(ค) วิธีการบัญญัติพระวินัย
การบัญญัติพระวินัยหรือสิกขาบท เป็นพุทธกิจประการหนึ่งของพระผู้มีพระภาคเจ้าในพุทธัตถจริยา คือ พุทธกิจที่ทรงประพฤติประโยชน์โดยฐานะเป็นพระพุทธเจ้า หรือพุทธาจิณณะคือความเคยประพฤติมาของพระพุทธเจ้าเพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนาและบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ให้ยั่งยืนสืบมาถึงปัจจุบันกาล (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช:๒๕๔๐:๑๖)
ในการบัญญัติสิกขาบทของพระพุทธเจ้า มีวิธีการดำเนินการดังต่อไปนี้
๑. ภิกษุประพฤติตนไปในทางเสื่อมเสียก่อน เช่น กรณี สิกขาบทปฐมปาราชิก พระสุทินน์กลันทบุตร ได้กระทำการเสพเมถุนกับอดีตกับภรรยาของตนก่อน เป็นต้น
๒. ความประพฤติที่เสื่อมเสียของภิกษุรูปนั้น ได้รับการติเตียนทั้งจากภิกษุด้วยกันและจากคฤหัสถ์ ตลอดจนถึงบรรดานักบวชนอกศาสนาอื่นๆ
๓. เมื่อความทราบถึงพุทธสำนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงกระทำเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้
๓.๑ ทรงเรียกประชุมสงฆ์ เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว
๓.๒ ตรัสถามภิกษุผู้ก่อเหตุให้ทูลรับ จนได้ความเป็นสัตย์
๓.๓ ทรงชี้โทษแห่งการประพฤติผิด และติเตียนต่อพฤติกรรมอันเสื่อมเสียนั้นพร้อมทั้งแสดงอานิสงส์แห่งการสำรวมตนที่สมควรแก่สมณสารูป
๓.๔ ทรงวางโทษคือปรับอาบัติไว้หนักเบาแตกต่างกันไป ตามแต่ความผิดนั้นๆ (คณะกรรมการกองตำรามหามกุฏราชวิทยาลัย:๒๕๔๐:๘)
บัญญัติขึ้นเป็นสิกขาบท มิให้พระสงฆ์ประพฤติล่วงละเมิดอีกต่อไป โดยยกเอาประโยชน์แห่งพระวินัย ๑๐ ประการเป็นที่ตั้ง ส่วนภิกษุที่กระทำผิดเป็นคนแรก เรียกว่า อาทิกมมิกะ พระองค์จะไม่ทรงปรับอาบัติลงโทษแต่ประการใด (ประสาร ทองภักดี:๒๕๔๐:๑๐๔)
ซึ่งการบัญญัติสิกขาบทนี้ เรียกว่า มูลบัญญัติ หรือมาติกา คือ ข้อบัญญัติที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้เดิม (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต):๒๕๓๘:๒๓๖)
๔. ภายหลังจากที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทที่เป็นมูลบัญญัติไว้แล้ว หากสิกขาบทไม่ครอบคลุม รัดกุมเพียงพอ หรือเข้มงวดเกินไป พระองค์ก็จะทรงบัญญัติเพิ่มเติมไว้ในท้ายสิกขาบทเดียวกัน เรียกว่า อนุบัญญัติ คือ บัญญัติเพิ่มเติม หรือบทแก้ไขเพิ่มเติมที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเสริมหรือผ่อนพระบัญญัติที่วางไว้เดิม (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต):๒๕๓๘:๒๓๖)
เพื่อให้สิกขาบทครอบคลุม รัดกุมเพิ่มขึ้น หรือไม่เข้มงวดเกินไป อาทิ
๔.๑ กรณีที่สิกขาบทยังไม่ครอบคลุม รัดกุมเพียงพอ พระพุทธองค์ก็จะทรงบัญญัติเพิ่มเติมในท้ายของสิกขาบทเพื่อให้ครอบคลุมรัดกุมยิ่งขึ้น ซึ่งในกรณีนี้เกิดจากภิกษุตีความสิกขาบทตามอำเภอใจของตน และมีปฏิปทาที่ย่อหย่อนไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย เช่น ในสิกขาบทปฐมปาราชิกระบุว่า ก็ภิกษุใดเสพเมถุนธรรมเป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ (วิ.ม. (ไทย) ๑/๓๙/๒๙.)
