"This is my world.This is my life style"
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2548
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
25 มีนาคม 2548
 
All Blogs
 
MALALSIA TRULY ASIA TRIP (Part 2)

ยามเช้า กับ เซเลมบัง ยามบ่าย กับ มะละกา และยามค่ำ กับ กัวลาลัมเปอร์


มาเล่าต่อเมื่อคืนลืมมาเล่า มัวแต่นั่งตอบจดหมาย(ราวกับเป็นดารา)และนั่งให้ผู้ชายชวนไปปักกิ่งอยู่...เลยลืมมาต่อ


เช้าวันที่ 2 เราเริ่มตื่นกันตั้งแต่ 7.30 น. โดยที่คืนที่ผ่านดิฉันแทบไม่ได้นอนเลย นอนไม่หลับ กว่าจะหลับก็เกือบเช้า นอนไม่หลับจนอยากจะลุกมาขัดห้องน้ำออกแรง เผื่อจะหลับแต่เกรงใจประชาชีข้างห้องกับน้องแมวที่หลับอยู่ 555 สาเหตุที่นอนไม่หลับเพราะ แปลกที่ รวมทั้งเมื่อวานตื่นเต้นเกินไปหน่อย

หลังจากที่เราตื่นแล้วก็ไปกินข้าวกันที่ห้องอาหารของโรงแรม ที่โรงแรมมีพวกแม่บ้านแถวนั้นมา อาโรบิค ยามเช้าด้วย แต่ยัยไทยสองคนนี้ยังไม่ตื่นดี...เดินโทรมเป็นศพกันมากินข้าวกันสองคน และเมื่อกินเสร็จเราก็รีบไปแต่งตัว เพื่อจะไปเที่ยวในตัวเมือง เซเลมบังกันต่อเลย เพราะเมื่อวานไม่ได้เที่ยว และที่ต้องรีบไปเพราะตอน 10.30 เราจะต้องนั่งรถบัสออกไปมะละกากันแล้ว


ทางเดินจากโรงแรม เนื่องจากโรงแรมอยู่บนเขา เลยต้องเดินลงเขามาเที่ยว 555

สำหรับเมืองเซเลมบัง เป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่นัก เป็นเมืองที่มีลักษณะความเป็น Colonial อยู่มากทีเดียว และรวมถึงการผสมของวัฒนธรรม ของอินเดีย และจีน ดูได้จากสิ่งก่อสร้างต่างๆ ของเมืองนี้ มีทั้งโบสถ์ สุเหร่า และอาคารไสตล์จีน ผสมกันอยู่ สิ่งที่แปลกตาของเมืองนี้คือ เราพบคนฮินดู เดินเข้าเดินออกในโบสถ์กันด้วย แปลกดี 555

เสียดายที่เรามีเวลาน้อยกับเมืองนี้ เพราะจริงๆ อยากไปเที่ยว Lake Gardens แต่ก็ไม่มีเวลาไปแล้วแถมเรามองออกตามไหล่เขาเห็นบ้านสไตล์ colonial เต็มพรืดไปหมดเลยแต่เวลาก็ไม่มีสำหรับเรา......

เมืองนี้นักท่องเที่ยวไปไม่มาก เราสองคนจึงดูแปลกตาสำหรับผู้คนเมืองนี้ เดินไปไหนก็จะถูกมองตลอด และ บางคนก็ส่งยิ้มให้ เหมือนสงสัยว่ามันมาทำไมแถวนี้

ปล.ข้อดีของการมา มาเลย์เซียคือยามเช้าคุณสามารถเดินไป 7-11 เพื่อไปหา The Sun อ่านฟรีได้ เค้ามีแจกฟรี เพราะตลอดการเที่ยวดินแดนเสือเหลือง มีหนังสือพิมพ์อ่านฟรีทุกวัน


ยามเช้าตรู่ของ Seremban



ภาพวาดแสนคลาสสิค บนกำแพงตึกย้านอินเดียนทาวน์



โบสถ์สวย ๆ ใกล้ๆ โรงแรมของเรา




นี้อีกโบสถ์หนึ่งเดินถัดไปหน่อย หลังนี้เดินเข้าไปดูข้างในด้วยสวยมาก ๆ แต่ไม่กล้าถ่ายรูปเพราะมีคนอยู่ในโบสถ์


หลังจากเดินเที่ยวจนได้เวลาแล้ว เราก็ต้องอำลาจากเมืองที่แสนอากาศดี คนมีน้ำใจ นี้ไปแล้ว เพราะจุดหมายข้างหน้าของเราคือมะละกา ยังอีกยาวไกลนัก


นายอู๋เจี้ยนหาวกับเตียงในโรงแรม Seri Seremban

พนักงานหนุ่มเสื้อดอกที่โรงแรมนี้น่ารักมาก ยิ้มแย้มตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศที่โรงแรมดูอบอุ่นขึ้น แต่บรรยากาศหนุ่มรอบ ๆ โรงแรมไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่มีแต่พวกเชื้อมาเลย์ อินเดีย ไม่สเปคเลย 5555


Create Date : 25 มีนาคม 2548
Last Update : 25 มีนาคม 2548 21:26:29 น. 17 comments
Counter : 931 Pageviews.

