรู้ได้ว่ามีอะไรที่ตรงกัน ไม่ใช่เป็นแค่ความรู้สึกตรงกันแต่ทั้งคู่สามารถที่จะเปิดเผยและแบ่งปันความรู้สึกให้แก่กันเป็นกำลังใจให้ต่อกัน ท่ามกลางความอลหม่านของสังคมความแปลกแยกทางวัฒนธรรม แค่นี้ก็เลวร้ายพออยู่แล้วกับชีวิตที่เป็นอยู่

การได้มาเจอกันและกันไม่เพียงแต่จะช่วยสลายความสับสนนี้แต่ยังเป็นการได้เจอเพื่อนที่จะเดินร่วมทางกันไปในความสับสนนั้น เหมือนได้เจอเข็มทิศที่ช่วยชี้เส้นทางให้แจ่มชัดขึ้น(การสนุกกับการท่องเที่ยวในเมือง , ช่วงเวลาร้องคาราโอเกะ ฯลฯ) แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งสั้นๆแต่ช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่ทำให้ทั้งคู่ต้องติดอยู่กับที่ และเป็นช่วงเวลาที่เข็มนาฬิกาในตัวของทั้งคู่จะเดินต่อไปหลังจากชะงักงันมานาน

......หลายครั้งที่ผมได้ยินได้เห็นคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วกลับมาถกเถียงกันว่า มันเหงาหรือไม่เหงา เหงาจริงหรือเหงาปลอม ผมเองคิดว่าความเหงาเป็นปัจเจก เราอาจเหงาไปกับความเหงาของหว่องกาไว เหงาไปกับ Last life in universe ฯลฯในขณะที่บางคนอาจไม่ได้เหงาไปเหมือนกับเราด้วยก็ได้

ผมหยิบเรื่องนี้กลับมาดูเป็นครั้งที่สอง จำความรู้สึกครั้งแรกที่ได้ดูว่าความรู้สึกมันเอ่อล้นปริ่มๆมาตลอดเวลา แต่มันยังไม่รู้สึกอะไรมาก จนเมื่อฉากสุดท้ายที่เริ่มต้นจากแผ่นหลังของ Charlotte การกระซิบของ Bob, การกอดกันของทั้งคู่,จูบที่ปราศจากความขัดเขิน,รอยยิ้มที่เปิดเผยและมีความสุขมากที่สุดของBob, น้ำตาที่รินไหลของ Charlotte เป็นการทะลายความรู้สึกที่มันเอ่อล้น ให้พรั่งพรูออกมาพร้อมกับความรู้สึกของตัวละครที่อึดอัดมาตลอดก่อนหน้านี้ เมื่อดูจบครั้งแรกเดินออกจากโรง มันเป็นความรู้สึกอ้างว้างเศร้าแต่ไม่สลด อาจเป็นเพราะหนังยังมีความหวังให้กับตัวละคร อย่างน้อยทั้งคู่ก็ยังมีช่วงเวลาที่ออกมาจากจุดนั้นๆอย่างน้อยทั้งคู่ก็ยังมีไฟที่จะส่องให้กับทางชีวิต ที่ดูเหมือนจะมืดมน

ผมหยิบเรื่องนี้มาดูเป็นครั้งที่สอง ในวันที่รู้สึกเหงาขึ้นมา ในตอนแรกคิดว่ามันจะซ้ำเติมความเหงาตัวเองให้หนักขึ้น แต่กลับแปลกที่เป็นตรงข้าม เพราะผมรู้สึกเหมือนกับมีเพื่อนที่เข้าใจมานั่งอยู่ด้วยกัน ผมเคยอยากรู้ว่าทั้งสองคนพูดอะไรกันในตอนท้าย แต่ครั้งนี้ที่ดูจบผมกลับไม่ได้อยากรู้เหมือนครั้งก่อนอีกแล้ว เพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นมันมีค่ามากกว่าคำพูดเป็นร้อยพัน


