@ เหตุผลที่นักบวชไม่ยินดีในการรับเงินรับทอง
สำหรับประเด็นต่อไปที่จะต้องนำมาศึกษาก็คือประเด็นที่ว่า อะไรคือเหตุผลที่พระสฆ์หรือนักบวชในพระพุทธศาสนาที่ไม่รับและยินดีในการรับเงินรับทองนั้นก็มีผู้กล่าวไว้หลายที่ แต่ที่ชัดเจนก็คือกรณีการให้เหตุผลของพระโรหิณีเถรี และพระสุภากัมมารธิดาเถรีที่ได้กล่าวไว้อย่างน่าฟังถึงสาเหตุที่ไม่รับเงินรับทองไว้หลายประการ โดยพระสุภากัมมารธิดาเถรีได้กล่าวเอาไว้ว่า
(๑) เมื่อเข้ามาบวชแล้วเพราะความเบื่อหน่ายในเงินและทองรวมถึงทรัพย์อย่างอื่นแล้ว คือละเงินทองแล้วยังกลับ (ยินดีเงินทอง) อีกจึงถือว่าเป็นการไม่สมควร เพราะการรับเงินรับทองเป็นความห่วงความกังวลหลายประการ เพราะเหตุนั้นเมื่อบวชมาแล้วหันกลับไปยินดีในการรับเงินรับทองจึงถือว่าเป็นเรื่องไม่ควร เข้าทำนองว่า เบื่อหน่ายสิ่งเหล่านั้นแล้วยังหันกลับไปยินดีในสิ่งเหล่านั้นอีก ซึ่งถือว่าการกระทำเช่นนั้นย่อมเป็นการไม่ควร (ขุ.เถรี(ไทย) ๒๖/๓๔๓/๖๑๒.)
(๒) เพราะเงินทอง ไม่ได้มีไว้เพื่อความตรัสรู้ หรือเพื่อความสงบใจ เป็นอีกข้อหนึ่งที่ปรากฏในเหตุผลของฝ่ายพระภิกษุณีที่ได้กล่าวถึงการไม่รับเงินรับทองก็คือ เพราะเห็นว่าความจริงแล้วเงินทองไม่ได้นำไปสู่การตรัสรู้หรือเพื่อความสงบจิตใจหรือการทำใจให้เป็นสมาธิได้ เนื่องจากเงินทองก่อให้เกิดความกังวล ยิ่งมีมากยิ่งกังวลมาก ยิ่งสะสมมากยิ่งหวงแหนมาก และยิ่งเห็นแก่ตัวมาก เป็นต้น ดังนั้นหากจะว่ากันแล้วเงินทองก็คืออุปสรรคต่อการบรรลุธรรมดังนั้นเงินทองจึงไม่ควรสำหรับนักบวชหรือสมณะ (ขุ.เถรี(ไทย) ๒๖/๓๔๔/๖๑๒.)
(๓) เพราะเงินทอง ทำให้เกิดความโลภ นำมาซึ่งความมัวเมา ให้เกิดความลุ่มหลง เป็นเครื่องเพิ่มพูนความกำหนัดยินดี มีความระแวง มีความยุ่งยาก และในเงินทองนั้นก็ไม่มีความยั่งยืนมั่นคงเลย(ขุ.เถรี(ไทย) ๒๖/๓๔๕/๖๑๒.)
(๔) เพราะเงินทองนั้นก่อให้เกิดความประมาท ทำให้คนที่ครอบครองมีความประมาท มีใจเศร้าหมอง ต่างผิดใจต่อกันและกัน กระทำความบาดหมางทะเลาะวิวาทกัน ใครก็ตามที่ยินดีในทรัพย์นั้น ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ประมาท(ขุ.เถรี(ไทย)๒๖/๓๔๕/๖๑๒.)
อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องจริงที่ว่าที่สุดแล้วเงินทองจะนำไปสู่การทะเลาะวิวาทเพราะเงินทองนั้นเป็น ผลประโยชน์หรือ Interest อย่างหนึ่ง เมื่อเงินทองเป็นผลประโยชน์ย่อมทำให้เป็นเป้าหมายสำคัญของการแย่งชิงและก่อการทะเลาะวิวาทกันขึ้นภายในและสามารถทำลายมิตรภาพของคนและทำลายองค์กรได้
(๕) อาสวะทั้งหลาย ย่อมไม่สิ้นไปเพราะเงินและทอง (ขุ.เถรี(ไทย) ๒๖/๓๔๓-๓๔๙/๖๑๒-๖๑๓.)
ข้อนี้ถือว่าเป็นข้อที่สำคัญที่หลายทัศนะในทางพระพุทธศาสนาเห็นร่วมกันว่า พระพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นศาสนาที่ยึดแนวทางของ สมณธรรมนิยม คือ ฝ่ายที่ยึดแนวทางการเป็นนักบวชสายสมณธรรม
คือ ธรรมของสมณะที่มีรูปแบบของการเป็นนักบวชที่แตกต่างไปจากพราหมณ์ คือเป็นนักบวชที่มุ่งถึงการสละบ้านเมืองออกบวชเน้นความสงบมากกว่าการยุ่งเกี่ยวกับชีวิตทางโลกจะยุ่งเกี่ยวก็เพราะการเป็น ทักขิเณยยบุคคล
หรือเป็นเนื้อนาบุญให้กับชาวบ้านเท่านั้น อันนี้ผมไม่ได้ว่าเองนะครับคือว่าตามหลักการของพระสงฆ์หรือนักบวชในยุคนั้น ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงเน้นย้ำว่าพระสงฆ์สามเณรในส่วนของนักบวชที่จัดเป็นอนาคาริยวินัย หรือผู้สละเรือนออกบวชนั้นจะต้องไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการรับเงินรับทองหรือยินดีในการรับเงินรับทองเพราะในยุคพุทธกาลเห็นว่า เงินทองนั้นไม่อาจจะทำลายอาสวะกิเลสให้สิ้นไปได้เลย