 
เราสองคนเดินทางมาจับจองรถทัวร์ แบบลมพัดผ่านได้ ตอน 10.30 ตามเวลาประเทศมาเลย์เซีย เราขึ้นรถมาก็พบวัฒนธรรมของคนชาตินี้คือที่นั่งที่ระบุในตั๋วเราจะไม่ได้นั่ง เราจะได้นั่งที่ไม่ตรงกับตั๋วเพราะใครมาก่อนเลือกที่นั่งได้ก่อน เราสองคนมาช้าเลยต้องแยกกันนั่งแต่ก็นั่งเยื่อง ๆ กันหน่อย น้องแมวเธอได้นั่งกับเด็กสาว ชาวมาเลย์เชื้อสายจีน ส่วนดิฉันนั่งกับหนุ่มมาเลย์แท้ ๆ เลย ระหว่างนั่งน้องขวัญเธอ ก็ได้คุยและสอบถามทางจากสาวน้อยข้าง ๆ เธอ ส่วนอิฉันนั่งเขม่นกับไอ้น้องมาเลย์ข้างๆ แทน เพราะมันนั่ง กินที่ ชริ ๆ

แถมลุงที่นั่งอีกข้างของน้องขวัญก็อยากผสานสัมพันธ์ไทย - มาเลย์เหลือเกิน มาถามว่าพูดจีนกลางได้ไหม พูดจีนกวางตุ้งได้ไหม ยั้นพูดฮกเกี้ยนได้ไหมอีก แต่น้องขวัญเธอก็ปฏิเสธไป เพราะจีนกลางเธอพูดได้นิดหน่อยเนื่องจากเรียนมา 2 คอรส์แต่ไม่อาจหาญไปคุยกับลุงด้วย จีนกวางตุ้ง เธอเคยดูแต่ซีรีย์ฮ่องกง และสามารถร้องเพลงประกอบภาพยนต์ สตาร์รันเนอร์ได้เท่านั้น และฮกเกี้ยนเธอร้องได้เป็นเพลงมาจิ.......ลุงเลยอดคุยไป 5555

เราใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงจึงมาถึง Central Bus Terminal ของเมืองมะละกา แต่มันก็ยังไม่พาเราไปถึงจุดหมายเพราะเราต้องต่อรถเมล์เข้าไปในตัวเมืองอีก ตอนแรกก็งงๆ ว่าจะขึ้นรถสายไหน พอดิบพอดีไปเจอหนุ่มญี่ปุ่น แกงค์หนึ่ง เราก็กะพึ่งพาอาศัย ปรากฏว่าหนุ่มญี่ปุ่นก้ช่วยอะไรเราไม่ได้เพราะมันไม่ถามอะไรเลยได้แต่ยืน อึ้ง ทึ่ง และหมุนวน เราจึงต้องช่วยตัวเองโดยการไปถามประชาสัมพันธ์ และ เราก็ได้คำตอบว่า สาย 76 จะช่วยท่านได้ รถเมล์สายนี้จะนำพาเราไปสู่จุดหมาย และก่อนเราจะไปขึ้นรถเมล์ เราก็ไปจองตั๋วรถทัวร์ กลับ KL ตอน 5.30 ไว้ทันที เล่นเอาพนักงานอึ้งๆ ว่ามันเพิ่งมาถึงมะละกามันริจะกลับ KL ตอนเย็นเลยเหรอ


โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 25 มีนาคม 2548 เวลา:21:50:02 น.  

 
รถเมล์ราคาแสนถูก เพราะจ่ายไปคนละ ประมาณ 5 บาทไทย ก็นำพาเรามาสู่ดินแดน ประวัติศาสตร์ แหล่งรวมเรื่องราวที่แสนยาวนานของการเป็นเมืองขึ้น ของมาเลย์เซีย วัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลาย ...

รถเมล์นำพาเรามาทิ้งที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่โตห้างหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนเพิ่งจะสร้างได้ไม่นาน หรูสุด ๆ และตรงข้ามกำลังสร้าง ช๊อปปิ้ง เซ็นเตอร์อยู่ด้วย เราเลือกฝากท้องกับ KFC เพราะคิดไม่ออกจะกินอะไร แล้วเราก็พบความแปลกใหม่ของ KFC ที่นี้ แพคเกตสวยมาก


เป็นเพคเกต colonial style เราสั่งชุด ซิงเกอร์เบอร์เกอร์ไป มันมีมันทอดราดด้วยชีส (เดาว่าชีส) รสชาติดี มาแทน เฟรช์ฟราย์ และ มีขนมหวานเป็นไอศครีมรสถั่ว ด้วยอร่อยดี ถ้าปากดิฉันไม่แตกไปก่อน หลังจากเมื่อคืนตอนกินข้าวอยู่ เกิดภาวะตื่นเต้นกับ sms เลยกัดปากตัวเองไประหว่างกินข้าว 555


โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 25 มีนาคม 2548 เวลา:21:59:58 น.  

 
ปล.คั่นข่าว............นอกจาก SmS แล้วพี่แกยังมีมัลติมีเดีย เป็น MMS ด้วยกรูจะบ้า......ดีนะที่อ่านไม่ค่อยออก เห็นแต่คำว่า ไท่กั๋ว.. ไม่งั้นชักแหงก ๆ



โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 25 มีนาคม 2548 เวลา:22:35:49 น.  

 
ต่อ .....

หลังจากที่เราสองคนชารต์แบท จาก KFC เรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมเดินทางไปเที่ยวแต่ช้าก่อนเราต้องแวะ เข้าห้องน้ำเพื่อเติมสวยและ ทำธุระส่วนตัวก่อน และในห้องน้ำทำให้เราพบวัฒนธรรมแปลก ๆ อีกแล้ว.... ห้องน้ำของชาตินี้ ที่เป็นห้องน้ำสาธารณะท่านจะพบสายหัวฉีด วางอยู่กับพื้นแล้วมันก็จะไม่มีหัวฉีดด้วย วางไว้อย่างนั้นใครมันจะไปใช้ลงเล่า และที่สำคัญของห้างนี้คือ มันจะเปิดน้ำผ่านสายยางลงไปที่โถ่ตลอดเวลา ไหล่เอื่อยๆ กะให้ปวดท้องเบากันอย่างเดียว เปิดมันตลอดเวลา ทำเอาคนจากประเทศที่เกิดภาวะแล้งน้ำอย่างเราถึงกับกุ่มศีรษะเสียดายน้ำ.......ไม่รู้ประเทศชาตินี้ผลิตน้ำกันได้เองหรืออย่างไร 555