....Sofia Coppola ใช้ภาพเล่าเรื่องราวและสื่อสารความรู้สึกออกมามากกว่าจากบทและเนื้อหาคำพูด เป็นหนังที่จับต้องที่ความรู้สึกมากกว่าที่ความคิดและเนื้อหา ผมชอบประโยคที่สื่อตัวหนังเรื่องนี้ไว้ว่า Everyone wants to be found. และ Sometimes you have to go halfway around the world to come full circle การเลือกดนตรีและเพลงประกอบคือปัจจัยที่เสริมความรู้สึกให้กับภาพบนจอได้เป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะผมชอบ AIR อยู่แล้ว Alone in Kyoto จึงเป็นแทร็คที่ผมชอบมากที่สุดคู่กับDeath in vegas

..สำหรับผมไม่ได้ใส่ใจให้ความสำคัญว่ามันเหงาจริงหรือเหงาปลอม มันเป็นความเสแสร้งของคนที่อยากแกล้งเหงาหรือไม่ใช่ แค่ผมสามารถที่จะแบ่งปันความรู้สึกที่มีให้กับหนังเรื่องนี้เหมือนได้มีเพื่อนหรือใครสักคนที่คิดคล้ายกัน หรือรู้สึกเหมือนๆกันอย่าง Charlotte กับ Bob ก็เพียงพอแล้ว ในช่วงเวลาที่รู้สึกอ้างว้างและหาทางออกบางอย่างให้กับชีวิตไม่เจอ บางครั้งชีวิตคนเราก็คงเหมือนประโยคที่ Charlotte อ่านเจอในหนังสือ “Every soul has its path but sometimes that path is not clear”






ติดตามบทความใหม่ๆ หรือ บทความน่าสนใจ หรือ เริ่มต้นอ่านBlogนี้มีข้อสงสัย คลิกไปเริ่มต้นที่ --> หน้าแรก


รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง



ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 26 เมษายน 2548
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2549 0:58:19 น. 33 comments
Counter : 3887 Pageviews.

 
ชอบย่อหน้าสุดท้ายที่คุณเขียนค่ะ


และหนังเรื่องนี้ให้มากกว่าความเหงาค่ะ


โดย: ปีกที่ไม่อาจจะโบยบิน (WhaT iT'S W๐l2tH ) วันที่: 26 เมษายน 2548 เวลา:4:55:51 น.  

 
ดูแล้วย่ำแย่กว่าคำว่าเหงา
แล้วสรุปว่าเค้าพูดอะไรอ่ะ ^^


โดย: if u know IP: 58.9.142.32 วันที่: 26 เมษายน 2548 เวลา:5:18:04 น.  

 
บางที.. ก็เหมือนว่าเราไม่รู้จักคนที่แต่งงานด้วย

ได้ยินประโยคนี้แล้วเศร้าจังครับ คนที่เราคิดว่าเข้าใจมากที่สุด
วันนึงก็กลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเรา เฮ้อ..งั้นขึ้นคานดีกว่า -_-"
ชอบหนังเรื่องนี้มากครับ เป็นหนังในดวงใจเรื่องนึงเลยล่ะ


โดย: Mint@da{-"-} วันที่: 26 เมษายน 2548 เวลา:9:39:20 น.  

 
ผมดูแล้วเฉยๆนะ แต่เดี๋ยวผมไปเอามาดูอีกทีดีกว่า

เพราะตอนนี้กะลังเหงาได้ที่เชียว...


โดย: nanoguy วันที่: 26 เมษายน 2548 เวลา:11:39:15 น.  

 
ผิดไหม ถ้าจะบอกว่าดูแล้วเฉยๆ

เหตุผลสำคัญเลยคือ ... ขอยกคำกล่าวของคุณมาหน่อยนะคะ...

"ทั้งคู่ไม่ได้หลงหรือสับสนจากการมาอยู่ในวัฒนธรรมภาษาที่แตกต่าง(Lost in translation)แต่ทั้งคู่หลงทางอยู่ในแผนที่ชีวิตตัวเอง(Lost in life) "

เหตุผลคืออันนี้แหล่ะค่ะ
คือดูจบแล้วแบบ มันไม่ได้ lost in translation สักหน่อย
ก็แค่คนสองคนที่ไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองต้องการอะไรมาเจอกัน แล้วใช้เวลาช่วงนึงด้วยกัน แค่นั้นเอง...