ต่อมาได้มีภิกษุตีความสิกขาบทดังกล่าวว่า ห้ามเสพเมถุนกับเฉพาะสตรี เพศเท่านั้น จึงทำการเสพเมถุนกับลิงเพศเมียที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน เมื่อความทราบถึงพระพุทธองค์ จึงทรงบัญญัติเพิ่มเติม โดยระบุอย่างชัดเจนให้ครอบคลุมไปถึงสัตว์เดรัจฉานด้วยว่า
อนึ่ง ภิกษุใดเสพเมถุนธรรมโดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้(วิ.ม. (ไทย) ๑/๔๑-๔๒/๓๐-๓๑.)
ซึ่งเป็นการบัญญัติสิกขาบทตามแนวเหตุปัจจัยที่มุ่งถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นหลัก
๔.๒ กรณี ที่สิกขาบทเข้มงวดเกินไป จนภิกษุสงฆ์ปฏิบัติลำบาก พระพุทธองค์จะทรงบัญญัติเพิ่มเติมในท้ายสิกขาบทนั้น เพื่อผ่อนคลายความเข้มงวดของสิกขาบทนั้นลง จนภิกษุสามารถปฏิบัติตามได้
เช่น ในสิกขาบทที่ ๖ จีวรวรรค นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ซึ่งมูลบัญญัติระบุว่า อนึ่ง ภิกษุใดขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดีผู้มิ ใช่ญาติ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (วิ.ม. (ไทย) ๒/๕๑๖/๔๑. วิ.ม. (ไทย) ๒/๕๑๖/๔๑.)
ต่อมาได้เกิดเหตุภิกษุถูกโจรแย่งชิงเอาจีวรไปหมดขณะเดินทาง ไม่มีผ้านุ่งห่มปิดกาย แต่ก็ไม่กล้าขอผ้าจากชาวบ้านมานุ่งห่ม เพราะกลัวต้องอาบัติ จึงเดินเปลือยกายมาถึงวัด จนใครๆ คิดว่าเป็นอาชีวก (นักบวชเปลือยกายประเภทหนึ่ง) เมื่อความทราบถึงพระพุทธองค์
ก็ทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้ขอผ้าจากคนอื่นได้ พร้อมทั้งทรงบัญญัติเพิ่มเติมในสิกขาบทดังกล่าวว่า อนึ่ง ภิกษุใด ขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ นอกจากสมัย เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ในคำนั้น ดังนี้ ภิกษุเป็นผู้มีจีวรถูกชิงเอาไปก็ดี มีจีวรฉิบหายก็ดี นี้สมัยในคำนั้น(วิ.ม. (ไทย) ๒/๕๑๖/๔๑.)
ทั้งมูลบัญญัติและอนุบัญญัติในพระวินัยข้อหนึ่งๆ เรียกว่า สิกขาบท โดยสิกขาบทส่วนที่เป็นพระพุทธบัญญัติหรืออาทิพรหมจาริยกาสิกขานั้นจะถูกรวบรวมเข้าเป็นหมวดหมู่เรียกว่า อุเทส และรวบรวมอุเทศต่างๆ ซึ่งมีทั้งหมด ๙ อุเทศด้วยกันเป็นปาติโมกข์หรือปาติโมกข์เรียกสิกขาบทประเภทนี้ว่า สิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อาณาปาติโมกข์ ซึ่งมีจำนวน ๒๒๗ สิกขาบท แต่ในพระสูตรว่ามี ๑๕๐ สิกขาบท (อง.เอก. (ไทย) ๒๐/๘๕/๓๑๐-๓๑๑.) ซึ่งเป็นประเด็นที่เป็นข้อขัดแย้งกันในปัจจุบัน
ส่วนสิกขาบทนอกนั้นที่เป็นอภิสมาจาร จัดเป็นสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ มีจำนวนหลายร้อยสิกขาบท นอกจากนี้ ยังมีสิกขาบทที่พระคันถรจนาจารย์บัญญัติเพิ่มเติมเข้าไปภายหลังเรียกว่า บาลีมุตตกทุกกฎ คือ อาบัติทุกกฎที่มานอกพระบาลี อีกเป็นจำนวนมาก จนนับจำนวนสิกขาบทไม่ได้ (กรมการศาสนา, กองศาสนศึกษา:๒๕๔๑:๒๔) ซึ่งก็จัดว่าเป็นสิกขาบทนอกพระปาติโมกข์เช่นกัน