หลังจากที่ปวดหัวกับห้องน้ำแล้วเราสองคนก็เตรียมเดินออกไปจากห้างแต่ดันไปพบร้านขายอุปกรณ์มือถือซะก่อน ที่เราต้องดีใจที่เธอเพราะดิฉันเกิดปัญหากลุ้มจิตมาตลอดตั้งแต่เมื่อคืนเพราะแบตมือถือจะหมด และดันเสร่อหยิบแต่ที่ชารต์แบบปลั๊กไทยมา ลืมเอาแบบชาตร์ได้ทั่วโลกมา เลยแวะเข้าไปสอบถามราคา ปรากฏว่าประมาณ 150 บาทไทยก็เลยซื้อมาเลยตัวหนึ่ง (ใครจะเดินทางไปไหน ถ้าใช้โทรศัพท์มือถือ ของ โซนี่ อิริคสันติดต่อดิฉันได้นะคะมีบริการที่ชารต์มือถือฟรี แถมด้วยซิมส์การ์ดแบบใช้ได้หลายประเทศด้วย 555)

ตอนที่จะซื้อพนักงานก็ถามเราว่ารุ่นไหน ดิแนก็เผลอตอบตามประสาคนชอบไปถามราคามือถือ คือตอบรุ่นเป็นภาษาไทยไป ทำเอามาเลย์อึ้งไปอีกรอบจนน้องแมวร้องเฮ่ยนั้นแหละถึงได้ตอบกลับเป็น ภาษาประกิต 555 และเมื่อแจ้งรุ่นกันทราบเรียบร้อยพนักงานก็ถามเราว่ามาจากที่ไหน (นี้เป็นอีกเรื่องที่แปลกของคนชาตินี้คือก่อนที่จะให้ความช่วยเหลืออะไรเราต้องถามเราว่ามาจากชาติไหน คือสงสัยมันจะมีชาติที่คว่ำบารตอยู่ ถ้าถามแล้วตอบเป็นชาตินี้จะไม่ช่วยเหลือ) หลังจากที่เราตอบไปเรียบร้อยแล้ว ว่ามาชาติไทย เจ๊คนขายมือถือก็ไปส่งภาษาจีนกลางกับคนในร้าน และพาเราไปทดสอบว่าสายใช้ได้ไหม ที่นี้ไอ้มือถือเจ้ากรรมของดิฉันเนี่ย หน้าจอเป็นรูป พี่เดฟแบบลับเฉพาะ 5555 (ได้มาจากไหนอย่าไปรู้เลย รู้แค่ว่าต้องเอาความสวยไปแลกมาก็พอ) พอเสียบที่ชารต์แบตปุ๊บรูปมันก็สว่างวาบมาทันที และไอ้หนุ่มคนขายมือถือก็พลันมองเห็นปั๊บ แล้วเค้าก็อุทานว่า "เถาเจ๋ออะ" อิฉันก็เริ่มร้อนตัว พยายามหลบหน้าไอ้หนุ่มคนนั้น แต่ยังไม่พอ พี่คนนั้นยังจ้องหน้าดิฉันต่อไป และหันไปสะกิดพี่สาวคนที่ขายสายชารต์ให้เรา และย้ำต่อว่า "เถาเจ๋อ อะเถาเจ๋อ" พี่สาวคนนั้นก็ส่ายหน้าแบบไม่ให้ถามอะไร แต่สายตาของพี่คนนั้นยังจับจ้องมาที่เราสองคนแบบอารมณ์ว่า เอ็งเป็นคราย ไหนว่าเป็นคนไทย แล้วทำไมรูปเถาเจ๋อแบบนั้นถึงอยู่ในมือถือเอ็ง ๆ ตอบมาเด๋วนี้นะ (ไม่รู้ว่าพี่คนนี้เค้าได้ไปเอาลายเซ็นต์พี่เดฟเมื่อคืนมาป่าว หน้าตาแบบแฟนคลับพี่เดฟมาก) และนั้นทำให้เรารู้ว่าที่นี้เถาเจ๋อดัง อย่าไปทำไรหลุดไปเชียวละ


โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 25 มีนาคม 2548 เวลา:23:04:03 น.  

 
หลังจากหลบหนีจากสายตา ประหารจากคนขายมือถือได้เราก็เริ่มเดินทาง เข้าสู่การท่องเที่ยวของเรา สถานที่แรกที่เราเจอคือพิพิธภัณฑ์เรือ ซึ่งเป็นเรือขนาดใหญ่มากตั้งอยู่ และพิพิธภัณฑ์จะอยู่ในเรืออีกที แต่เราก็เกิดปัญหาแล้วว่าตอนนี้เราสองคนหอบกระเป๋าและข้าวของกันอยู่......จะปีนขึ้นเรือที่แสนจะสูงก็ลำบากเลยได้แต่ถ่ายรูป ข้างนอกมันเก็บไว้

Image hosted by Photobucket.com


ด้านตรงข้ามกับพิพิทธภัณฑ์เรือ ก็จะมีร้านขายของที่ระลึก แต่เราหนักก็เลยเมินไป(สมน้ำหน้าเลยอดซื้อของฝากเลย)

ปัญหาของเราสองคนตอนนี้คือกระเป๋าที่แสนหนัก และในที่สุดความเปรี้ยวของเราอีกอย่างก็เกิดขึ้นเมือเราเดินไปพบสถานีตำรวจท่องเที่ยว ...... เราสองคนเดินไปถามตำรวจว่าที่ไหนมีที่รับฝากกระเป๋าบ้าง จริงๆ ในใจก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีหรอก แต่เราคิดว่าตำรวจนั้นแหละที่จะต้องช่วยเรา 555 และก็เป็นไปตามที่คาดหมายไว้คือ ตำรวจต้องรับฝากกระเป๋าของเราสองคนไว้ และบอกไว้ว่าอีกสองชั่วโมงเราจะกลับมาเอาคืน ที่นี้เราก็ลัลลัลล่า เดินตัวปลิวได้แล้ว.......ฝากกระเป๋าไว้กับตำรวจ มันจะหายให้มันรู้กันไป