ฉากที่ชอบที่สุด คือฉากที่พระเอกนั่งรอนางเอกที่รพ. แล้วคุยกับคนญี่ปุ่นแก่ๆ แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง

ดูแล้วยิ้มกว้างๆให้ฉากนี้ เพราะคนญี่ปุ่นเป็นแบบนั้นจริงๆ คือเค้าจะรู้ว่าเราฟังเค้าไม่ออก เค้าก็จะพูดอ่ะ ก็เค้าพูดได้ภาษานี้ภาษาเดียวนี่นา น่ารักดี



โดย: ~nawo~ วันที่: 26 เมษายน 2548 เวลา:13:12:14 น.  

 
ดูเรื่องนี้แล้วนึกถึง Last life in the universe แฮะ
มีญี่ปุ่นมาเกี่ยวเหมือนกันด้วย^^"


โดย: ซินเด๋อเหลอหลา IP: 203.172.75.66 วันที่: 26 เมษายน 2548 เวลา:22:40:07 น.  

 
ดูครั้งแรกในโรงเกือบร้องไห้เพราะโดนใจมากๆ กับความรู้สึกแปลกแยกในอีกฟากหนึ่งของซีกโลกและภาษาแปร่งหูที่ทำเอาเราเป็นใบ้ สื่อสารกับคนรอบข้างไม่ได้ไปในพริบตา



-----รู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังติดอยู่ในร่องหลืบของกาลเวลา ติดชะงักอยู่ในห้วงเวลาหนึ่งกับมิติหนึ่งที่อยู่นิ่งและเดียวดาย----
ชอบประโยคนี้ของคุณมากเลยค่ะ



แปลกนะ เราดู Last life แล้วกลับไม่รู้สึกว่ามันเหงาเลยแม้แต่น้อย เราว่ามันออกจะโรแมนติคด้วยซ้ำไป




คุณ ผมอยู่ข้างหลังคุณ หายเหงาหรือยังคะ?




โดย: ASANO's lover IP: 80.9.242.189 วันที่: 1 พฤษภาคม 2548 เวลา:10:06:10 น.  

 
สวัสดีค่ะ
เมื่อดูเรื่องนี้แล้วสิ่งที่ได้คือ
-มีความเห็นว่าช่วงเวลาที่น่าประทับใจไม่รู้ลืมหลายครั้งในชีวิต มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่วิกฤติที่สุดในชีวิต(หากไม่รู้จักเจ็บปวด จะไม่รู้ซึ้ง ถึงความสุขใจ)
-ดังนั้นเมื่อพบช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกแย่ที่สุด อย่าลืมมองหาสิ่งดีๆที่อาจแอบแฝงอยู่ค่ะ
-และเห็นว่าจุดเด่นของความรักในเรื่องนี้คือความรู้สึกดีๆ ที่ปรารถนาดีต่อกัน อย่างไม่มีความคาดหวัง ไม่ต้องการครอบครองเป็นเจ้าของและ ที่สำคัญไม่มีการผูกมัดใดๆทั้งสิ้น(commitment)ช่างเป็นรักในอุดมคติของใครหลายคน
ปล. คิดว่านางเอกเรื่องนี้อนาคตไกลแน่ อายุยังน้อยแต่ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน


โดย: sunsun IP: 61.91.117.46 วันที่: 1 พฤษภาคม 2548 เวลา:12:33:48 น.  

 
ผมคิดว่าหนังบางเรื่องอารมณ์ของหนังค่อนข้างmassเป็นสากลที่คนส่วนใหญ่อินร่วมไปได้ง่ายเช่นTitanic ในขณะที่บางเรื่องอาจต้องใช้วัยหรือประสบการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับในหนังจึงสามารถรู้สึกร่วมไปกับมันได้มากขึ้นเช่นเรื่องนี้หรือล่าสุดก็Sideways

WhaT iT'S W๐l2tH ..ขอบคุณครับ

if u know ..อาจบอกว่าแฟนเผลอแล้วมาเจอกันใหม่แหะๆล้อเล่นไม่ทราบเหมือนกันครับ

Mint@da{-"-} ...ขึ้นคานก็อาจไม่ดีกว่านะครับหุหุ ชีวิตคู่บางครั้งมันก็ไม่ง่ายแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ดี

nanoguy ...ดูอีกรอบแล้วเปลี่ยนไปยังไงก็มาคุยกันนะครับ

~nawo~ ...ไม่มีผิดถูกหรอกครับ ความชอบของคนแตกต่างกันได้อย่างแน่นอน ฉากที่รพ.ผมก็ชอบนะดูไปยิ้มไป

ซินเด๋อเหลอหลา...LastLifeดูแล้วรู้สึกเงียบเข้าไปในใจวังเวง

ASANO's lover.....ยังครับ

sunsun....ดังนั้นเมื่อพบช่วงเวลาที่ทำให้รู้สึกแย่ที่สุด อย่าลืมมองหาสิ่งดีๆที่อาจแอบแฝงอยู่ค่ะเป็นมุมมองที่ดีครับ


โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 2 พฤษภาคม 2548 เวลา:0:56:18 น.  

 
แอบเห็นในร้านวีดีโอแล้ว แต่ว่าไม่ได้หยิบมา
คราวหน้าไม่พลาดแน่
ว่าแต่ว่า เมื่อไหร่จะมาเอาดีวีดีหนังหล่ะ
เดี๋ยวจะขโมยดูเสียก่อนนะ

p.s. Box Set ของ Infernal Affairs ได้ตกมาเป็นของข้าพเจ้าแล้ว ในราคา 400 บาท ดีใจมาก ๆ (แต่ว่าของยังไม่ถึงมือนะ อีกสักอาทิตย์ก็จะได้มาเชยชมแล้ว


โดย: คนที่คุณก็รู้ว่าใคร IP: 202.176.184.88 วันที่: 10 พฤษภาคม 2548 เวลา:18:06:30 น.  

 
ติดตามอ่าน comment ของคุณผมอยู่ข้างหลังคุณมาหลายเรื่องแล้ว แต่เรื่องนี้เราดูมาแล้ว โดยรวามเรากลับไม่รู้สึกชอบแฮะ มันไม่มีอะไรให้คิดลีกซี้ง หรือดูเพื่อความบันเทิงขนาดนั้นเลยอ่ะ
ปล. ขออภัยที่เห็นต่าง แต่ในเรื่อง closer สิเห็นด้วยกับคุณทุกประการ


โดย: คากินั๊ง IP: 58.10.163.208 วันที่: 11 พฤษภาคม 2548 เวลา:17:41:33 น.  

 
คุณเจ้าของบล็อกทำให้หนังเรื่องนี้มีค่ามากขึ้นกว่าเดิม

สำหรับผม Lost in Translation ไม่ใช่หนังที่ดูแล้วจะต้องชอบหรือไม่ชอบ

แต่มันมีไว้สำหรับดูเพื่อจูนเข้ากับความรู้สึกของเรา

และตั้งคำถามว่า เข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจ ในความรู้สึกนั้นต่างหาก

หนังมันอาจจะดูน่าเบื่อในสายตาหลายๆ คนนะ แต่เราไม่เบื่อเลย เพราะหนังเรื่องนี้ กลายเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงตัวเราได้ใช้เวลาชั่วโมงสองชั่วโมงนั้น ค้นลึกเข้าไปในหัวใจของเรา แบบว่า reach my mind into the space น่ะ

พอหนังจบก็ไม่รู้สึกอะไรนะ ไม่ปลาบปลื้ม ไม่ซาบซึ้ง ไม่ผิดหวังด้วย

แค่ดีใจที่มีหนังแบบนี้เกิดขึ้นมาบนโลก เท่านั้นเอง


โดย: ++peter++ IP: 61.91.105.22 วันที่: 17 พฤษภาคม 2548 เวลา:13:36:32 น.  

 
ชอบหนังเรื่องนี้มากค่ะ เพราะโดยส่วนตัวแล้วชอบหนังของหว่องกาไวอยู่แล้วด้วย ให้อารมณ์เหงาของหนังได้ใกล้เคียงในอารมณ์เดียวกัน

ในโลกแห่งความฝันหลายครั้งที่คนเราพยายามแสวงหาคนที่ใช่มาชั่วชีวิต แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นหากมองในโลกของความเป็นจริงแล้ว การที่คนสองคนเดินทางมาขนานกัน ณ ห้วงเวลาหนึ่ง ณ ที่ๆหนึ่ง ในห้วงอารมณ์ของความเหงาของทั้งคู่ ต่างเติมเต็มให้แก่กันตราบเท่าที่สถานการณ์จะพาไป นั่นก็ทำให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้น และมีความทรงจำที่ดีๆ ให้กับชีวิตมิใช่หรือ


โดย: aorengja IP: 203.127.138.96 วันที่: 19 พฤษภาคม 2548 เวลา:20:12:14 น.  