จุดหมายต่อไปที่เราจะไปคือ Stadthuys ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องความเป็นมาและเหตุการณ์ต่างๆ ของมะละกา Stadthuys อดีตเป็นเหมือนที่พักของเจ้าหน้าที่ชาวดัชต์ ฉะนั้นสถาปัตยกรรมจึงเป็นแบบดัชต์ ตรงบริเวณจัตุรัสกลางเมืองมะละกา คุณจะเห็นสถาปัตยกรรมแบบดัชต์เต็มไปหมด สำหรับ Stadthuys นั้น เชื่อกันว่าอาคารนี้เป็นอาคารของชาวดัชท์ที่เก่าแก่ที่สุดในดินแดนตะวันออก จริงไม่จริงไม่รู้ฟังเค้ามาอีกที

ค่าเข้าชม Stadthuys จำไม่ได้ตอนนั้นมึน ๆ แต่เข้าไปก็สนุกดีพิพิธภัณฑ์มีอะไรให้ดูเยอะดี สมกับคนบ้าสงครามและประวัติศาสตร์อย่างดิฉัน แต่เสียดายที่วิธีการจัดพิพิธภัณฑ์ของที่นี้ยังไม่ดีนัก ไม่ต่อเนื่อง และของบางอย่างก็ไม่รู้มันคืออะไรรู้แต่แค่ว่ามาจากใคร ดูไปก็ยืนงงกันไป


Stadthuys คือไอ้ตึกที่อยู่บนเขาตรงขวามืออะ(ยืมรูปชาวบ้านมาแปะหน่อย ลืมถ่าย Stadthuys) แล้วตรอกข้าง ๆ ระหว่างโบสถ์กับ Stadthuys จะมีร้านขายของที่ระลึกเต็มไปหมดเลย


โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 25 มีนาคม 2548 เวลา:23:34:06 น.  

 
Image hosted by Photobucket.com


อันนี้ฝีมือน้องขะวัน เป็นแบบซูมหน่อย จะเห็นบรรยากาศผู้คน และร้านค้าที่นี้ อาคารสีสวยสดตัดกับดอกไม้สวย ๆ ดีแท้ ๆ บรรยากสถาปัตยกรรมแบบยุโรปแต่ อากาศและผู้คนช่างเอเชียโดยแท้จริง

Image hosted by Photobucket.com

กังหังลมที่ตอนนี้ไม่หมุนแล้ว.....เป็นสัญลักษณ์ดัชต์อย่างแท้จริง

Image hosted by Photobucket.com

สุสานชาวดัชต์ที่น้องขะวันเธออยากถ่ายไปให้ญาติเธอที่เมืองดอยดูเหลือเกิน ครอบครัวนี้ชอบอะไรแปลก ๆ

Image hosted by Photobucket.com

ริมคลองที่เชือมต่อกับทะเล มะละกาเป็นเมืองท่าที่เคยมีเรือมากมายผ่านมาผ่านไปที่นี้ อดีตแม่น้ำสายนี้คงเคยมีเรือผ่านไปผ่านมามากมายทีเดียว

Image hosted by Photobucket.com

คุณเห็นทะเลนั้นไหม......ไกล ๆ ลิบ ๆ ถ่ายจากมุมสูงของโบสถ์ โบสถ์ St Paul ปีนขึ้นไปเหนื่อยแถบตาย 555

Image hosted by Photobucket.com


โบสถ์ St Paul อดีตสร้างโดยกัปตันชาวโปรตุเกส ก่อนที่จะถูกพวกดัชต์ครอบครอง ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ พนัง 3 ด้านแต่มองจากภายนอกจะไม่รู้เลยว่าในโบสถ์เหลือแค่ ผนัง 3 ด้านเท่านั้น

และในโบสถ์เหลือเพียงป้ายไว้อาลัยแด่ขุนนางชาวดัชต์เท่านั้น ของโปรดของครอบครัวขะวันอีกแล้ว

Image hosted by Photobucket.com

แต่ละป้ายใหญ่โต อลังการงานสร้างทั้งนั้นถ้ามีเวลาอยู่มากก่านี้คงอยากจะยืนอ่านให้นาน ๆ

Image hosted by Photobucket.com

วังสุลต่านแห่งมะละกา ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรม ไปแล้วแต่เราก็ไม่ได้เข้าเพราะเวลาจะหมดแล้วววววว

Image hosted by Photobucket.com
A’Fomusa ซึ่งจากด้านนี้ไปเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกโปรตุเกสอะ เมื่อกี้ผ่านดัชต์มาแล้ว


Image hosted by Photobucket.com


Proclamation of Independence Memorial และรถสามล้อสีสดของมะละกา ดูมันแบบชะโงกทัวร์ ดูข้างในไม่ทัน เหอะ ๆ





โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 25 มีนาคม 2548 เวลา:23:59:23 น.  

 
เดินเที่ยวกันขาขวิดหอบแฮก ๆ และนั้นทำให้รู้ว่า มะละกาเนี่ยวันเดียวเที่ยวไม่หมดต้องวันครึ่ง คราวหน้าเราจะกลับมาซ่อมมะละกาใหม่แล้วกัน จะนอนมันในเมืองนี้เลย นี้ยังไม่ได้เดินไปย่านคนจีนเลยด้วยอะ เสียดายจริงๆ แต่ก็ประทับใจกับเมืองนี้มาก ๆ สุดยอดสมใจจิง ๆ

แต่มีเรื่องฮาเล็ก ๆ กับเราที่เมืองนี้อีกอย่างคือตอนเราไปแวะซื้อโปสการด์กัน ดิฉันหยิบตุ๊กตาอู๋เจี้ยนหาวออกจากกระเป่าไว้เพราะมันหนัก และดิฉันก็เลยต้องถือไว้ และคนขายโปสการด์ก็มาทักว่าเออน่ารักดีนะ ดีจังเลยสวยดี ทักแบบอารมณ์คนเล่นโมเดลอะ แล้วเค้าก็หยิบไปมองดูใกล้ ๆ แล้วเค้าก็อุทานว่า "โอ้ว อู๋เจี้ยนหาววววว" ดิฉันเลยต้องจำใจรับว่า เยส อู๋เจี้ยนหาว และเค้าก็ถามว่ามี เจย์ โชว์ไหม ดิฉันก็ตอบ โนว์ และก็ยังถามต่อว่า ไจ่ไจ๋ละ แง๊ว ไจ๋ก็ไม่มีอะ...ขำดี นอกจาก เถาเจ๋อแล้ว อู๋เจี้ยนหาวก็ดังด้วย ดีใจจัง 555


โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:0:07:54 น.  

 
พอได้เวลาอันควรเราก็รีบไปรับกระเป๋าคืนจากตำรวจและก็นั่งรถเมล์กลับไปยัง สถานีรถทัวร์อีกครั้ง....ระบบรถของที่นี้เป็นแบบ วันเวย์ฉะนั้นถ้าคุณขึ้นรถจากที่เดิมที่คุณลงคุณก็จะต้องจ่ายเพิ่มมากก่าเดิมในขากลับ เพราะมันจะพาคุณอ้อมโลก

และเมื่อเราถึงสถานีเราก็ขึ้นรถแอร์กลับยัง KL คราวนี้เรามาเร็วหน่อยเลยได้ที่นั่งคู่กัน มีนักท่องเที่ยวบางคน ยังไม่คุ้นกับระบบมาก่อนได้ที่ก่อนของประเทศนี้ก็มีแบบเดินไปบอกพนักงานว่าโดนแย่งที่ ไอ้เด็กเก็บตั๋วรถมันก็ตอบมาดี ๆ ว่า อยากได้ที่นั่งก็ไปนั่งรถ วีไอพีจิ และยังไล่ไม่ให้นั่งที่นั่งมันด้วย เออดีเจง ๆ นี้ถ้าเราไม่ได้นั่งจาก ซาเรมบังมาก่อนเราคงโดนด้วยนะเนี่ย ดีที่คนซาเรมบังใจดี เราถามเค้าก็ตอบเราดีๆ และสุภาพมาก

จาก มะละกา มา KL ใช้เวลาสองชั่วโมง เพราะว่านี้เป็นรถด่วน เลยเร็วหน่อย น้องขะวันเธอก็นอนตียาวมาเลยแต่ดิฉันก็หลับไม่ลงตามเคยเลยนั่งมองสองข้างทาง และฟังเพลงฮิตมาเลย์ พร้อมกับฟังคนขับร้องคาราโอเกะให้ฟังตลอดเวลา 5555

พอรถเริ่มย่างเข้า KL เราก็เริ่มเห็นป้ายโฆษณาคอนเสริต ช่วยซึนามิ ใหญ่ ๆ เรียงราย ทำให้เรานึกออกว่าเมื่อวาน แซลลี่บอกเราว่าวันที่พี่เดฟลงเครื่องเป็นวันที่แสนวุ่นวายของสนามบิน KL เลยเพราะนอกจากพี่เดฟแล้วยังมี เฉินหลง เซี่ยถิงฟง มิเชล โหยว ลอเรนท์ ฮิล แบคสตรีทบอย ฯลฯ และยังไม่รวมกับพวกทีมแข่งของเอฟวันอีก ตอนนี้มาเลย์เลยเต็มไปด้วยเทศกาลสารพัดเลยทีเดียว ทำให้เรานึกว่าน่าจะมาเร็วก่านี้อีกสักวันคงได้นั่งมองดาราอิ่มไปเลย 555

จากป้ายคอนเสริต ทีนี้ก็มาป้าย รถ F1 ที่ขึ้นเป็นคัทเอาท์เยอะแยะไปหมด ทำเอาน้ำลายดิฉันไหลทีเดียว แต่คราวนี้ก็ไม่มีโอกาศได้ดูเพราะดันไปจองตั๋วกลับเช้าวันอาทิตย์ ดูรอบชิงไม่ทันเลยอะ (จิงๆ จะกลับจันทร์ก็มีหวัง เจ้านายด่า แม่ไล่ออกจากบ้านแน่ ๆ)

เกสต์เฮาท์ที่เราจองไว้นั้น เรารู้ว่าอยู่ในย่านไชน่าทาวน์กลางเมืองเลย แต่ก็หวันใจว่าจากสถานีรถทัวร์เราจะไปยังไงหวา แต่ปรากฏรถทัวร์ของเราก็พาเรา ฝ่าเข้ามาใจกลางเมืองขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นเปโตรนัสอยู่ลิบๆ เลย และการจราจรก็แสนจะแน่นหนามาก มองไปรอบ ๆ ก็บอกได้เลยว่านี้มันย่านธุรกิจนิหว่า แถมดีไม่ดีนี้ย่านคนจีนด้วย และเมื่อเราลงจากรถได้ก็เดินหาคนถามทางเล็กน้อย ตอนนั้นไม่กล้าเรียกแท๊กซี่เลย และเราก็พบตำรวจ

พอกางแผนที่ออกเท่านั้น ตำรวจก็ชี้บอกให้เราเดินไปที่เกสต์เฮาท์ได้เลย และเมื่อเงยหน้าก็พบว่าไอ้สถานีที่เราลงมาเนี่ยมันอยู่ไม่ไกลจากที่พักเราเลยเดินไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว โอ้ก๊อด พระเจ้าจอรจ์ โคดโชคดีเจง ๆๆๆ ถ้ามาจากสนามบินตรูยังลำบากก่านี้เลย ดีนะที่เลือกมาด้วยรถทัวร์ 5555 (ขอบคุณเดฟอีกหนที่ช่วยเราวางแผนการเดินทาง)

เราเดินกันตามแผนที่ ประมาณหนึ่งหอบ เพราะแบกของด้วยและเพลีย และเราก็มาถึงกระท่อมน้อยกลอยใจของเรา เป้นตึก 3 ชั้นจัดไว้น่ารักมากตามที่คุย เราติดต่อขอพักไว้ 3 คืนและเมื่อเราเข้าไปในห้องก็พบว่า.............. หาปลั๊กไม่เจอ และก็ไม่มีผ้าห่ม นารกแล้ว นั่งปลงสักพัก ดิฉันก็เจอปลั๊ก แต่ผ้าห่มไม่เจอ 555 แถมมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าฝากั้นห้องดูจะบางเกินไป คาดคิดว่าถ้าคืนวันเสาร์เรากลับมา เราอาจมีอาการองค์ลง นั่งงี๊ด ๆ กันทั้งคืนเหมือนเมื่อคืนอีก ไอ้ห้องข้างๆ ได้ฆ่าตรูตายแน่ๆ เราเลยเริ่มปรึกษาหารือว่าจะทำไงดี เกสต์เฮาท์น่ารัก สอาด มีเนตให้เล่น แต่ไม่มีผ้าห่มมมมมมมม แล้วเราสองคนติดผ้าห่มด้วยอะ

ก่อนที่จะคิดอะไรต่อ เราก็ตัดสินใจอาบน้ำหาไรกินรองท้องก่อน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง 5555



โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:0:27:34 น.  