 
อ่านแล้วตรงใจครับ บางทีความเหงามันเป็นเหมือนเพื่อนทึ่อมตะ แม้เราจะมีคนรัก คนเข้าใจเราอยู่ใกล้ หรือบางทีเราจะนิ่งนอนใจว่า แม้เราอยู่ไกลกัน แต่คนรัก เข้าใจเรา เค้ายังอยู่ แต่ก็ช่วยไม่ได้เลยที่ความเหงามักจะแง้มประตูออกมาทักทายเราเป็นระยะ สำหรับผม ความเหงาเป็นทั้งเพื่อน บางทีก็ทำตัวเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ แต่หลายๆครั้ง เราเองต่างหากที่เชิญเพื่อนคนนี้เข้ามาหา เพื่อจะทำความรู้จัก และเพื่อที่จะก้าวเดินต่อไปครับ


โดย: rider IP: 203.209.104.202 วันที่: 1 กรกฎาคม 2548 เวลา:12:36:12 น.  

 
ดูแล้วเราเฉย ๆ นะ ไม่ได้นึกถึงความเหงา
และรู้สึกเหงาเพมือนเจ้าของบล๊อคเลย

แต่คิดว่า ทำไมถ้านางเอกเหงา ไม่โทรไปหาแฟน
หรือเวลาอยู่กับแฟนทำไมไม่กระตือรือล้น
ที่จะเอาอกเอาใจแฟน หรือสร้างปฏิสัมพันธ์
กับแฟนเลยได้แต่นั่งเงียบๆ

แต่ก็ขอบคุณเจ้าของบล๊อคค่ะ
คุณทำให้ฉันหยิบหนังเรื่องนี้้มาดู






โดย: ฟ้าฝนไม่เป็นใจ IP: 61.7.128.247 วันที่: 24 สิงหาคม 2548 เวลา:16:07:49 น.  

 
ดูหนังเรื่องนี้แล้วเฉยๆมากเลยอ่ะค่ะ(จาหลับแหล่มิหลับแหล่ซะด้วยซําไป)
แต่เจ้าของบล็อกทำหนังเรื่องนี้ไห้ดูมีค่ากว่าดิมจิงจิงค่ะ

แต่ดูแล้วจาหลับจิงจิงน่ะ


โดย: aey IP: 202.133.155.195 วันที่: 5 ตุลาคม 2548 เวลา:18:31:57 น.  

 
เรื่องนี้ดูแล้วเกิด ความรู้สึก จุกๆ ตันๆ เหมือนมีอาไรซักอย่างมาทำให้หายใจไม่ถนัด แบบเวลาที่เหงาๆแต่ก็ไม่รู้จะทำไงอ่ะนะ
ชอบเพลงประกอบมากๆเหมือนกัน

อ่านที่คุณหมอเขียนทีไร อยากกลับไปดูอีกรอบทุกที อิอิ


โดย: Androphobia (Androphobia ) วันที่: 23 ตุลาคม 2548 เวลา:15:06:18 น.  

 
ตอนดูไม่เหงานะ แต่พอจบแล้วนึกถึง มันเลยเหงา


โดย: คนสวย(ทำใจได้) IP: 203.151.140.120 วันที่: 31 ตุลาคม 2548 เวลา:21:41:09 น.  

 
อ่านแล้ว รู้สึกไม่เหงา


โดย: amfine IP: 203.151.140.121 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา:10:46:29 น.  

 
ชอบ บรรยากาศ ของหนังเรื่องนี้
สร้างได้ไม่ซ้ำใคร เดินเรื่องแบบมีสไตล์
ประทับใจดีจริง


โดย: ncm IP: 58.8.26.152 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2548 เวลา:2:42:02 น.  

 
รักหนังเรื่องนี้ค่ะ
ทั้ง
ความรู้สึก
และคุณค่าความดีงาม
ที่จะเป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่ง...
มากมาย และยากเกินบรรยาย




โดย: charlotter วันที่: 24 พฤศจิกายน 2548 เวลา:14:07:02 น.  

 
น่าจะเป็น Lost in Life มากกว่า
Lost in translation จริง ๆ ด้วยหล่ะ

ปล. ในที่สุดก็หามาดูจนได้ หนังดูเหงา ๆ ดี
ว่าแต่ว่า เมื่อไหร่จะได้อ่าน Infernal Affairs หล่ะ


โดย: คนที่คุณก็รู้ว่าใคร IP: 203.144.196.34 วันที่: 21 ธันวาคม 2548 เวลา:15:57:25 น.  

 
เหงา....มากๆ

ไม่อยากบอกว่าแอบลุ้นให้มีอะไรกัน....ก็รู้น่ะว่ามันบาป


โดย: aseptic วันที่: 3 มกราคม 2549 เวลา:23:53:28 น.  

 
เป็นหนังที่ไม่ชอบเลยค่ะ ทั้งๆ ที่ได้ออสการ์ แต่ดูยังไงก็ไม่ชอบ หนังพยายามสื่อให้เห็นความกดดันยามไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองต่างภาษา แต่ว่ามันสื่อได้ไม่ถึงใจเลยค่ะ เพราะความจริงที่เคยประสบมาด้วยตัวเอง มันหนักกว่านี้เยอะ ดูแล้วเลยรู้สึกว่าตัวละครสองตัวนี้ปัญญาอ่อนจริงๆ ความกดดันที่เค้าเจอ มันแค่เสี้ยวเล็กกระจิ๊ดริดเมื่อเทียบกับความเป็นจริงที่เคยเจอมาเองค่ะ พวกเพื่อนที่จากบ้านไปอยู่ไกลๆ ก็พูดแบบนี้เหมือนกันค่ะ


โดย: i-scream IP: 58.10.52.157 วันที่: 23 มกราคม 2549 เวลา:21:23:11 น.  

 
อ่านจากที่คุณเขียนแล้ว สงสัยเราต้องไปหามาดูอีกรอบแล้วสิคะเนี่ย เพราะตอนที่เราดูรอบแรกนั้น เราไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่เลยล่ะค่ะ

ป.ล. เราไม่ชอบเรื่องนี้ตรงบางมุมมองที่เค้าพูดถึงคนญี่ปุ่นในแง่ขบขันน่ะค่ะ


โดย: ลิปดา-พิลิปดา วันที่: 27 มกราคม 2549 เวลา:22:47:54 น.  

 
เราเป็นอีกคนที่ชอบหนังเรื่องนี้ค่ะ...บรรยากาศเรื่อยๆ แต่ใหความรู้สึกว่า...เหงา


โดย: เหงาเหมือนกัน IP: 203.118.80.92 วันที่: 31 มกราคม 2549 เวลา:0:49:55 น.  

 
ชอบหนังเรื่องนี้ก็เพราะอ่านคำวิจารณ์แล้วไปดูหนัง แล้วก็กลับมาอ่านวิจารณ์ ทำให้ชอบมากขึ้นค่ะ


โดย: nam IP: 58.147.26.182 วันที่: 1 มีนาคม 2549 เวลา:20:33:25 น.  

 
ที่นี่ที่ไหน เนี่ย โอ้มายก้อดดดด

lost in blog
help me plz


โดย: pharmza IP: 61.19.188.83 วันที่: 25 มีนาคม 2549 เวลา:20:09:09 น.  

 
Hello,
Good work, and I agree with your opinion.
Thank you for it!
Kisses,
viavia


โดย: viavia IP: 193.206.79.31 วันที่: 2 กรกฎาคม 2549 เวลา:5:33:13 น.  

 
ดูมาสองรอบ สรุปได้อย่างนึง
อย่าดูหนังเรื่องนี้ เวลามีปัญหา แล้วไม่มีคนรับฟัง
มันจะตอกย้ำความอัดอั้นมากค่ะ


โดย: จิ้งจอกเก้าหาง IP: 210.246.64.7 วันที่: 16 กรกฎาคม 2549 เวลา:2:38:47 น.  