 
เราตัดสินใจกินข้าวมันไก่ก่อนเลยตอนเดินมาเห็นโคดจะน่ากิน ....... และก็อร่อยจิง ๆ ด้วยไก่เป็นแบบต้มนิ่ม ๆ น้ำซุปอาร่อยโคด แงบ ๆ สองคน รวมกันหมดไป ร้อยก่าบาท ก็ไม่แพงมากอาหร่อยดี.....พอกินเสร็จเราก็เริ่มเปรี้ยวอีกแล้ว 555

น้องขะวันเธอบอกว่ากลับไปก็ไม่รู้จะทำไร จะนั่งดูคลิปเมื่อวานก็เบื่อแล้ว เลยตัดสินใจเดินไปดูเปโตรนาสยามค่ำดีก่า เพราะมองจากร้านข้าวมันไก่ แถวเกสต์เฮาท์มันไม่ไกลเลย เอาเดินก็เดิน .....

เราเดินมาเรื่อยๆ ก็มาพบตู้ขายมือถือแถวสถานีรถทัวร์ ปุตรา สเตชั่น ดิฉันก็ไปยืนมองค่าโทร และอยากรู้ว่าบัตรมันราคาเท่าไหร่ ระหว่างมองป้ายอยู่ ก็คุยกับขะวันไป แล้วทีนี้ไอ้หนุ่มคนขายมือถือก็ทักมาว่า คนไทยเหรอ จะอาวอารายยยยยยย (ย้ำพูดไม่ชัดแบบกะเหรี่ยงอะ) ดิฉันก็เออดีมันพูดไทยได้ด้วย เลยบอกคนไทยคะ ไอ้หนุ่มกันก็ตอบกลับมาว่า ราวก็โคนไทย (คนไทยแน่ใจนะ ทำไมพูดเหมือนกะเหรี่ยง) น้องขะวันก็ยิงถามต่อว่าซื้อซิมส์มาจะเติมเงิน มีราคาเท่าไหร่บ้าง พี่แกก็ตอบมาว่า ห้าฉิบ หนึ่งโร้ย สามโร้ย และเราก็ตกลงที่สามโร้ย และเค้าก็บริการเติมให้เสร็จเลย...น้ำใจคนไทยในต่างแดน และเค้าก็เริ่มบ่นว่า เนี่ยทำไมซื้อซิมส์ยี่ห้อนี้ละ มานแพง อีกยี่ห้อถูกก่า ดิฉันก็ชี้ไปที่ป้ายโฆษณาว่าก็เนี่ยมันบอกว่าโทรมาไทย 1.9 เหรียญเองน้า ไอ้หนุ่มนั้นก็สวนมาทันทีว่า "มานตอแหลลล"อึ้งไป เมื่อกี้แอบไม่เชื่อว่ามันเป็นไทยตอนนี้เชื่อแล้ว.....เล่นศัพท์สูงเชียว หลังจากที่เติมเงินแล้วก็ล่ำลากัน (ตอนนี้คิดถึงไอ้หนุ่มมือมือนี้มากเลย มานฮาดี)

ปล. อย่าประหลาดใจว่าทำไมทริปนี้ดิฉันวุ่นวายกับมือถือตลอดเวลา เพราะดิฉันเป็นคนติดโทรศัพท์อย่างแรง และต้องโทรหาญาติทุกวัน แถมยังต้องคอยรายงานให้เพื่อนมาเลย์ทราบว่า ยังมีชีวิตอยู่ และอยู่ที่ไหนตลอด เลยจิตตกกับมือถือมันทุกวัน 555


โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:0:39:49 น.  

 
เติมเงินเสร็จก็เดินกันต่อไป เปโตรนัสไม่ไกล เคแอลทาว์เวอร์ใกล้ๆ เห็นกับอยู่ไม่ไกล แบบอารมณ์เดินไปคงถึง แต่ว่าแอะเราเดินไปใย เคแอลอยู่หลังเขา...เปโตรนัสก็ดูงุนๆ งง ๆ แอะ เดินไปแล้วทำไมตึกรามบ้านช่องมันหายไปไหนหมด แล้วไอ้พวกผู้ชายมาเลย์ก็เริ่มสงเสียงเรียกเป็นนกกัน

ปล.เบื่อพวกผู้ชายมาเลย์ เชื้อสายอินเดียนมาก ชอบเรียกเป็นนกชริ ๆ

แต่เราก็ยังเดินต่อไปด้วยใจมาดมั่นจนไปถึงถนนเส้นหนึ่ง ที่อิฉันจำได้ว่าตอนเข้าจาก เคแอลเรามาจากเส้นนี้นิหว่า........ เลยตะโกนเรียกขะวัน บอกกลับเหอะ นี้จะออกนอกเมืองอยู่แล้น แล้วเราสองคนก็รีมูฟกลับ เปรี้ยวดีนัก แผนที่ก็ไม่มีติดมา เจือกอยากเดิน เหอะ ๆ

ขากลับก็แวะเซเว่นก่อนเข้าเกสต์เฮาทืเลยไปเจออะไรบางอย่าง.........ตอนนั้นตัดใจตั้งนานไม่ซื้อกลับมา แต่ดีใจที่ตัดใจเพราะมีคนส่งมาให้ฟรีๆ แย้ว 5555

Image hosted by Photobucket.com


น่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:1:10:19 น.  