 
ดู สองรอบแล้ว ตอนแรกๆก็งงๆ ว่าหนังจะสื่ออะไร แต่พอดูจบ โดยเฉพาะตอนเกือบจน ร้องไห้แบบไม่ได้ตั้งตัวเลยอ่ะ ประสบการณ์ตรงเลย เพราะเคยเป็นแบบนี้มาก่อน เจอคนในระยะสั้นๆแต่รู้สึกว่ามันมากด้วยความรู้สึกจริงๆ สรุปเรื่องนี้สุดยอดมากทางด้านความรู้สึก ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆ


โดย: puimnida IP: 218.47.157.180 วันที่: 28 กรกฎาคม 2549 เวลา:6:50:54 น.  

 
+ และแล้วก็ได้เวลา Lost ... ของผมจนได้ หลังจากตั้งใจว่าจะเข้ามาอ่านเรื่องนี้มานาน ... ใช่เลยครับ หนังเรื่องนี้มันค่อนข้างจะเกี่ยวกับ อารมณ์ และ ความรู้สึก เป็นหลัก ... และยิ่งถ้าเคยมีประสบการณ์ตรงหรือความรู้สึกแบบนี้มาก่อน จะยิ่งทำให้อินกับหนังมากขึ้นไปอีก
+ เคยมั้ยครับ ... ที่คนบางคนที่อยู่ในชีวิตเรา บางครั้งเรากลับรู้สึกว่าเบื่อ เซ็ง หรือเฉยๆ กับเค้า แต่กับอีกบางคนที่ผ่านเข้ามาแค่แว้บๆ ... แต่เรากลับรู้สึก 'คลิก' ขึ้นมาทันที เหมือนมันมีเคมีอะไรซักอย่างที่ตรงกันอยู่ ทำให้จูนกันติดอ่ะครับ
+ และที่ยิ่งชอบไปกว่านั้น ก็ตรงที่หนังไม่ได้สื่อออกมาว่า 'คนเหงา' ทั้ง 2 คนนี้ต้องการ sexaul relationship (ไม่ว่าจะเป็นแบบชั่วคราวหรือค้างคืน อิๆ) เพราะมีหลายครั้งที่โอกาสนั้นมันเกิดขึ้นได้ แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น ... ยิ่งตอนท้ายประโยคกระซิบข้างหูที่ไม่มีใครรู้นั่น ยิ่งทำให้จินตนาการไปได้อีกมากมายเลย
+ ส่วนที่บางคนข้างบนเขียนมาว่า ทำไมทั้ง 2 คนไม่พยายามจัดการกับความสัมพันธ์กับคนของตัวเองให้มันดีขึ้น ... อาจเป็นเพราะเค้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่ ซึ่งเค้าอาจเลือกคนผิด หรือยังไม่แน่ใจตัวเอง หรืออยู่ไปแบบเซ็งๆ หรือ ฯลฯ ... ทีนี้พอมีใครสักคนที่รู้สึก 'คลิก' เหตุการณ์ในเรื่องนี้มันเลยเกิดขึ้นไงครับ
+ สรุปว่าชอบเช่นกันครับ ทั้งบท อารมณ์หนัง ดารานำทั้ง 2 คน ... ทำให้อยากกลับไปหา Virgin suiside งานเก่าของโซเฟีย มาดูเลยอ่า


โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 วันที่: 9 สิงหาคม 2549 เวลา:11:47:00 น.  

 
ความรู้สึกในฉากสุดท้ายของทั้ง 2 ทำผมอึ้ง แล้วน้ำตาไหลไม่รู้ตัว เพราะมันกินใจมากเกินกว่าจะอธิบายจริงๆ การไม่มีคำพูดใดๆ สื่อออกมา มีเพียงแค่อารมณ์และความรู้สึกที่เป็นภาษากาย บอกคนดูและ บอกตัวเราว่า บางทีเราก็ไม่ได้มีช่วงชีวิตแบบนี้แค่คนเดียวหรอกนะ

ปล. Everyone wants to be found ประโยคนี้โดนใจผมเสมอครับ


โดย: เข็มขัดสั้น วันที่: 6 ตุลาคม 2549 เวลา:23:11:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
เมษายน 2548
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
26 เมษายน 2548
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.