 
เด๋วขาดตกบกพร่องยังไง รอน้องขะวันมาเติม เล่าแบบนี้ก็เหนื่อยดีนะ 55555 ก่าจะหมดไปวัน ยังเหลืออีกสองวัน แงบ ๆ


โดย: Angel_MiDoRi วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:1:14:45 น.  

 
ว่างมาเติมแย้ว .... นายปายปาชุมเพลิง ฮี่ ฮี่....

เช้าวันที่สอง พี่นางคว้่านอนมะหลับ แต่แมวเปงเด็กหยั่นหว่อหยุ่น นอนง่าย แต่ถ่ายมะคล่อง ... หลับเปงตาย ... ถ้าเจ้จามาขัดห้องน้ำแมวก้อคงมะยู้ตัวง่ะ ......

ห้องอาหารโรงแรมก้อธรรมดา บอกไว้ว่าเปงอาหารเมกาแต่ก้อนะ กินล่าย มะเรื่องมาก ... แต่ที่ยกมาพูดเพราะอยากจะเอ่ยถึงสิ่งนึงๆในเมนู นั้นก้อคือ เมล็ดถั่วขาวในซอสมะเขือเทศ มะรู้ว่าเปงอาหารยอดนิยมของทางนั้นมัย้ เพราะทริปสิงบุรีก้อเจอมาแล้วหนนึง ... ตอนนั้นโง่เหงฝาหรั่งตักสาดก้อนึกว่าหร่อย เรยสาดด้วย สรุปสุดท้าย อ้วกล่วยเยย .....
((คราวนี้รู้เพราะเพิ่งไปเจอในโลตัสมา เปงกาป๋อง มิน่ารสมะต่างกันเท่าไหร่ คราวหน้าคราวหลังจะมะเปรี้ยวลองอีก เข็ดจนตาย))

ที่น่า่รักคือ เค้าแอโรบิกกันทั้งผ้าคลุมหัว แม้แต่สาวใต้เชื้อสายแขกอย่างแมวก้อยังมะเคยเหงมาก่อง บ้านเค้ามะออกมากานง่า นั่งหงุงหงิกเรียบร้อยกานในบ้าน มะมาอัพแอนด์ดาว์นกาน ตกกาจายหมดเรย แต่น่ารักนะ เค้าาชอบ

ซาเล็มบังเป็นเมืองที่น่ารัก เสียดายว่าเราไม่มีเวาลเดินเล่นเยอะๆ ข้อดีข้อนึงของการเป็นเมืองขึ้นก้อคือ ผังเมืองคุณจะถูกวางไว้ดีมาก แมวเดินๆอยู่นึกว่ากลับไปเดินแถวบ้านที่เมืองดอย ก็ไม่ปาน เพราะระบบผังสวย เข้าใจง่ายแยกสัดส่วนของสถานที่ไว้เรียบร้อย และเป็นแบบนี้ทั้งมาเลย์เซีย ดังนัน้การเดินเที่ยวในมาเลย์จะง่ายมาก เหมือนกันเดินในยุโรป อีกอย่างคือ ระบบเค้า รัฐจะเป็นคนไปสร้างเมือง แล้วชาวประชาจะตามไปอยู่เอง ไม่ใช่แบบไทย คือชาวประชาไปสร้างเมือง และรัฐตามสร้างระบบสาธารณูปโภคทีหลัง
(เห็นจ่าเมืองใหม่มากมายที่กำลังสร้างอยู่ // ข้อมูลเสริม คิดว่าน่าจะคล้ายๆกัน คือ ทางเมืองดอยเค้าจะวางแผนกันมาล่วงหน้า แล้วสร้าง เพราะฉะนั้นเมืองเค้าจะเหมือนเนรมิตร งอกเร็วยิ่งก่าปลูกถั่วงอก .... สร้างให้พร้อมให้ครบ พอเปิดเมืองมะถึงสองเดือน คนตรึมเรย))

ชอบซาเลมบังที่ให้บรรยากาศอย่างที่บอก คือเมืงอตากอากาศของพวกเจ้าอานาณิคมยุคเก่า ถึงเราจะไม่ได้ไปถึง พอร์ตดิ้กสันที่เค้าแนะนำ แต่บรรยกาศสบายๆ สงบๆก้อลามจากชายหาดมาถึงเมืองได้ไม่ยาก แม้แต่สถานีรถไฟก้อมีสภาพไม่ต่างจากหัวหินสมัยก่อน เพียงแต่เพิ่มพวกระบบสมัยใหม่เข้าไปให้ดู ขัดตานิดๆแต่มะขัดใจ


โดย: แมวจรจัดรักตี๋ IP: 203.152.11.250 วันที่: 29 มีนาคม 2548 เวลา:14:21:36 น.  

 
การเดินทางมามะละกาก้ออย่างที่เจ้นางคว้าว่า น้องแมวดูเนื้อหอม มีแต่คนรุมถามไถ่ …. แต่ตัวเลือกที่ให้มา มะสามารถจริงๆ ลุงเสนอมาแต่ละภาษาได้ข่าวว่าร่ำร้องเปงทำนองได้ทั้งน้าน …. ภาษาหลังเนี่ย แรฟอีกตะหาก มะอยากจะว่า อิอิ แต่มะหาญกล้า กัวจะปล่อยไก่ เด่วจะเสียชื่อเหล่าซือได้
เค้าบอกได้เต็มปากว่าเค้าหลงรักมะละกา มะละกาให้บรรยากาศแบบฮัมบูรก์ จริงๆนะ บรรยากาศเมืองท่าของยุโรป ถึงแม้ว่ามะละกาจะเป็นเมืองท่าอาณานิคม แต่ภาพคลองที่ต่อจากปากน้ำเข้ามาข้างใน และโกดังริมน้ำ ทำให้แมวนึกถึงท่าเรือฮัมบูรก์อย่างปาหลาด …((แง้วๆ คิดตึ๋งบ้าน )) หนังสือน้ำเทียวบอกว่า มะละกาใช้เวลาแค่ครึ่งวันก้อรอบเมือง …. จริงๆแล้วไม่ใช่ มันต้องสองหรือสามวันถึงจะหมด คือหมดอย่างซาบซึ้งและดื่มด่ำกับบรรยากาศของมะละกา …. เจอกันงวนหน้า ชั้นจะซ่อมเธอซะให้เข็ด มะละกาที่รัก

มะละกามีพิพิธภัณฑ์เยอะมาก แต่เพราะเราฝากกระเป๋าไว้ก่าตำรวจ และสัญญิงสัญญาไว้ว่าจะไปรับภายในสองชั่วโมงเราจึงต้องเร่งทำเวลา ประกอบกับโรคประหลาดพิศดารของครอบครัวเมืองดอยของแมวที่ชอบทัศนาสุสานกันเป็นชีวิตจิตใจแมวจึงขอร้องแกมบังคับให้เจ้นางคว้าไปหาสุสานชาวดัตช์เพื่อไปกำนัลป้อแม่ ((อย่าถามนะง่าทำไมเค้าชอบ …แมวก้อมะยู้ ยู้แต่ว่าตอนนี้แมวก้อเริ่มชอบด้วย แต่เปงสุสานยุโรป คริสต์สวยๆนะ ยังมะอยากไปทัศนาป่าช้า หรือกุโบที่หนาย // เกร็ดแทรก ตอนป้อก่าแม่เค้ามาไทย ก้อไปดูช่องเก็บอัฐิที่วัดกานหนุกหนาน สร้างความหยดหยองให้ป้อแม่แมว ณ เมืองไทยอย่างแรง ))

ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ตอนนั้นราคา ห้าริงกิต หรือห้าสิบบาทไทยโดยประมาณงับ


โดย: แมว IP: 203.152.11.250 วันที่: 29 มีนาคม 2548 เวลา:14:36:30 น.  

 
การเดินเที่ยวมะละกาง่ายมาก อย่างที่บอกว่าผังเมืองมันเป็นแบบยุโรป ก้อเลยเดินวนไปวนมา ก้อเจอสถานที่สำคัญๆ โดยเฉพาะไฮไลท์จะอยู่กระจุกรวมกันบนเขา เหมือนเป็นป้อม .... แต่ความที่เรางง เรยเดินลงเขาแล้ววนตีนเขา ... มันจาไปถึงได้งายล้า ... ก่าจะรู้ตัวว่าโง่ก้อเสียเวลาไปตรึม .... แถมตอนเดินๆในเมือง ตำหนวดหญิงที่เราฝากของไว้ก้อขับแมงกะไซด์ผ่านมาโบกมือให้ ราวก่าเปงนาฬิกาจับเวลาถอยหลัง ให้สปีดตรีงเราเร่งจ่ำให้ไวก่าเดิม

โอ้มะละกา ไอเลิฟยู .........



โดย: แมวอีกนั้นล่ะ IP: 203.152.11.250 วันที่: 29 มีนาคม 2548 เวลา:14:47:21 น.  

 
การเดินทางไปเคแอลอย่างที่พี่นางคว้าว่า น้องแมวยังคงเป็นน้องแมวที่หลับได้ทุกที่ ตามปกติ .... ละเมอมาเอาเสื้อคลุมทับยังมะยู้ตัวเรย .... ถ้าตี๋มาปะล้ำจาทำงาย ..... มะรู้สึกตัวเรยนะเนี่ย ... เด่วจำไรมะได้ มะยอม กร้ากกกก.......

พอถึงที่ก้อเดินดุ่มๆไปที่พัก เกิดปรากดการณ์ที่แสดงสันดอนของพี่น้องคู่นี้ขึ้นเมื่อถึงที่พัก คำแรกที่ทั้งคู่โวยวายครือ ..... ((สภาพมะโวยเรย น่ารัก ห้องน้ำสะอาด บรรยากาศเปงกันเอง)) มะมีผ้าห่ม ((อานนี้คำพูดน้องแมวผู้รักและฝักใฝ่ในการหลับนอน )) และไม่มีปลั้กไฟ ((อานนี้คำพูดพี่นางคว้าผู้ต้องมีการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โดยอุปกรณ์ไฮเทคตลอดยี่สิบสี่ชม))

หลังจากการโวยวายจบลงที่พี่นางคว้าเจอปลั๊ก แต่น้องแมวยังมะเจอผ้าห่ม เราก้อย้ายนิวาสถานไปหาของกินด้วยฟามหิวโหย ... และเจอกับคนไทย ((เค้ายืนยันว่าเค้าเปงก้อเชื่อหน่อย .. สำเนียงกะเหรี่ยงให้ขบขัน)) น้องแมวก้อชวนพี่นางคว้าทรมาณตัวเองโดยการเดินหาตึกเปรโตสนาสต่อ .... เดิรจนถึงใต้ตรีงตึกเคแอลทาวเวอร์ และเปโตรนาสหาย ... หามะเจอเจรงๆนะ หายไปหนายมะยู้ หายไปทั้งสองตึกเรย)) และทางเดินมันดูจะไม่ปลอดภัยสำหรับยามค่ำคืน ((มันเป็นป่าอ่ะ ... มารู้ตอนเช้าว่าเปงอุทยานแห่งชาติกลางกรุง ป่าเจรงๆนะ ทึบๆน่ากัวมั๊กๆ)) เรยถอยมานอนกระสับกระส่ายกันสองคนบนเตียงที่มะมีผ้าห่ม .......



จบค่ำคืนแรกในเคแอลด้วยความเหนื่อยและทรมาณ ((คนติดผ้าห่มเท่านั้นจึงจะเข้าจายฟามทรมาณนี้ งิ้ดๆๆ))


โดย: ก้อยังเปงแมว IP: 203.152.11.250 วันที่: 29 มีนาคม 2548 เวลา:14:57:47 น.  

 
แรด


โดย: ryo IP: 222.123.70.240 วันที่: 18 มกราคม 2551 เวลา:11:28:27 น.  

 
หัวแถวนับ 10 <<<<<<<~แรด


โดย: tacky IP: 222.123.70.240 วันที่: 18 มกราคม 2551 เวลา:11:29:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Angel_MiDoRi
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Angel_MiDoRi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.